LOGINแดดยามสายอาบไล้แนวป่าเป็นสีทอง
หานเจ๋อแบกตะกร้าหวายกลับจากป่า ในตะกร้านั้นมีไก่ป่าตัวหนึ่งดิ้นขลุกขลักอยู่ด้านใน
ชายหนุ่มเดินตามทางแคบที่คดเคี้ยวขึ้นเขา เสียงนกป่าขับขานประสานกับเสียงลมพัดใบไม้ไหวเป็นระยะ กลิ่นดินชื้นและกลิ่นหญ้าใหม่อบอวลอยู่ในอากาศ
“ได้ตัวเดียวก็ยังดี... พอให้ทำน้ำแกงให้เหยาเหยาได้หลายมื้อ”
เขาพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าเปื้อนเหงื่อ แต่ทางลาดชันเบื้องหน้ามีหินผุแทรกอยู่หลายแห่ง พื้นดินที่ชื้นทำให้ลื่นยิ่งนักขณะก้าวข้ามพงหญ้าเท้าของเขาเหยียบลงบนหินก้อนหนึ่งที่กลิ้งหลุดออกจากเนิน
“อ๊ะ!”
เสียงอุทานดังขึ้นพร้อมร่างสูงที่เสียหลักเซถลา ตะกร้าหวายหล่นกลิ้งลงพื้น ไก่ป่ากระพือปีกหนีไปในพงหญ้า เขาทรุดลงนั่งทันที ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นจากข้อเท้าซ้ายจนขมวดคิ้วแน่น
“ไม่เป็นไร... แค่พลิกนิดหน่อย” เขาพึมพำกับตนเอง พลางพยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่เพียงขยับเท้า ความปวดแสบปวดร้อนก็แล่นขึ้นจนต้องทรุดลงอีกครั้ง
เมื่อแดดเริ่มคล้อยต่ำ แสงสีส้มอาบยอดหญ้าเป็นประกาย หานเจ๋อจึงลากขาเดินกะเผลกกลับเรือนอย่างยากลำบาก
เหงื่อชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง ทุกย่างก้าวเหมือนมีหนามแหลมทิ่มอยู่ที่ข้อเท้า แต่ในใจเขากลับคิดเพียงอย่างเดียว ต้องกลับไปให้ถึงเรือนให้ได้
พอถึงเรือน หานเจ๋อไม่ทันได้พัก เขารีบจัดการกับไก่ป่าที่ได้มาทันที
มือที่เต็มไปด้วยรอยถลอกยังคงเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ลอกขน ล้างเลือด แล้วตั้งหม้อต้มน้ำแกงด้วยความตั้งใจ
หว่านเหยาได้ยินเสียงของหานเจ๋อจากครัวเรือนเล็ก แต่เพราะกำลังทำความสะอาดจึงยังไม่ได้ออกไปดู
ครู่ต่อมา กลิ่นน้ำแกงหอมกรุ่นลอยอบอวลทั่วเรือน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง นางจึงหันไป เห็นเขาเดินออกมาพร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ทว่าเดินกะเผลกอย่างเห็นได้ชัด
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” นางขมวดคิ้วถาม
“ไม่มีอะไร...แค่หกล้มนิดหน่อย” เขายิ้มกลบเกลื่อน ทั้งที่สีหน้าเกร็งจากความเจ็บ
“ข้าดูหน่อย”
“อ่ะ ไม่ต้อง...เจ้าไปพักเถอะ เดี๋ยวน้ำแกงเสร็จข้าจะยกไปให้”
หว่านเหยายิ้มบาง ๆ อย่างจนใจ “พักอะไรกัน ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักหน่อย ท่านนั่งลงเถอะ...ข้าจะดูแผลให้เอง”
หานเจ๋ออึกอักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมทรุดตัวนั่งบนตั่งไม้
หญิงสาวคุกเข่าลงตรงหน้าอย่างเงียบงัน มือเรียวค่อย ๆ ดึงชายขากางเกงของเขาขึ้น
หานเจ๋อไม่เคยได้รับการใส่ใจจากหว่านเหยาเช่นนี้มาก่อน
ชายหนุ่มตัวเกร็งไปชั่วขณะ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่า
“ข้าไม่เป็นไร...เท้าแพลงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เจ้าไม่ต้องห่วง”
แต่หว่านเหยาไม่ได้สนใจคำพูดนั้น นางแน่ใจว่าความรู้ที่มีติดตัวมาจากโลกเดิมย่อมเหนือกว่าคนในยุคนี้อยู่บ้าง
นางก้มลงพินิจดูข้อเท้าอีกครั้ง แล้วเอ่ยเรียบ ๆ
“ข้าจะกดจุด อาจจะเจ็บสักหน่อย แต่จะช่วยให้หายเร็วขึ้น”
หานเจ๋อไม่รู้หรอกว่าวิธีของนางจะได้ผลหรือไม่
แต่เพียงเพราะมันเป็นความห่วงใยจากนาง ต่อให้เจ็บกว่านี้เขาก็ยอมทน “ข้าเชื่อเจ้า...ไม่ต้องกลัว ข้าไม่กลัวเจ็บ”
หว่านเหยาเงยหน้าขึ้น ยิ้มบาง ๆ ก่อนเริ่มกดนิ้วลงตามแนวเส้นเอ็น
แรงกดของนางแม่นยำและหนักเบาสลับกันเป็นจังหวะ
“อ๊า...”
“อ่ะ...”
“ซู๊ด...”
หานเจ๋อพยายามกลั้นเสียงไว้ แต่ก็ยังเล็ดลอดออกมาไม่ขาดสาย
เสียงทุ้มต่ำของเขาดังลอดออกไปนอกเรือน พาให้บรรดาชาวบ้านที่เพิ่งหาบฟ่อนฟางกลับจากนาได้ยินกันทั่ว
ชายชราคนหนึ่งหัวเราะหึ ๆ พลางเอ่ยกับเพื่อนข้างทาง
“เสียงของหานเจ๋อนั่นแหละ...ได้ภรรยางดงามทั้งที มีความสุขเสียจนเสียงดังไปถึงท้ายหมู่บ้านกระมัง ฮ่า ๆ ๆ”
อีกคนพยักหน้า หัวเราะคล้อยตาม
“ก็แน่ล่ะสิ ภรรยาเขาน่ะ สวยอย่างกับเทพธิดาเชียวล่ะ”
“มิน่าเล่า...ข้าถึงว่าหานเจ๋อนั่นหลงภรรยาจนเกินเยียวยาแล้ว”
“ข้าว่าหานเจ๋อตั้งใจปล่อยเสียงออกมาเยาะเย้ยพวกเราต่างหาก”
เสียงหัวเราะขบขันดังแว่วไปตามทางลม ปนกลิ่นหอมของรวงข้าวที่กำลังออกรวงใหม่
คำพูดของพวกเขาแฝงทั้งความเอ็นดูและความอิจฉาในคราวเดียว
เพราะแม้จะหัวเราะเย้าแหย่กันเพียงใด แต่ในใจลึก ๆ แล้ว พวกเขาเองก็ล้วนอยากมีภรรยาที่งดงามและอ่อนโยนเหมือนภรรยาของหานเจ๋อสักคนส่วนในเรือนเล็กกลางทุ่งนั้น
หานเจ๋อไม่รู้เลยว่าเสียงของตนกลายเป็นเรื่องขบขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้านไปแล้ว...
เมื่อหว่านเหยาเสร็จจากการนวด
เส้นเอ็นที่ขึงตึงของหานเจ๋อก็ค่อย ๆ คลายลง
ความปวดร้าวเมื่อครู่ลดลงเหลือเพียงอาการตึงเล็กน้อย ชายหนุ่มลองขยับข้อเท้าช้า ๆ แล้วก็ต้องยิ้มเมื่อรู้สึกว่าสามารถขยับได้ดีขึ้น
“ดีขึ้นหรือไม่”
นางถามเสียงนุ่ม พลางเช็ดเหงื่อออกจากฝ่ามือตนเอง
“ดีขึ้นมากเลย ขอบใจเจ้ามากนะหว่านเหยา” เขาตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
“อย่าเพิ่งขยับมากนัก เดี๋ยวจะตึงขึ้นอีก”
หว่านเหยากล่าวพลางลุกขึ้นยืน “นั่งพักตรงนี้เถอะ ข้าจะไปดูน้ำแกงไก่เอง”
“ไม่ต้อง ข้าทำเองได้—”
“นั่งพัก” เสียงของนางเด็ดขาดขึ้นเล็กน้อย ทำเอาหานเจ๋อได้แต่หัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย
หญิงสาวก้าวไปทางครัว กลิ่นน้ำซุปหอมกรุ่นอบอวลอยู่ในอากาศเสียงไม้คนในหม้อดังแผ่ว ๆ สลับกับเสียงลมพัดผืนผ้าบนราวแกว่งเบา ๆ
หานเจ๋อมองแผ่นหลังของนางที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงเย็นของยามบ่าย พลันรู้สึกว่าทุกความเหนื่อยล้าที่ผ่านมา...ดูจะคุ้มค่าทั้งหมดแล้ว
ไม่นาน หว่านเหยาก็ยกชามซุปไก่ร้อน ๆ มาวางตรงหน้าเขา
กลิ่นหอมของขิงและสมุนไพรลอยอบอวลไปทั่วเรือนเล็กกลางทุ่งนา
“ลองชิมดูสิ รสอาจไม่เข้มมากนัก ข้าใส่แต่ของที่มีในเรือน”
นางพูดพลางวางช้อนลงเบา ๆ
หานเจ๋อมองชามซุปตรงหน้า แล้วแหงนหน้าขึ้นสบตานางช้า ๆ
“แค่ได้กินฝีมือเจ้าก็ถือว่าวาสนาเกินพอแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เขาตักน้ำแกงขึ้นจิบ รสอ่อนแต่กลมกล่อม ความร้อนจากน้ำแกงซึมเข้าสู่ร่างกาย เช่นเดียวกับความอบอุ่นที่แผ่วผ่านหัวใจ
ชายหนุ่มวางช้อนลง พลันเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ข้า...ดีใจมาก ที่ได้เห็นเจ้าห่วงข้าเช่นนี้”
น้ำเสียงนั้นเรียบง่าย ทว่าจริงใจจนหว่านเหยาลอบถอนหายใจ
บุรุษผู้นี้...เกินเยียวยาแล้วจริง ๆ
ตอนที่ 8 เสียศักดิ์ศรีไม่ได้ บรรยากาศหลังมื้อค่ำยังอุ่นอบอวลด้วยกลิ่นไม้สดจากกองฟืนที่หานเจ๋อกำลังผ่าดัง พั่ก…พั่ก เป็นจังหวะสม่ำเสมอมู่หว่านเหยานั่งอยู่บนตั๋งเล็ก ๆ มือรองคางสายตาของนางจับจ้องไปยัง กล้ามอกกว้างที่ขยับตามแรงฟันฟืนแผ่นหลังแข็งแรงกำยำลำแขนที่เต็มไปด้วยพลังจากการทำงานหนักทั้งวันสายตาของนางไล่ลงต่ำอย่างเผลอตัวหยุดอยู่ตรง “ช่วงท้องแข็งแกร่ง” ที่โผล่พ้นสาบเสื้อออกมานิด ๆแน่น…และคงหนักหน่วงไม่น้อยเวลาถูกกอดรัดความคิดนั้นแล่นวาบขึ้นมาจนลำคอหว่านเหยาร้อนผ่าวนางต้องลอบกลืนน้ำลายเบา ๆปลายหูแดงระเรื่อโดยไม่รู้ตัวบุรุษผู้นี้ไม่เพียงหน้าตาดียังซื่อสัตย์ อ่อนโยน รักมั่น…บุรุษดีถึงเพียงนี้ มันควรต้องได้ครอบครองเขาไว้กับตัวและพอนางได้พรข้อนั้น นางจะเลี้ยงดูเขาเองเขาจะต้องกลายเป็นของนาง อ่า...แต่จะให้โถมใส่ตรง ๆ ก็ดูไม่งามสำหรับสตรีเสียศักดิ์ศรีแย่มู่หว่านเหยากัดริมฝีปากเบา ๆสายตาหรี่ลงอย่างนึกหาวิธี“จะเริ่มอย่างไรดีนะ…”นางเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับคิดแผนร้ายที่หอมหวานรอยยิ้มจาง ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปากยิ้มแบบสตรีที่ตั้งใจจะ “ล่อลวง”สามีของตนเองให้หลงจนหมด
ตอนที่ 7 ญาณพิเศษ หานเจ๋อวางถาดอาหารลงบนโต๊ะไม้เก่าอย่างเบามือ แต่หญิงสาวบนตั่งกลับยังมองออกไปนอกหน้าต่างราวสติล่องลอยอยู่ที่อื่นเขาจึงเอ่ยเสียงทุ้มอ่อน“คิดอะไรอยู่หรือ”มู่หว่านเหยากระพริบตา ดึงความคิดกลับมาจากห้วงลึกนางหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนตอบอย่างเก้อเขิน “คิดเพลินไปหน่อย…ท่านทำมื้อเย็นเสร็จแล้วหรือ ข้าแย่จริง ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”หานเจ๋อส่ายหน้าเบา ๆน้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใยจนอบอุ่นคล้ายผ้าห่มในฤดูหนาว “ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเท่านี้ข้าทำได้ เจ้าพึ่งหายป่วย ออกไปตลาดทั้งวันแล้วยังช่วยเด็กคนนั้นอีก”เขาหยุดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยช้า ๆ เน้นทุกคำด้วยความใส่ใจ“เจ้าควรพัก…พักให้มาก ๆ ด้วยซ้ำ”เขาผลักถ้วยอาหารเข้าหานาง “มากินข้าวเถอะ จะได้รีบพักผ่อน” คำพูดเรียบง่ายแต่แฝงความอ่อนโยนของหานเจ๋อทำให้มู่หว่านเหยาหลุบตาลงความวุ่นวายทั้งวันที่พัดพาเข้ามาเหมือนลมแรง ค่อย ๆ สงบลงราวกับถูกมืออบอุ่นปลอบประโลมให้เงียบเสียงอนาคตของนางกับบุรุษผู้นี้…จะเป็นเช่นไรนะความคิดผุดวาบขึ้นมาราวควันบาง ตีวงในอกนางเบา ๆพลันความทรงจำจากชาติเดิมก็แล่นเข้ามาหากเป็นเมื่อก่อน…นางคงโทรหามินตริตา ชวนก
ตอนที่ 6 ชดเชยเพียงสบตากันในเสี้ยวลมหายใจนั้นบุรุษผู้นั้น ก็รับรู้ได้ทันทีว่า นางรู้จักเขามือเรียวยาวสะบัดเล็กน้อยจากนั้นโลกทั้งใบคล้ายหยุดเคลื่อนไหว เสียงลม เสียงน้ำ เสียงผู้คน... ล้วนเงียบหายไปหยุดห้วงเวลาเหลือเพียงดวงตาสองคู่ที่ประสานกันกลางหมอกแดดราง ๆแววตาของนางเต็มไปด้วยความตกตะลึงและระแวดระวังส่วนแววตาของเขา... เย็นเยียบและลึกล้ำจนยากหยั่งถึงคล้ายรอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้นบนมุมปาก แต่กลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเย็นวูบลงอย่างประหลาดบุรุษผู้นั้นก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้า ๆทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นเมื่อระยะห่างเหลือเพียงไม่กี่ก้าว เขาหยุดตรงหน้ามู่หว่านเหยา“เจ้าเป็นผู้ใด... เหตุใดรู้จักข้า” เสียงของเขาดังขึ้นต่ำและชัดเจน ราวกับเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งแห่งหุบเหวคำถามนั้นแฝงแรงอำนาจจนแม้เพียงลมหายใจก็คล้ายหยุดไหลเวียนแต่ทั้งที่เอ่ยถาม ชายหนุ่มกลับไม่รอคำตอบจากนางเลยปลายนิ้วเรียวยาวของเขาเพียงสะบัดเบา ๆ —แรงลมอันเย็นวาบพุ่งเข้าหามู่หว่านเหยาอย่างรวดเร็วก่อนที่นางจะทันรู้ตัวสติของนางดับวูบ ร่างทั้งร่างทรุดลงราวสายลมถูกสูบออกจากอกชายหนุ่มยื่นมือข้างหนึ่งแตะลงกล
ตอนที่ 5 นินทารุ่งเช้าแสงแดดยังอ่อนจัดจ้าผ่านม่านหมอกบาง ๆ ที่คลี่คลุมท้องนาเสียงไก่ขันแว่วจากเรือนใกล้ ๆ ตามด้วยเสียงควายลากไถจากทางหมู่บ้าน มู่หว่านเหยาเก็บตะกร้าหวายใบเล็กใส่เหรียญเงินที่หานเจ๋อมอบให้เมื่อคืน แล้วคลุมผ้าบางสีอ่อนคล้ายแพรทอมือเมื่อออกมาหน้าเรือน หานเจ๋อก็ยืนรออยู่ก่อนแล้วเขายิ้มบาง ๆ หว่านเหยายิ้มตอบกล่าว “ไปกันเถอะ”น้ำเสียงของนางนุ่มนวลขึ้นกว่าทุกวันจนหานเจ๋อสติแทบจะล่องลอยทั้งสองเดินเคียงกันไปตามทางดินเลียบคันนาหยาดน้ำค้างเกาะบนยอดหญ้าเป็นประกาย สายลมเช้าเย็นสบายจนผมของหญิงสาวปลิวระเริง เสียงล้อเกวียนจากระยะไกลดังเอื่อย ๆ ประสานกับเสียงพูดคุยของชาวบ้านที่พากันมุ่งหน้าไปตลาดเช่นเดียวกันตลาดหมู่บ้านตั้งอยู่กลางลานกว้าง มีทั้งแม่ค้าขายผัก ผลไม้ ไข่เป็ดไข่ไก่ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาและผ้าทอมือกลิ่นขนมถั่วบดและแป้งทอดลอยคลุ้งชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้านแม้ มู่หว่านเหยา จะแต่งกายเรียบง่าย ผ้าฝ้ายสีอ่อนทอด้วยมือ ผมถักเปียม้วนขึ้นอย่างเรียบร้อย ทว่ากิริยาท่าทางของนางกลับแฝงความอ่อนช้อยสง่างามอย่างยากจะปิดบังได้แต่ละก้าวเดินของนางมีระเบียบ เรียบละเมียด เป็น
ตอนที่ 4 รับไมตรีหานเจ๋อกลับมาถึงเรือนยามเย็นพอเห็นมู่หว่านเหยากำลังขุดแปลงดินอยู่ด้านหลัง ก็รีบวางของในมือลงแล้วก้าวเข้าไปหา“เจ้าทำอะไรน่ะ ทำไมไม่รอข้า”เขาเอ่ยเสียงเต็มไปด้วยความตกใจและเป็นห่วงมู่หว่านเหยาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พลางยิ้มบาง “ข้าแค่อยากเตรียมแปลงไว้ก่อน จะได้ปลูกพืชทันฝนหน้า”นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเบา ๆ “แต่ตอนนี้...ข้ายังไม่มีเมล็ดพันธุ์ หากท่านพอมีเงินสักเล็กน้อย ข้าขอไว้ซื้อหรือแลกเมล็ดปลูกได้หรือไม่”หานเจ๋อชะงักไปทันที ดวงตาเบิกเล็กน้อย ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้“ข้าไม่รอบคอบเอง...”เขาพูดพลางรีบเดินเข้าเรือน ไม่นานก็กลับออกมาพร้อมถุงผ้าขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในช่องไม้ตรงมุมผนังเขาวางมันลงบนมือของนางอย่างไม่ลังเล“นี่คือเงินทั้งหมดที่ข้ามี เจ้าอยากใช้ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ใจจะซื้อเมล็ดพันธุ์หรือของจำเป็นอื่น ๆ ก็ได้ทั้งนั้น ข้าเชื่อเจ้า”มู่หว่านเหยาชะงักไปเล็กน้อย มองถุงเงินในมืออยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกบางอย่างแผ่วผ่านในอก ทั้งซาบซึ้งทั้งเกรงใจหานเจ๋อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปจึงเอ่ยเสียงนุ่ม“เจ้าไปนั่งพักเถอะ ตรงนี้ข้าจะทำต่อเอง”น้ำเสียงนั้นเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความอ
ตอนที่ 3 โชคชะตานำพานางจ้องมองใบหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบาแต่สั่นจากความรู้สึกที่บอกไม่ถูก“เหตุใด...เหตุใดเจ้าจึงต้องดีกับข้าเพียงนี้...”คำถามนั้นมิใช่เพียงการสงสัยในความหวังดีของเขาหากแต่เป็นการถามถึงโชคชะตาที่ทำให้นางได้พบคนอย่างหานเจ๋อหานเจ๋อชะงัก เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะเอ่ยถามเขาหลบสายตาหญิงสาว แล้วเอ่ย“เจ้าคงจำข้าไม่ได้...เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ข้าประมาณแปดขวบ เกือบถูกรถม้าของเจ้าชน..คนขับรถตำหนิที่ข้าไม่ดูทางให้ดี เป็นเจ้าที่ออกปากปกป้องแล้วยังแบ่งขนมจากหอชิวอี้ให้ข้า” หว่านเหยาเริ่มจำได้ลาง ๆ ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เหตุการณ์นั้นมีอยู่จริงภาพเด็กชายตัวเล็กที่ล้มอยู่กลางถนน เสียงรถม้าที่หยุดกระทันหัน และขนมที่ถูกยื่นให้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน... ล้วนผุดขึ้นมาในใจอย่างช้า ๆนางเข้าใจในทันทีสำหรับเขา เด็กชายในวันนั้น คงเป็นครั้งแรกที่หัวใจสั่นไหว“รักแรกพบ...” นางพึมพำในใจอย่างแผ่วเบานับแต่นั้น หานเจ๋อคงเฝ้ามองนางมาโดยตลอด แม้ระยะทางระหว่างชนชั้นจะไกลเพียงใด เขาก็ยังเก็บภาพนั้นไว้ในใจ...ไม่เคยลืมเลยแม้เพียงวันเดียวเป็นรักที่อบอุ่นจริงๆ เสียดายสตรีผู้น







