Home / วาย / เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย / บทที่ 3 ผู้ป่วยนิรนาม

Share

บทที่ 3 ผู้ป่วยนิรนาม

last update Last Updated: 2025-10-12 12:22:27

หลังจากไป๋หลินพาคนเจ็บมาถึงบ้าน สมาชิกในบ้านทุกคนรวมถึงแม่สามีและแม่จาง ก็ถึงกับตกใจมากที่จู่ ๆ ไป๋หลินก็พาคนแปลกเข้าบ้านแถมยังเลือดเต็มตัวแบบนี้ แต่เขาไม่มีเวลาอธิบายอะไรมากเขาบอกให้ทุกคนเตรียมสถานที่เพื่อช่วยชีวิตชายปริศนาผู้นี้ก่อน ดูจากอาการน่าจะเสียเลือดไปเยอะต้องรีบฝังเข็มห้ามเลือดก่อน ทุกคนที่อยู่ในบ้านถานรองตอนนี้ก็ช่วยกันเตรียมของต่าง ๆ ตามที่ไป๋หลินบอกทันที แม้แต่เด็ก ๆ อะไรที่ช่วยท่านแม่ก็รีบช่วยไม่อิดออด ท่านแม่ทั้งสองช่วยกันถอดชุดด้านบนของชายคนนั้นออกแล้วใช้น้ำสะอาดชำระกายจึงทำให้คราบออกไปจนหมดเหลือเพียงแผลและจุดที่เลือดยังไหลไม่หยุด ไป๋หลินไม่รอช้ารีบฝังเข็มห้ามเลือดทันที

ไป๋หลินทำการรักษาไปสักพักก็ห้ามเลือดได้สำเร็จ ส่วนแผลที่ถูกของมีคมฟันก็ทำการปิดปากแผลเรียบร้อย เขาเสียดายที่ไม่มีไหมสำหรับเย็บแผล ถ้ามีเวลาว่างค่อยทำเองก็แล้วกัน เพราะมันพอที่จะทำได้วัสดุที่ใช้ก็มาจากธรรมชาติ ส่วนวิธีทำนั้นภัสกรเคยไปศึกษาดูงานแหล่งผลิตมาแล้วตอนอยู่โลกเดิม ถึงไม่มีเครื่องจักรที่ทันสมัยแต่ก่อนจากมาเป็นไหมเย็บแผลที่ใช้ในวงการแพทย์ก็ใช้วิธีการทำมือมาก่อนเขาพอจำวิธีได้ทำไว้เยอะ ๆ ยิ่งดีหากถึงคราวเปิดโรงหมอต้องได้ใช้งานแน่ ๆ

ทุกอิริยาบถของไป๋หลินที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวอยู่ในสายตาของทุกคน ทำให้แม่สามีมีความคิดเปลี่ยนไปมากสะใภ้เล็กของตัวพอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองก็น่าเอ็นดูดี ไหนจะการรักษาคนเจ็บก็ดูเชี่ยวชาญราวกับว่าไป๋หลินเคยเป็นหมอมาก่อนจริง ๆ สงสัยท่านเซียนที่สอนวิชาการแพทย์คงจะเป็นความจริง ดูจากที่ลูกชายของเขาหายดีจนจะกลับไปทำงานได้ในวันพรุ่งนี้แล้ว

ส่วนท่านแม่จางก็ภาคภูมิใจมากที่ลูกคนเล็กเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนเห็นคนเลือดโชกขนาดนี้ไป๋หลินคงเป็นลมไม่ก็วิ่งหนีไปแล้วอย่าหวังเลยว่าไป๋หลินจะสนใจช่วย พอมาวันนี้ได้เห็นลูกชายของตนรักษาคนเจ็บด้วยท่าทางราวกับผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ในโรงหมอในเมืองหลวงแบบนี้ รั่วอี้ได้แต่ขอบคุณสวรรค์ที่ให้โอกาสไป๋หลินได้กลับมาและยังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

หลัวฟางจากที่เมื่อก่อนเคยมองไป๋หลินด้วยความรำคาญสายตาไม่อยากสนทนาไม่อยากมองแม้กระทั่งหน้าของภรรยา อยู่ด้วยกันก็มีแต่ความอึดอัดใจ แต่พอมาวันนี้ทุกอิริยาบถของไป๋หลินมันสะกดสายตามากเหมือนมีแรงดึงดูดให้เข้าหา วันนี้เป็นครั้งแรกที่หลัวฟางมองไป๋หลินด้วยสายตาที่มีความหมายว่าเขาเอ็นดูภรรยามาก ถึงจะยังไม่มีความรู้สึกว่าชอบหรือรัก แต่ก็รู้สึกดีและเอ็นดูไป๋หลินมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ในใจของหลัวฟางเองก็ค่อย ๆ กำลังเปิดใจให้อีกฝ่ายเหมือนกัน

ลูกชายแฝดทั้งสี่นั้นพอท่านแม่ใจดีไม่ว่าท่านแม่ทำอะไรก็เก่งไปหมด โตขึ้นพวกเขาอยากเก่งเหมือนท่านแม่ทุกอย่างเลย พวกเขาจะทำให้ท่านแม่ภูมิใจและหาเงินมาให้ท่านแม่เยอะเพื่อที่ท่านแม่จะได้ใจดีกับพวกเขาตลอดไป

"เฮ้อ! เสร็จสักทีแผลหนักเอาการทุกจุดเลย" ไป๋หลิน

"เจ้าจะบอกพวกเราได้หรือยังว่าไปเจอคนผู้นี้มาได้อย่างไร" หลัวฟาง

"นั้นสิ เห็นครั้งแรกแม่ตกใจมากนึกว่าเจ้าบาดเจ็บไปด้วย" รั่วอี้

"ใช่ แล้วนี่เจ้าไปเจอคนผู้นี้มาจากที่ไหนกัน" ซิ่วอิง

"ได้ ๆ ข้าจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละทุกท่าน คือวันนี้ข้าขึ้นเขาไปตรงจุดที่ลึกและสูงกว่าเดิมเพื่อหาสมุนไพรหายากมาขายและสกัดยาไว้ใช้ยามจำเป็น แล้วตอนที่ข้านั่งพักเหนื่อยข้าก็เจอกับเจ้านี้มันคือบัวหิมะ ข้าเลยเก็บมาว่าจะขายสักหนึ่งดอกก็ได้เงินเยอะมากแล้ว ที่เหลือข้าจะสกัดยาไว้ให้ทุกคนได้ใช้เป็นยาบำรุง ตอนที่ข้ากำลังจะกลับลงเขาดันไปเจอรอยเลือดเป็นทางอยู่ พอข้าเดินตามรอยเลือดก็เจอคนผู้นี้นอนสลบอยู่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่ พอตรวจดูอาการแล้วถ้าหากข้าไม่ช่วยเขาคนผู้นี้ได้ตายเป็นผีเฝ้าเขาหยางซานแน่ อีกอย่างข้าคิดว่านี้คงเป็นโอกาสที่สวรรค์ต้องการให้ข้าได้ทำความดีแน่ ๆ ข้าจริงไม่ลังเลที่จะช่วยคนผู้นี้ขอรับ" ไป๋หลิน

ไป๋หลินก็เล่าทุกอย่างแบบม้วนเดียวจบ จนทุกคนก็หายสงสัย แต่เพื่อความปลอดภัยไป๋หลินจึงขอให้ทุกคนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับก่อนถ้าเขาฟื้นค่อยถามอีกทีว่าชายผู้นี้เป็นใครมาจากไหน แล้วค่อยจึงติดต่อญาติให้มารับตัวกลับ

"ได้ ๆ เดี๋ยวแม่จะปิดเป็นความลับให้ อีกอย่างเรายังไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นคนดีหรือคนเลว" รั่วอี้

"นั้นสิ ดูจากการถูกทำร้ายและชุดที่ใส่น่าจะเป็นของราชสำนักนะ หลัวฟางเจ้าเองก็คอยระวังด้วยล่ะ ดูแลลูกเมียให้ดีหากเป็นคนเลวขึ้นจะแย่เอา" ซิ่วอิง

"ขอรับท่านแม่ ท่านทั้งสองไม่ต้องห่วงข้าจะดูแลลูกเมียให้ดีที่สุด ไม่ให้ใครมาทำร้ายแน่นอน ตอนนี้ข้าก็แข็งแรงดีแล้วพรุ่งนี้ข้าจะออกไปทำงาน งั้นรบกวนท่านแม่ทั้งสองมาอยู่เป็นเพื่อนเมียข้ากับลูก ๆ ด้วยนะขอรับ" หลัวฟาง

ไป๋หลินรู้สึกเขินเมื่อหลัวฟางเรียกเข้าว่าเมีย มันทำให้รู้สึกใจเต้นแรงมาก ถึงแม้ในโลกก่อนจะมีคนมาจีบทั้งผู้ชายผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้มีใครทำให้เขาใจเต้นแรงแบบนี้เลยสักคน หรือเป็นความรู้สึกของไป๋หลินคนเดิมที่ยังค้างคาอยู่จึงทำให้เขารู้สึกดีเช่นนี้

ท่านแม้ทั้งสองก็รับปากพรุ่งนี้จะมาอยู่เป็นเพื่อนไป๋หลินกับลูก ๆ ให้ พอพูดคุยตกลงกันได้ก็แยกย้ายกันกลับ ส่วนสี่แฝดวันนี้ขอท่านพ่อท่านแม่ตามท่านยายไปเล่นที่บ้านเดิม ไป๋หลินก็ไม่รอช้าเตรียมของห่อข้าวกลางวันกับขนมให้ลูกไปกินที่บ้านท่านยายทันที ตอนแรกรั่วอี้บอกว่าไม่ต้องเตรียมที่บ้านอาหารขนมนั้นมีมากมายให้สี่แฝดกินก็ไม่มีหมดหรอก แต่ไป๋หลินเกรงใจและอยากฝากของอร่อยไปให้บ้านเดิมด้วย อาหารที่ไป๋หลินทำวันนี้เป็นเมนูไข่เจียวกับขนมกล้วย แฝดทั้งสี่ทานแล้วต่างก็ชมท่านแม่ไม่หยุดปาก อาหารที่ท่านแม่ทำอร่อยมากอยากให้พี่ ๆ ที่บ้านเดิมได้ลองชิม ท่านยายอย่างรั่วอี้มีหรือจะกล้าขัดใจหลานรักได้ลงคอ ส่วนของบ้านใหญ่ไป๋หลินก็เตรียมให้เช่นกันได้ฝากแม่สามีไปแล้วเรียบร้อย

"ท่านพี่ พรุ่งนี้ไปทำงานแต่เช้าหรือไม่" ไป๋หลิน

"ไม่หรอกท่านพ่อฝากท่านแม่มาบอกพรุ่งนี้ทุกคนจะไปทำงานยามซื่อ  เพราะของที่สั่งมาสร้างบ้านท่านลุงหว่านจะถึงวันมะรืน พรุ่งนี้เลยแค่ไปปรับหน้าดินนิดเท่านั้นเอง เจ้ามีอะไรหรือไม่" หลัวฟาง

"งั้นก่อนไปทำงานท่านพาข้าไปขายบัวหิมะที่ร้านเถ้าแก่เผิงได้หรือไม่ ท่านพี่" ไป๋หลิน

"ได้สิ แต่ว่าคนเจ็บผู้นั้นล่ะ เขาจะไม่ตื่นขึ้นมาระหว่างที่เราไม่อยู่หรอกหรือ พรุ่งนี้ที่บ้านก็จะมีเพียงเด็ก 4 คนกับเกออีกสองคนเท่านั้นนะ" หลัวฟาง

"ถ้าไม่มีการผิดพลาดเขาน่าจะฟื้นประมาณยามอู่ เราไปกันยามเหม่ากลับก็ประมาณยามเฉินแล้ว ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ดีไหมเราเอาลูกไปด้วยดีกว่า เพราะแฝดยังไม่ได้เข้าเมืองเลยตั้งแต่เกิดมา ข้าอยากพาลูกไปเปิดหูเปิดตาและอยากซื้อของเล่นให้ลูกคนละชิ้นด้วย" ไป๋หลิน

พอได้ยินไป๋หลินพูดถึงลูกทั้งสี่ด้วยความห่วงใยหลัวฟางก็เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าไป๋หลินที่เปลี่ยนไปในช่วงนี้ทำอะไรก็น่าเอ็นดูไปหมดยิ่งเวลาพูดถึงลูก ๆ แล้วไป๋หลินจะตาเป็นประกายแฝงความซุกซนเหมือนว่าเขามีลูกห้าคนมากกว่า

"ได้สิ พาลูก ๆ ไปด้วยก็ได้ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เราก็ไปยืมเกวียนที่บ้านท่านแม่กัน พร้อมไปบอกให้ท่านแม่ยังไม่ต้องมาที่บ้าน" หลัวฟาง

"ขอรับท่านพี่" ไป๋หลิน

 เมื่อถึงยามเซินพี่ใหญ่กับพี่สามของไป๋หลินก็พาหลานแฝดทั้งสี่มาส่งที่บ้านถานรอง แถมยังนำความจากทุกคนในบ้านเดิมฝากมาบอกว่าอาหารกับขนมที่ไป๋หลินทำอร่อยมาก โดนเฉพาะเด็ก ๆ บ้านเดิมพี่ชายพี่สาวของสี่แฝดชอบขนมของอาเล็กมากชมไม่หยุดปากเลย พอพี่ทั้งสองกลับไปไป๋หลินก็บอกข่าวดีกับลูกทั้งสี่ว่าพรุ่งนี้จะพาเข้าในเมือง สี่พี่น้องก็ดีใจยกใหญ่ยังปากหวานชมท่านแม่ใจดีที่สุดเลย

"แต่พวกเจ้าทั้งสี่คนต้องสัญญากับพ่อก่อนว่าพรุ่งนี้จะไม่ดื้อไม่ซนและจะเชื่อฟังที่พ่อพูด" หลัวฟาง

"ข้าสัญญาขอรับ" ลู่เซียน

"ข้าเองก็สัญญาลูกผู้ชายเลยขอรับ" ลู่ตง

"ข้าเองก็จะไม่ดื้อไม่ซนขอรับ" ลู่ฉิน

"ข้าด้วยขอรับ" ลู่ถิง

ไป๋หลินมองท่าทางของลูกแฝดสี่คนที่ให้คำมั่นสัญญากับท่านพ่อพร้อมกำปั้นน้อย ๆ ทุบเข้าที่อกแสดงความจริงใจให้เห็นในแบบฉบับของเด็กน้อยวัยสี่ห้าขวบ คงจะไปจำจากพี่ ๆ ที่บ้านใหญ่กับบ้านเดิมมา ไม่ก็มีใครสักคนทำให้เห็นเพราะเด็กวัยนี้กำลังเรียนรู้และจดจำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง

"ในเมื่อพวกเจ้าให้คำมั่นสัญญา พรุ่งนี้แม่จะซื้อของเล่นให้คนละชิ้นดีไหม ให้พวกเจ้าเลือกเองได้เลยว่าอยากได้ของเล่นชิ้นไหน" ไป๋หลิน

"ดีเลยขอรับ ข้าอยากได้กระบี่ไม้" ลู่เซียน

"ข้า ข้าก็อยากได้กระบี่ไม้" ลู่ตง

"ข้าอยากได้กระดานหมากรุกขอรับ" ลู่ฉิน

"ข้าไม่อยากได้ของเล่นข้าอยากได้หนังสือมาฝึกอ่าน ข้าอยากเป็นหมอเก่ง ๆ เหมือนท่านแม่" ลู่ถิง

สิ่งที่ลูก ๆ อยากได้ถ้าเป็นคนอื่นหรือบ้านอื่นคงซื้อให้ตามต้องการ แต่ไม่ได้มองลึกลงไปว่าสิ่งที่ลูกอยากได้มันเป็นสิ่งที่เขาชอบหรือสนใจในด้านไหนบ้าง แต่สำหรับไป๋หลินเขารู้ทันทีว่าลูกแต่ละคนมีความสนใจไม่เหมือนกัน อย่างเจ้าแฝดคู่พี่มีความชอบในกระบี่ไม้อนาคตลูกทั้งสองอาจอยากจะเป็นทหารหรือจอมยุทธ์ก็ได้ ลู่ฉินที่อยากได้หมากรุกซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่บัณฑิตหรือชนชั้นขุนนางไม่ก็เหล่าพ่อค้าชอบเล่น อนาคตลู่ฉินอาจอยากเป็นขุนนางก็ได้ ส่วนลู่ถิงนี่บอกความต้องการชัดเจนว่าอยากเป็นหมอ แน่นอนว่าไป๋หลินต้องเป็นคนสอนลูกคนเล็กแน่นอน แต่ไม่ว่าลูกจะเลือกเส้นทางไหนในชีวิตถ้าเป็นสิ่งที่ดีพ่อแม่ก็สนับสนุนลูกเสมอ

"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้พรุ่งนี้ใครอยากได้อะไรแม่จะซื้อให้ เอาแบบนี้ดีไหมต่อไปแม่จะสอนหนังสือพวกเจ้าทั้งสี่เอง พวกเจ้าต้องเรียนหนังสือวันละหนึ่งชั่วยามหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จดีหรือไม่" ไป๋หลิน

"ดีขอรับ ข้าอยากเรียนหนังสือ" ลู่ฉิน

"ข้าก็อยากเรียนขอรับท่านแม่" ลู่ถิง

"ไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือเท่าไหร่แต่ถ้าท่านแม่สอนข้าเรียนก็ได้ขอรับ" ลู่เซียน

"ข้าก็คิดแบบเดียวกับพี่ใหญ่ขอรับ แต่ขอให้ท่านแม่ทำขนมอร่อย ๆ ให้กินทุกวันได้ไหมขอรับ" ลู่ตง

"ได้อยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เดี๋ยวแม่หาวัตถุดิบมาทำขนมให้พวกเจ้ากินดีกว่า" ไป๋หลิน

สี่แฝดพอได้ยินว่าแม่จะทำขนมให้กินอีกก็พากันร้องเฮลั่นบ้านด้วยความดีใจ จนลืมไปเลยบ้านตัวเองตอนนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาอาศัยอยู่ หลังจากทานข้าวเย็นในยามอิ่ว เสร็จทุกคนต้องอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนในยามชวี  ระหว่างที่สามีอาบน้ำให้ลูกไป๋หลินได้เข้าไปดูอาการของคนไข้นิรนามอีกครั้งตรวจชีพจรพบว่าอาการดีขึ้นถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดพรุ่งนี้ชายผู้นี้น่าจะฟื้นประมาณยามอู่พอดี

ระหว่างที่หลัวฟางอาบน้ำให้ลูกทั้งสี่เขาก็เผลอนึกถึงภรรยาอีกครั้งเพราะตั้งแต่ไป๋หลินฟื้นขึ้นมาแล้วเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความรู้สึกของหลัวฟางนั้นรับรู้ได้เลยว่าไป๋หลินรักลูกใส่ใจลูกมากขึ้น ทุกการกระทำของไป๋หลินมันออกมาจากใจจริงไม่ได้เสแสร้งเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมันทำให้เขาดีใจกับลูกมากที่ได้มีแม่ที่เอาใจใส่ลูกเหมือนบ้านอื่นสักที

เช้านี้ไป๋หลินก็ตื่นเช้าอีกตามเคยแต่วันนี้เขามีหน้าที่อีกอย่างเพิ่มมาคือการดูแลผู้ป่วยของเขานั้นเอง ชายนิรนามคนนี้ถือเป็นผู้ป่วยอาการหนักคนแรกในโลกนี้สำหรับภัสกรในร่างของไป๋หลิน เมื่อทำงานบ้านเสร็จทุกอย่างเขาก็เข้าไปตรวจอาการตามปกติแต่ที่พึ่งสังเกตดี ๆ ว่าคนผู้นี้หน้าตาดีมากหล่อเหลาราวกับพระเอกหนังเลยผิวพรรณก็ดูไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ที่เขาพึ่งได้สังเกตก็เพราะตอนเปลี่ยนชุดเมื่อคืนเขาให้สามีมาเช็ดตัวเปลี่ยนชุดให้คนไข้แทน ถึงเขาจะเป็นภัสกรชายอกสามศอกแต่เขาก็อยู่ในร่างของเกอที่แต่งงานแล้วจะดูเรือนร่างผู้ชายคนอื่นนอกจากสามีของตัวเองไม่ได้ พอตรวจดูมีไม่อะไรน่าเป็นห่วงไป๋หลินก็เข้าไปปลุกเด็กน้อยทั้งสี่และสามีมาล้างหน้าและทานข้าวเช้าเพื่อที่จะเตรียมตัวเข้าเมือง

ทุกคนบ้านถานรองทานข้าวเสร็จเรียบร้อยหลัวฟางก็รีบไปยืมเกวียนที่บ้านใหญ่ทันที พอได้เกวียนมาทุกคนก็รีบขึ้นเกวียนแล้วมุ่งหน้าเข้าในเมืองเพื่อไปร้านเถ้าแก่เผิงอย่างไม่รีรอ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณครึ่งชั่วยามก็ถึงร้านยาเถ้าแก่เผิง พอเข้าไปในร้านวันนี้เจอทั้งเถ้าแก่เผิงและภรรยาคนงามอยู่ในร้านทั้งคู่ สองสามีภรรยาตระกูลเผิงเมื่อเห็นหน้าของไป๋หลินก็ยิ้มร่าเริงไว้รอทันที เพราะทั้งคู่รู้ว่าไป๋หลินต้องมีของดีมาขายให้อีกแน่นอน ไป๋หลินแนะนำสามีและลูกแฝดทั้งสี่ให้เถ้าแก่เผิงได้รู้จัก สองสามีตระกูลเผิงก็เอ็นดูแฝดทั้งสี่ที่ทำท่าทางแนะนำตัวเองได้น่ารักมาก จนทั้งคู่อดใจไม่ไหวต้องขอหอมแก้มจับแก้มกันคนละครั้งพอให้หายหมั้นเขี้ยว

เมื่อทักทายกันเสร็จไป๋หลินก็นำห่อผ้าที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมาแล้วค่อย ๆ เปิดผ้าออกอย่างเบามือเพื่อไม่ให้กลีบดอกของบัวหิมะเสียหาย พอสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าปรากฏต่อสายตาของสองสามีภรรยาตระกูลเผิงทั้งคู่ก็ถึงกับตะลึงในสิ่งที่ไป๋หลินนำมาขายในวันนี้

"นี่มัน บัวหิมะ เจ้า เจ้าไปได้มาอย่างไร แล้ว แล้วขายให้ข้าได้ไหม เท่าไหร่ข้าก็ซื้อ" ลู๋กัง

"ใจเย็นสิท่านพี่ ค่อย ๆ พูด ดูสิไป๋หลินกับสามีและเด็ก ๆ งงกันหมดแล้ว ขอโทษด้วยนะไป๋หลิน ท่านพี่ตื่นเต้นที่เห็นบัวหิมะครั้งแรกในชีวิต ปกติเจอแต่ในตำราพอวันนี้มาเจอของจริงก็ตื่นเต้นจนพูดไม่รู้เรื่อง ว่าแต่บัวหิมะดอกนี้ขายให้ร้านพี่เถอะนะ" ผิงซี

"เออ ขอรับ วันนี้ข้าตั้งใจนำมาขายให้ท่านโดยตรง พอดีข้าลองขึ้นเขาอีกครั้งเพื่อหาสมุนไพรมาขาย แต่คราวนี้ข้าขึ้นไปสูงและลึกมากก็เลยไปเจอเข้าพอดีดอกหนึ่งก็เลยว่าจะมาขายให้ร้านตระกูลเผิงนี้แหละขอรับ" ไป๋หลิน

"ขอบใจเจ้ามากที่คิดถึงร้านพี่เป็นร้านแรก วันนี้พี่ให้เจ้าราคาพิเศษเลย" ผิงซี

บัวหิมะเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากในตำนานเล่าขาน ถ้าใครได้กินหรือกินยาที่มีส่วนผสมของบัวหิมะจะอายุยืนเป็นร้อยปี การที่ใครจะสามารถหาบัวหิมะเจอได้คนผู้นั้นต้องมีบุญญาธิการถึงอีกด้วย เผิงลู๋กังเชื่อแล้วว่าคำทำนายของนักพรตพเนจรที่เคยทำนายไว้ว่า จะมีก็เกอผู้หนึ่งเข้ามาเปลี่ยนซะตาชีวิตของเขากับภรรยาไปในทางที่ดีขึ้น เกอผู้นั้นต้องเป็นไป๋หลินแน่นอนที่เขามาช่วยชีวิตพวกเขา เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนท่านพ่อบอกว่าทางราชสำนักประกาศข่าวลับมาแก่กลุ่มพ่อค้าร้านยารายใหญ่ บอกว่าหากร้านยาร้านไหนหรือตระกูลไหนสามารถหาบัวหิมะมาถวายหรือนำมาขายให้ ฮ่องเต้จะให้ตระกูลนั้นเป็นหัวหน้ากลุ่มรายใหญ่และถือสิทธิ์ขาดในการค้าขายกับราชสำนักครึ่งหนึ่งไปตลอดทุกรุ่น ซึ่งตระกูลเขาตอนนี้กำลังถูกเล่นงานจากคู่แข่งที่มีอำนาจมากกว่าเล่นงานอยู่ พวกเขาจึงตั้งความหวังไว้มากกับการออกตามหาบัวหิมะในครั้งนี้ เพราะถ้าได้สิทธิ์ขาดครึ่งหนึ่งแสดงว่าตระกูลนั้นจะมีอำนาจขึ้นมาทันทีคราวนี้คู่แข่งขันก็ไม่กล้ามารังแกตระกูลเผิงอีกแล้ว

ไป๋หลินได้เงินจากการขายบัวหิมะในครั้งนี้ถึง 150,000 ตำลึงทอง เพราะดอกใหญ่และสมบูรณ์มากจึงทำให้ขายได้ราคาสูง เมื่อได้เงินมาเป็นที่เรียบร้อยไป๋หลินกับสามีและลูกชายทั้งสี่ก็พากันเอาตั๋วเงินไปฝากที่ร้านรับฝากทันที ก่อนออกจากร้านเถ้าแก่เผิงและพี่ผิงซีได้จัดการห่อขนมให้เด็ก ๆ มากินเยอะมาก จึงตกลงกันว่าวันนี้จะหาซื้อวัตถุดิบไปเตรียมไว้ก่อน พรุ่งนี้ถึงจะลงมือทำขนมชนิดใหม่ให้กิน สี่พี่น้องก็ตกลงทันทีเพราะยังไงขนมที่ท่านลุงสะใภ้มอบให้ก็กินกันไม่หมดอยู่แล้ว คงต้องเอาไปแบ่งพี่ชายพี่สาวบ้านเดิมกับบ้านใหญ่ด้วย

เมื่อฝากเงินเสร็จสองสามีภรรยาบ้านถานรองก็พาลูกไปตามหาซื้อของเล่นที่สี่แฝดอยากได้ทันที พวกเขาได้ดาบไม้จากร้านไม้ตระกูลเต๋อที่หลัวฟางมักจะรับงานจากร้านนี้ไปทำที่บ้านบ่อย ๆ เพราะให้ราคาดีและยุติธรรมไม่กดราคาเหมือนร้านอื่น เมื่อได้ดาบไม้ตามที่ต้องการของลู่เซียนกับลู่ตงแล้ว บ้านถามรองก็รีบออกจากร้านไม้ตระกูลเต๋อแล้วมุ่งหน้าไปร้านหนังสือตระกูลมู่ทันที ร้านตระกูลมู่ขายหนังสือทุกประเภทและยังมีกระดานหมากรุกกับหนังสือฝึกอ่านฝึกเขียนพื้นฐานสำหรับเด็กอีกด้วย พอเข้าไปในร้านหลัวฟางก็พาลูก ๆ เลือกหนังสือกับพู่กันไว้สำหรับเรียนในทุกวัน

ในระหว่างที่ไป๋หลินเองก็เลือกหนังสือเพื่อจะนำไปสอนลูกชายทั้งสี่อยู่นั้น เขาก็บังเอิญไปเจอเข้ากับหนังสือเล่นหนึ่งที่หน้าปกเขียนไว้ว่าวิธีปลุกลมปราณขั้นพื้นฐาน ซึ่งตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่เขาได้มาอยู่ในโลกนี้ เขาสงสัยว่าตัวเองนั้นมีลมปราณเหมือนในหนังจีนกำลังภายในหรือไม่ ถ้ามีจะใช้ยังไงใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง หรือเหาะขึ้นเขากระโดดขึ้นเขาได้ไหมจะได้ไม่ต้องเหนื่อย เมื่อคิดและตีกับตัวเองในใจสักพักก็ตัดสินใจได้แล้ว ไป๋หลินก็ไม่ลังเลที่จะหยิบหนังสือมาเพื่อรอจ่ายเงิน

"ได้ของครบแล้วเรากลับบ้านกันเถอะ พี่จะได้กลับไปเตรียมตัวไปทำงาน" หลัวฟาง

"ครบแล้วกลับกันเถอะข้าเองก็เป็นห่วงคนไข้ที่บ้านเช่นกัน" ไป๋หลิน

"งั้นเรากลับกันเถอะเด็ก ๆ " หลัวฟาง

"ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ"

ได้ของครบตามที่ต้องการบ้านถานรองก็มุ่งหน้ากลับบ้านที่หมู่บ้านถงหยางทันที เข้าเมืองมาครั้งนี้ไป๋หลินได้สังเกตเส้นทางทั้งขาไปและขากลับพบว่าเส้นทางค่อนข้างเปลี่ยวอยู่นะ เพราะถ้ากะจากสายตาระยะทางจากหมู่บ้านถงหยางไปในเมืองนั้นประมาณที่เข้าวิ่งรอบค่ายอาสาประมาณ 10 รอบ รอบละ 2 กิโลเมตร เท่ากับว่าจากหมู่บ้านถงหยางไปในเมือง 20 กิโลเมตร แต่ที่บอกว่าเปลี่ยวเพราะตลอดการเดินทางผ่านหมู่บ้านอื่นมีเพียงสองหมู่บ้านเท่านั้นเอง ซึ่งมันเปลี่ยวถ้าเดินเท้าก็ใช้เวลานานพอสมควรแล้ว วันที่ไป๋หลินหน้ามืดล้มหัวฟาดก้อนหินเขาก็ใช้เส้นทางนี้เดินกลับหมู่บ้าน แต่มันมีบางอย่างที่น่าสงสัยคือก่อนที่เขาจะหน้ามืดหมดสติไป๋หลินมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมากระแทกศีรษะของตัวเองก่อนนะ ก่อนที่เขาจะล้มลงไปลงไปหัวฟาดก้อนหิน  และทางเปลี่ยวเช่นนี้หากวันนั้นไป๋หลินถูกลอบทำร้ายก็เป็นไปได้เช่นกัน หากถูกทำร้ายจริงก็ไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้แน่นอน เพราะไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ใด ๆ  แล้วใครจะเป็นคนร้ายที่ลงมือทำร้ายไป๋หลินกันละ

พอกลับถึงบ้านไป๋หลินช่วยสามีกับลูกเอาขอลงเกวียนเสร็จเขาก็รีบไปดูผู้ป่วยทันที เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่าชายนิรนามคนนั้นได้หายไปแล้ว พร้อมกับทิ้งจดหมายและป้ายหยกไว้เท่านั้น ในป้ายเขียนว่าศาลต้าเว่ยส่วนเนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า "ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณขออภัยที่ไม่ได้อยู่ขอบคุณด้วยตัวเอง เพราะข้ามีธุระสำคัญต้องไปทำ ข้าจึงขอที่ทิ้งป้ายหยกไว้เป็นสิ่งตอบแทน หากวันข้างหน้าท่านเดือดร้อน เพียงนำป้ายหยกที่ข้าทิ้งไว้ให้ไปที่ศาลต้าเว่ย แล้วแสดงป้ายให้เจ้าหน้าที่เห็นคนในศาลต้าเว่ยพร้อมที่จะช่วยเหลือท่านทันที" เซียวเห่อ

"ศาลต้าเว่ยเหรอ แสดงว่าเขาทำงานที่ศาลต้าเว่ยในเมืองหลวงชื่อเซียวเห่อแน่เลยท่านพี่" ไป๋หลิน

"คงจะใช่แต่ทำไมคนของศาลต้าเว่ยในเมืองหลวงถึงมาบาดเจ็บที่เขาหยางซานได้แปลกมาก" หลัวฟาง

"ก็จริงอยากที่ท่านพี่ว่า อยู่เมืองหลวงแต่มาบาดเจ็บถึงหมิงโจว ถึงหมิงโจวจะใกล้กับเมืองหลวงอย่างเว่ยโจว แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่น่าจะข้ามเขตมาถึงนี้ได้" ไป๋หลิน

ระหว่างที่สองสามีภรรยากำลังคิดวิเคราะห์เรื่องผู้ป่วยที่ชื่อเซียวเห่ออยู่นั้น ทั้งคู่ก็หยุดคิดเพราะลูกชายทั้งสี่วิ่งเข้ามาขอไปเล่นกับพี่ชายพี่สาวที่บ้านใหญ่

"ท่านพ่อท่านแม่พวกข้าขอเอาเล่นกับขนมไปบ้านใหญ่นะ ขอรับ" ลู่เซียน

"ได้สิ เดียวแม่เตรียมให้นะ ส่วนของบ้านเดิมเดียวแม่เอาไปให้เอง ส่วนเรื่องเรียนพรุ่งนี้ค่อยเริ่มเรียนก็ได้" ไป๋หลิน

"ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ"

สี่แฝดเมื่อแม่เตรียมของให้เสร็จก็พากันวิ่งไปบ้านถานใหญ่ทันที ส่วนไป๋หลินไปส่งลูกที่หน้าบ้านเสร็จเขาก็รีบกลับเข้ามาเตรียมห่อข้าวให้สามีต่อ เมื่อถึงเวลาเขาก็เดินไปส่งสามีที่หน้าบ้าน

"ท่านพี่ข้าห่อข้าวให้ท่านด้วยนะวันนี้ ทำงานวันแรกหลังหายป่วย อย่าหักโหมมากล่ะ" ไป๋หลิน

"หึ ข้าไม่หักโหมหรอกข้าจะเชื่อฟังเจ้า ไม่ยอมป่วยให้ภรรยาต้องเหนื่อยแล้วละ" หลัวฟาง

ไป๋หลินเมื่อถูกเรียกว่าภรรยาก็เขินแก้มแดงจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หลัวฟางพอเห็นว่าไป๋หลินเขินจนแก้มแดงก็เอ็นดูมาก จนอยากลองจับแก้มแดง ๆ นั้นดึงดูว่านิ่มแค่ไหน

"หลัวฟางเสร็จหรือยัง พี่กับพ่อมาแล้วนะ ไปกันเถอะเดี๋ยวสายซะก่อน" หลัวเฟย

มือของหลัวฟางที่กำลังจะยื่นไปจับแก้มของภรรยาก็ต้องรีบดึงกลับทันที เพราะเสียงของพี่ใหญ่หลัวเฟยเรียกอยู่ตรงรั้วหน้าบ้าน ในใจของหลัวฟางก็กำลังกลด่าพี่ชายที่มาขัดจังหวะอะไรตอนนี้

"ข้ากำลังจะขับเกวียนออกไปเดี๋ยวนี้แหละพี่ใหญ่" หลัวฟาง

หลัวฟางรีบขับเกวียนออกไปก็พบว่าท่านพ่อ พี่ใหญ่ และพี่รองยืนคอยอยู่นอกประตูเพื่อรอขึ้นเกวียนไปทำงาน พอทุกคนออกไปทำงานตอนนี้ก็เหลือแค่ไป๋หลินที่อยู่บ้านเพียงคนเดียวเขาจึงกลับเข้าห้อง และใช้โอกาสนี้หยิบหนังสือปลุกลมปราณขึ้นมาอ่าน ลองอ่านไปสักพักไป๋หลินก็เริ่มทำตามขึ้นตอนอยู่หลายครั้งก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายจนเขาเริ่มท้อ ไป๋หลินจึงลองทำอีกครั้งหนึ่งหากครั้งนี้ไม่ได้คงต้องละทิ้งความพยายามแล้วละ

"ลองอีกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน หากไม่ได้คงต้องล้มเลิกแล้วล่ะ" ไป๋หลิน

คราวนี้ไป๋หลินลองทำตามวิธีเดิมดูอีกครั้ง อย่างแรกการฝึกการเคลื่อนไหวคือการฝึกฝนควบคุมร่างกายให้อยู่ท่าใดท่าหนึ่งเพื่อช่วยให้สามารถเข้าสู่สภาวะนิ่งไม่ว่าจะอยู่ในท่ายืนหรือท่านั่งขอแค่ทำให้ร่างกายอยู่ในท่าธรรมชาติและผ่อนคลาย อย่างที่สองคือการฝึกหายใจคือการปรับการหายใจให้เป็นธรรมชาติ หายใจสม่ำเสมอ เบา และยาว อย่างที่สามฝึกจิตใจหรือการฝึกสมาธิ คือการที่จิตตั้งมั่นมีความสงบจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นการรวบรวมจิตใจให้สงบ ปล่อยวางจากจิตที่ว้าวุ่น ปล่อยวางปัญหาต่าง ๆ ที่ทำให้ไม่สบายใจลง จากนั้นก็ฝึกรวบรวมกาย ใจและลมหายใจไว้ด้วยกันเป็นประจำและสม่ำเสมอ  ช่วยปรับร่างกายทั้งภายนอกและภายในเลือด และหยินหยางให้ทำงานได้อย่างสมดุล เลือดในร่างกายไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน กระดูกกล้ามเนื้อ ระบบหายใจ ส่งเสริมและฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรง พอทำจนครบทุกขั้นตอนตามที่ในหนังสือบอก จู่ ๆ ร่างกายของไป๋หลินก็รู้สึกร้อนขึ้นมาในช่องท้องเหมือนมีลมไหลเวียนปั่นป่วนเหมือนจะปะทุออกมา จนเขาทนไม่ไหวพยายามให้ลมเคลื่อนตัวมาอยู่ตรงหน้าอกแทน จากนั้นลมทั้งหมดก็ปะทุจากทวารทั้ง 9 ลมปราณที่ปะทุออกมาทำเอาข้าวของในห้องส่วนตัวของไป๋หลินล้มกระจัดกระจาย

"โห! ลมปราณในร่างกายเรามันแรงขนาดนี่เลยเหรอ นี้แค่ครั้งแรกเองนะถ้าข้าฝึกไปเรื่อยจนควบคุมได้ ข้าก็สามารถฝึกวิชาได้ไหนลองอ่านอีกทีสิ" ไป๋หลิน

ในหนังสือเขียนว่าเมื่อผลักพลังลมปราณที่ซ่อนในร่างกายออกมาผ่านทวารทั้ง 9 ก็ถือว่าปลุกพลังลมปราณปลุกธาตุหยินกับธาตุหยางที่ซ่อนอยู่ได้แล้ว จากนั้นฝึกขั้นต่อไปที่เป็นการควบคุมให้ใช้งานได้คล่องแคล่วขึ้น เพียงเท่านี้ก็สามารถวิชาทั้งมีอยู่บนโลกใบนี้ได้แล้ว อย่างวิชาพื้นฐานวิชาตัวเบาก็สามารถฝึกได้เลย

"สุดยอดไปเลยหากในอนาคตเปิดโรงหมอแล้วมีชื่อเสียงขึ้น ต้องมีผู้ไม่หวังดีมาลอบทำร้าย หากมีวิชาติดตัวคงดีไม่น้อยจะได้ไว้จัดการกับพวกคนชั่ว" ไป๋หลิน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 20 กลับหมิงโจวก็มีเรื่องเลย

    เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางกลับเมืองหมิงโจวทุกคนออกเดินทางกันแต่เช้า ฮ่องเต้เปลี่ยนใจจากที่ตอนแรกจะมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง แต่ทรงเปลี่ยนพระทัยไปเมืองหมิงโจวก่อนแล้วค่อยกลับเมืองหลวง พี่หลงเห่อต้องการไปดูการเปลี่ยนแปลงของสำนักหมอหลวงประจำเมืองด้วย ทั้งยังจะเดินทางไปที่วัดซ่งซานเพื่อทำบุญขอพรให้ราษฎรแคว้นเว่ยมีความสุขกินดีอยู่ดีไม่อดอยาก ขอให้ประชาชนสุขกายสุขใจ ไป๋หลินได้ฟังเหตุผลของพี่หลงเห่อแล้ว ก็ได้แต่ชื่นชมว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีมีเมตตาและรักราษฎรเป็นห่วงราษฎรอย่างแท้จริงพอถึงเมืองหมิงโจวทุกคนก็แยกย้ายกับกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะร่างกายเหนื่อยล้าจากการเดินทางเป็นอย่างมาก สี่แฝดที่พอกลับถึงบ้านหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยไม่ออกไปเล่นกับพี่ ๆ บ้านใหญ่เลย บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าขอนอนกลางวันก่อน พอตื่นถึงจะเอาของเล่นไปให้พี่ชายพี่สาวบ้านใหญ่ บ้านอู๋ บ้านสวี และบ้านจู ไป๋หลินจึงบอกว่าจะพาสี่แฝดไปเองจะเอาของฝากไปให้บ้านใหญ่ และยังแบ่งไปให้พี่สามพี่สี่และพี่ห้าอีกด้วยเมื่อพักผ่อนเต็มที่ทุกคนก็กลับมาทำหน้าที่ทำงานของตัวเอง พอไป๋หลินเข้าเมืองไปที่โรงหมอก็ได้ยินข่าวลือแปลก ๆ จากชาวบ้านที่มารักษา เล่ากันว่ามีคนพบ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 19 ช่วยคนแล้วได้โชคอีกครั้ง

    เมื่อปิดคดีผีน้ำได้สำเร็จพี่หลงเห่อบอกว่าจะพาอยู่เที่ยวที่หลางโจวต่ออีกสักสองอาทิตย์ค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง ไป๋หลินได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมากเพราะยังเดินสายกินของอร่อยยังไม่ครบทั่วเมืองหลางโจวเลย สี่แฝดบ้านถานรองพอได้ยินว่าท่านลุงฮ่องเต้จะพาอยู่เที่ยวต่อก็ดีใจกันยกใหญ่ รีบไปอ้อนท่านพ่อท่านแม่พาออกไปเที่ยวตลาดพร้อมบอกว่าอยากได้ของเล่นที่มีขายในเมืองนี้และขนมไปฝากพี่ ๆ บ้านใหญ่ ทั้งอยากได้ของฝากไปให้ท่านปู่ท่านย่า ฝากท่านลุงท่านป้าทุกคนด้วย นับวันสี่แฝดก็ยิ่งฉายแววฉลาดและกตัญญูรู้คุณจริง ๆ รู้จักแบ่งปันและนึกถึงผู้มีพระคุณว่าใครที่เคยดีกับพวกเขา หลัวฟางกับไป๋หลินเห็นลูกทั้งสี่เป็นเด็กดีแบบนี้ก็ยิ่งปลื้มใจมากหลังมื้ออาหารเช้าครอบครัวบ้านถานรองก็ขอตัวออกมาเดินเที่ยวย่อยอาหารที่ตลาดท่าเรือ วันนี้ไป๋หลินตั้งจะไปหาเคยมาทำกะปิเอากลับไปหมิงโจวด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจดสูตรเอาไว้ให้พี่จงเห่อหาคนช่วยทำให้ แล้วค่อยส่งกะปิที่ได้ไปให้เขาที่เมืองหมิงโจวอีกที หรือไม่ก็ให้พี่จงเห่อช่วยหาคนตากเคยแตกส่งไปให้ก็ได้ ถึงจะทำไว้ใช้เองจำนวนมากแต่คนที่ชอบอาหารทำจากกะปิแบบเขามันต้องหมดภายในไม่กี่สัปดาห์แน่นอน หาก

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 18 คดีเก่าที่คุ้นเคย

    เมื่อองครักษ์วิ่งเข้ามาถวายการรายงานว่ามีคนพบร่างนางกำนัลในจวนเสียชีวิตที่แม่น้ำท้ายจวนอีกแล้ว ไป๋หลินและทุกคนที่เคยไขคดีผีน้ำที่วังหลวงพร้อมด้วยตวนอ๋อง ทั้งหมดพากันตรงไปที่ท้ายจวนทันทีเพื่อไปดูศพของเหยื่อ พอไปถึงก็เห็นว่าเป็นนางกำนัลของจวนตวนอ๋องที่ชื่อว่าหนิงจิงไป๋หลิน หลัวฟางและจวินอ๋องไม่รอช้าเขาไปตรวจดูศพ แล้วก็พบว่าที่คอของเหยื่อมีรอยเข็มปักอยู่ที่คอจริง ๆ เหมือนกับศพในคดีผีน้ำที่เมืองหลวงเลย แต่ต้องตรวจดูก่อนว่าพิษที่ใช้นั้นเป็นตัวเดียวกันกับในคดีของอดีตหมอหลวงใหญ่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นพิษตัวนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้เนื่องจากคนปรุงยาได้ถูกประหารชีวิตและถูกจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว ไป๋หลินกลัวจะเป็นคดีเลียนแบบและน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ้นมา อย่างไรก็ต้องเจาะเลือดไปตรวจก่อน หากเป็นพิษตัวใหม่จริงงานนี้คงต้องทำยาถอดเตรียมไว้หลายชุดแล้วสิ"ข้าว่าคนร้ายคงใช้วิธีซัดเข็มพิษเข้าตัวเหยื่อ ในตอนที่เหยื่อยังไม่ทันตั้งตัว แค่เข็มเดียวก็สามารถตายได้ขนาดนี้ ดูท่าพิษน่าจะร้ายแรงกว่าพิษของคดีผีน้ำที่เมืองหลวงนะขอรับ" หลัวฟาง"ข้าคิดว่าน่าจะเป็นคดีเลียนแบบ ส่วนตัวพิษน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 17 เมืองหลางโจว

    เมื่อถึงกำหนดเดินทางออกจากเมืองฝูโจวเพื่อไปเมืองหลางโจว ก็ใช้เวลาเดินทางสี่วันสี่คืนก็ถึงเมืองหลางโจว พอถึงจวนเจ้าเมืองตวนอ๋องก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับพระชายาและองค์ชายน้อยทั้งสามพระองค์ คณะพ่อค้าตระกูลหวงถึงเมืองหลางโจวในยามมื้อเที่ยงพอดี ตลอดทางมีแวะพักตามอำเภอต่าง ๆ เพื่อไม่เร่งรีบจนเกินไปอาจทำให้ทุกคนเหนื่อยได้ตวนอ๋องหรืออดีตองค์ชายห้า จงเห่อ อายุ 27 ปี พระโอรสร่วมอุทรเดียวกันกับฮ่องเต้ จวินอ๋อง รุ่ยอ๋อง และฉินอ๋อง ตวนอ๋องมีพระชายาเป็นญาติกับฮองเฮาเฟยหย่า พระชายาเกาเจียวจิน อายุ 26 ปี ทรงมีพระโอรสแฝดและพระธิดาหนึ่งพระองค์ โอรสองค์โตแฝดพี่เป็นเอกบุตร องค์ชายจงเอิน อายุ 10 ขวบ แฝดน้องเป็นบุตรเกอ องค์ชายจงหมิง อายุ 10 ขวบ และคนสุดท้ายเป็นพระธิดา องค์หญิงจงฝู อายุ 8 ขวบตวนอ๋องเป็นสหายรักของพี่ใหญ่ไป๋อัน จึงไม่แปลกที่จะเอ็นดูไป๋หลินเหมือนน้องชายแท้ ๆ พอรู้ว่าฮ่องเต้ จวินอ๋องและรุ่ยอ๋องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรม ตวนอ๋องจะน้อยหน้าได้อย่างไรก็ต้องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรมด้วยอีกคน สี่แฝดที่คิดในใจว่าแล้วว่าพวกเขาทั้งสี่ต้องมีท่านลุงเพิ่มมาอีกแน่นอน ญาติเยอะจริง ๆ แค่นี้ก็นับกันไม่ไหวแล้วว่า

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 16 เมืองฝูโจว

    ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงได้ออกจากอำเภอหลินจือในยามเหมา เพื่อที่วันนี้ตั้งใจจะพากันไปแวะเที่ยวและหยุดพักค้างคืนที่อำเภอซินเจิ้งในเมืองฝูโจว เพราะที่นั่นมีน้ำตกที่ไหลมาจากภูเขาฝังเข็มชะลอยงซานทิวทัศน์สวยงาม ยังมีบ่อน้ำพุร้อนได้ให้แช่คลายเหนื่อยหลายบ่อ ไป๋หลินได้ยินที่พี่หลงเห่อบอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อน เขาก็ถึงกับตาโตอยากให้ถึงอำเภอซินเจิ้งแล้วสิ อยากไปแช่น้ำร้อนคลายเหนื่อยเหมือนกัน สมัยยังเป็นภัสกรหากมีโอกาสได้หยุดพักร้อนเขามักจะบินไปเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อไปแช่ออนเซ็นคลายปวดเมื่อยตามร่างกาย เพราะงานของภัสกรนั้นมีทั้งความเครียดและใช้ร่างกายอย่างหนัก จึงต้องหาวิธีบำบัดที่ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นตัวเร็วขึ้นในที่สุดไป๋หลินกับขบวนก็เดินทางถึงอำเภอซินเจิ้งในช่วงเที่ยงพอดี จึงได้เข้าพักโรงเตี๊ยมประจำอำเภอที่ใกล้กับบ่อน้ำพุมากที่สุด บ่อน้ำพุที่อำเภอซินเจิ้งนั้นเกิดโดยธรรมชาติ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปแช่ได้แต่ถ้าบ้านใครโชคดีหน่อยมีบ่อน้ำพุในพื้นที่ของตัวเองก็สามารถเปิดโรงเตี๊ยมให้แขกมาพัก พร้อมใช้บริการแช่น้ำพุงร้อนได้ วันนี้ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงเลือกพักที่โรงเตี๊ยมเฉิงไฉ โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่สุดในอำเภอซินเจ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 15 เดินทางไปเที่ยวหลางโจว

    หลัวฟางกับไป๋หลินช่วงนี้ไม่ว่างเลยงานรัดตัวไปหมด ทั้งงานที่โรงหมอก็ยุ่งมากผู้คนมารักษากันเยอะส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ไม่ค่อยมีเงินมารักษา แต่ไป๋หลินก็ไม่ได้เก็บค่ารักษาแต่อย่างใด เพราะไป๋หลินประกาศไปแล้ว ชาวบ้านยากจน คนเร่ร่อนหรือแม้แต่ขอทาน หากเจ็บป่วยมารักษาได้ไม่คิดเงิน แถมโรงหมอกังอันยังมีน้ำแกงกับหมั้นโถแจกให้กินอิ่มท้องอีกด้วย บางวันก็จะเป็นโจ๊กไก่หรือโจ๊กหมูสลับหมุนเวียนกันไป หากถามว่ารักษาแล้วไม่เอาเงินกับผู้ป่วยจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าแรงของหมอกับคนงานกันล่ะ เงินของไป๋หลินกับหลัวฟางมีมากอยู่แล้ว ไป๋หลินได้เงินจากการเป็นขุนนางระดับสูงและการรักษาพวกขุนนางกับเศรษฐีรักษาครั้งหนึ่งก็ได้เงินหลายตำลึงทองส่วนหลัวฟางก็ได้เงินจากการค้าสมุนไพรมาช่วยภรรยาอีกแรง เพราะก่อนที่โรงหมอจะสร้างเสร็จแล้วเปิดทำการ หลัวฟางได้มีกิจการการค้าสมุนไพรขายโดยที่หลัวฟางเป็นคนปลูกสมุนไพรเอง เอาไว้รักษาคนไข้ในโรงหมอกังอันและเอาไว้ขายให้กับโรงหมอเจ้าอื่น ๆ และส่งขายให้กับร้านยาตระกูลเผิงอีกด้วย แต่ตั้งได้ฝึกพลังลมปราณคลื่นบูรพาหลัวฟางรู้สึกว่ามีพละกำลังมากขึ้น บวกกับการทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ภรรยาทำให้ทานทุกเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status