Home / วาย / เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย / บทที่ 2 ขึ้นเขาเจอทั้งโชคและคนโชกเลือด

Share

บทที่ 2 ขึ้นเขาเจอทั้งโชคและคนโชกเลือด

last update Last Updated: 2025-10-12 12:21:33

บ้านถานใหญ่มีคนอยู่กันหลายคน มีท่านพ่อสามี ถานหลัวจง อายุ 44 ปี แม่สามีเป็นเกอ ถานซิ่วอิง (แซ่เดิมหลี่) อายุ 43 ปี ถึงอายุท่านทั้งสองเข้าหลักสี่สิบกันแล้วแต่ยังดูหนุ่มกันอยู่เลยเหมือนคนอายุสามสิบกว่า ๆ เองโดยเฉพาะ แม่สามีที่ยังงดงามอยู่เลยจึงไม่แปลกใจว่าทำไมลูกหลานบ้านถานหน้าตางดงามกันทุกคน เพราะมีต้นแบบความหล่อสวยมาจากท่านทั้งสองนี้เอง นอกจากท่านพ่อถานและท่านแม่ถานแล้วบ้านถานใหญ่ยังมีสมาชิกที่อยู่รวมกันอีกหลายครอบครัว

ครอบครัวพี่ใหญ่ลูกชายคนโต ถานหลัวเฟย อายุ 28 ปี พี่สะใภ้ใหญ่ ถานฟางจิน (แซ่เดิมเฉา) เป็นเกออายุ 27 ปี มีลูกด้วยกันสามคน ลูกเกอแฝดผู้พี่เฟยหย่า แฝดน้องเฟยฮุ่ย ทั้งคู่อายุ 10 ขวบ และลูกชายคนเล็ก เฟยหยาง 8 ขวบ ลูกเกอแฝดของพี่ใหญ่หลัวเฟยฉายแววความงดงามเหมือนผู้เป็นแม่ ถือว่าได้แม่มาเต็ม ๆ ถ้าเลยช่วงปักปิ่นต้องงามขึ้นมากไปอีกแน่ ๆ ส่วนลูกชายก็มีหล่อคล้ายผู้เป็นพ่อมาก แต่นิสัยมีความขี้เล่นและฉลาดมาก

ครอบครัวพี่รอง ถานหลัวถ่ง อายุ 27 ปี พี่สะใภ้รอง ถานเจียหมิง (แซ่เดิมหยุน) เป็นเกออายุ 26 ปี ลูกสาวคนโต ถ่งลี่ 11 ขวบ ลูกเกอคนรอง ถ่งหมิง 9 ขวบ และลูกชายคนเล็ก ถ่งกุ้ย 7 ขวบ สาวน้อยถ่งลี่พี่ใหญ่ของบ้านหลานคนแรกของบ้านถานอีกไม่กี่ปีก็ถึงวัยปักปิ่น ท่านย่าท่านแม่และป้าสะใภ้ต่างก็ช่วยสอนงานบ้านงานเรือนหรือศาสตร์ต่าง ๆ ที่สตรีและเกอต้องเรียนรู้ก่อนออกเรือน

ด้วยความที่ว่าสมาชิกในบ้านเยอะ ตัวบ้านท่านพ่อถานจึงสร้างและออกแบบมาค่อนข้างใหญ่กว่าบ้านครอบครัวอื่นในหมู่บ้าน อีกทั้งบ้านถานอาชีพหลักเกษตรกรรมและเป็นนายช่างรับสร้างบ้าน จึงมีเงินจำนวนมากในการที่จะสร้างบ้านหลังใหญ่ให้ลูก ๆ อยู่รวมกันหลายคนได้

นอกจากจะมีบ้านถานใหญ่ที่มาเยี่ยมหลัวฟางแล้ว ยังมีครอบครัวพี่สามพี่สี่และพี่ห้าอีกด้วย ทั้งสามคนนั้นแต่งงานออกเรือนไปกับคนในหมู่บ้านถงหยาง บ้านทั้งสามคนก็อยู่ใกล้กันกับบ้านถานรอง จึงไม่แปลกที่ทั้งสามมักจะแอบเอาขนมมาให้หลานบ่อย ๆ

ครอบครัวพี่สามที่มาเยี่ยมก็มีพี่เขย สวีฉางฝู อายุ 27 ปี พี่สามลูกเกอคนที่สาม ถานหลัวหนิง อายุ 26 ปี ลูกชายคนโต ฝูชุน อายุ 10 ขวบ ลูกเกอคนเล็ก ฝูอัน อายุ 8 ขวบ ครอบครัวพี่สามอยู่ไม่ห่างจากบ้านถามรองเท่าไหร่จึงไปมาหาสู่กันได้ง่าย

ส่วนครอบครัวพี่สี่เองก็มาเยี่ยมกันหมดเช่นกัน มีพี่เขย อู๋อี้ฟาน อายุ 27 ปี พี่สี่ ถานหลัวเหมยเป็นแฝดคนพี่และเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านถาน  พี่สี่กับพี่เขยมีลูกด้วยกันสองคน มีลูกสาวคนโต ฟานปิง 9 ขวบ ลูกชายคนเล็ก ฟานเฉิง 7 ขวบ ครอบครัวพี่สี่เองก็อยู่ไม่ห่างจากบ้านถานรองเช่นกันอยู่ติดกับบ้านพี่สาม

พี่ห้าวันนี้ก็พาครอบครัวมาด้วยเช่นกัน ครอบครัวพี่ห้ามีพี่เขย จูซีห่าว อายุ 27 ปี พี่ห้าถานหลัวหมิง อายุ 25 ปี เป็นแฝดน้องชายเกอของพี่สี่ มีลูกแฝดด้วยกันสามคน แฝดพี่ลูกชายคนโตชื่อห่าวเหรินอายุ 7 ขวบ แฝดคนรองเป็นสตรีชื่อห่าวอี้ 7 ขวบ คนสุดท้องแฝดน้องเล็กเป็นเกอชื่อห่าวเหมย 7 ขวบ บ้านของตระกูลจูเป็นบ้านหลังสุดท้ายของหมู่บ้าน

"พ่อได้ฟังเรื่องสะใภ้เล็กจากแม่อาฟางแล้วละ พ่อขอบใจเจ้ามากนะที่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง และยังได้วิชาแพทย์ที่มีค่ามาช่วยรักษาอาฟาง พ่อขอบใจเจ้ามากจริง ๆ " หลัวจง

แม่สามีได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดตามที่ไป๋หลินบอกให้ทุกคนในบ้านฟังอย่างละเอียด ทุกดีใจมากและยินดีกับน้องเล็กอย่างหลัวฟางที่ครอบครัวจะสมบูรณ์สักที แต่แม่สามีไม่ได้เล่าเรื่องโสมป่าตามที่สะใภ้เล็กขอร้อง

"มันเป็นหน้าที่ที่ข้าควรทำตั้งนานแล้ว ขอรับท่านพ่อ" ไป๋หลิน

ทุกคนต่างก็ถือขนม ผลไม้ ของกินบำรุงมาฝากบ้านถานรองเยอะมาก ดูแล้วคงเก็บไว้ให้เด็ก ๆ กินได้อีกหลายวัน พอทุกคนได้ผู้พูดคุยกันสักพักก็พากันแยกย้ายกันกับบ้านในยามซื่อ เมื่อทุกคนกลับไป๋หลินก็กลับมาทำงานบ้านและทำยาสมุนไพรไว้ให้สามีต่อ เขาทำงานบ้านเพลินจนถึงยามอู่ ไป๋หลินจึงเตรียมอาหารที่ญาติพี่น้องสามีเอามาฝาก จัดการอุ่นให้ลูก ๆ ทานเป็นมื้อเที่ยง

"อาเซียน อาตง อาเฉิน พาอาถิงมากินข้าวเที่ยงได้แล้วลูก" ไป๋หลิน

เมื่อได้ยินเสียงหวานของแม่เรียกทานข้าวเที่ยงเด็ก ๆ ก็พากับวิ่งเข้ามาที่ข้าวโต๊ะอาหารด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมไปด้วยความสุข ตั้งแต่แม่ใจดีเขาได้กินอิ่มมีความสุขได้เล่นสนุก ไม่ต้องค่อยหวาดระแวงเมื่อแต่ก่อนว่าแม่จะดุด่าทุบตี ไม่ต้องคอยห่วงว่าจะทำงานบ้านถูกใจแม่หรือไม่ ถึงแม่จนทำงานบ้านทุกอย่างเอง แต่อะไรที่พวกเขาพอช่วยแม่พวกเขาก็ยังอยากช่วย

"อาหารน่ากินทั้งนั้นขอรับ" ลู่เซียน

ลู่เซียนเห็นอาหารมีทั้งจานเนื้อจานผัก ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สดใสจนผู้เป็นแม่อดใจไม่ไหวลูบหัวด้วยความเอ็นดู แต่เพื่อไม่ให้เป็นการลำเอียง ไป๋หลินลูบหัวลูกทั้งสี่ด้วยความเท่าเทียมกัน

"กินข้าวเที่ยงเสร็จ เดี๋ยวแม่จะทำขนมชนิดใหม่ให้กิน ส่วนขนมที่พวกลุงท่านนำมาฝากเอาเก็บไว้กินพรุ่งนี้ ขนมใหม่ที่แม่จะทำให้กินต้องถูกใจลูก ๆ แน่นอน" ไป๋หลิน

"ขอรับท่านแม่"

ทั้งสี่ลู่รับคำท่านแม่พร้อมกันด้วยท่าทางน่ารักมาก จนไป๋หลินอดใจไม่ไหวไล่หอมแก้มลูกทีละคนให้ชื่นใจ ดูสิลูกน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้ยังใจร้ายได้ลงคอ

"ท่านแม่ ไม่กินกับพวกเราหรือขอรับ" ลู่ตง

ลู่ตงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าแม่ไม่ได้นั่งทานข้าวกับพวกเขา

"พวกลูกกินไปก่อนเลยแม่ยังไม่ค่อยหิว เดี๋ยวไปต้มโจ๊กให้พ่อก่อนนะ" ไป๋หลิน

ไป๋หลินจึงหันไปต้มโจ๊กต่อ เมื่อเสร็จเขาจึงยกทั้งโจ๊กและยาสมุนไพรที่ต้มไว้เข้าไปในห้องนอนของสามี และปลุกคนป่วยที่นอนอยู่ลุกขึ้นมาทานข้าวเที่ยง

ไป๋หลินป้อนข้าวป้อนยาหลัวฟางจนหมดจึงออกจากห้องมาเพื่อที่จะทำขนมให้ลูก ขนมที่จะทำวันนี้เขาจะทำเป็นบัวลอยไข่หวาน เพราะบ้านเดิมพี่สามได้เอานมวัวมาฝาก เขาจึงคิดว่านมวัวน่าจะแทนกะทิได้ ไป๋หลินไม่รู้ว่าจะไปหาต้นมะพร้าวหรือลูกมะพร้าวมาจากไหน ถึงมีกว่าจะปลอกได้กว่าจะขูดเอาเนื้อมะพร้าวมาทำน้ำกะทิก็นาน ไว้มีเวลาค่อยไปสำรวจบนเขาหรือในป่าอีกทีหากโชคดีเผื่อเจอต้นมะพร้าวจะได้ลองเอามาปลูกไว้ที่บ้านดู

เพราะตอนยังเป็นภัสกร เขาชอบอาหารที่ทำมาจากกะทิมาก ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน พะแนงหรือแม้แต่ขนมจีนน้ำยากะทิล้วนแต่เป็นของโปรดทั้งนั้น พูดมาแล้วก็อยากกินสงสัยต้องหาลูกมะพร้าวมาปลูกไว้แล้วละ

ไป๋หลิวจะทำบัวลอยสามสีจากเผือก ฟักทองและแครอท ตอนขึ้นเขาได้ไปเจอเผือกกับฟักทองระหว่างทางจึงเก็บมาด้วย ส่วนแครอทก็หาได้จากสวนหลังบ้านที่สามีปลูกไว้ ไป๋หลินนำแป้งข้าวเหนียวและแป้งมันที่หาเจอในห้องครัวมาผสมกัน แล้วแบ่งแป้งออกเป็น 3 ส่วน นำเนื้อเผือกสุก ฟักทองสุกและแครอทสุก มาบดผสมกับแป้ง แล้วนวดแป้งแต่ละสีให้เนียนก่อนจะนำมาปั้นเป็นรูปร่างตามที่ต้องการ

ชีวิตในโลกก่อนถึงภัสกรจะเป็นหมอของหน่วยพิเศษที่มือจับปืนอีกมือถือเข็มฉีดยา แต่เขาก็มีพรสวรรค์ในด้านการทำขนม เขามักจะทำขนมไทยแจกจ่ายให้เพื่อนทหารชาวต่างชาติได้ลองชิมกันบ่อย ๆ โดยเฉพาะสาว ๆ ในหน่วยแพทย์อาสาต่างก็ออกปากชมว่าอร่อยแบบนี้อยากได้ไปเป็นสามีทำให้กินตลอดทั้งชีวิต แต่ตอนนี้ดูท่าจะเป็นสามีใครไม่ได้ซะแล้ว เพราะตอนนี้เขากลายเป็นภรรยาและเป็นแม่ลูกสี่ไปแล้วอย่างสมบูรณ์ คิดมาแล้วก็เสียดายเพราะในชีวิตพึ่งเคยมีแฟนเพียงแค่คนเดียวแต่ก็เลิกรากันไป เพราะอะไรหลาย ๆ อย่างไม่ตรงกันรวมถึงไม่มีเวลาให้กันด้วย

หากถามว่าทำไมเขาถึงทำขนมไทยเก่ง ก็คงเป็นเพราะคุณยายที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ ท่านเป็นต้นเครื่องเก่าในวังมาก่อน จึงรู้สูตรขนมไทยทั้งหมดและทั้งต้นตำรับชาววังมากมาย ตอนเด็ก ๆ ภัสกรมักจะไปช่วยคุณยายทำขนมบ่อย ๆ เพื่อนำไปขายที่ตลาด จึงได้วิชาด้านการทำขนมติดตัวมาเยอะพอสมควร ส่วนเรื่องการทำอาหารเขาก็พอทำเป็นบ้าง

ปั้นแป้งบัวลอยเป็นรูปต่าง ๆ ตามที่ต้องการเรียบร้อย ก็ตั้งน้ำให้เดือดแล้วนำแป้งที่ปั้นไว้ลงไปต้มจนสุก จากนั้นก็ต้มน้ำเชื่อมแยกอีกหม้อ จะว่าไปครัวบ้านเขาก็มีเครื่องปรุงอุปกรณ์ทุกอย่างครบไม่ต้องเสียแรงไปหาที่ไหนเพิ่ม

เมื่อต้มน้ำเชื่อมได้ที่แล้วเขาจึงนำนมวัวมาอุ่นอีกรอบ แต่สูตรบัวลอยสูตรนี้ของไป๋หลินไม่ได้ตอกไข่ลงไปเลย ใช้วิธีนำไข่มาทำเป็นไข่น้ำแล้วเวลาทานค่อยตักทุกอย่างรวมกันทีหลัง

"เด็ก ๆ ขนมเสร็จมากินได้แล้วลูก" ไป๋หลิน

"น่ากินมากขอรับท่านแม่" ลู่ถิง

ลู่ถิงเมื่อเห็นหน้าตาของขนมที่ท่านแม่ทำให้กินก็ถึงกับกลืนน้ำลาย สี่พี่น้องไม่รอช้ารีบตักขนมหวานหน้าตาแปลก ๆ แต่สีสันน่ากินเข้าปาก กินคำแรกก็พากันเอ่ยปากว่าอร่อยมากอยากให้ท่านแม่ทำให้กินบ่อย ๆ

"กินเสร็จก็วางถ้วยไว้นะเดี๋ยวแม่มาเก็บเอง เดี๋ยวจะพานอนกลางวัน" ไป๋หลิน

"แต่ปกติไม่เห็นนอนเลยนะขอรับ" ลู่ฉิน

"แม่เคยได้ยินว่าเด็กที่นอนกลางวัน จะโตไวและฉลาดด้วย" ไป๋หลิน

"งั้นข้านอนขอรับ ข้าอยากโตไว ๆ แล้วก็ฉลาด" ลู่ตง

"ข้านอนด้วย" ลู่เซียน

"ข้าด้วย" ลู่ถิง

"ข้าก็อยากนอนขอรับ" ลู่ฉิน

ไป๋หลินใช้เหตุผลหลอกล่อให้ลูกนอนกลางวัน พอได้ฟังเหตุผลเด็กทั้งสี่คนก็เกิดรู้สึกอยากนอนกลางวันขึ้นมา บอกแม่ด้วยท่าทางน่ารัก ท่าทางของลูกทุกคนช่างน่าเอ็นดูเสียจริง ถ้ายังอยู่โลกก่อนถ้าได้แต่งงานมีภรรยาจะมีลูกน่ารักแบบเด็กสี่คนนี้ไหมนะ คิดมากไปก็เท่านั้นยังไงตอนนี้ก็มีลูกแล้วแต่อยู่ในฐานะภรรยามันก็ไม่ได้แย่นะ

ตีกับความคิดในหัวตัวเองสักพักไป๋หลินก็เห็นว่าลูกกินบัวลอยจนหมดเขาจึงนำถ้วยชามไปเก็บแล้วพาลูก ๆ ไปนอนกลางวันในห้องของตนเองพร้อมกับเล่านิทานที่พอจำได้ให้ลูกฟังจนลูกผล็อยหลับไป

ไป๋หลินเดินเข้าไปดูสามีในห้องนอนเห็นว่าสามียังไม่หลับเขาจึงเข้าไปปรึกษาว่าตนเองสนใจอยากจะเปิดโรงหมอ เพราะในเมืองหมิงโจแห่งนี้ยังไม่มีโรงหมอ มีเพียงสำนักหมอของทางการที่จะส่งหมอจากเมืองหลวงมาคอยรักษาคนในเมืองหมิงโจสองครั้งต่อเดือนเท่านั้น หากใครป่วยก็ต้องรอนานเกือบถึงจะมีหมอมารักษา แต่ถ้ามีเงินหน่อยก็ต้องจ้างหมอจากเมืองหลวงมารักษา ไม่ก็เดินทางไปรักษาในเมืองหลวงแทน ด้วยเหตุนี้ไป๋หลินจึงอยากเปิดโรงหมอทำตามปณิธานของตัวเองที่เคยให้ไว้กับท่านเซียนว่าจะช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก แต่ถ้าเป็นคนในหมู่บ้านหรือชาวบ้านยากจนเขาจะรักษาให้ฟรี

การพูดคุยและปรึกษาหารือของไป๋หลินกับหลัวฟางครั้งนี้ ถือว่าเป็นการคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวครั้งแรกในรอบ 6 ปี เกือบ 7 ปีที่ไป๋หลินได้แต่งงานมาเป็นสะใภ้เล็กบ้านถาน ด้วยเหตุผลจำเป็นแต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะความคิดที่ไม่ดีมันส่งผลของการกระทำทั้งนั้น แต่ถ้าในคนคิดของไป๋หลินคนนี้ก็ต้องบอกว่าดีแล้วที่แผนไม่สำเร็จไม่งั้นคงได้อยู่กับคนเห็นแก่ตัวแบบคนบ้านลี่แน่

ไป๋หลินให้คำมั่นสัญญากับหลัวฟางว่าต่อไปเขาจะเป็นแม่ที่ดีและเป็นภรรยาที่ดีจะไม่สร้างปัญหาอีก ไม่อยากให้ครอบครัวและลูก ๆ เป็นเหมือนในนิมิตที่เขาเห็น ส่วนเว่ยชุนนั้นไม่ต้องห่วงเลยเขาหมดรักเว่ยชุนไปนานแล้ว

หลัวฟางเองเมื่อเห็นภรรยาให้คำมั่นสัญญาเขาเองก็เริ่มเปิดใจที่จะมองไป๋หลินในแง่ที่ดีขึ้น ในใจเขาคิดว่าอย่างไรก็แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยาและมีลูกด้วยกันถึงสี่คนแล้ว ถึงในอดีตไป๋หลินไม่เคยดีกับลูกแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายทุบตีลูกจนเลือดตกอย่างออกสักครั้ง แต่ตอนนี้ภรรยากลับใจเป็นคนดีเขาก็ควรให้โอกาสแม่ของลูกสักครั้ง อีกอย่างไป๋หลินเล่าสิ่งที่เว่ยชุนทำกับเขา มันทำให้หลัวฟางคิดได้ว่าไป๋หลินคงไม่ได้รักเว่ยชุนอีกต่อไป หากเป็นแบบนั้นหลัวฟางเองก็จะพยายามปรับตัวเข้าหาไป๋หลินเช่นกัน

พอถึงยามเซินไป๋หลินเข้าตรวจอาการของหลัวฟางอีกครั้ง เห็นว่าอาการสามีดีขึ้นมาก เขาจึงถามหลังฟางสามารถอยู่คนเดียวได้ไหมเขาจะพาลูกทั้งสี่กลับไปบ้านเดิมและบ้านใหญ่ถาน ไป๋หลินบอกเรื่องที่เขาขายโสมได้เงิน 75000 ตำลึงทอง กับ 9000 ตำลึงเงิน เขาเอาเป็นเงินสดมาไว้ใช้จ่าย 15,000 ตำลึงทอง แล้วตั้งใจจะมอบเงินที่ได้มาให้บ้านใหญ่กับบ้านเดิมด้วย หลัวฟางก็ไม่ว่าอะไรให้เป็นการตัดสินใจของไป๋หลิน

"ข้าอยู่ได้ เจ้าพาลูกไปเถอะ" หลัวฟาง

"ข้าจะรีบไปรีบกลับนะท่านพี่" ไป๋หลิน

"อืม" หลัวฟาง

ไป๋หลินได้พาลูกทั้งสี่ไปบ้านใหญ่ก่อน ไปถึงทุกคนก็กำลังทานข้าวท่านพ่อ พี่ใหญ่และพี่รองก็พึ่งกลับมาถึงบ้านช่างเหมาะเจาะพอดีเลย

ท่านพ่อถานและพี่ใหญ่พี่รองบ้านถานเห็นว่าสะใภ้เล็กและหลาน ๆ มาก็รู้สึกแปลกใจ เมื่อทุกคนเข้ามาในบ้านเรียบร้อยแม่ถานจึงเรียกทุกคนมารวมตัวกันที่โต๊ะทานข้าวบอกว่าสะใภ้เล็กมีเรื่องจะพูดคุยด้วย

พ่อสามีแม่สามีพี่ใหญ่พี่รองบ้านถานพอรู้ว่าสะใภ้เล็กจะมอบเงินให้ก็เกรงใจจะไม่รับเงินที่ไป๋หลินแบ่งให้ แต่ไปหลินบอกว่าพวกเขานั้นมีบุญคุณที่ช่วยเหลือหลาน ๆ ตอนที่เขายังร้ายกาจแถมช่วงที่สามีเขาป่วยก็ยังคอยไปดูแลคอยหาข้าวหาน้ำให้ ไหนจะช่วงที่บ้านเขาเกิดภาวะเงินฝืดเคืองหรืออาหารขาดแคลนบ้านใหญ่ก็ช่วยเหลือเสมอ พี่ใหญ่เวลาล่าสัตว์ได้ก็แบ่งให้บ้านถานรองเสมอ พี่รองเองมีขนมหรือผลไม้ป่าที่หามาได้ก็มักจะมาแบ่งให้หลาน ๆ ในตรงนี้ไป๋หลินรู้สึกซาบซึ้งมาก

ไป๋หลินยังอธิบายต่อว่าพอเขาเปลี่ยนตัวเองแล้ว จึงคิดได้ว่าบ้านทำใหญ่นั้นมีบุญคุณมากแค่ไหน เมื่อเขามีโอกาสได้ตอบแทนบุญคุณแล้วเขาจึงอยากตอบแทนให้เต็มที่

พ่อถานและพี่ใหญ่พี่รองบ้านถานพอได้ฟังคำอธิบายของไป๋หลิน ก็นึกชื่นชมใจในตัวของสะใภ้เล็กขึ้นมา พ่อถานจึงคิดในใจว่าสะใภ้เล็กคงเปลี่ยนแปลงตัวเองจริง ๆ เพื่อคงหลัวฟางและหลานทั้งสี่ เขาก็ควรที่จะให้โอกาสและมองสะใภ้เล็กคนนี้ใหม่ในทางที่ดีขึ้น พี่ใหญ่พี่รองเองก็มีความคิดคล้ายกับท่านพ่อ

หลังจากมอบเงินให้บ้านถานใหญ่เรียบร้อยแล้วไป๋หลินพาลูกๆ ทั้งสี่เดินไปบ้านเดิมต่อบ้านเดิมของไป๋หลินกับบ้านถานใหญ่ไม่ไกลกันมากใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็ถึงแล้ว

เมื่อไปถึงไป๋หลินร้องเรียกหาท่านแม่ไม่นานก็เป็นพี่สะใภ้รองมาเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นป้าสะใภ้รองมาประตูให้เด็ก ๆ ทักทายป้าสะใภ้ด้วยความเคยชิน เพราะในช่วงบางวันที่ไป๋หลินเข้าเมืองไปบ่อนพนัน เหล่าสะใภ้ทั้งบ้านเดิมและบ้านถานใหญ่มักจะแอบทำขนมหรือกับข้าวไปฝากหลานทั้งสี่บ่อย ๆ

พอเข้าไปในบ้านก็เจอทุกคนนั่งล้อมเตรียมทานข้าว บ้านเดิมไป๋หลินเองก็มีสมาชิกครอบครัวเยอะเหมือนกับบ้านถานใหญ่และอาจจะเยอะกว่าด้วยซ้ำ

เพราะนอกจากท่านพ่อท่านแม่แล้วยังมีครอบครัวของพี่ใหญ่ พี่รองและพี่สาม ส่วนตัวของไป๋หลินนั้นเป็นลูกคนสุดท้อง ลักษณะรอบบ้านและตัวบ้านจะมีพื้นที่เยอะเพื่อรองรับสมาชิกที่มากของบ้านตระกูลจาง พี่ชายทั้ง 3 ไม่คิดที่จะย้ายออกไปไหน

เพราะเป็นความประสงค์ของท่านพ่อท่านแม่ ที่อยากให้ลูกๆ อยู่รวมกันเยอะๆ และโดยพื้นฐานคนบ้านจางเดิมเป็นคนนิสัยดีรักลูกสะใภ้และหลาน ๆ เท่ากันไม่มีแบ่งแยกทุกคนในบ้านช่วยงานกันทุกคน จึงทำให้ไม่มีปัญหากระทบกระทั่งระหว่างสะใภ้ทั้งสาม

ครอบครัวตระกูลจางมีท่านพ่อ ไป๋เฉิงจาง อายุ 45 ปี ท่านแม่เป็นเกอ จางรั่วอี้ (แซ่เดิมหลิว) อายุ 43 ปี ท่านพ่อท่านแม่ถึงจะอายุหลักสี่แต่ก็ยังดูหนุ่มหล่อและงดงาม โดยเฉพาะท่านแม่ที่ดูเหมือนหนุ่มรูปงามวัยสามสิบเอง ไป๋หลินนั้นก็งดงามได้ท่านแม่จางนี้เอง

ส่วนพี่ชายทั้งสามก็หล่อมาก ตอนยังไม่แต่งงานมักมีแม่สื่อมาคอยทาบทามให้เป็นเขยหลายบ้านอยู่เหมือนกัน แต่สาว ๆ และเกอเหล่านั้นก็ต้องอกหัก เพราะเหล่าลูกชายบ้านจางนั้นหาภรรยาโดยไม่ต้องให้ใครมาเป็นสื่อกลางให้

บ้านตระกูลจางทำอาชีพเกษตรกรรมและเก็บสมุนไพรขาย ส่วนลูกชายทั้งสามคนจะเข้าเมืองทำงานในเมืองหลวง สามวันต่อครั้งแล้วแต่นายจ้างจะจ้างกี่วัน

ครอบครัวพี่ใหญ่ จางไป๋อัน อายุ 27 ปี พี่สะใภ้ใหญ่เป็นเกอ จางหลิงฉี (แซ่เดิมหม่า) ลูกเกอคนโต อันหลิง 11 ขวบ ลูกสาวคนรอง อันหลาน 10 ขวบ ลูกชายคนเล็ก อันเทียน 7 ขวบ

อันหลิงและอันหลาน อีกไม่กี่ปีก็ถึงวัยปักปิ่น ท่านย่า ท่านแม่ และท่านอาสะใภ้ทั้งสอง ต่างก็ช่วยกันสอนเรื่องต่าง ๆ ที่เกอและสตรีควรรู้ให้ชำนาญ เมื่อคราวออกเรือนจะได้ไม่มีข้อผิดพลาดหรือข้อครหาได้

แต่เคยได้ยินพี่ใหญ่บ่นอยู่นะ หากผู้ชายคนไหนไม่เข้าตาหรือนิสัยไม่ดี พี่ใหญ่จะไล่ตะเพิดหนีให้หมด ถ้าไม่มีใครดีสักคนเขายินดีเลี้ยงลูกเกอลูกสาวไปตลอด

ครอบครัวพี่รอง จางไป๋เฉิน อายุ 26 ปี พี่สะใภ้รอง จางเถียนเหมย (แซ่เดิมเกา) 25 ปี ลูกแฝดเกอ 9 ขวบ แฝดพี่เฉินฮวา แฝดน้องเฉินเชียง ลูกชายคนเล็ก เฉินตง 7 ขวบ

พี่รองเองก็หวงลูกเกอทั้งสองมาก จนไม่อยากให้ออกเรือนกันเลย ยิ่งแฝดเกอหน้าตาเหมือนพี่สะใภ้พี่รองก็ยิ่งหนักใจ ถึงขั้นอยากไว้หนวด ไว้ขู่พวกผู้ชายที่จะมาจีบลูก ๆ ในอนาคต

ครอบครัวพี่สาม จางไป๋หลง อายุ 25 ปี พี่สะใภ้สามเป็นเกอ จางเซียวหรัว (แซ่เดิมกัว) อายุ 25 ปี ลูกชายคนโต หลงเป่า 10 ขวบ ลูกแฝดวัย 8 ขวบ แฝดพี่เป็นเกอ หลงซี แฝดน้องสตรี หลงหรู

พี่สามเองก็ไม่ต่างจากพี่ใหญ่พี่รองที่หวงลูกเกอลูกสาวมาก แต่ลูกชายคนโตนิสัยต่างจากพี่สามผู้เป็นพ่อมาก หลงเป่ามีนิสัยคล้ายท่านลุงใหญ่มากกว่า พูดน้อยสุขุมฉลาดหัวไว

ท่านปู่จึงไว้วางใจให้เป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปต่อจากท่านลุงใหญ่ บางครั้งคนในบ้านจางก็พูดแซวว่าสงสัยตอนจะมาเกิดหลงเป่าเข้าผิดห้อง เลยได้เกิดเป็นลูกพี่สามแทน

"ทุกคน ข้ามีบางอย่างอยากมอบให้ขอรับ" ไป๋หลิน

พูดเสร็จไป๋หลินก็ล้วงเอาถุงเงินที่เก็บในเสื้อตรงอกออกมา เพื่อจะมอบให้ทุกคนในบ้านตระกูลจาง แน่นอนว่าทุกคนปฏิเสธแต่ไป๋หลินใช้ไม้ตายเด็ดไม่ว่าจะใช้กี่ครั้งก็ได้ผลตลอด นั้นคืนการอ้อนพร้มใช้เหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแล้ว เงินที่มอบให้ทั้งบ้านเดิมและบ้านใหญ่ทำให้ทั้งสองครอบครัวใช้ได้ตลอดชาติเลยแหละ เปรียบกับเศรษฐีในเมืองได้เลยแต่ด้วยนิสัยพื้นเพของทั้งสองเป็นครอบครัวที่สมถะ ไม่ค่อยฟุ่มเฟือยและไม่ชอบโอ้อวด จึงทำให้ไป๋หลินสบายใจที่จะมอบเงินให้

แน่นอนว่าไป๋หลินเองก็มีความคิดที่จะมอบเงินให้พี่สามีอย่างพี่สามพี่สี่แล้วพี่ห้าด้วย ถึงแต่งออกไปแล้วแต่ทั้งสามคนเองก็คอยช่วยเหลือหลาน ๆ ทั้งสี่เสมอ ถึงเงินที่มอบให้อาจไม่เท่าครอบครัวอื่นแต่ก็สบายได้ทั้งชาติ พรุ่งนี้เขาถึงจะไปเยี่ยมพี่สามีทั้งสามอีกที และมอบเงินให้ครอบครัวจำนวนหนึ่ง เพราะทั้งสามบ้านนี้คนในครอบครัวก็นิสัยดีทุกคน เท่าที่ในความจำพอจำได้ว่าบ้านสามีของพี่สามพี่สี่และพี่ห้า สามบ้านนี้ไม่ขี้อิจฉาไม่เอาเปรียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ เท่าที่รู้จักบ้านสวี บ้านอู๋ และบ้านจู สามบ้านนี้ถือว่าจิตใจดีมีน้ำใจใช้ได้เลย ถึงแม้ฐานะจะสู้บ้านถานไม่ได้ แต่พี่เขยทั้งสามบ้านก็ขยันมาก ด้วยเหตุนี้พ่อสามีจึงยอมให้พี่สามพี่สี่และพี่ห้าแต่งงานด้วย

เมื่อเสร็จจากธุระไป๋หลินก็พาลูก ๆ กลับโดยมีพี่ใหญ่และพี่รองตามไปส่งด้วย เพราะว่าฟ้ามืดแล้วกลัวว่าห้าแม่ลูกบ้านถานรองจะเป็นอันตราย ถึงแม้คนในหมู่บ้านถงหยางจะไม่จิตใจร้ายกาจแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนนอกหมู่บ้านสัญจรผ่าน อย่างที่ว่าเมืองหมิงโจนี้ใกล้กับเมืองหลวงของต้าเว่ย ย่อมต้องมีผู้คนแปลกหน้าเดินทางผ่านอยู่แล้ว ท่านพ่อจึงให้พี่ใหญ่พี่รองมาส่งน้องเล็กอย่างไป๋หลินเพื่อความสบายใจ

เมื่อกลับถึงบ้านไป๋หลินก็เข้าไปดูอาการสามีอีกครั้งปรากฏว่าอาการของหลัวฟางนั้นเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ อีกไม่กี่วันก็คงหาย เมื่อตรวจดูจากอาการหลัวฟางเสร็จไป๋หลินก็พาลูก ๆ เข้านอน พร้อมกับเล่านิทานให้ลูกได้ฟังเป็นการกล่อมเด็ก ๆ นอนหลับง่ายขึ้น สี่พี่น้องที่ได้ฟังนิทานและเรื่องเล่าจากแม่เล่าให้ฟังเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นและฟังเพลินจนเผลอหลับไป

เมื่อเห็นว่าลูก ๆ หลับสนิทไป๋หลินก็ออกไปเตรียมของที่จะขึ้นเขาไปหาสมุนไพรในวันพรุ่งนี้ พร้อมกับเตรียมวัตถุดิบไว้ทำกับข้าวตอนเช้าให้ลูก ๆ และสามี เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาจึงได้รีบเข้านอน

ไป๋หลินได้แต่ภาวนาในใจว่าพรุ่งนี้ขอเจอโชคหน่อยเถอะ อาจจะไม่โชคใหญ่เท่าครั้งที่แล้ว แต่ก็ขอให้ได้สักหน่อยเพื่อที่จะนำสมุนไพรที่มีค่าไปขายเพื่อมาเปิดโรงหมอตามที่ตั้งใจไว้

ด้วยความเคยชินไป๋หลินตอนที่ยังเป็นภัสกร ตื่นนอนตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่สว่าง ลุกขึ้นมาเพื่อเตรียมกับข้าวและยาไว้ให้สามี วันนี้ไป๋หลินตั้งใจไว้ว่าหลังจากลงมาจากเขาและเอาสมุนไพรไปขายเสร็จ ไป๋หลินจะพาลูก ๆ ไปบ้านพี่สามพี่สี่และพี่ห้าของสามีเพื่อจะมอบเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้พี่สามีทั้งสามไว้ใช้ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่เคยช่วยเหลือสามีและลูก ๆ ตอนที่ตนยังเป็นมารดาใจร้ายอยู่

แล้วก็เช่นเคยไป๋หลินขึ้นเขาในเวลายามเหม่า แต่การขึ้นเขาคราวนี้ไปหลินเลือกจะไปอีกทางหนึ่ง เพื่อให้สมุนไพรทางเดิมที่เขาเคยเก็บมาได้มีโอกาสเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น ไป๋หลินเองก็อยากรู้ว่าป่าของเขาลูกนี้จะกว้างมากเท่าไหร่หรือว่ามีจุดไหนพอที่จะให้เขาได้เก็บสมุนไพร หรืออาจโชคดีเจอสมุนไพรหายาก

ตั้งแต่มาอยู่ในโลกยุคนี้ได้ไม่นานไป๋หลินมีความรู้สึกแปลก ๆ ว่าตัวเองมาเกิดใหม่พร้อมดวงแห่งโชคลาภหรือเปล่า เพราะแค่มาอยู่ในร่างของไปหลินยังไม่ถึงหนึ่งวัน ขึ้นเขามาก็เจอโชคเลยและเป็นโชคใหญ่ที่สามารถทำให้ครอบครัวไป๋หลินรวมถึงคนรอบข้างได้รับโชคไปด้วย แล้วความแปลกที่ว่าคือบางสถานที่หรือบางสิ่งบางอย่างที่ตัวไป๋หลินร่างเดิมและร่างใหม่ไม่รู้จัก แต่เพียงแค่มองแล้วพินิจวิเคราะห์ดู จู่ ๆ ก็มีคำตอบไหลเข้ามาในหัวเอง

อีกทั้งไป๋หลินยังรู้สึกว่าในร่างกายของเขาเหมือนมีพลังงานบางอย่างกลุ่มหนึ่งที่ไหลเวียนอยู่ร่างกาย แต่ยังไม่รู้ว่าคืออะไรบางทีก็อาจจะเป็นความผิดปกติทางร่างกายของไป๋หลินคนเดิมหรือเปล่าคงต้องหาคำตอบอีกเยอะเลย

ไป๋หลินเริ่มเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ในป่าลึก และระดับความสูงชันขึ้น อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นกว่าปกติ เขาพยายามลองนึกว่าเคยมาตรงจุดแถวนี้หรือไม่ แต่ในความทรงจำของไป๋หลินนั้นไม่มีเลย เพราะไป๋หลินไม่เคยแม้จะขึ้นเขา มีเพียงเดินป่าหลังบ้านเพื่อหาสมุนไพรเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่มันเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างชักชวนดึงดูดให้เขามาตามเส้นทางนี้

ไป๋หลินขึ้นเขามาได้เกือบครึ่งชั่วยามก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย จึงหยุดพักตรงบริเวณที่คิดว่าน่าจะนั่งพักได้ เป็นต้นไม้ใหญ่ประมาณสิบคนโอบและมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่ใต้ต้นไม้ มีก้อนหินขนาดพอประมาณให้นั่งพักเหนื่อยได้เขาจึงเลือกพักตรงจุดนี้

ไป๋หลินมองทัศนียภาพรอบ ๆ ยิ่งสูงขึ้นต้นไม้ก็เริ่มน้อยลง มองไปสักพักสายตาก็ไปสะดุดกับโขดหินขนาดใหญ่ที่ห่างจากตรงที่นั่งพักประมาณหกเจ็ดก้าว ไป๋หลินเห็นว่าตรงข้างบนโขดหินมีดอกไม้สีขาวอยู่ข้างบนด้วยความอยากรู้ว่ามันคือดอกอะไรทำไมถึงเกิดบนที่สูงเช่นนี้ได้ เพราะระหว่างที่ผ่านมาพอขึ้นเขามาได้ระยะทางที่สูงขึ้นก็ไม่เจอดอกไม้หรือต้นหญ้ามีเพียงต้นไม้ใหญ่อยู่เล็กน้อย แต่ทำไมบนโขดหินจึงมีดอกไม้เกิดได้ ไป๋หลินไม่รอช้ารีบลุกขึ้นไปดูปรากฏว่าเป็นบัวหิมะถึงเจ็ดดอก บัวหิมะสรรพคุณหลากหลาย ยังมีอีกความเชื่อของคนโบราณว่าดอกของบัวหิมะเป็นยาอายุวัฒนะถ้าใครได้กินก็จะอายุยืน แต่สำหรับภัสกรที่คนมาจากโลกอนาคต สรรพคุณที่ชอบมากก็คือเอามาสกัดผสมในครีมบำรุงมันช่วยให้ผิวเต่งตึงดี และถ้าเอามาสกัดเป็นยาบำรุงร่างกายจะดีมาก ของดีแบบนี้ไป๋หลินจะเก็บไว้ทำยาให้คนในครอบครัวกินดีกว่า

"ถ้าจะขาย ขายแค่ดอกเดียวก็มีเงินใช้ทั้งชาติแล้ว ที่เหลือเก็บไว้ใช้สกัดยาดีกว่า หากในวันข้างหน้าอาจมีโอกาสได้ใช้ช่วยคน" ไป๋หลิน

ไป๋หลินจึงรีบเก็บบัวหิมะห่อใส่ผ้าเอาใส่ไว้ในตะกร้าแยกไว้เพื่อไม่ให้บัวหิมะช้ำเสียหาย ไป๋หลินคิดว่าได้โชคแค่นี้ก็พอแล้ว จึงกำลังจะลงเขาทันทีและระหว่างทางค่อยหาเก็บสมุนไพรและผลไม้ป่าต่าง ๆ เพิ่มอีก พอไป๋หลินเก็บบัวหิมะเสร็จกำลังจะเดินกลับไปยังต้นไม้ที่เขานั่งพัก ไป๋หลินเจอรอยเลือดที่หยดเป็นทาง เขาลองเพ่งมองดูดี ๆ รอยเลือดนั้นหยดยาวเป็นกลุ่มไปจนถึงหลังต้นไม้เลย

ด้วยความแปลกใจไป๋หลินจึงเดินตามรอยเลือดไป จนพบเข้ากับชายคนหนึ่งที่ใส่ชุดเหมือนทหารหรือชุดองครักษ์ในราชสำนักจีน เพราะชุดคล้ายกับในภาพยนตร์จีนที่เขาชอบดู ชายคนนี้มีรูปร่างใหญ่กำยำคล้ายกับทหารในโลกปัจจุบัน แต่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยเลือดจนมองไม่เห็นว่าเป็นลักษณะอย่างไรบวกกับผมที่ยาวรกรุงรังจึงทำให้มองไม่ชัด

"เอาเข้าแล้วไง เจอเรื่องเข้าจนได้ไป๋หลิน เอาไงดีละทีนี้" ไป๋หลิน

ไป๋หลินก็ลังเลอยู่สักพักว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยดี แต่ถ้าช่วยแล้วเกิดคนคนนี้เป็นคนไม่ดีขึ้นมาจะทำยังไง แต่ก็เหมือนไม่รู้อะไรโดนใจให้ไป๋หลินตัดสินใจช่วยคนเจ็บที่ร่างโชกไปด้วยเลือดคนนี้

"ช่วยก็ช่วย นี้คงเป็นชะตาฟ้าลิขิต ไม่ว่าจะเกิดชาติใดที่ไหน เป็นหมอย่อมต้องช่วยเหลือผู้ป่วยเสมอ มันคือจรรยาบรรณของหมอที่ดี" ไป๋หลิน

ระหว่างที่ไป๋หลินกำลังเตรียมตัวจะลงจากเขาพร้อมกับคนเจ็บร่างยักษ์ ก็มีความคิดแล่นเข้ามาในหัวบางอย่าง หากเดินไปอีกสักหน่อยประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะเป็นทางไปป่าหลังบ้านของเขานั้นเอง ยิ่งทำให้ไป๋หลินถึงกับแปลกใจเข้าไปใหญ่ ว่าทำไมเขาไม่รู้เลยว่าหลังบ้านมีทางที่เดินขึ้นมาบนเขาลูกนี้ได้

"นี่ สวรรค์จะให้มีความสามารถพิเศษก็มาทีเดียวเลยได้ไหม หรือของอะไรที่วิเศษที่เสกเงินเสกทองได้ก็ดี จะได้ไม่ลำบาก" ไป๋หลิน

ก็ได้แค่บ่นไปอย่างนั้นแหละเพราะรู้อยู่แล้วอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ไม่มีหรอก ต้องลงมือลงแรงก่อนถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ อย่างโชคลาภวันนี้ถ้าเขาไม่ขึ้นเขาก็คงไม่เจอหรอก

แต่อย่างไรก็ช่างเถอะเขาไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรมาก เพราะจากที่ตรวจดูอาการของคนเจ็บ ไป๋หลินพบว่าชายคนนี้น่าจะถูกทำร้ายบาดเจ็บมาไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วยาม บาดแผลตามร่างกายมีทั้งโดนของมีคมจำพวกดาบหรือกระบี่หลายจุด ยังมีรอยถูกยิงจากธนูแต่ดูเหมือนมีการดึงลูกธนูออกไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีอาการเสียเลือดมาก หายใจรวยรินบวกกับอาการอ่อนเพลียจากพิษบาดแผล ถ้ายังชักช้ามีโอกาสที่จะเสียชีวิตสูง แต่ที่ยังรอดมาได้ดูจากลักษณะร่างกายคนเจ็บน่าจะแข็งแรงพอตัว และยังเห็นร่องรอยของการห้ามเลือดด้วย สงสัยจะห้ามเลือดก่อนที่จะหมดสติจึงทำให้ยังมีชีวิตรอดอยู่จนถึงขนาดนี้ได้

ไป๋หลินวันนี้ไม่ได้เอาตะกร้าสมุนไพรใบใหญ่มาด้วยเขาเอามาเพียงใบขนาดกลางมาพอดี เขานำมาสะพายไว้ด้านหน้าแทนแล้วแบกคนเจ็บขึ้นด้านหลัง ถึงแม้ว่าตัวของไป๋หลินจะตัวเล็กแบบเกอทั่วไป แต่ก็ได้พลังความแข็งแรงและพละกำลังจากจิตวิญญาณของภัสกร จึงทำให้เขาสามารถแบกได้ทุกอย่าง ทำงานได้ราวกับผู้ชายอกสามศอกเลยทีเดียว

ถึงแม้ภัสกรจะเป็นคุณหมอแต่อย่าลืมว่าเขาก็เป็นทหารเรือด้วยและยังเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษ อีกทั้งเขายังเรียนด้านนิติเวชมาด้วย จึงไม่แปลกที่ภัสกรจะสามารถวินิจฉัยบาดแผลหรือโรคได้ด้วยตาเปล่าเพียงแค่มองก็รู้ได้ทันที บวกกับตอนสมัยที่เขาไปฝึกในหน่วยรบพิเศษของกรมต่าง ๆ เขาต้องแบบสัมภาระหนักเกือบ 20 กิโลกรัมเดินทางระยะไกลหลายกิโล เขาฝึกทั้งสะเทือนน้ำสะเทือนบกของหน่วยรบพิเศษสี่เหล่าทัพ หน่วยไหนที่คิดว่าเจ๋งคิดว่าฝึกยากผู้กองหมอภัสกรคนนี้ผ่านมาหมดแล้ว จึงไม่แปลกใจที่ผู้ใหญ่แต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าหน่วยรบพิเศษที่ปฏิบัติการในต่างแดนในครั้งนี้ ก่อนที่เขาจะสละชีพในหน้าที่ของลูกผู้ชาย

ขอบคุณสวรรค์ที่ถึงแม้เขาตายแล้วให้มาอยู่ในร่างของคนอื่น แต่พละกำลังและสติปัญญาความรู้ความสามารถก็ตามมาด้วย รู้สึกเหมือนจะมีความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกหลายอย่างเลย เขาคงต้องค่อย ๆ หาคำตอบไปเรื่อย ๆ ว่าตัวเองมีความสามารถอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ต้องรีบพาคนเก็บลงเขาไปที่บ้านให้โดยเร็วที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อช่วยให้ชีวิตคนคนหนึ่งให้มีชีวิตรอด ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ต้องรอดูกันอีกที

ไป๋หลินคิดไปคิดมาแล้วก็ปวดหัว ได้แต่บ่นในใจว่าขึ้นเขาคราวนี้เจอทั้งโชคดีและคนโชกเลือดเลย

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 20 กลับหมิงโจวก็มีเรื่องเลย

    เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางกลับเมืองหมิงโจวทุกคนออกเดินทางกันแต่เช้า ฮ่องเต้เปลี่ยนใจจากที่ตอนแรกจะมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง แต่ทรงเปลี่ยนพระทัยไปเมืองหมิงโจวก่อนแล้วค่อยกลับเมืองหลวง พี่หลงเห่อต้องการไปดูการเปลี่ยนแปลงของสำนักหมอหลวงประจำเมืองด้วย ทั้งยังจะเดินทางไปที่วัดซ่งซานเพื่อทำบุญขอพรให้ราษฎรแคว้นเว่ยมีความสุขกินดีอยู่ดีไม่อดอยาก ขอให้ประชาชนสุขกายสุขใจ ไป๋หลินได้ฟังเหตุผลของพี่หลงเห่อแล้ว ก็ได้แต่ชื่นชมว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีมีเมตตาและรักราษฎรเป็นห่วงราษฎรอย่างแท้จริงพอถึงเมืองหมิงโจวทุกคนก็แยกย้ายกับกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะร่างกายเหนื่อยล้าจากการเดินทางเป็นอย่างมาก สี่แฝดที่พอกลับถึงบ้านหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยไม่ออกไปเล่นกับพี่ ๆ บ้านใหญ่เลย บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าขอนอนกลางวันก่อน พอตื่นถึงจะเอาของเล่นไปให้พี่ชายพี่สาวบ้านใหญ่ บ้านอู๋ บ้านสวี และบ้านจู ไป๋หลินจึงบอกว่าจะพาสี่แฝดไปเองจะเอาของฝากไปให้บ้านใหญ่ และยังแบ่งไปให้พี่สามพี่สี่และพี่ห้าอีกด้วยเมื่อพักผ่อนเต็มที่ทุกคนก็กลับมาทำหน้าที่ทำงานของตัวเอง พอไป๋หลินเข้าเมืองไปที่โรงหมอก็ได้ยินข่าวลือแปลก ๆ จากชาวบ้านที่มารักษา เล่ากันว่ามีคนพบ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 19 ช่วยคนแล้วได้โชคอีกครั้ง

    เมื่อปิดคดีผีน้ำได้สำเร็จพี่หลงเห่อบอกว่าจะพาอยู่เที่ยวที่หลางโจวต่ออีกสักสองอาทิตย์ค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง ไป๋หลินได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมากเพราะยังเดินสายกินของอร่อยยังไม่ครบทั่วเมืองหลางโจวเลย สี่แฝดบ้านถานรองพอได้ยินว่าท่านลุงฮ่องเต้จะพาอยู่เที่ยวต่อก็ดีใจกันยกใหญ่ รีบไปอ้อนท่านพ่อท่านแม่พาออกไปเที่ยวตลาดพร้อมบอกว่าอยากได้ของเล่นที่มีขายในเมืองนี้และขนมไปฝากพี่ ๆ บ้านใหญ่ ทั้งอยากได้ของฝากไปให้ท่านปู่ท่านย่า ฝากท่านลุงท่านป้าทุกคนด้วย นับวันสี่แฝดก็ยิ่งฉายแววฉลาดและกตัญญูรู้คุณจริง ๆ รู้จักแบ่งปันและนึกถึงผู้มีพระคุณว่าใครที่เคยดีกับพวกเขา หลัวฟางกับไป๋หลินเห็นลูกทั้งสี่เป็นเด็กดีแบบนี้ก็ยิ่งปลื้มใจมากหลังมื้ออาหารเช้าครอบครัวบ้านถานรองก็ขอตัวออกมาเดินเที่ยวย่อยอาหารที่ตลาดท่าเรือ วันนี้ไป๋หลินตั้งจะไปหาเคยมาทำกะปิเอากลับไปหมิงโจวด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจดสูตรเอาไว้ให้พี่จงเห่อหาคนช่วยทำให้ แล้วค่อยส่งกะปิที่ได้ไปให้เขาที่เมืองหมิงโจวอีกที หรือไม่ก็ให้พี่จงเห่อช่วยหาคนตากเคยแตกส่งไปให้ก็ได้ ถึงจะทำไว้ใช้เองจำนวนมากแต่คนที่ชอบอาหารทำจากกะปิแบบเขามันต้องหมดภายในไม่กี่สัปดาห์แน่นอน หาก

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 18 คดีเก่าที่คุ้นเคย

    เมื่อองครักษ์วิ่งเข้ามาถวายการรายงานว่ามีคนพบร่างนางกำนัลในจวนเสียชีวิตที่แม่น้ำท้ายจวนอีกแล้ว ไป๋หลินและทุกคนที่เคยไขคดีผีน้ำที่วังหลวงพร้อมด้วยตวนอ๋อง ทั้งหมดพากันตรงไปที่ท้ายจวนทันทีเพื่อไปดูศพของเหยื่อ พอไปถึงก็เห็นว่าเป็นนางกำนัลของจวนตวนอ๋องที่ชื่อว่าหนิงจิงไป๋หลิน หลัวฟางและจวินอ๋องไม่รอช้าเขาไปตรวจดูศพ แล้วก็พบว่าที่คอของเหยื่อมีรอยเข็มปักอยู่ที่คอจริง ๆ เหมือนกับศพในคดีผีน้ำที่เมืองหลวงเลย แต่ต้องตรวจดูก่อนว่าพิษที่ใช้นั้นเป็นตัวเดียวกันกับในคดีของอดีตหมอหลวงใหญ่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นพิษตัวนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้เนื่องจากคนปรุงยาได้ถูกประหารชีวิตและถูกจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว ไป๋หลินกลัวจะเป็นคดีเลียนแบบและน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ้นมา อย่างไรก็ต้องเจาะเลือดไปตรวจก่อน หากเป็นพิษตัวใหม่จริงงานนี้คงต้องทำยาถอดเตรียมไว้หลายชุดแล้วสิ"ข้าว่าคนร้ายคงใช้วิธีซัดเข็มพิษเข้าตัวเหยื่อ ในตอนที่เหยื่อยังไม่ทันตั้งตัว แค่เข็มเดียวก็สามารถตายได้ขนาดนี้ ดูท่าพิษน่าจะร้ายแรงกว่าพิษของคดีผีน้ำที่เมืองหลวงนะขอรับ" หลัวฟาง"ข้าคิดว่าน่าจะเป็นคดีเลียนแบบ ส่วนตัวพิษน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 17 เมืองหลางโจว

    เมื่อถึงกำหนดเดินทางออกจากเมืองฝูโจวเพื่อไปเมืองหลางโจว ก็ใช้เวลาเดินทางสี่วันสี่คืนก็ถึงเมืองหลางโจว พอถึงจวนเจ้าเมืองตวนอ๋องก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับพระชายาและองค์ชายน้อยทั้งสามพระองค์ คณะพ่อค้าตระกูลหวงถึงเมืองหลางโจวในยามมื้อเที่ยงพอดี ตลอดทางมีแวะพักตามอำเภอต่าง ๆ เพื่อไม่เร่งรีบจนเกินไปอาจทำให้ทุกคนเหนื่อยได้ตวนอ๋องหรืออดีตองค์ชายห้า จงเห่อ อายุ 27 ปี พระโอรสร่วมอุทรเดียวกันกับฮ่องเต้ จวินอ๋อง รุ่ยอ๋อง และฉินอ๋อง ตวนอ๋องมีพระชายาเป็นญาติกับฮองเฮาเฟยหย่า พระชายาเกาเจียวจิน อายุ 26 ปี ทรงมีพระโอรสแฝดและพระธิดาหนึ่งพระองค์ โอรสองค์โตแฝดพี่เป็นเอกบุตร องค์ชายจงเอิน อายุ 10 ขวบ แฝดน้องเป็นบุตรเกอ องค์ชายจงหมิง อายุ 10 ขวบ และคนสุดท้ายเป็นพระธิดา องค์หญิงจงฝู อายุ 8 ขวบตวนอ๋องเป็นสหายรักของพี่ใหญ่ไป๋อัน จึงไม่แปลกที่จะเอ็นดูไป๋หลินเหมือนน้องชายแท้ ๆ พอรู้ว่าฮ่องเต้ จวินอ๋องและรุ่ยอ๋องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรม ตวนอ๋องจะน้อยหน้าได้อย่างไรก็ต้องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรมด้วยอีกคน สี่แฝดที่คิดในใจว่าแล้วว่าพวกเขาทั้งสี่ต้องมีท่านลุงเพิ่มมาอีกแน่นอน ญาติเยอะจริง ๆ แค่นี้ก็นับกันไม่ไหวแล้วว่า

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 16 เมืองฝูโจว

    ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงได้ออกจากอำเภอหลินจือในยามเหมา เพื่อที่วันนี้ตั้งใจจะพากันไปแวะเที่ยวและหยุดพักค้างคืนที่อำเภอซินเจิ้งในเมืองฝูโจว เพราะที่นั่นมีน้ำตกที่ไหลมาจากภูเขาฝังเข็มชะลอยงซานทิวทัศน์สวยงาม ยังมีบ่อน้ำพุร้อนได้ให้แช่คลายเหนื่อยหลายบ่อ ไป๋หลินได้ยินที่พี่หลงเห่อบอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อน เขาก็ถึงกับตาโตอยากให้ถึงอำเภอซินเจิ้งแล้วสิ อยากไปแช่น้ำร้อนคลายเหนื่อยเหมือนกัน สมัยยังเป็นภัสกรหากมีโอกาสได้หยุดพักร้อนเขามักจะบินไปเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อไปแช่ออนเซ็นคลายปวดเมื่อยตามร่างกาย เพราะงานของภัสกรนั้นมีทั้งความเครียดและใช้ร่างกายอย่างหนัก จึงต้องหาวิธีบำบัดที่ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นตัวเร็วขึ้นในที่สุดไป๋หลินกับขบวนก็เดินทางถึงอำเภอซินเจิ้งในช่วงเที่ยงพอดี จึงได้เข้าพักโรงเตี๊ยมประจำอำเภอที่ใกล้กับบ่อน้ำพุมากที่สุด บ่อน้ำพุที่อำเภอซินเจิ้งนั้นเกิดโดยธรรมชาติ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปแช่ได้แต่ถ้าบ้านใครโชคดีหน่อยมีบ่อน้ำพุในพื้นที่ของตัวเองก็สามารถเปิดโรงเตี๊ยมให้แขกมาพัก พร้อมใช้บริการแช่น้ำพุงร้อนได้ วันนี้ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงเลือกพักที่โรงเตี๊ยมเฉิงไฉ โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่สุดในอำเภอซินเจ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 15 เดินทางไปเที่ยวหลางโจว

    หลัวฟางกับไป๋หลินช่วงนี้ไม่ว่างเลยงานรัดตัวไปหมด ทั้งงานที่โรงหมอก็ยุ่งมากผู้คนมารักษากันเยอะส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ไม่ค่อยมีเงินมารักษา แต่ไป๋หลินก็ไม่ได้เก็บค่ารักษาแต่อย่างใด เพราะไป๋หลินประกาศไปแล้ว ชาวบ้านยากจน คนเร่ร่อนหรือแม้แต่ขอทาน หากเจ็บป่วยมารักษาได้ไม่คิดเงิน แถมโรงหมอกังอันยังมีน้ำแกงกับหมั้นโถแจกให้กินอิ่มท้องอีกด้วย บางวันก็จะเป็นโจ๊กไก่หรือโจ๊กหมูสลับหมุนเวียนกันไป หากถามว่ารักษาแล้วไม่เอาเงินกับผู้ป่วยจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าแรงของหมอกับคนงานกันล่ะ เงินของไป๋หลินกับหลัวฟางมีมากอยู่แล้ว ไป๋หลินได้เงินจากการเป็นขุนนางระดับสูงและการรักษาพวกขุนนางกับเศรษฐีรักษาครั้งหนึ่งก็ได้เงินหลายตำลึงทองส่วนหลัวฟางก็ได้เงินจากการค้าสมุนไพรมาช่วยภรรยาอีกแรง เพราะก่อนที่โรงหมอจะสร้างเสร็จแล้วเปิดทำการ หลัวฟางได้มีกิจการการค้าสมุนไพรขายโดยที่หลัวฟางเป็นคนปลูกสมุนไพรเอง เอาไว้รักษาคนไข้ในโรงหมอกังอันและเอาไว้ขายให้กับโรงหมอเจ้าอื่น ๆ และส่งขายให้กับร้านยาตระกูลเผิงอีกด้วย แต่ตั้งได้ฝึกพลังลมปราณคลื่นบูรพาหลัวฟางรู้สึกว่ามีพละกำลังมากขึ้น บวกกับการทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ภรรยาทำให้ทานทุกเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status