เมื่อสิ่งที่ไป๋หลินสงสัยได้คลายข้อสงสัยไปแล้วหนึ่งข้อ ว่าพระชายาเหนียนฉีเคยเจอเขาได้อย่างไร ก็คือเจอตอนงานแต่งพี่ใหญ่นั้นเอง ตอนนั้นเขาเพียงอายุประมาณสิบขวบอาจจะจำไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่หลิงฉีก็เป็นน้องชายของพระชายาเหนียนฉีหน้าจึงคล้ายกันมาก แต่ข้อสงสัยที่ว่าพี่หลิงฉีมาแต่งงานกับพี่ใหญ่เขาได้อย่างไรนั้น คงต้องถามให้กระจ่างวันนี้แหละ ตอนเย็นทานอาหารเสร็จทุกคนจะดื่มฉลองกันถึงตอนนั้นไป๋หลินจะถามพี่ใหญ่ให้รู้เรื่อง ถามพี่รองกับพี่สะใภ้รองด้วย ไหนจะท่าทางที่พี่ใหญ่พี่รองข้าสนิทสนมกับจวินอ๋องที่เป็นพี่ชายบุญธรรมของเขาอีก ยังไม่ทันข้ามวันในหัวของข้าก็มีคำถามเต็มไปหมด แต่ตอนนี้ต้องเก็บความสงสัยไว้ก่อน เพราะดูแล้วน่าจะยามเซินไป๋หลินจึงชวนพี่สะใภ้ใหญ่พี่สะใภ้รองไปช่วยในครัว และแน่นอนระหว่างทางไป๋หลินก็แวะไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่ผลสีเขียวเต็มต้น คนที่นี่เรียกว่าหมางกั่วมันก็คือมะม่วงนั้นเอง ไป๋หลินทำการหาไม้ยาว ๆ มาสอยมะม่วงไปด้วย พระชายาเหนียนฉีเห็นแบบนั้นจึงให้เหล่าขันทีมาช่วยสอยมะม่วงอีกแรง
ไป๋หลินจัดการทำน้ำปลาหวานก่อนเลย เขาใส่น้ำตาลลงไปในกระทะแล้วคุมไฟให้อยู่ในระดับไฟกลาง ใส่น้ำเปล่าลงไปประมาณหนึ่งถึงสองช้อนโต๊ะ จากนั้นคนไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายดี ตามด้วยน้ำปลาคนจนเดือดฟูขึ้นมาอีกครั้งจากนั้นใส่หอมแดงซอย กุ้งแห้งฝอย แล้วก็คนไปเรื่อยๆ ให้เดือดอีกครั้ง แล้วใส่พริกปนลงไปตามด้วยกุ้งแห้งแล้วเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จากนั้นชิมให้ได้รสตามชอบพักไว้ให้เย็น ไป๋หลินยังทำแบบไม่เผ็ดเผื่อให้เด็ก ๆ ด้วย แต่เสียดายมากที่ไม่มีกะปิเหมือนสูตรที่คุณยายทำให้กินไม่งั้นมันคงถูกใจเขามากกว่านี้แน่ เมื่อเห็นว่าน้ำปลาหวานเย็นแล้วไป๋หลินจึงเรียกทุกคนมาชินรวมถึงนางกำนัล ขันทีและองครักษ์ที่มาช่วยงานให้มาชิมด้วยกัน พอทุกคนได้ชิมก็บอกว่าอร่อยหน้าตาแปลกดีรสชาติก็แปลกไม่เคยกินมาก่อน
"รสชาติของน้ำเหนียว ๆ นี่ เข้ากันดีกับเนื้อของหมางกั่วที่มีรสเปรี้ยว มันชื่อว่าอะไรนะไป๋หลิน" พระชายาเหนียนฉี
"น้ำปลาหวานขอรับ เมื่อกินรวมกันกับหมางกั่ว จึงเรียกว่าหมางกั่วน้ำปลาหวานขอรับ" ไป๋หลิน
"ถึงหน้าตาจะแปลกไปหน่อยแต่อร่อยมาก ข้าพึ่งรู้ว่าหมางกั่วสามารถกินตอนที่ลูกมันยังเป็นสีเขียวได้ด้วย" หลิงฉี
"นั้นสิ ข้าก็เคยกินแต่ตอนมันสุกเป็นสีเหลืองแล้ว บางทีสุกพร้อมกันเต็มต้นก็กินไม่หมด แบ่งเพื่อนบ้านด้วยก็ยังไม่หมดอยู่ดี" เถียนเหมย
"หมางกั่วที่มันสุกสามารถนำมาทำขนมได้นะขอรับ หรือจะทำมาเป็นอาหารก็ได้เช่นกันขอรับ เดี๋ยวไว้ว่าง ๆ ข้าจะพาทำเอง" ไป๋หลิน
"ดี ๆ ที่จวนอ๋องแห่งนี้นอกจากต้นที่พวกเราไปเอามาแล้ว ยังมีอีกหลายต้นที่อยู่ด้านหลังของจวนอีก สุกพร้อมกันกินไม่ทันจนเน่าเสียจำนวนมาก" พระชายาเหนียนฉี
"ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปหมิงโจว เดี๋ยวข้าขอไปคิดสูตรก่อนนะขอรับ แล้วข้าจะเขียนเป็นตำรามาให้ พร้อมกับสูตรอาหารและกับแกล้มที่ทำวันนี้ด้วย" ไป๋หลิน
"ดี ๆ ต้องขอบน้ำใจเจ้าล่วงหน้าเลย อี้กงกงให้นางกำนัลมายกหมางกั่วน้ำปลาหวานไปถวายท่านอ๋องที ส่วนท่านก็อธิบายการกินด้วยละ" พระชายาเหนียนฉี
"พ่ะย่ะค่ะ พระชายา" อี้กงกง
"ดูท่าเด็ก ๆ จะชอบหมางกั่วที่น้องเล็กทำมากเลยนะ ดูสิถึงจะเปรี้ยวแต่ก็กินไม่หยุดกันเลย" เถียนเหมย
เถียนเหมยนั้นเจอเด็ก ๆ ทั้งลูกหลานบ้านเดิมบ้านถานรองรวมถึงองค์ชายแฝด ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตากินหมางกั่วน้ำปลาหวานจนมือเลอะปากเลอะไปหมด แต่ก็เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูเพราะด้วยเป็นเด็กถึงจะกินเลอะแค่ไหนก็ยังน่ารักในสายตาผู้ใหญ่อยู่ดี
สี่แฝดและพี่น้องบ้านเดิม รวมไปถึงองค์ชายแฝดที่กำลังกินหมางกั่วน้ำปลาหวาน หน้าตาของเด็กแต่ละคนหน้าย่นปากยู่บิดเบี้ยวด้วยความเปรี้ยวของเนื้อหมางกั่ว แต่มือกลับไม่หยุดหยิบหมางกั่วจิ้มน้ำปลาหวานเข้าปากเหมือนยิ่งเปรี้ยวยิ่งกินอร่อย
ไป๋หลินเมื่อเห็นว่าองครักษ์ที่อาสาปอกมะพร้าวและขูดเนื้อได้เยอะพอสมควรเขาจึงให้หยุดพักก่อนหากไม่พอค่อยขูดใหม่อีกที เขาเริ่มทำเมนูแรกคือต้มข่าไก่ ไป๋หลินนำมะพร้าวมาคันเอาน้ำกะทิก่อน เมื่อได้กะทิตามที่ต้องการก็ต้มน้ำใส่ข่าตะไคร้และใบมะกรูดรอจนเดือดและหอม ค่อยใส่เนื้อไก่ลงไปต้มจนเดือดอีกครั้ง คุมไฟให้ลดลงจึงปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาล แล้วต้มจนเดือดอีกครั้งชิมรสตามชอบใส่กะทิลงไปตามด้วยเห็ด จากนั้นต้มจนเดือดปิดไฟใส่น้ำมะนาวและพริกลงในชาม ตักต้มข่าไก่ใส่ลงไปคนให้เข้ากันชิมรสตามชอบโรยผักชี พอทำเสร็จไป๋หลินก็คิดว่าในสมัยนี้วัตถุดิบนั้นมีครบเกือบทุกอย่าง หากเขาอยากทำอาหารไทยกินทุกวันแบบนี้คงดีไม่น้อย ถึงวัตถุดิบบางอย่างไม่มีก็สามารถทดแทนกันได้ หรือบางทีเขาต้องค้นหาอาจจะเจอก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ยากสำหรับยุคสมัยนี้คือไฟในการทำอาหาร ต้องใช้ความชำนาญอย่างมากในการควบคุมไฟให้ได้ในระดับตามที่ต้องการและเหมาะสมกับทำอาหารเมนูนั้น ๆ เนื่องจากสมัยนี้ไม่มีเตาแก๊สคนทำอาหารไม่ว่าจะชาวบ้านทั่วไปหรือแม้แต่พ่อครัวหลวงในวังก็ต้องมีทักษะการควบคุมไฟในการทำอาหารให้ชำนาญ เพื่อที่รสชาติและกลิ่นของอาหารจะได้ออกมาอร่อย
เมนูที่สองผัดกะเพราเนื้อสับ ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่พริกกระเทียมสับละเอียดไว้ลงไปผัดให้หอม ตามด้วยเนื้อสับลงไปผัดให้สุก ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลผัดให้เข้ากัน เติมน้ำเปล่าได้เล็กน้อยเเบบพอให้มีน้ำขลุกขลิก จากนั้นก็ใส่ใบกะเพราลงไปผัดให้เข้ากัน ใบกะเพราก็ได้มาจากทางตอนใต้พระชายานำมาปลูกไว้ที่ด้านหลังของจวน เพราะใช้เป็นส่วนผสมในตัวยาบางชนิดจึงมีปลูกที่จวนในวังค่อนข้างเยอะ บนเขาหยางซานก็มีเยอะเช่นกันเดี๋ยวข้ากลับไปหมิงโจวแล้วถ้าได้ขึ้นเขาอีกจะเอาลงมาปลูกที่สวนหลังบ้านด้วย คราวนี้แหละข้าจะได้ทำเมนูผัดกะเพรากินให้หายอยากเลย
เมนูที่สามแกงจืดหมูสับเห็ดหอม ก่อนอื่นต้องเตรียมหมูสับก่อน นำหมูสับมาปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวพริกไทยป่นคลุกเคล้าให้เข้ากันหมักทิ้งไว้ประมาณหนึ่งถ้วยชา (15 นาที) นำเห็ดหอมแห้งที่แช่น้ำจนนิ่มแล้วมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ตั้งหม้อใส่น้ำลงไปใส่กระเทียมและรากผักชีลงไปแล้วต้มจนน้ำเดือด ปั้นหมูสับเป็นก้อนเล็กๆ ใส่ลงไปในหม้อต้มจนหมูสุกใส่เห็ดหอมและผักอื่นๆ เช่น แครอท ผักกาดขาว ต้มต่อจนผักสุกจากนั้นก็ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาล ชิมรสตามชอบ ตักแกงจืดใส่ชาม โรยหน้าด้วยต้นหอมและผักชี ผ่านมาสามเมนูแล้วแต่ที่ทำออกได้ดีไม่มีอุปสรรค เพราะมีพี่สะใภ้ทั้งสองช่วยทำและช่วยคุมไฟให้ ส่วนพระชายาและนางกำนัลก็ช่วยเตรียมผักให้ ทุกคนทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีจริง ๆ
เมนูสุดท้ายไข่เจียวหมูสับ ไป๋หลินนำตอกไข่ใส่ชามตีให้เข้ากันใส่หมูสับลงไป ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวคนให้เข้ากัน จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อนด้วยไฟกลาง เทส่วนผสมไข่ลงไปในกระทะ รอให้ไข่แข็งตัวและเริ่มเหลืองทอง แล้วค่อยๆ กลับด้านทอดจนไข่สุกเหลืองทั้งสองด้านก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
เวลาก็ใกล้มื้ออาหารเย็นแล้วไป๋หลินจึงรีบทำขนมหวานเป็นอย่างสุดท้าย เมนูขนมหวานจะเป็นกล้วยบวชชี ปอกเปลือกกล้วยหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เพื่อไม่ให้กล้วยดำสามารถแช่กล้วยในน้ำเกลืออ่อนๆ สักครู่แล้วล้างออก ตั้งหม้อใส่หัวกะทิและหางกะทิลงไป ใส่น้ำตาลและเกลือลงไปคนให้ละลายใส่ใบเตยลงไปมัดให้เรียบร้อยเพื่อเพิ่มความหอมตั้งไฟอ่อนๆ เคี่ยวจนน้ำตาลละลายและมีกลิ่นหอม พอน้ำกะทิเดือดใส่กล้วยที่หั่นไว้ลงไป ต้มต่อด้วยไฟอ่อนๆ จนกล้วยสุกนิ่มตามต้องการ และระวังอย่าให้กะทิแตกมัน ขนมหวานอย่างกล้วยบวชชีเหมือนดูจะทำง่ายแต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
การทำอาหารในวันนี้ทำให้ไป๋หลินรู้ว่าพืชหลายชนิดในโลกปัจจุบันที่นำมาทำอาหาร แต่คนในยุคนี้คิดว่าเป็นสมุนไพรมากกว่าจึงไม่มีใครนำมาปรุงอาหารเหมือนในยุคสมัยปัจจุบัน เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบกะเพราหรือแม้แต่ใบเตย และอีกหลายอย่างที่หาได้จากจวนอ๋องแห่งนี้ พอถามพระชายาก็บอกว่าพืชเหล่านี้ทั้งที่ปลูกไว้และนำเข้ามาจากข้างนอกล้วนแล้วนำมาเป็นส่วนผสมตัวของยาทั้งนั้น หากข้าอยู่ที่จวนอ๋องนาน ๆ อาจจะค้นพบพืชหรือสมุนไพรหายากได้อีกหลายอย่างแน่ ๆ ก่อนกลับข้าจะเขียนตำราคร่าว ๆ ไว้บอกว่าสมุนไพรตัวไหนนำมาทำอาหารได้บ้าง แต่ละอย่างมีสรรพคุณต่อร่างกายอย่างไรบ้าง ท่านอ๋องกับพระชายาจะได้ทานอาหารที่ทำมาจากสมุนไพรร่างกายจะได้แข็งแรง ต้องบำรุงขาทองคำทั้งสองคนให้สุภาพแข็งแรงอายุยืนกันหน่อยแล้ว ฮ่า ฮ่า
เมื่อเสร็จครบทุกเมนูพระชายาเหนียนฉีก็ให้นางกำนัลตั้งโต๊ะรอท่านอ๋องกับพระสหายทันที ส่วนกับแกล้มไป๋หลินบอกว่าจะทำหลังทานอาหารเย็นเสร็จเพื่อให้อาหารเย็นนั้นได้ย่อยก่อนไม่เช่นนั้นจะกินกับแกล้มไม่อร่อย
"เมนูที่เจ้าทำนั้นหน้าตาของอาหารแปลกมาก แต่พอได้ชิมแล้วรสชาติอร่อยกลมกล่อมยิ่งเมนูแรกที่เจ้าทำ ข้าชอบมากเลย" พระชายาเหนียนฉี
"เรียกว่าต้มข่าไก่ขอรับ" ไป๋หลิน
"ดูเหมือนพี่รองจะชอบอาหารที่น้องเล็กทำนะขอรับ" หลิงฉี
"ชอบสิ เดี๋ยวก่อนกลับหมิงโจวพี่จะเตรียมรางวัลให้สักหน่อย" พระชายาเหนียนฉี
"นอกจากพระชายาแล้ว ดูเหมือนเด็ก ๆ กับองค์ชายแฝดสิ คงชอบมากเหมือนกันนะเจ้าค่ะ ดูสิกินไม่หยุดเลย ตอนแรกบอกชิม ตอนนี้ตักข้าวกินยังจังจริงเลย ฮ่า ฮ่า" เถียนเหมย
"ฮ่า ฮ่า ดูเด็ก ๆ เจริญอาหารกันมากวันนี้" หลิงฉี
"พระชายา โต๊ะเสวยเรียบร้อยแล้ว ท่านหมอใหญ่เหลียนฉีก็มาถึงแล้ว พ่ะย่ะค่ะ" อี้กงกง
"ถ้าเช่นนั้นไปทานข้าวเย็นกันเถอะ เด็ก ๆ ไปที่โต๊ะเสวยกันดีกว่า อี้กงกงยกส่วนของเด็ก ๆ ตามไปด้วยนะ" พระชายาเหนียนฉี
พอเด็ก ๆ ได้ยินก็ขานรับกันอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาดีใจจะได้ทานของอร่อยอีกแล้ว ในจวนของจวินอ๋องไม่มีกฎเกณฑ์อะไรหนัก ไม่เหมือนในวังที่มีกฎต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด จึงทำให้นางกำนัล ขันที หรือแม้แต่เหล่าองครักษ์ต่างก็ไม่อยากกลับไปทำงานในวังอีก ตอนแรก ๆ ที่มีข่าวลือของจวินอ๋องที่บอกว่าพระองค์โหดเหี้ยมไร้ความปรานีฆ่าคนได้ในพริบตา ก็ไม่มีใครอยากมาเป็นนางกำนัลหรือขันทีรับใช้ที่จวนจวินอ๋องสักคนจนต้องได้บังคับย้ายมา พอได้มาทำงานจริง ๆ สบายกว่าในวังอีกถึงงานที่ทำจะเท่ากันแต่มันสบายใจกว่า เพราะจวินอ๋องกับพระชายาใจดีไม่เข้มงวดแถมเงินเดือนก็ได้เยอะกว่าไม่ต้องคอยถูกรังแกกดขี่จากพวกนางกำนัลรุ่นพี่
ส่วนข่าวลือที่ออกไปไม่เป็นความจิรงทั้งหมดเพียงแค่อย่าทำผิดกฎก็พอ เพราะถ้าทำผิดเมื่อไร่อย่าว่าแต่จวินอ๋องโหดเหี้ยมเลย พระชายาเหนียนฉีก็ไม่ปรานีคนผิดเช่นกัน กฎเหล็กของจวนจวินอ๋องคือห้ามคิดที่จะสบายทางลัดด้วยการอยากเป็นนางบำเรอหรืออนุเด็ดขาด เพราะท่านอ๋องไม่ชอบและรักพระชายาคนเดียวเคยมีนางกำนัลที่มาใหม่หลายคนลองดีมาแล้ว แต่ก็ไม่รอดสักรายไม่ตายก็ถูกส่งไปขายเป็นทาสไม่ก็ขายให้หอนางโลม กฎอีกข้อคือห้ามนำเรื่องภายในจวนไปเล่าให้คนนอกฟังถ้าจับได้โทษตายสถานเดียว ข้อนี้ก็มีคนลองดีมาหลายคนจุดจบก็คือตายสถานเดียว ถ้าทำได้สองข้อนี้ก็ใช้ชีวิตในจวนของจวินอ๋องได้สบายใจแล้ว อยากกลับไปเยี่ยมบ้านก็ได้กลับ ถ้าออกไปข้างนอกก็ต้องกลับมาตามเวลากำหนด หากเกินเวลาก็แค่บอกเหตุผลให้ชัดเจนแค่นั้น แต่ส่วนมากไม่มีใครทำผิดกฎข้อนี้หรอกเพราะตอนกลางคืนข้างนอกมันอันตรายอยู่ในจวนปลอดภัยกว่าเยอะ
เมื่อทุกคนพร้อมหน้ากันที่โต๊ะเสวยต่างก็พูดคุยและทานอาหารเย็นที่แสนอร่อย ทุกคนที่ได้ทานอาหารเย็นวันนี้ต่างก็ชมว่าอร่อยมาก โดยเฉพาะจวินอ๋องเจริญอาหารเป็นพิเศษ จนต้องตกรางวัลให้ทุกคนที่อยู่ในครัวทำมื้อเย็นวันนี้ ใช้เวลาไม่นานทุกเมนูก็ถูกทานจนหมดภายในพริบตาไม่เหลือสักจาน อี้กงกงคิดในใจดีนะที่ท่านไป๋หลินแบ่งอาหารทุกเมนูไว้ให้ เมนูละสองหม้อใหญ่พอสำหรับขันที นางกำนัลและเหล่าองครักษ์ ไม่เช่นนั้นอดกินของอร่อยแน่ ของคาวทานหมดแล้วก็ต้องตามด้วยของหวาน เหล่านางกำนัลต่างก็ช่วยกันยกกล้วยบวชชีขึ้นโต๊ะเสวย ทุกคนที่ได้ชิมก็บอกเป็นเสียงเดียวกันคือแปลกไม่เคยกินมาก่อน แต่มันอร่อยอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะจวินอ๋องกับเด็ก ๆ บอกถ้าหมดถ้วยนี้ของเพิ่มอีกถ้วย
ช่วงเวลาอาหารเย็นผ่านไปทุกคนก็นั่งพูดคุยเพื่อรอให้อาหารย่อย เหล่าขันทีนางกำนัลก็รีบเก็บโต๊ะเสวยให้สะอาด จากนั้นก็เริ่มทยอยนำเครื่องดื่มที่จวินอ๋องโปรดปรานที่สุดขึ้นโต๊ะ นั้นก็คือเหล้าจูเย้ฉิง หรือเหล้าไผ่เขียวกับเหล้านารีแดง ถือเป็นเหล้ารสเลิศของดีแห่งต้าเว่ย พอได้ยินชื่อเหล้าไป๋หลินก็อยากลองมาก แต่ต้องตัดใจลุกขึ้นไปทำกับแกล้มก่อน กับแกล้มที่ไป๋หลินทำก็มีหมูทอดเนื้อทอดกระเทียม ปลาหมึกแห้งย่างกินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและก็ถั่วทอดตามที่คิดไว้เมื่อตอนกลางวัน พอไป๋หลินทำทุกอย่างเสร็จก็รีบยกไปทันที เพราะเขาต้องการอยากสอบถามเรื่องที่ค้างคาใจอยู่หลายเรื่อง เมื่อไป๋หลินมาถึงทุกคนก็เริ่มดื่มไปบางแล้ว
"เจ้ามาก็ดีข้าจะแนะนำให้รู้จักท่านหมอใหญ่จากโรงหมอตระกูลหวง ท่านหมอใหญ่เหลียนฉี" จวินอ๋อง
"คารวะ ท่านหมอใหญ่เหลียนฉี" ไป๋หลิน
"เรียกพี่เหลียนฉีเถอะ เจ้าโตขึ้นมากจนมีสามีมีลูกแล้ว เจอตอนสิบขวบยังเป็นเด็กน้อยขี้แยอยู่เลย ตอนนี้กับกลายเป็นหมอฝีมือดีไปแล้ว ทำหน้างงแบบนี้ ฮ่า ฮ่า ข้าเป็นพี่ชายของเหนียนฉีกับหลิงฉี ก็เจอเจ้าตอนแต่งงานพี่ใหญ่เจ้าอย่างไรล่ะ" เหลียนฉี
"ขอรับ ท่านพูดเรื่องนี้มาก็ดีเลย ข้าขอถามเรื่องราวที่ข้าสงสัยทั้งหมดหน่อยแล้วกัน" ไป๋หลิน
ไป๋หลินเริ่มถามที่พี่ใหญ่ของตัวเองก่อนเลยว่าแต่งงานกับพี่หลิงฉีได้อย่างไรทั้งที่บ้านจางเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป พี่ใหญ่ไป๋อันก็ตอบหมดไม่มีปิดบัง ไป๋อันเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องของท่านพ่อท่านแม่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ไป๋อันบอกกับน้องชายเกอคนเล็กอย่างไป๋หลินว่า ท่านพ่อจางไป๋เฉิงคืออดีตองครักษ์เงาคนสนิทและยังเป็นพระสหายของอดีตฮ่องเต้ฉางหลง ได้เป็นองครักษ์เงาตั้งแต่อายุเพียงสิบหกปี ท่านแม่จางรั่วอี้ (หลิวรั่วอี้) เคยเป็นอดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการศาลต้าเว่ย ด้วยความฉลาดได้เป็นผู้ช่วยตั้งแต่อายุเพียงสิบสี่ปียังไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ ทั้งสองพบรักกันเนื่องจากต้องถวายงานรับใช้ฮ่องเต้จึงได้พบกันบ่อย ๆ ทั้งสองท่านได้ตกหลุมรักและแต่งงานกันตอนท่านแม่อายุสิบห้าปี เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยของฮ่องเต้ฉางหลงสละราชสมบัติให้กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ตอนนั้นท่านแม่ท้องไป๋หลินได้เพียงสองเดือน จึงตัดสินใจลาออกจากราชการย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหมิงโจวบ้านเกิดท่านพ่อใช้ชีวิตแบบชาวบ้านธรรมดาทั่วไป
พี่ใหญ่จางไป๋อันที่ไป๋หลินเห็นหนุ่มหล่อพูดน้อยคนนี้ที่ดูขยันขันแข็งทำงานในไร่ช่วยท่านพ่อ บางครั้งก็ออกไปรับจ้างต่างหมู่บ้านแท้จริงแล้วคือองครักษ์เงาของจวินอ๋อง ไม่น่าล่ะทำไมถึงหาตัวจวินอ๋องที่ได้รับบาดเจ็บได้ง่ายขนาดนี้ แสดงว่าท่านแม่ต้องรู้อยู่แล้วว่าคนเจ็บนิรนามคนนั้นคือจวินอ๋องแต่กลับเล่นละครตบตาข้านี่เอง ส่วนพี่สะใภ้ใหญ่หลิงฉีคุณชายเกอคนเล็กแห่งตระกูลหม่าที่เป็นตระกูลองครักษ์เก่าของอดีตฮ่องเต้ พี่หลิงฉีปัจจุบันนอกจากเป็นแม่บ้านดูแลลูก ๆ พี่สะใภ้ใหญ่ยังเป็นเจ้าของร้านเครื่องประดับในเมืองหลวงอีกด้วย นาน ๆ จะเข้ามาดูบัญชีเดือนละครั้ง แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือพี่สะใภ้ใหญ่ของไป๋หลินเป็นมือสังหารของฮ่องเต้ ที่จะคอยทำหน้าที่สังหารปิดบัญชีนักโทษหลบหนี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักโทษที่ก่อกบฏหรือขุนนางชั่วที่ถูกตัดสินคดีแต่ทำการหลบหนี ฮ่องเต้ก็จะมีรับสั่งให้พี่หลิงฉีจัดการ ซึ่งพระชายาเหนียนฉีก็เคยเป็นอดีตมือสังหารเช่นกัน พี่ใหญ่กับพี่หลิงฉีเองกับพบรักกันเนื่องจากทำงานร่วมกันบ่อย ๆ จึงตกหลุมรักกัน ทั้งคู่รับราชการตั้งแต่อายุยังน้อยจึงทำให้แต่งงานกันตอนที่พี่หลิงฉีอายุสิบหกปี
พี่รองจางไป๋เฉิน พี่ชายแสนอ่อนโยนสุดหล่อของไป๋หลิน ที่ภายนอกเหมือนชายหนุ่มชาวบ้านธรรมดาที่รับจ้างทั่วไปแต่ความจริงคือองครักษ์เงาส่วนพระองค์ของรุ่ยอ๋องหรือองค์ชายสามเฟิงเห่อ พี่สะใภ้รองเกาเถียนเหมยเป็นคุณหนูเล็กตระกูลเกา ลูกสาวอดีตท่านแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และยังเป็นน้องสาวของพระสนมเอกหรือหวงกุ้ยเฟยขององค์ฮ่องเต้ปัจจุบันและเป็นพระญาติกับฮองเฮาอีกด้วย พี่เถียนเหมยเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมในเมืองหลวงที่นาน ๆ จะเข้ามาดูบัญชีเดือนละครั้ง นอกจากนี้พี่สะใภ้รองบอกว่ามีอาชีพเสริมเหมือนพี่หลิงฉีก็คือมือสังหารนักโทษหลบหนี ทั้งคู่ก็เข้ารับราชการตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นกัน เส้นทางความรักของพี่รองกับพี่เถียนเหมยเริ่มจากทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมงานก่อน แต่มีวันหนึ่งพี่รองบาดเจ็บในการทำภารกิจได้พี่สะใภ้รองช่วยชีวิตไว้ จึงทำให้พี่รองตกหลุมพี่เถียนเหมยและสัญญาจะแต่งงานด้วย จนเมื่อพี่เถียนเหมยอายุได้สิบหกปีจึงได้แต่งงานกัน ฟังมาถึงเรื่องของครอบครัวพี่รองแค่นี้ข้าก็จะเป็นลมแล้วยังเหลือพี่สามอีกทนก่อนค่อยเป็นลมรอฟังเรื่องพี่สามก่อน
พี่รองเล่าว่าพี่สามจางไป๋หลง พี่ชายสุดหล่อแสนขี้เล่นคนนี้ของไป๋หลินเบื้องหน้าคือชายหนุ่มชาวบ้านธรรมดารักลูกรักเมีย แต่ความจริงคือหัวหน้าสายลับแห่งศาลต้าเว่ย รับคำสั่งโดยตรงจากฮ่องเต้กับจวินอ๋อง คอยสืบคดีต่าง ๆ ทั่วแคว้นต้าเว่ย ส่วนพี่สะใภ้สามกัวเซียวหรัวคือบุตรชายเกอคนเล็กของอดีตท่านเจ้ากรมคลังและเป็นน้องชายของพระชายาของรุ่ยอ๋อง ฟังจบทุกคนในบ้านข้ามีเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลยทุกคน ไม่น่าล่ะทำไมไป๋หลินถึงมีความรู้สึกกลัวพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รอง ดีนะที่ไป๋หลินไม่หาเรื่องพี่สะใภ้ทั้งสองไม่อย่างนั้นคงได้ตายไปนานแล้ว
"แล้วทำไมข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยละขอรับ" ไป๋หลิน
"ก็เจ้าไม่เคยถาม ท่านพ่อท่านแม่กับพวกพี่ก็เลยไม่ได้พูดอะไร ดูเจ้าเองก็ไม่เห็นสนใจ" ไป๋เฉิน
"แล้วบ้านท่านพี่ล่ะ เป็นเหมือนข้าหรือไม่บอกมานะ" ไป๋หลิน
"ไม่ ๆ บ้านตระกูลถานเป็นชาวบ้านธรรมดาเป็นคนธรรมดาเท่านั้น" หลัวฟาง
"มั่นใจเหรอน้องเขย ข้าว่าเจ้าไม่ได้สนใจถามเหมือนไป๋หลินมากกว่าใช่ไหมพี่ใหญ่" ไป๋เฉิน
"นั้นสิ" ไป๋อัน
"บ้านสามีข้าเป็นอย่างไรหรือขอรับพี่รอง" ไป๋หลิน
"นั้นสิขอรับพี่รอง ข้าเองก็อยากรู้" หลัวฟาง
"ข้าว่าเจ้าสองคนไปถามเองเถอะ ข้าว่าทุกคนบ้านถานใหญ่ต้องยอมบอกอยู่แล้ว" ไป๋เฉิน
"ฮ่า ฮ่า คราวนี้เจ้าหายสงสัยแล้วนะ" จวินอ๋อง
"ข้าไม่มีข้อสงสัยใด ๆ แล้วขอรับ" ไป๋หลิน
"จริงสิ เกือบลืมพี่ใหญ่พรุ่งนี้ ท่านพาพวกเราไปดูโครงสร้างโรงหมอตระกูลหวงได้หรือไม่" หลิงฉี
"ได้สิ พรุ่งนี้พี่ว่างพอดี" เหลียนฉี
"ข้าขอถามท่านได้หรือไม่พี่เหลียนฉี ท่านอ๋องด้วย" ไป๋หลิน
"ถามอันใดหรือ" เหลียนฉี
"ว่ามาสิ" จวินอ๋อง
"ทำไมที่หมิงโจวมีสำนักหมอประจำเมือง แต่ไม่มีหมอประจำการอยู่เลยสักคน ข้ารู้มาว่าเจ้าเมืองหมิงโจวขอกับทางสำนักหมอหลวงมาแล้วหลายครั้งให้ส่งหมอไปประจำการที่หมิงโจวแต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง" ไป๋หลิน
ไป๋หลินถามข้อสงสัยเรื่องสำนักหมอประจำเมืองจากจวินอ๋องกับท่านหมอใหญ่เหลียนฉี ทั้งคู่ให้คำตอบว่าที่ไม่มีหมอท่านไหนไปเพราะคงคิดว่างานจะหนักและเงินน้อยเลยไม่มีใครอยากไป อีกทั้งท่านหมอหลวงใหญ่ตอนนี้เหมือนกำลังต้องการงัดข้อกับเจ้าเมืองหมิงโจวเพราะท่านเจ้าเมืองหมิงโจนั้นสงสัยว่าท่านหมอหลวงใหญ่ทุจริตรับเงินสินบนเรื่องการสอบ เจ้าเมืองหมิงโจวจึงได้ส่งเรื่องขอให้ทางราชสำนักตรวจสอบ แต่หมอหลวงใหญ่ก็รอดทุกครั้งและคงแค้นมาก จึงได้ปฏิเสธคำขอของจากทางเจ้าเมืองหมิงโจวทุกครั้ง ให้เหตุผลว่าหมอที่เมืองหลวงขาดแคลน ซึ่งเรื่องนี้ทางศาลต้าเว่ยก็กำลังเร่งตรวจสอบและสืบอยู่ อีกไม่ช้าหรอกทุกอย่างจะกระจ่างแน่นอน ผลคดีที่ออกมามันต้องกระทบหลายฝ่าย คงจะสามารถถอนรากถอนโคนเหล่าขุนนางชั่วได้หลายคน
ดื่มกันไปสักพักเด็กน้อยทั้งหลายก็เริ่มง่วงนอนเหล่าแม่ ๆ จึงต้องพาลูกน้อยอาบน้ำเข้านอนปล่อยให้บรรดาสามีได้คุยกันตามประสาผู้ชาย ไป๋หลินพาสี่แฝดเข้านอนก่อนค่อยจะออกไปดูแลสามี เขาเล่านิทานให้สี่แฝดฟังจนหลับสนิทก็ถึงได้ออกไปหาหลัวฟาง ตอนนี้หลัวฟางเองก็กำลังมึนจึงได้ขอตัวไปพักผ่อนก่อน ระหว่างที่กำลังจะเดินไปห้องพักกับขันทีที่จะบอกทาง ไป๋หลินมาถึงพอดีจึงได้รับตัวสามีกลับห้อง ห้องของสามีภรรยาบ้านถานรองอยู่ติดกับห้องสี่แฝด พอเข้าไปในห้องหลัวฟางจู่ ๆ หลัวฟางก็ดึงไป๋หลินมากอดเพื่อขอสูดกลิ่นดอกถาวฮวา ซึ่งเป็นกลิ่นดอกไม้ประจำตัวของไป๋หลิน
"ท่านพี่ ปล่อยข้าก่อน ท่านต้องอาบน้ำก่อนเข้านอนนะ ถ้าไม่อาบก็ล้างหน้าล้างตาสักหน่อยจะได้สดชื่นขึ้น ข้าจะได้ไปนอนกับลูกนะขอรับ" ไป๋หลิน
"อื้อ คืนนี้นอนกับข้านะไป๋หลิน ข้ารู้สึกติดกลิ่นเจ้ามาก หากไม่มีเจ้านอนด้วยข้านอนไม่หลับแน่ ๆ นอนกับข้านะ ฟอด" หลัวฟาง
"ก ก็ได้แต่ท่านต้องอาบน้ำก่อนนะ แล้วข้าจะได้อาบต่อแล้วค่อยเข้านอนพร้อมกัน" ไป๋หลิน
"ถ้าอย่างนั้นอาบพร้อมกันเลยดีหรือไม่จะได้ไม่ต้องรอ" หลัวฟาง
"จ จะดีเหรอท่านพี่" ไป๋หลิน
ไป๋หลินหน้าแดงเมื่อจู่ ๆ สามีก็ขอให้นอนด้วย พร้อมยังบอกความในใจว่าชอบกลิ่นติดกลิ่นเขามากหากไม่นอนด้วยจะนอนไม่หลับ อีกทั้งยังบอกว่าให้อาบน้ำพร้อมกันอีก ข้าจะเป็นลมถึงข้าจะชอบคนหล่อหุ่นล่ำแบบสามีตัวเองก็เถอะ ถ้าให้อาบน้ำด้วยกันมันยิ่งเขินอายมากกว่าเดิม
"ทำไมจะไม่ดีละ เราสามีภรรยากันแล้วนะ อาบน้ำด้วยกันไม่ดีตรงไหน" หลัวฟาง
"ถ้าอย่างนั้น ก็ได้ข้าจะอาบกับท่าน" ไป๋หลิน
บางครั้งข้าก็อยากตบหัวตบปากตัวเองแรง ๆ ที่ไปรับปากหลัวฟาง แต่มันก็ห้ามปากไม่ได้เหมือนจิตใต้สำนึกของข้ามันอยากอาบน้ำกับหลัวฟางจนใจจะขาด แต่ดีที่จวนของจวินอ๋องนั้นห้องรับแขกจะมีที่สำหรับอาบน้ำพร้อมในตัว จึงไม่ต้องไปอาบรวมกับเหล่านางกำนัลหรือขันที ส่วนน้ำอาบก็มีนางกำนัลมาเตรียมไว้ให้เรียบร้อย พอไปถึงที่อาบน้ำหลัวฟางก็ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว ภัสกรในร่างของไป๋หลินที่ได้เห็นเรือนร่างของสามีเต็มตาครั้งแรก ก็ถึงกับหลงมนต์สะกดจนนิ่งค้างตะลึงในร่างกายอันแสนกำยำน่ากอด หลัวฟางเมื่อถอดเสื้อผ้าเสร็จก็ลงไปแช่ในอ่างน้ำที่ด้านบนของผิวน้ำที่มีกลีบกุหลาบสีแดงลอยอยู่จนไป๋หลินคิดในใจบรรยากาศมันช่างน่าเสียตัวซะจริง
"รีบถอดเสื้อผ้าลงมาสิ จะได้อาบพร้อมกัน" หลัวฟาง
"ขอรับ" ไป๋หลิน
ไป๋หลินก็ถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นจนหมด เรือนร่างอันแสนสวยประจักษ์ต่อสายตาของสามี เขาค่อย ๆ ก้าวขาลงอ่างน้ำช้า ๆ ก่อนที่จะโดนหลัวฟางดึงไปกอดพร้อมกับก้มลงซุกไซ้ดอมดมกลิ่นหอมของไป๋หลินอย่างห้ามใจไม่อยู่ ทำเอาไป๋หลินเผลอครวญครางออกมา หลัวฟางที่ความอยากในกามเริ่มครอบงำเมื่อได้ยินเสียงครางของไป๋หลิน เขาจึงเปลี่ยนจากซุกไซ้มาเป็นใช้ปากของตัวเองประกบกับปากนิ่มสีชมพูของภรรยาแทน หลัวฟางดูดเม้นปลายลิ้นและริมฝีปากอย่างนุ่มนวล ลิ้นอุ่นเซาะซอนไปตามแนวฟัน แรงกระตุ้นดังกล่าวทำให้ร่างกายเกร็งเขม็งขึ้นมาทันที เมื่อสติคืนมาทั้งคู่พรากออกจากกัน สายตาที่ทั้งคู่ที่มองกันมันเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความอยากในกามอารมณ์
"ข้ารู้ว่ามันเร็วเกินเพราะเราทั้งสองพึ่งปรับความเข้าใจกัน แต่ว่าข้าไม่ไหวจริง ๆ ยิ่งอยู่ใกล้เจ้าข้ายิ่งติดกลิ่นของดอกถาวฮวาของเจ้า ข้ายอมรับตรง ๆ ตอนนี้ข้าเริ่มหลงรักเจ้าแล้ว ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรพูดออกมาแต่ข้าต้องการเจ้าจริง ๆ ไป๋หลิน เจ้าให้ข้าได้หรือไม่" หลัวฟาง
"ข ข้าก็คิดเช่นท่าน ข้าอาจจะดูเหมือนคนง่าย แต่ข้าก็หลงรักท่านเช่นกัน ข ข้ายอมให้ท่านในคืนนี้"
เมื่อไป๋หลินเอ่ยปากอนุญาตหลัวฟางก็กลายร่างเป็นปีศาจราคะทันที อ่างอาบน้ำกลายเป็นสถานที่รองรับบทรักอันเร่าร้อนของสามีภรรยาบ้านถานรองที่ฉลองให้กับความรักที่ก่อตัวขึ้นจากทั้งสองฝ่ายจนน้ำในอ่างกระฉอก เป็นการร่วมรักที่เกิดจากการยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เพราะยาเหมือนสองครั้งก่อนที่ผ่านมา หลัวฟางเองก็ยอมรับว่าครั้งนี้ตัวเขาเองมีความปรารถนาต่อไป๋หลินอย่างมาก พอดื่มเหล้าจนมึนได้ทีแรงราคะในกายมันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนห้ามใจไม่ให้รังแกภรรยาไม่ไหว จนได้เอ่ยปากขอกับอีกฝ่ายตรง ๆ
ไป๋หลินยอมรับว่าเขาใจง่ายแต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อข้าได้หลงรักไปแล้ว ทั้งยังแต่งงานจนมีลูกแล้วจะให้มามัวเขินอายในเรื่องนี้แล้วเมื่อไรลูกสาวลูกเกอของข้าจะมาสักที แถมสามีที่เคยปากร้ายถึงขั้นเอ่ยปากบอกรักขนาดนี้ใครจะไม่ใจอ่อนยอมให้กันล่ะจริงไหม
บทรักของคู่รักบ้านถามรองนั้นเร่าร้องเกินไปจนทำให้เสียงเล็ดลอดออกไปข้างนอก ทำเอาขันทีกับนางกำนัลที่เดินผ่านพอดีได้ยินเสียงนึกว่าผีหลอกต่างก็พากันหวาดกลัวจนต้องรีบวิ่งหนีกันให้วุ่นกันเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาข่าวลือเรื่องที่ห้องพักรับแขกทางฝั่งด้านทิศตะวันออกว่ามีผีออกมาอาละวาดส่งเสียงโหยหวนน่ากลัวยามค่ำคืน
จนเรื่องนี้ดังไปทั่วจวนของจวินอ๋องรู้ไปถึงพระกรรณของพระชายา ทำเอาพระชายาเหนียนฉีสงสัยมากว่าทางฝั่งทิศตะวันออกมีผีจริงเหรอ ทางฝั่งนั้นจัดเป็นห้องพักให้ครอบครัวบ้านถานรองพักชั่วคราว แต่ทำไมไม่เห็นไป๋หลินมาบอกกล่าวหรือแจ้งอะไรเลยนะ คงต้องถามไป๋หลินดูอีกทีว่าไป๋หลินกับหลัวฟางนั้นได้ยินเสียงผีเหมือนกับที่เหล่าขันทีกับนางกำนัลได้ยินหรือไม่
ทางด้านของไป๋หลินที่ได้ยินข่าวหรือมาบ้างก็ถึงกับหน้าแดงเขินอายจนไม่กล้าออกจากห้องเลย ส่วนหลัวฟางนั้นไม่สะทกสะท้านอะไรมีแค่พูดว่าคราวหน้าจะเบาเสียงลงให้มากกว่านี้ ไป๋หลินที่ได้ยินสามีบอกกับตนก็ถึงกลับอ้าปากค้างพูดไม่ออก ไม่นึกว่าสามีปากร้ายจะกลายเป็นคนหลงในกามไปซะแล้ว แบบนี้ข้าก็ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นน่ะสิ