Mag-log inตำหนักเฉียนชิงกงศูนย์กลางแห่งอำนาจสูงสุดของแผ่นดินต้าหลิง เป็นที่ประทับของฮ่องเต้จิ้งอู่ผู้ทรงอำนาจและเยือกเย็น ตั้งอยู่ลึกที่สุดภายในเขตพระราชวังชั้นใน ตัวตำหนักหันหน้าไปทางทิศใต้หลังพิงภูเขามองออกไปเห็นแนวหลังคาพระตำหนักน้อยใหญ่เรียงลดหลั่นลงไปจนสุดกำแพงวัง หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองอร่าม สัญลักษณ์แห่งราชันย์ผู้เป็นศูนย์กลางฟ้าและดิน เมื่อแสงอาทิตย์ยามรุ่งสาดต้อง กระเบื้องเหล่านั้นสะท้อนแสงวับวาวราวเปลวเพลิงแห่งบัลลังก์
หน้าตำหนักมีลานหินอ่อนกว้างใหญ่เรียงด้วยหินขาวจากภูผาหลวง เสาหินมังกรแกะสลักสองข้างประตูยืนตระหง่าน เงามังกรพันเกลียวดูราวกับจะทะยานขึ้นสู่เมฆทุกครั้งที่ลมพัด พื้นลานถูกขัดจนสะอาดสะท้อนเงาเมฆบนฟ้าได้ชัดราวกระจก ภายในตำหนักกลิ่นกำยานจันทน์หอมอ่อนลอยอบอวล แสงไฟจากโคมทองส่องสว่างอบอุ่นแต่ไม่จ้า ผ้าม่านไหมสีเลือดนกพับระย้าอยู่เหนือบัลลังก์มังกร ซึ่งแกะจากไม้จันทน์แดงชิ้นเดียวทั้งแท่ง ลวดลายมังกรเก้าองค์พันรอบพนักบัลลังก์ ดวงตาแต่ละตาคมกริบราวกำลังจ้องผู้มาเข้าเฝ้า พื้นตำหนักปูด้วยไม้หอมที่ขัดจนเงามันเรียบสนิท ด้านหลังบัลลังก์เป็นฉากจิตรกรรมภูผาและทะเลเมฆ เขียนด้วยหมึกทองและครามเข้ม แสดงถึงความหมายฟ้าดินคู่ราชัน ข้างบัลลังก์ตั้งโต๊ะทรงกลมสำหรับวางฎีกา ข้างโต๊ะมีกระถางธูปหยกขาวขนาดใหญ่ควันลอยบาง ๆ ไม่เคยดับ ที่มุมห้องมีตั่งไม้สำหรับอ่านฎีกาและโต๊ะทรงเตี้ยซึ่งฮ่องเต้ใช้เขียนลายพระหัตถ์ พู่กันทองคำและหมึกดำบรรจุอยู่ในกล่องแกะลายเมฆมังกร ฝีมือช่างหลวงระดับสูงสุด เวลากลางวันแสงแดดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ฉลุลายเมฆ มอบเงาอ่อนพาดลงบนพื้นให้ดูราวภาพวาดเคลื่อนไหว ส่วนยามค่ำ ยามที่ลมพัดผ้าม่านพลิ้ว เสียงระฆังลมทองคำจากชายคาดังแผ่ว แว่วก้องในตำหนักอันสงบจนได้ยินเพียงเสียงลมหายใจขององค์เหนือหัว เฉียนชิงกงจึงมิใช่เพียงตำหนักที่งดงามโอฬาร แต่เป็นสถานที่ที่เวลาหยุดนิ่ง ทุกลมหายใจภายในล้วนอยู่ใต้รัศมีอำนาจของผู้หนึ่งเดียวในใต้หล้า ยามเช้าแห่งฤดูใบไม้ร่วงฟ้าด้านนอกยังคลุมด้วยหมอกบาง เสียงฆ้องประกาศเวลาที่ประตูวังดังสะท้อนก้องไปทั่วอาณาบริเวณ พระลานหน้าตำหนักเฉียนชิงกงเงียบสงบจนได้ยินเพียงเสียงรองเท้ากำมะหยี่ของขันทีที่ก้าวเรียงจังหวะอย่างเป็นระเบียบ องค์หญิงหลิงเซียงก้าวลงจากเกี้ยวอย่างสง่างาม นางสวมฉลองพระองค์สีขาวปักดิ้นเงินเรียบสงบแต่เปี่ยมด้วยศักดิ์ ดวงหน้างามสงบ ทว่าดวงตาแฝงแววระวัง เมื่อมองเห็นบานประตูไม้แกะสลักมังกรเก้าตัวที่เบื้องหน้า ประตูแห่งอำนาจที่ไม่เคยเปิดต้อนรับใครง่าย ๆ “เชิญองค์หญิง พ่ะย่ะค่ะ” ผู้ดูแลเฉียนชิงกงประสานมือโค้งศีรษะ นำทางเข้าไปด้วยท่าทีสำรวม ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ กลิ่นกำยานจันทน์ลอยอ้อยอิ่ง แสงจากโคมทองสะท้อนบัลลังก์มังกรกลางห้องจนวาวราวเปลวไฟ ด้านหลังม่านไหมสีเลือดนก เงาของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏชัด แผ่รัศมีเยือกเย็นที่ทำให้แม้แต่ลมหายใจยังต้องแผ่วลง “ถวายบังคมเพคะ” หลิงเซียง หลิงเซียงคุกเข่าลงช้า ๆ เสียงกระดูกข้อเข่ากระทบพื้นไม้ดังเบา แต่ก้องในอกของนางเอง ม่านไหมขยับเล็กน้อย เสียงทุ้มต่ำแต่ชัดเจนเอ่ยขึ้น “ลุกขึ้นเถิด หลิงเซียง” จิ้งอู่ นางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ฮ่องเต้จิ้งอู่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์เฉียบเย็น ดวงเนตรคมวาวราวเหล็กในราตรี พระอังสาสวมอาภรณ์มังกรทองที่สะท้อนแสงไฟชวนให้ผู้มองรู้สึกทั้งเกรงกลัวและยำเกรง “ฝ่าบาททรงมีพระบัญชาเรียกหม่อมฉันเข้าเฝ้า มิทราบว่าทรงมีพระประสงค์สิ่งใดเพคะ” หลิงเซียง เสียงของหลิงเซียงสงบนิ่ง แต่ภายในอกเต้นแรงราวกลองศึก เพราะฮ่องเต้จิ้งอู่นั้นรูปงามตามที่บันทึกในหนังสือเลย “เจ้ารู้ดีอยู่แล้ว” จิ้งอู่ พระสุรเสียงเรียบเย็นแต่แฝงแววเหนื่อยล้า “ข่าวจากตำหนักไฉ่หง ข้ามิอาจเพิกเฉย” จิ้งอู่ หลิงเซียงหลุบพระเนตรลง “หม่อมฉันมิได้ปฏิเสธเพคะ หากฝ่าบาทหมายถึงข้าวของในที่เสด็จทิ้งไว้นั้น หม่อมฉันเพียงรักษาสิ่งที่อดีตฮองเฮาทรงฝากไว้” หลิงเซียง “ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ข้าหมายถึงการกระทำของเจ้าต่างหาก เจ้าอะไรอยู่ถึงได้คิดจะปลิดชีพตัวเอง หรือเป็นเพราะชายเป็นพี่ชายที่ไม่มีดี ดูแลเจ้าไม่ดีจนเจ้าอยากที่จะ...ช่างมันเถอะข้าไม่พูดเรื่องนี้อีก” จิ้งอู่ จิ้งอู่ทรงทอดพระเนตรตรงมา แววตานั้นลึกจนยากหยั่งถึง “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าสิ่งที่เจ้าทำอาจเปลี่ยนชะตาทั้งแผ่นดิน” จิ้งอู่ หลิงเซียงเม้มริมฝีปาก พระอุณหภูมิในห้องราวกับลดลงทันที เสียงกำยานแตกเบา ๆ ดังในความเงียบ “หม่อมฉันไม่เคยคิดเช่นนั้นเพคะ เพียงแต่…วันนั้นมีคนจับตัวหม่อมฉันไปแล้วจัดฉากว่าหม่อมฉันข้าตัวตายเพค่ะ” หลิงเซียง ฮ่องเต้จิ้งอู่ทอดพระเนตรอยู่นาน ก่อนจะตรัสเสียงเบา “เเรื่องนั้นข้ารู้แล้ว ข้ากำลังให้พี่สามเจ้ากับศาลต้าเว่ยสืบอยู่ ระหว่างเจ้าก็ห้ามออกจากตำหนักไฉ่หงไปไหนโดยลำพังเด็ด” จิ้งอู่ “เพค่ะ” หลิงเซียง รับคำเสร็จหลิงเซียงก็รีบออกไปทันที ฮ่องเต้จิ้งอู่ทอดพระเนตรมองตามหลังพระขนิษฐาเพียงพระองค์ครู่หนึ่ง แล้วพระพักตร์แปรเป็นอ่อนลงเพียงเล็กน้อย ก่อนจะตรัสกับขันทีข้างกาย “หลิวกงกง สั่งหมอจัดยาบำรุงให้น้องเก้าด้วย สั่งห้องครัวหลวงทำอาหารบำร่างกายให้หลิงเซียงอย่าได้ขาด” จิ้งอู่ ฮ่องเต้จิ้งอู่บุรุษผู้ถืออำนาจสูงสุดแห่งแผ่นดินต้าหลิง พระรูปโฉมของพระองค์เป็นสิ่งที่ใครเห็นแล้วไม่มีวันลืมได้ ทั้งงดงามและน่าเกรงกลัวในเวลาเดียวกัน พระพักตร์ของพระองค์คมสลักราวมีดแกะจากหยกดำ คิ้วเข้มคมเฉียงเหนือดวงเนตรลึกดุจบึงมืดในราตรี ดวงตาคู่นั้นเยือกเย็นราวน้ำแข็ง แต่หากมองนานเข้า จะรู้ว่ามีเปลวเพลิงบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น เปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นและความโหดเหี้ยมที่พร้อมเผาผลาญทุกสิ่งเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ สันจมูกโด่งตรงรับกับแนวกรามแข็งกร้าว ริมพระโอษฐ์บางที่มักปิดสนิททำให้ยากจะคาดเดาความคิดเบื้องหลัง เสี้ยวรอยยิ้มของพระองค์ไม่เคยอ่อนโยน มันคือรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนในท้องพระโรงต้องคุกเข่าลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อพระองค์ทรงสวมอาภรณ์มังกรทอง ยามแสงจากโคมส่องต้อง เงาของลายดิ้นมังกรที่พาดบนพระอังสาจะวาวราวสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหว พระอิริยาบถสงบเยือก แต่ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยพลังอำนาจอันดุดัน ราวพยัคฆ์ที่อยู่ในร่างราชัน ผิวพระวรกายขาวแต่ไม่ซีดเป็นขาวแบบหยกเนื้อแข็ง เย็นและแฝงความแข็งแกร่ง เส้นผมดำขลับยาวประบ่ามักรวบขึ้นด้วยปิ่นทองรูปมังกร บางครั้งปอยผมเล็ก ๆ ที่หลุดออกมาเคลื่อนไหวตามลมก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์อันอันตรายให้พระองค์ ผู้คนในวังกล่าวกันว่ายามพระองค์นิ่ง เหมือนภูผาที่ไม่มีผู้ใดข้ามได้แต่ยามพระองค์กริ้ว ดุจสายฟ้าที่ผ่าฟ้า ทั้งวังเงียบลงในลมหายใจเดียว และแม้แต่ผู้กล้าที่สุด เมื่อสบพระเนตรกับฮ่องเต้จิ้งอู่ ก็ไม่อาจทนมองได้นานนัก เพราะใต้ความหล่อเหลาคมคายของพระองค์นั้น แฝงไว้ด้วยรัศมีของราชันผู้เปื้อนเลือด ชายผู้ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยทั้งอุบาย ดาบ และความโดดเดี่ยว เสน่ห์ของพระองค์จึงมิใช่ความงาม หากแต่เป็นความอันตรายที่งดงามจนไม่มีใครกล้าขัดใจข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ
มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ







