Mag-log inองค์หญิงหลิงเซียงเสด็จกลับจากเข้าเฝ้าฮ่องเต้จิ้งอู่ พระทัยกลับคลางแคลงมิอาจสงบ ดุจมีบางสิ่งปิดบังอยู่ในเงามืด มิแน่ว่าฮ่องเต้จะเป็นผู้ทำร้ายพระองค์ดังที่เคยเข้าใจ
ภายในตำหนักไฉ่หง แสงตะเกียงนวลอ่อนส่องต้องผนังหยกขาว เงาไม้พลิ้วตามแรงลมเย็นของยามค่ำ หม่ากูกูยกถาดชาจากเตาร้อนวางลงอย่างเงียบงัน พลางเหลือบสายตาไปยังองค์หญิงผู้ยังนิ่งเงียบอยู่ริมหน้าต่าง “องค์หญิงเพคะ ทรงอย่าทรงกังวลนักเลยพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋กงกง ไป๋กงกงเอ่ยเสียงแผ่วพลางค้อมศีรษะ “ฝ่าบาททรงมีพระท่าทีต่างไปจากเดิมก็จริง แต่หม่อมฉันเกรงว่า…เบื้องหลังอาจมีผู้ใดปั้นเรื่องใส่ร้าย” ไป๋กงกง องค์หญิงทอดพระเนตรลงในถ้วยชา น้ำสีอำพันสะท้อนภาพพระพักตร์อันหม่นเศร้า “ไป๋กงกงเห็นเช่นนั้นหรือ… หากเป็นจริง เช่นนั้นผู้ใดกันเล่าที่อยู่เบื้องหลังการทำร้ายข้า” หลิงเซียง ซินเหมยกับจูซิง นางกำนัลรุ่นเยาว์ยืนเงียบอยู่เบื้องหลัง สีหน้าสั่นไหวด้วยความกังวล “กระหม่อมกับเฟิงหวงตรวจตรารอบตำหนักแล้วเพคะ” ห่าวเฉิง ห่าวเฉิงก้าวออกมากล่าวเสียงเรียบ “แต่พบรอยเท้าแปลกปลอมใกล้สระบัวด้านใน อาจมีผู้ลอบเข้ามายามองค์หญิงเสด็จไปเข้าเฝ้า” ห่าวเฉิง พระเนตรขององค์หญิงหลิงเซียงฉายแววเยือกเย็นขึ้นทันที “เช่นนั้น… ให้เฝ้าสังเกตโดยอย่าให้ผู้ใดรู้ตัว ข้าต้องการทราบว่าแท้จริงแล้ว ใครคือศัตรูของข้าและใครกันแน่ที่ข้าควรไว้ใจ” หลิงเซียง ถึงจะพยายามทำน้ำเสียงให้ดูปกติ แต่ในใจกลับเต้นแรงและสมองคิดหนักว่าจะอยู่รอดไปได้กี่วันกันเนี่ย ถึงขั้นมีคนร้ายลอยเข้าอีก แสงตะเกียงพลันสั่นไหวตามแรงลมที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เงาแห่งความลับจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งในค่ำคืนที่เงียบงัน… คืนนั้น ลมเหนือพัดต้องหลังคาแกะสลักจนเกิดเสียงหวีดหวิว แสงตะเกียงตามระเบียงตำหนักแกว่งไหวเป็นระยะ เงาไม้สะท้อนผนังดุจวิญญาณที่เร้นกายยามราตรี ห่าวเฉิงในชุดดำสนิทเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียง มือหนึ่งกุมด้ามดาบ อีกมือส่งสัญญาณให้เฟิงหวงลาดตระเวนรอบสระบัว ดวงตาคมขององครักษ์เงาคู่นั้นจับจ้องความมืดเบื้องหน้าไม่กะพริบ “มีเงาเคลื่อนไหวทางด้านหลังตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงหวง เสียงเฟิงหวงเอ่ยเบาๆ ขณะปรากฏตัวจากเงาไม้ “ดูเหมือนจะเป็นคนเดียว…เคลื่อนไหวชำนาญยิ่ง” เฟิงหวง ห่าวเฉิงขมวดคิ้ว ดึงผ้าคลุมหน้าขึ้น “ตามข้ามา” ห่าวเฉิง ทั้งสองเงียบกริบ เคลื่อนตัวผ่านสวนบัวที่ชุ่มด้วยไอละอองกลางคืน เสียงน้ำหยดจากใบบัวดังแผ่วๆ กลบฝีเท้าของทั้งคู่ ทว่าไม่นานนัก กรอบ! เสียงไม้แผ่นหนึ่งแตกร้าวดังขึ้นเบาๆ จากข้างระเบียงตำหนัก เงาดำพลันพุ่งออกจากมุมมืดด้วยความเร็วสูง! “หยุด!” ห่าวเฉิง ห่าวเฉิงกระโจนตาม ดาบในมือแวววับสะท้อนแสงจันทร์ แต่เงานั้นกลับพลิกกายหลบพ้นในเสี้ยวลมหายใจ พุ่งข้ามหลังคาไปทางเรือนเก็บเครื่องแต่งองค์ขององค์หญิง เฟิงหวงดีดตัวขึ้นตาม เสียงเท้าสองคู่กระทบกระเบื้องหลังคาเป็นจังหวะเร่งร้อน “มันไปทางตำหนักใน!” เฟิงหวง เฟิงหวงร้องขึ้น “อย่าให้ถึงองค์หญิงเด็ดขาด!” ห่าวเฉิง ห่าวเฉิงสั่งเสียงกร้าว แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าใกล้ เงานั้นกลับหยุดชะงักเพียงครู่ ทิ้งวัตถุบางอย่างลงพื้น แล้วหายวับไปในความมืดราวกับไม่เคยมีตัวตน ห่าวเฉิงหยุดยืนเหนือวัตถุนั้น ใช้ปลายดาบเขี่ยเบา ๆ มันคือ “ปิ่นหยกสีฟ้ารูปดอกเหมย” ห่าวเฉิง เครื่องประดับที่องค์หญิงเคยสวมเมื่อวันถูกทำร้าย… “นี่มัน” เฟิงหวง เฟิงหวงตะลึง ห่าวเฉิงขมวดคิ้วแน่น “ดูเหมือนเรื่องนี้จะซับซ้อนกว่าที่คิด…ใครกันแน่ที่อยากให้พระนางเข้าใจผิด” ห่าวเฉิง ลมยามค่ำพัดแรงขึ้นอีกครั้ง เงาจันทร์บนพื้นกระเพื่อมไหว คล้ายสวรรค์เองยังมิอาจนิ่งเงียบต่อความลับที่กำลังจะถูกเปิดเผย… แสงอรุณแรกของวันส่องลอดม่านแพรบาง เข้าสัมผัสพระพักตร์อันงดงามแต่แฝงความอ่อนล้า องค์หญิงหลิงเซียงทรงนั่งอยู่เบื้องหน้าต่าง เสียงนกเช้าดังแผ่วราวกลบความหนักอึ้งในพระทัยมิได้ ไป๋กงกงค่อย ๆ เดินเข้ามาพร้อมหม่ากูกูในชุดผ้าฝ้ายเรียบ “องค์หญิงเมื่อคืนห่าวเฉิงกับเฟิงหวงเพิ่งกลับมาเมื่อยามชุ่ย นำของสิ่งหนึ่งมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋กงกง พระเนตรขององค์หญิงเหลียวขึ้นทันที “ของสิ่งหนึ่งหรือ” หลิงเซียง ไป๋กงกงค้อมศีรษะต่ำ แล้วยื่นห่อผ้าไหมออกมาอย่างระมัดระวัง เมื่อพระหัตถ์งามคลี่ออก สิ่งที่ปรากฏคือปิ่นหยกสีฟ้าอ่อนรูปดอกเหมยชิ้นเดียวกับที่เคยหายไปในวันที่พระองค์ถูกลอบทำร้าย “ปิ่นหยกนี้…” หลิงเซียง พระสุรเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ “เป็นของข้าแท้ ๆ แต่เหตุใดจึงไปอยู่ในมือผู้ลอบเข้ามาเมื่อคืน” หลิงเซียง “หม่อมฉันตรวจดูอย่างถี่ถ้วนแล้วเพคะ ปิ่นนี้มีรอยแตกใหม่ตรงขอบ เหมือนเพิ่งตกกระทบของแข็งเมื่อไม่นาน” หม่ากูกู พระเนตรขององค์หญิงหลิงเซียงทอดมองหยกงามในมือ ดวงพระพักตร์เงียบงันอยู่ชั่วครู่ ก่อนตรัสเสียงเรียบเยือกเย็น “ให้ห่าวเฉิงสืบว่ามีผู้ใดในวังที่สามารถเข้าถึงห้องเก็บของส่วนนี้ได้… และอย่าให้ข่าวนี้เล็ดลอดออกไปแม้แต่น้อย” หลิงเซียง “พะย่ะค่ะ” ไป๋กงกง องค์หญิงหลิงเซียงทรงหลับพระเนตรลง พลันภาพความหลังผุดขึ้นวันที่พระมารดาถูกกลั่นแกล้งในวังหลัง เสียงกระซิบในเงา และคำเตือนของอดีตฮองเฮาที่ว่า “ในวังนี้ ไม่มีสิ่งใดเป็นอย่างที่เห็น…” พระเนตรที่เปิดขึ้นอีกครั้งนั้น เปล่งแสงเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม “ดูท่าว่าสวรรค์…กำลังจะให้ข้ารู้ความจริงเสียที” หลิงเซียง ลมสายบ่ายพัดผ่านสวนหลวง กลิ่นดอกเหมยร่วงโรยแตะปลายจมูก ห่าวเฉิงกับเฟิงหวงในชุดข้าราชบริพารเดินเคียงกันอยู่ตามทางเดินอิฐหิน สายตาทั้งคู่กวาดมองรอบอย่างระแวดระวัง แม้เพียงเงาของนางกำนัลผ่านไปก็ไม่พ้นการจับสังเกต “ข้าให้คนตรวจบัญชีของห้องเก็บเครื่องประดับแล้ว” เฟิงหวง เฟิงหวงเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่รายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าออกกลับหายไปหนึ่งช่วงเดือนพอดีช่วงที่องค์หญิงถูกลอบทำร้าย” ห่าวเฉิง ห่าวเฉิงชะงักฝีเท้า ดวงตาเรียวคมแฝงแสงเย็น “หายไปหนึ่งเดือนเต็ม? เช่นนั้นมีคนตั้งใจลบ” ห่าวเฉิง “ข้าคิดเช่นกัน” เฟิงหวง เฟิงหวงตอบพลางหันมองไปทางเรือนรองด้านตะวันออก “และเมื่อเช้า ขันทีเวรยามเล่าว่ามีคนเห็นเงาดำปรากฏในบริเวณนั้นบ่อยนักยามค่ำ” เฟิงหวง ห่าวเฉิงพยักหน้าเบา ๆ “เรือนตะวันออก…นั่นคือที่พักของกงกงฝ่ายพิธีการไม่ใช่หรือ” ห่าวเฉิง “ใช่ จั่วกงกงผู้นำขันทีฝ่ายเครื่องต้น เคยรับใช้พระมารดาองค์หญิงมาก่อน แต่ภายหลังกลับอยู่ฝ่ายฮองไทเฮา” ห่าวเฉิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “แปลว่ามีสายสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย… อันตรายยิ่งนัก” ห่าวเฉิง ทั้งสองหยุดยืนหลังต้นเหมยใหญ่ มองเห็นเงาบ่าวผู้หนึ่งกำลังลอบซ่อนสิ่งของบางอย่างใต้กระถางหยกข้างเรือนนั้น เฟิงหวงส่งสายตา ห่าวเฉิงพยักหน้ารับ ทั้งคู่เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็วและเงียบงันราวลมหายใจ เฟิงหวงคว้าแขนบ่าวผู้นั้นไว้ก่อนจะทันหนี “เจ้าทำอะไรอยู่” ห่าวเฉิง ห่าวเฉิงถามเสียงเรียบ ดวงตาคมจ้องลึกจนอีกฝ่ายหน้าซีด “ข้า…ข้าเพียงทำความสะอาดขอรับ!” จั่วกงกง “ทำความสะอาดยามบ่ายด้วยผ้าสีดำเช่นนั้นหรือ?” ห่าวเฉิง เฟิงหวงถาม พร้อมดึงห่อผ้าจากมืออีกฝ่ายออกมา เปิดดูภายในปรากฏเป็นเครื่องประดับหยกอีกชิ้นหนึ่ง สีเดียวกับปิ่นขององค์หญิง! ห่าวเฉิงยกขึ้นพินิจ เห็นรอยจารึกเล็ก ๆ ด้านในฐานหยกอักษรคำเดียว “เกา” เขาและเฟิงหวงสบตากันทันที ความเข้าใจฉับพลันไหลผ่านในแววตาทั้งคู่ “ดูท่าว่า…ต้นตอจะอยู่ใกล้กว่าที่คิด” เฟิงหวง เสียงลมยามบ่ายพลันพัดแรงขึ้น กลีบดอกเหมยปลิวว่อนในอากาศ ดุจสวรรค์เองกำลังปิดบังความลับที่ไม่ควรถูกเปิดเผย…ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ
มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ







