Mag-log inยามเฉินแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ทาบยอดหลังคากระเบื้องเคลือบสีทองนอกวังหลวง รถม้าสีเรียบจอดอยู่หน้าตลาดตะวันออก ผู้คนพลุกพล่าน กลิ่นขนมอบและผลไม้สดลอยคลุ้งในอากาศ
องค์หญิงหลิงเซียงทรงสวมอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีงาช้าง ปิดพระพักตร์ไว้ด้วยผ้าคลุมบางเบา มีเพียงห่าวเฉิงและเฟิงหวงติดตามอยู่ห่าง ๆ ในคราบข้ารับใช้ธรรมดา
“ตลาดนี้ช่างครึกครื้นนัก” หลิงเซียง
พระสุรเสียงแผ่วแต่แฝงรอยยิ้มบาง
“ข้าจำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก พระมารดาเคยพาข้ามาซื้อแป้งข้าวหอมเพื่อนำไปทำขนมดอกเหมย” หลิงเซียง
เฟิงหวงเอ่ยเบา ๆ พลางเหลือบมองรอบตัว
“ห่าวเฉิง ข้าเห็นร้านขนมฝั่งโน้นมีคนแน่นไม่ขาดสาย ดูท่าจะมีชื่อเสียงไม่น้อย” เฟิงหวง
ห่าวเฉินยกมือแตะด้ามดาบที่ซ่อนใต้เสื้อคลุม พลางตอบ
“แม้เพียงตลาดเล็ก ๆ ก็ยังมิอาจวางใจได้ ขอให้พระองค์ทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้าอย่าห่างนัก” ห่าวเฉิน
องค์หญิงทรงหัวเราะเบา ๆ
“พี่จริงจังเกินไปนักห่าวเฉิง ข้าเพียงจะซื้อแป้งข้าวกับถั่วแดงเท่านั้น มิได้คิดก่อศึก” หลิงเซียง
พระสุรเสียงนั้นอ่อนโยนแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ห่าวเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนค้อมศีรษะ
“พ่ะย่ะค่ะ หากเช่นนั้น กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่ใกล้ ๆ” ห่าวเฉิง
พระเนตรขององค์หญิงทอดมองร้านขนมเล็ก ๆ ที่หญิงชรากำลังนวดแป้งอยู่
“กลิ่นแป้งหอมดั่งความทรงจำ…” หลิงเซียง
พอได้กลิ่นแป้งหอม ๆ ความทรงจำขององค์หญิงหลิงเซียงก็ฉายภาพในหัวอีกครั้ง เป็นความทรงจำแห่งความสุขเมื่อที่ที่พระมารดาเคยพามาเที่ยวชมตลาด
ทันใดนั้นเสียงเด็กชายตะโกนขายของดังขึ้นใกล้ ๆ รถม้า
“ปิ่นหยกของแท้จากเมืองทางใต้! ปิ่นหยกงามนักเข้ามาชมก่อนได้ขอรับ”
องค์หญิงหลิงเซียงชะงัก ฝ่าพระหัตถ์ที่กำลังจะรับแป้งข้าวหยุดกลางอากาศ พระเนตรเบิกกว้างเพียงชั่ววินาที ก่อนแฝงความนิ่งไว้ดังเดิม
“เฟิงหวง พี่ไปดูปิ่นหยกนั้นให้ข้าที” หลิงหญิง
พระสุรเสียงเรียบเย็นลงกะทันหัน เฟิงหวงยังไม่ทันเดินไปถึงร้านปิ่นหยก เสียงม้าร้องฮือดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของตลาด ฝุ่นทรายลอยคลุ้ง รถม้าสีดำสนิทแล่นเข้ามาช้า ๆ ฝูงชนรีบหลีกทางให้เป็นแนว
ห่าวเฉิงเหลือบสายตาไปมองทันที มือแตะด้ามดาบใต้เสื้อคลุมโดยสัญชาตญาณ องค์หญิงหลิงเซียงหันตามเสียงนั้น แล้วพระเนตรกลับแข็งค้างชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวลงจากรถม้า ชุดยาวสีดำขลิบทอง ปลายผมมัดสูง ดวงตาคมเย็นราวเหยี่ยวเหนือหุบเขา
คุณชายมู่เทียนหลาง แห่งตระกูลมู่ ตระกูลที่เคยเป็นศัตรูกับราชวงศ์อย่างเปิดเผยเมื่อสามปีก่อน… และยังเป็นผู้ที่องค์หญิงเชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการลอบทำร้ายพระองค์ในอดีต มู่เทียนหลางกวาดสายตาไปรอบตลาดชั่วครู่ ก่อนหยุดลงที่พระพักตร์ใต้ผ้าคลุมบางนั้น เขาชะงักเพียงเสี้ยววินาทีรอยยิ้มเย็นผุดขึ้นตรงมุมปาก
“ผู้คนในเมืองนี้ช่างเปลี่ยนไปนัก… แม้แต่องค์หญิงผู้สูงศักดิ์ยังลดพระองค์ลงมาซื้อของเอง” เทียนหลาง
เสียงทุ้มของเขาเอ่ยเรียบ แต่แฝงแรงเย้ยหยันบางอย่าง ห่าวเฉิงก้าวมาข้างหน้าโดยอัตโนมัติ
“โปรดสำรวมวาจา ท่านมู่เทียนหลาง” ห่าวเฉิน
“หึ… องครักษ์เงาแห่งตำหนักไฉ่หง ข้าเห็นเจ้าครั้งสุดท้ายยังบาดเจ็บจากการฝึกหายดีแล้วหรือ” เทียนหลาง
องค์หญิงหลิงเซียงขยับพระกายเพียงน้อย พระสุรเสียงนิ่งสงบแต่แฝงอำนาจ
“ข้ามาซื้อของเท่านั้น มิได้มาเพื่อฟังถ้อยคำของผู้หลงตนในอำนาจตระกูล” หลิงเซียง
มู่เทียนหลางก้าวเข้ามาใกล้อีกเพียงก้าว พระเนตรเยียบเย็นจ้องสบพระเนตรของพระองค์
“สามปีก่อน… หากไม่ใช่เพราะการแข่งแต่งกลอนอะไรนั้น เราคงไม่เป็นศัตรูกันเช่นวันนี้” เทียนหลาง
เงียบงันปกคลุมตลาดในชั่วอึดใจ ผู้คนรอบข้างหยุดเคลื่อนไหว ลมหอบฝุ่นบางเบาผ่านระหว่างทั้งคู่ ในใจหลิงเซียงตอนนี้งงมาก แข่งขันอะไรกันไปแข่งตอนไหน ทำไม่ในความทรงจำขององค์หญิงถึงไม่มีเรื่องนี้
“อย่าพูดถึงมันอีกเลยเจ้าควรลืมได้แล้ว ข้าเองก็ลืมเช่นกัน” หลิงเซียง
พระสุรเสียงขององค์หญิงต่ำแต่หนักแน่น
“แต่ข้าไม่เคยลอบทำร้ายผู้ใดในความมืดเหมือนท่าน” เทียนหลาง
ลอบทำร้ายอะไรอีก ไปทำร้ายใครอะไรยังไงกันองค์หญิง สร้างศัตรูไว้เยอะเกินไปแล้วนะ
“หรือท่านมั่นใจนักว่าผู้ลงมือวันนั้น ไม่ใช่คนในวังของท่านเอง” เทียนหลาง
พระเนตรขององค์หญิงไหววูบไปเพียงแวบเดียว ก่อนกลับสงบนิ่งดังเดิม ยังเอ่ยเพื่อแก้ไขสถานการณ์ไปก่อน
“คำพูดของเจ้า… ข้าจะจำไว้” หลิงเซียง
มู่เทียนหลางค้อมศีรษะเล็กน้อย
“จำไว้ก็แล้วกัน องค์หญิงหลิงเซียงเพราะความจริงนั้น บางครั้งอยู่ใกล้กว่าที่ท่านคิด” เทียนหลาง
เขาหันหลังขึ้นรถม้าเสียงเกือกม้าดังห่างออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นฝุ่นและเงาของอดีตที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในพระทัยขององค์หญิง ห่าวเฉิงก้าวเข้ามาใกล้
“จะให้กระหม่อมตามสืบหรือไม่ พ่ะย่ะค่ะ” ห่าวเฉิง
องค์หญิงหลิงเซียงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงแผ่ว
“ไม่ต้อง… ถ้าเขาคือคนที่คิดร้ายกับข้า เขาจะเผยตนเองในไม่ช้า” หลิงเซียง
มู่เทียนหลางนามนี้เมื่อเอ่ยถึง ไม่เพียงทำให้เหล่าขุนนางในราชสำนักต้องระวังคำพูด หากแม้แต่สตรีในเมืองหลวงยังเผลอเอ่ยชื่อเขาด้วยเสียงแผ่วเบา รูปโฉมของเขางามปานอสูรสวรรค์ ดวงตาเรียวยาวเจือแสงเย็นราวคมเหล็กใต้แสงจันทร์ ขนตาดกดำทอดเงาเหนือแก้ม ดั่งจะซ่อนความลึกล้ำไม่ให้ผู้ใดมองทะลุ
คิ้วเข้มทรงกระบี่ ขับให้ใบหน้าคมดั่งแกะสลักจากหยกหิมะ จมูกโด่งตรงไร้ที่ติ ริมฝีปากบางมีรอยยิ้มเย้ยหยันที่มักไม่ถึงดวงตายามยิ้มกลับดูน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าความเงียบ ผมยาวสีหมึกมัดไว้หลวม ๆ ด้วยริ้วแพรทอง เมื่อปล่อยลมพัด กลุ่มเส้นผมเคลื่อนไหวพลิ้วไหวราวเงาดำที่มีชีวิต
ยามสวมชุดสีดำขลิบทองปักลายมังกรเหิน เขาเปรียบเสมือนรัตติกาลที่มีเปลวไฟซ่อนอยู่ภายใน—งดงาม เยือกเย็น และอันตราย ผู้คนในวังเรียกเขาว่า เงามังกรแห่งตระกูลมู่ เพราะใต้ใบหน้าอันหล่อเหลานั้น คือจิตใจที่คมดั่งมีด ดุจชายผู้ยิ้มอยู่ข้างดอกเหมย แต่ดอกนั้นอาจเปื้อนเลือดเมื่อถึงยามร่วงโรย
หลังจากที่ออกห่างจากมู่เทียนหลางมาได้องค์หลิงเซียงก็คิดในใจว่า มู่เทียนหลางคนนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการตายครั้งนี้ของเขาหรือเปล่า เพราะมู่เทียนหลางนั้นอยู่ข้างของฮ่องเต้ แต่จะมีเหตุจูงใจอะไรถึงได้ทำร้ายองค์หญิงได้ ถ้าโกรธกันเล็กหน่อยก็ไม่น่าถึงขั้นฆ่าให้ตายนะ ยิ่งหาความจริงยิ่งมีผู้เกี่ยวข้องมาเพิ่มอีก แต่ยังมีเวลาอีกตั้งเจ็ดปีถึงจะเกิดเรื่องใหญ่ ระหว่างรอขอเตรียมตัวหาซื้อที่ดินก่อนแล้วกัน ข้าจะต้องเป็นเจ้าของเหลาอาหารที่ดังที่สุดให้ได้
ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ
มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ







