Mag-log inคืนไร้ดาววังหลวงเงียบงันราวกับหลับใหลแต่ใต้เงาระเบียงตำหนักไฉ่หง การเคลื่อนไหวที่ไม่ควรเกิดกำลังเกิดขึ้น มู่เทียนหลางยืนอยู่ในชุดทหารสามัไร้เครื่องหมาย ไร้ยศศักดิ์ มีเพียงดาบคู่ใจที่ซ่อนใต้เสื้อคลุม“พร้อมหรือไม่” เทียนหลางเขากระซิบถามองค์หญิงหลิงเซียง องค์หญิงพยักหน้านางสวมเสื้อคลุมเรียบง่าย ผมเกล้ามวยต่ำ ไม่มีเครื่องประดับใดบ่งบอกฐานะ“ข้าไม่กลัวเจ้าค่ะท่านพี่ ขอเพียงได้ออกไปหาท่านตาท่านยาย ข้าไม่กลัวอะไรทั้งนั้น” หลิงเซียงมู่เทียนหลางกำมือแน่น“ข้าจะปกป้องเจ้าให้ไปถึงชายแดนแน่นอน” เทียนหลางเส้นทางลับใต้ตำหนักมีเพียงไม่กี่คนในวังที่รู้ว่ามีอยู่ ยามเฝ้าทางถูกทำให้หลับอย่างสงบไม่มีเลือดไม่มีเสียง รถม้าธรรมดาคันหนึ่งแล่นออกจากประตูหลังวังในยามเปลี่ยนเวร ไม่มีผู้ใดสังเกตเพราะทุกสายตา กำลังจับจ้องไปที่ชายแดนและการล่าของตระกูลเกาหลายวันต่อมาลมหนาวของชายแดนพัดแรงกลิ่นควันไฟและเหล็กกล้าคลุ้งไปทั่วค่ายทหาร เมื่อรถม้าหยุดลงชายชราผมขาวในชุดเกราะเก่ายืนอยู่หน้าค่ายเกาเฉียวฟงเขานิ่งไปทันทีที่เห็นร่างเล็กก้าวลงจากรถ เขาก็ยังกับใจสั่นด้วยความดีใจ“หลิงเซียง…” เฉียวฟงเสียงนั้นสั่นแขนที่เคยถ
ข่าวการลอบปองร้ายองค์หญิงหลิงเซียงถูกส่งออกจากวังอย่างเงียบงัน แต่เมื่อมันไปถึงชายแดนเหนือไปถึงจวนที่ชายแดนของแม่ทัพใหญ่เกาเฉียวฟงความเงียบก็พังทลายจวนตระกูลเกาเสียง ปึง! ดังสนั่นแม่ทัพใหญ่เกาเฉียวฟง ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะไม้หนักจนถ้วยชาแตกกระจาย“สารเลว!” เฉียวฟงไอพิฆาตแผ่ซ่านทั่วห้องโถงเหล่าบุตรชายและหลานชายของตระกูลเกาลุกขึ้นยืนพร้อมกันดวงตาทุกคู่แดงก่ำ“หลานสาวของข้า”เสียงเกาเฉียวฟงสั่นด้วยโทสะ“ถูกลอบฆ่าถึงในวังหลวง แต่ทางวังหลวงกลับบอกว่าจับไม่ได้คนร้ายไม่ได้”เกาฟานหวงท่านลุงใหญ่ขององค์หญิงกำดาบแน่น“ท่านพ่อ ส่งคำสั่งมาเถิดข้าจะนำทหารกลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้ ไปตามล่าคนร้ายให้ได้” ฟานหวง“ข้าด้วย!” ฟานถง“ข้าด้วย!” ฟานอี้เสียงตอบรับดังขึ้นไม่ขาดสายหญิงชราผู้หนึ่งเดินออกมาช้า ๆ ท่านยายเกาเฟยเถาที่เดินทางมาชายแดนชั่วคราวแม้ผมขาวแต่สายตายังคมกริบดุจคมดาบ“พอ!” เฟยเถาเสียงเดียวทั้งห้องเงียบงันนางมองบุตรชายหลานชายทีละคน ก่อนกล่าวช้า ๆ แต่หนักหน่วง“เซียงเอ๋อร์…คือเลือดเนื้อของตระกูลเกา แต่พวกเจ้าอย่าลืม หากยกทัพโดยไร้พระราชโองการนั่นไม่ใช่การปกป้อง แต่คือกบฏและเซียงเอ๋อร์ก็จะโทษไปด
รุ่งสางหมอกบางคลุมลานหินนอกกำแพงวัง ทหารหลวงและหน่วยองครักษ์พิเศษล้อมพื้นที่แน่นหนา ร่างนักฆ่าเงารัตติกาลสามคนถูกจับกดไว้กับพื้นแขนถูกมัด เลือดเปื้อนเสื้อผ้า ดวงตาทุกคู่ยังคงว่างเปล่าไร้ความหวาดกลัวมู่เทียนหลางยืนอยู่เบื้องหน้า เสื้อเกราะยังมีรอยคมมีด สายตาเย็นเยียบ“ใครเป็นคนสั่ง” เทียนหลางเสียงของเขาเรียบ แต่กดดันหนึ่งในนักฆ่าเงยหน้าขึ้น มุมปากยกยิ้มประหลาด“สายไปแล้ว…คุณชายมู่”มู่เทียนหลางขมวดคิ้ว“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เทียนหลางนักฆ่าคนนั้นกัดฟันแน่นก่อนที่ใครจะทันขยับกร๊อบ!เขากัดแคปซูลเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้น เลือดสีดำไหลออกจากปากทันที“หยุดเขาไว้ ห้ามให้ตายเด็ดขาด!” เทียนหลางแต่ไม่ทันแล้วอีกสองคนทำเช่นเดียวกัน ร่างกระตุกเพียงครู่ก่อนแน่นิ่ง ความเงียบปกคลุมพื้นที่ กลิ่นโลหิตและยาพิษลอยคลุ้ง หมอหลวงรีบเข้าตรวจ ก่อนส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด“พิษปลิดชีพขอรับออกฤทธิ์เร็วมาก ไม่มีทางช่วย”มู่เทียนหลางกำมือแน่นเส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้น“แม้ตาย…ก็ยังซื่อสัตย์ต่อสำนัก” เทียนหลางหัวหน้าทหารหลวงคุกเข่าลง“ขออภัยคุณชายมู่พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เลย”มู่เทียนหลางหลับตาชั่วขณะในใจหนั
คืนนั้นวังหลวงเงียบงันเกินปกติแม้แสงโคมจะส่องสว่างตามระเบียง แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด ในเงามืดของเรือนร้างใกล้กำแพงชั้นใน ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา หน้ากากสีดำปิดครึ่งใบหน้า ดวงตาคมกริบไร้ความรู้สึก“แผนเริ่มได้แล้ว”หัวหน้านำเงารัตติกาลกล่าวเสียงของเขาเบาแต่เด็ดขาด ร่างเงาหลายร่างคุกเข่าลงพร้อมกัน“เป้าหมายอยู่ในตำหนัก”หนึ่งในนั้นถามหัวหน้านำยกมือขึ้น ในมือคือผ้าไหมปักลายหงส์เครื่องหมายตำหนักไฉ่หง“วันนี้องค์หญิงหลิงเซียงต้องตายและวังหลวงจะลุกเป็นไฟ ตระกูลเกาจะหมดความอดทนกับราชสำนักแน่”คำสั่งนั้นทำให้เงาทั้งหมดนิ่งงันไปชั่วขณะ แม้แต่นักฆ่าก็รู้ดีว่า เป้าหมายนี้ไม่ธรรมดา“อย่าให้ใครสงสัยถึงเรา อย่าให้มีร่องรอยว่าเป็นการลอบสังหาร ต้องดูเหมือน…อุบัติเหตุในวัง”ดวงตาของหัวหน้านำฉายแววเย็นเยียบ“และคืนนี้ต้องเป็นคืนที่องค์หญิงจะมีชีวิตอยู่”ภายในตำหนักไฉ่หงองค์หญิงหลิงเซียงกำลังเตรียมบรรทม หัวใจของนางไม่สงบตั้งแต่รู้ว่าการย้ายจวนล้มเหลว“ไปพักผ่อนเถอะเพค่ะ”นางกำนัลเอ่ยเสียงเบา หญิงพยักหน้า แต่ในวินาทีนั้นเอง มีเสียงดังปึกเสียงเบา ๆ ดังจากหลังคา องครักษ์หน้าตำหนักชะงัก
ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห







