Share

บบที่ 7 ตระกูลมู่

last update Huling Na-update: 2025-11-03 10:15:17

ตระกูลมู่เป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ทรงอำนาจและได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจาก ฮ่องเต้จิ้งอู่แห่งแคว้นเว่ย และฮดีตฮ่องเต้หลายรัชกาลมาช้านาน ตระกูลนี้ไม่เพียงเป็นกำลังสำคัญทางการเมือง หากยังเป็นแบบอย่างแห่งคุณธรรม ความจงรักภักดี และความเที่ยงตรง ที่ได้รับการยกย่องไปทั่วทั้งแผ่นดินเว่ย

บรรพชนของตระกูลมู่คือ มู่เจิ้น อดีตอัครเสนาบดีในยุคก่อตั้งราชวงศ์เว่ย ผู้มีบทบาทในการวางระเบียบราชสำนักและร่างกฎหมายปกครองบ้านเมืองด้วยหลักแห่งคุณธรรมและสมดุลเขาได้รับสมญาว่า มือขวาแห่งบัลลังก์ ผู้ยืนอยู่ใต้ฟ้าแต่ไม่ลืมแผ่นดิน

 

นับแต่นั้นมา ตระกูลมู่ก็สืบทอดเจตนารมณ์ของมู่เจิ้นยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ไม่สยบต่ออำนาจและถือว่าการรับใช้ใต้หล้าเป็นหน้าที่แห่งสายเลือด ในยุคของฮ่องเต้จิ้งอู่ตระกูลมู่เป็นหนึ่งในสี่เสาหลักแห่งเว่ยร่วมกับตระกูลเกา ตระกูลฉิน และตระกูลซู

 

มู่เทียนหยางปรมาจารย์ฝ่ายบุ๋นเป็นเสนาบดีว่าการคลัง ผู้วางระบบการเก็บภาษีที่เป็นธรรม ลดภาระแก่ราษฎร และจัดการทรัพย์สินของแผ่นดินด้วยความโปร่งใส

มู่เทียนหลานบุตรชายคนโต เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้มีชื่อเสียงด้านสติปัญญา เฉียบคมแต่ถ่อมตน เป็นผู้ถวายคำแนะนำแก่ฮ่องเต้จิ้งอู่ในหลายวาระ และเป็นหนึ่งในสหายสนิทในของฮ่องเต้จิ้งอู่

ตระกูลมู่ไม่มีกองทัพเป็นของตนแต่ทรงอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจ มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับสำนักศึกษาหลวงและราชสำนักกลาง

 

ยึดถือหลักจงรักภักดี สุจริต และถ่อมตน เน้นการศึกษาคัมภีร์และคุณธรรมเหนือการแสวงอำนาจ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงตำแหน่ง แต่ได้รับเกียรติจากความสามารถแท้จริง เป็นตระกูลที่สตรีได้รับการศึกษาและมีบทบาทในสังคม เช่น บางรุ่นมีสตรีเป็นอาจารย์หญิงในสำนักศึกษา ผู้คนในแคว้นเว่ยมักกล่าวว่า “หากแคว้นเว่ยมีตระกูลมู่ ย่อมไม่ขาดความยุติธรรม” ตระกูลมู่จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์ในวงขุนนาง แม้จะอยู่ท่ามกลางอำนาจและเล่ห์กลการเมือง ก็ยังคงดำรงตนอย่างสงบ ไม่สั่นคลอนด้วยอำนาจหรือทรัพย์สิน

 

 

มู่เทียนหลาง เป็นบุตรชายคนเล็กแห่งตระกูลมู่ ขุนนางใหญ่ที่หนุนหลังฮ่องเต้จิ้งอู่แห่งแคว้นเว่ย เขาเติบโตมาในตระกูลที่เปี่ยมด้วยเกียรติและคุณธรรม ได้รับการอบรมอย่างเข้มงวดทั้งด้านการศึกษา การวางตน และจรรยาข้าราชสำนัก แม้จะเป็นบุตรชายคนเล็ก แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดและจิตใจหนักแน่น เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากทั้งบิดาและฮ่องเต้

 

ในราชสำนักมู่เทียนหลางดำรงตำแหน่งขุนนางฝ่ายบุ๋น ดูแลกรมพิธีการ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับราชพิธี การจัดลำดับยศศักดิ์ และเอกสารทางการทูต เขาเป็นคนที่พูดน้อยแต่เฉียบคม มีความสามารถในการอ่านสถานการณ์ทางการเมืองได้อย่างลึกซึ้ง อีกทั้งยังกล้าพูดในสิ่งที่ถูกต้อง แม้บางครั้งจะขัดใจขุนนางผู้มีอำนาจอื่นก็ตาม

 

ด้วยบุคลิกสงบนิ่ง เยือกเย็น และท่าทีสุภาพ มู่เทียนหลางจึงเป็นที่ยำเกรงและเคารพในหมู่ขุนนางหนุ่ม แต่ก็มีผู้ริษยาอยู่ไม่น้อย เขามักปรากฏตัวในที่ประชุมใหญ่ของราชสำนักพร้อมคำกราบทูลที่หนักแน่นและรอบคอบ เป็นผู้ที่ฮ่องเต้จิ้งอู่มักทรงเรียกเข้าเฝ้าเพื่อขอความคิดเห็นในเรื่องการปฏิรูปภายในและการทูตกับต่างแคว้น

 

แม้มู่เทียนหลางจะอยู่ท่ามกลางเกมการเมืองที่ซับซ้อน แต่เขายังคงยึดมั่นในคุณธรรมของตระกูลมู่ ไม่ใช้เล่ห์กลเพื่อก้าวหน้า เขาเชื่อว่าผู้ที่ปกครองด้วยใจบริสุทธิ์ย่อมได้รับความศรัทธามากกว่าอำนาจใดในใต้หล้า จึงเป็นบุรุษหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยเกียรติ ศรัทธา และปณิธานแห่งแผ่นดินเว่ยอย่างแท้จริง.

 

 

ภายในท้องพระโรงยามสาย แสงแดดยามปลายฤดูร้อนส่องลอดผ่านบานหน้าต่างไม้สลักรูปมังกรลงมาสะท้อนพื้นหยกขาว รัชทายาทและขุนนางทั้งหลายเพิ่งเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้า เหลือไว้เพียงฮ่องเต้จิ้งอู่กับสองพี่น้องตระกูลมู่ — มู่เทียนหลาน บุตรชายคนโต ผู้มีวาจาสุขุมเฉียบแหลม และ มู่เทียนหลาง บุตรชายคนเล็ก ผู้มีท่าทีเงียบสงบแต่สายตาแน่วแน่

 

ฮ่องเต้จิ้งอู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร พระพักตร์ทรงครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนลงกว่าทุกครั้ง

 

“เมื่อไม่นานมานี้ ข้าสังเกตว่า องค์หญิงหลิงเซียงเปลี่ยนไปมาก… จากเดิมที่เงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจากับผู้ใด บัดนี้กลับดูร่าเริง สดใส และกล้าเอ่ยวาจากับเหล่านางข้าหลวง ข้ามิอาจทรงทราบว่าเพราะเหตุใด สองคนเห็นเป็นเช่นไรบ้าง” จิ้งอู่

 

มู่เทียนหลานประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเรียบแต่สุภาพ

“ฝ่าบาท พระขิษฐายามเยาว์ทรงผ่านเรื่องราวหนักหนามากนัก การได้ทรงเติบโตและออกพบเห็นผู้คนภายนอกวัง อาจทำให้องค์หญิงทรงมองโลกในอีกมุมหนึ่งกระหม่อมว่า มิใช่เรื่องน่ากังวล กลับเป็นสัญญาณที่ดี” เทียนหลาน

 

ฮ่องเต้จิ้งอู่ทรงพยักหน้าเบา ๆ แต่ยังมิคลายพระพักตร์ขุ่นคิดนัก

 

“เจ้าว่าจริงหรือ มู่เทียนหลาน ข้ากลัวเพียงว่าสภาพจิตใจของนางยังไม่มั่นคง… ข้าไม่อยากให้ต้องแบกรับความโดดเดี่ยวอีก” จิ้งอู่

 

ครานั้นมู่เทียนหลางผู้เงียบฟังอยู่นานจึงคุกเข่ากล่าวขึ้นอย่างนอบน้อมแต่จริงใจ

 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับพี่ใหญ่พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงทรงเปลี่ยนไปในทางที่ดี ความร่าเริงนั้นมิใช่เพราะสิ่งใดอื่น หากเพราะพระองค์ทรงเรียนรู้ที่จะยืนหยัดด้วยพระหัตถ์ของตน อาจมีผู้คนรอบข้างที่ทำให้พระทัยของพระองค์อบอุ่นขึ้น… นั่นมิใช่สิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนาดอกหรือพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง

 

คำกล่าวของเขาทำให้ห้องโถงสงัดลงชั่วขณะ ลมฤดูร้อนพัดเข้ามาเบา ๆ กลีบดอกเหมยแห้งปลิวตกลงใกล้พระบาทของฮ่องเต้ ฮ่องเต้จิ้งอู่ทอดพระเนตรสองพี่น้องตระกูลมู่สลับกัน สีพระพักตร์อ่อนลงเล็กน้อย

 

“เจ้าทั้งสองกล่าวได้ดี… ข้าช่างใจมากเกินไปกระมัง บางทีหลิงเซียงอาจเติบโตเกินกว่าที่ข้าคิดไว้” จิ้งอู่

 

มู่เทียนหลานยิ้มบาง เอ่ยด้วยเสียงเรียบสงบ

 

“ความเปลี่ยนแปลงของผู้คน มิได้มาจากโชคชะตาเพียงอย่างเดียวเพคะ บางคราอาจมาจากผู้ที่อยู่ข้างกายและมอบความจริงใจให้นางก็เป็นได้” เทียนหลาง

 

ฮ่องเต้จิ้งอู่ทอดพระเนตรพวกเขาแวบหนึ่ง แววตาแฝงความเข้าใจลึกซึ้ง ก่อนจะทรงแย้มพระโอษฐ์น้อย ๆ

 

“ข้าหวังว่าเจ้าพูดถูก… หากหลิงเซียงมีผู้ที่ทำให้นางยิ้มได้จริง ๆ ข้าก็คงวางพระทัยได้มากขึ้น” จิ้งอู่

 

ในห้องโถงนั้นความเงียบสงบอบอวลด้วยความอ่อนโยนที่หาได้ยากยิ่งในวังหลวง ความอบอุ่นของพี่ชายผู้ห่วงน้องสาว และขุนนางผู้ภักดีที่เข้าใจหัวใจมนุษย์ยิ่งกว่าผู้ใด.

 

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 76 เผชิญหน้ากับองค์รัชทายาท

    ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 75 ขอย้ายเข้าจวนตระกูลมู่

    หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 74 เทศกาลไหว้พระจันทร์

    ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 73 เข้าปีที่ 2

    ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 72 กลับเมืองหลวง

    เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 71 ฮูหยินข้าสุดยอดมาก

    มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status