มธุรส คือสาวออฟฟิศที่มีช่วงชีวิตที่จืดจางตั้งแต่เด็กจนถึงวัยทำงาน
ชื่อของเธอหมายความว่าน้ำผึ้งรสหวาน แต่สาวเจ้ากลับไร้ความหวานราวกับน้ำเปล่าก็ไม่ปาน เธอเติบโตมาที่กรุงเทพมหานคร ถูกเลี้ยงดูมาเหมือนเด็กสาวทั่วไป หากแต่มธุรสแต่กลับมีพรสวรรค์ด้านความจืดจางเป็นที่หนึ่ง ไม่มีเพื่อน ไม่มีคนคุย ไม่มีใครจนเรียนจบ
เธอจบคณะอักษรมาแล้วต่อด้วยทำงานเป็นทีมงานพิสูจน์อักษรที่ไม่มีบทบาทหน้างาน ยิ่งไร้คนรู้จักเข้าไปใหญ่
หน้าตาบ้านๆ จืดชืดไร้เสน่ห์ สัดส่วนไม่ต้องพูดถึง แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ แน่นอนว่าตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของผู้ชาย ไม่มีใครคิดที่จะมาจีบสาวแว่นหน้าตาบ้านๆ และหุ่นตอไม้เช่นนี้
จนอายุยี่สิบห้าปี วัยเบญจเพสทำให้สาวเจ้าประสบวิบากกรรมจนถึงแก่ชีวิต
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงเซ็งแซ่ที่พร่าเบลอของหมอและพยาบาลที่วิ่งวุ่นผ่าตัดร่างกายที่ชุ่มเลือดของเธอดังอื้ออึงข้างหูพอๆ กับเสียงสัญญาณชีพจรที่เต้นอ่อนลงทุกที แว่นตาที่แตกละเอียดเปรอะเลือดถูกวางอยู่ข้างๆ ผ้าซับเลือด คนตัวผอมเพรียวเหลียวไปมองอย่างเชื่องช้า เธอชาไปทั้งตัว และรู้สึกเหมือนสติจะเริ่มเลือนราง
นี่เรากำลังจะตายแล้วเหรอ?
เกิดคำถามสุดท้ายกับดวงวิญญาณที่กำลังจะหลุดออกจากร่าง มธุรสถามตัวเอง แต่กลับไม่รู้สึกเสียดายชีวิตที่หดหู่เช่นนี้ ดีซะอีกที่เธออาจจะได้เกิดใหม่โดยมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อย่างน้อยเป็นหมาของไอดอลเกาหลีก็ได้ เธอหลับตาลงและภาวนากับตัวเอง
แต่คำขอสุดท้ายก่อนที่จะตาย
‘หนูอยากมีผัวค่ะ หนูไม่เคยมีผัวมาก่อน อย่างน้อยถ้าเกิดชาติใหม่ ขอผัวหล่อๆ แซ่บๆ หุ่นล่ำและดุดันเร้าใจด้วยเทอญ’
วาบ
“เฮือก!”
เสียงหวานร้องลั่นพร้อมกับผุดกายลุกขึ้นมากลางที่นอนท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่กึกก้องราวกับกำลังมีแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน เสียงปะทะกันของเหล็กดังขึ้นอยู่ด้านนอกดูน่าหวาดกลัวยิ่งนัก มธุรสเบิกตากว้างมองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งสไตล์ไทยโบราณ ทั้งเครื่องฉลุลาย ผนังฉลุวิจิตรสวยงาม ที่ดูเหมือนตัวเองย้อนยุคมาในละครจักรๆ วงศ์ๆ ก็ไม่ต่าง
เอ้ะ นี่มันคืออะไร ฝันเหรอ
เธอถามตัวเองตอนที่โซซัดโซเซเพราะเสียงกึกก้องและพื้นดินที่สั่นสะเทือน เสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เหมือนเป็นผู้คนจำนวนมากกำลังวิ่งหนีตายจากอะไรสักอย่าง แต่เพราะว่ามธุรสฝันร้ายอยู่บ่อยครั้ง เธอค่อนข้างมีสติในฝันได้อย่างน่ามหัศจรรย์
คนตัวเล็กลุกขึ้นยืน รู้สึกอึดอัดเพราะชุดไทยย้อนยุคที่ใส่ สบงสไบอะไรก็ไม่รู้พาดไหล่เกะกะไม่คล่องตัวเอาเสียเลย เธอสะบัดผมยาวๆ อย่างงุ่นง่านใจ ก่อนที่จะถกกระโปรงเดินไปดูตัวเองหน้ากระจกโบราณบานใหญ่
“โอ้คุณพระ” เพราะสภาพแวดล้อมนั้นทำให้มธุรสเผลออุทานคำที่ผู้เฒ่าผู้แก่มักใช้พูดกันบ่อยๆ ออกมา เพราะภาพที่ปรากฎขึ้นผ่านบานกระจกตรงหน้ามันไม่มีเค้าโครงเดิมของตัวเธอก่อนหน้านั้นเลยสักนิด
หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้ม ผิวขาวผ่องเนียนตา ตัวเล็กเอวเอส ผมยาวสีดำขลับแถมยังตรงสวย ภาพลักษณ์ดูลูกคุณหนู หน้าตาดูไร้พิษสงแถมดูจะเป็นคนเมตตาต่อสัตว์โลกอีกต่างหาก เธอขยับใบหน้ารูปไข่ใกล้กระจกอีกนิด หันซ้ายหันขวา ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็งดงามจริงๆ
เหมือนนางในวรรณคดี แต่มาในรูปแบบจิ้มลิ้มกว่าหน่อย
ปึง!
เฮือก
สะดุ้งอีกครั้งเมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง เป็นผู้ชายท่าทางมีอายุ แต่งตัวด้วยชุดไทยเหมือนจะเป็นคนใหญ่คนโตในสมัยก่อน หน้าตาเขาดูตื่นตระหนกตอนที่เห็นว่าเธอยืนส่องตัวเองอยู่หน้ากระจก ด้านหลังมีเหล่าทหารที่ตัวใหญ่กว่ามนุษย์ปกติเป็นเท่าตัวนับสิบยืนจังก้าคุมตัวชายมากอายุผู้นั้นอยู่
“เจ้าจันทร์! ลูกฟื้นไข้แล้วอย่างนั้นหรือ!” เขาพูดศัพท์โบราณดูออกจะจักรๆ วงศ์ๆ ใส่จนเธอมึนงง แล้วปรี่เข้ามาคว้าข้อมือเล็กที่ใส่กำไลทองให้เดินมาด้วยกัน “คุณพระ ลูกทำให้พ่อโล่งใจยิ่ง”
อะไรอ่ะ เกิดอะไรขึ้น
เธอยังคงไม่เข้าใจ จนถูกกึ่งลากกึ่งจูงมาในห้องที่อลังการ (แบบโบราณคดี) แล้วเธอก็ถูกชายสูงอายุคนนั้นรั้งให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าชายตัวใหญ่ผู้หนึ่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองที่ถูกประดับด้วยงาช้าง ห้องที่ถูกทำด้วยทองคล้ายๆ วัดในยุคปัจจุบันที่เธอเคยเห็นผ่านตาทำให้แววตาเธอมองหลุกหลิกไปมาไม่หยุด
สวยตระการตาสุดๆ ถ้าในฝันจะชัดแบบเรียลไทม์ขนาดนี้ เหมือนได้ดูหนังแบบ 4K เลย
“ขะ... ข้าพาเจ้าจันทร์มาแล้ว ท่านต้องการกระไรเชิญว่ามาได้เลย พระสุวรรณราพณ์”
พอได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคยแถมออกจะลิเกแบบสุดๆ มธุรสก็หันหน้าไปสำรวจชายตรงหน้าจากที่ตอนแรกมัวแต่มองห้องกว้างที่โอ่โถง แต่กลายเป็นว่าเธอแทบลมจับเมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นตัวใหญ่กว่ามนุษย์มนาทั่วไปเหมือนคนมียีนส์โครงสร้างที่ผิดปกติ ดูจะตัวใหญ่กว่าทหารที่ดึงตัวชายสูงอายุกับเธอมาที่นี่ด้วย เขาน่าจะสูงราวๆ สองร้อยกว่าเซนติเมตรได้ แถมยังบึกบึนร่างยักษ์ ผมยาวหยักโศกสีดำสนิท หน้าตาหล่อเหลาแต่ทว่ากลับคมกร้าวดุดันน่าเกรงขามมาก
ชายตัวใหญ่ผู้นั้นเปลือยท่อนบน สวมใส่แค่กางเกงอะไรสักอย่างที่ออกทรงโบราณโบเก และแสนจะไท๊ยไทย และมีกำไลข้อเท้าที่ทำมาจากทองด้วย กล้ามเนื้อที่เปลือยเปล่าในช่วงท่อนบนบึกบึนน่าดูชมเสียจริงๆ
มัวแต่ชื่นชมบุรุษตรงหน้าโดยที่ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองเอาเสียเลย
ทางฝ่ายสุวรรณราพณ์เองก็เหลือบมองสาวเจ้าตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘เจ้าจันทร์’ เธอขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามที่ไม่ว่าสนมเมืองใดที่ไปครองเมืองมาก็สู้ไม่ได้เลยสักคน ผิวเนียนขาวผ่องเป็นยองใย ใบหน้ารูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย สัดส่วนที่พอดีมือใหญ่ๆ ของเขาช่างน่าดูชม ร่างสูงจึงฉีกยิ้มเห็นเขี้ยวโค้งงอ และสัญลักษณ์ไพรเหงือกอย่างพึงใจ
“งดงามสมดั่งคำร่ำลือ” เขาเอ่ยปากชมด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“...”
“แค่เพียงท่านยกนางให้ข้า จักให้คำมั่นสัญญาว่าข้าจักไม่ตีเมืองของท่านอีกเป็นแน่”
“มีกระไรต้องการเอ่ยบอกกระหม่อมหรือไม่ หากหน้าที่ที่มอบหมายหนักหนาเกินไป สามารถบอกกระหม่อมได้เสมอ” แต่ท่านอานั้นเข้มงวดแค่เฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องสั่งสอนพี่ชายตัวดีก็เท่านั้น อย่างไรจันทร์ดานั้นเป็นเด็กดี ทำหน้าที่ได้ดีอยู่ตลอด เธอรักพี่ชายของเธอมาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะคอยสร้างแต่ปัญหาอยู่เสมอ พระราชครูผู้รู้เรื่องนี้ดีจึงใช้การพูดคุยอย่างละมุนละม่อม “ข้าเพียงแค่เหนื่อยเท่านั้นเจ้าค่ะพระราชครู ไว้ข้าหายดีแล้ว จักไปพูดคุยเรื่องพี่” จันทร์ดาตอบแบบไปตายเอาดาบหน้า พี่ชายของเธอนั้นมีพรสวรรค์และพระราชครูต้องการล่วงรู้พรสวรรค์ที่พี่ชายนั้นมี แต่พี่อินทร์มุกไม่เคยเปิดปากพูดถึงอาคมที่เขาถนัดที่สุด จนเขาหายตัวไปในครานี้ แม้จักรู้ดีว่าพี่ต้องการที่จะแสดงให้พระบิดาเห็นว่าเขาแข็งแกร่งแลพยายามเอาชนะท่านมากแค่ไหน แต่กลับกันดันหัวรั้นปฏิเสธคนที่ยินดีจักมาช่วยเหลือแค่เพราะว่าท่านพ่อส่งมา เพียงลำพังแค่พี่คนเดียวคงไม่มีวันที่จักปกครองราชบัลลังก์ได้หรอกถ้าไม่ได้รับการศึกษาภายในจากคนที่มีประสบการณ์ เรื่องนี้จันทร์ดาก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพราะรักแลเกรงใจพี่ชาย จึงไม่เคยห้ามปรามเขาในการเกกมะเหรกเกเรอย่างจริงจัง
“อย่านึกโทษตัวเองเลยหนาไกรสรลูกรัก พ่อคิดว่าแม่เองก็ต้องเข้าใจเช่นเดียวกัน เราผิดเองต่างหากที่ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ลูกได้ฟัง แต่ไกรสรอย่านึกโกรธเคืองแม่ของลูกเลย พ่อเชื่อว่านางเองก็เจ็บปวดเกินกว่าที่จักเล่าเรื่องราวในอดีตให้ลูกฟัง จึงเลือกที่จักปล่อยผ่านไปจนวันนี้มาถึง” ท้าวไกรสิงห์เข้าใจหัวอกของลูกชายตนเองดี ว่าได้รักคนที่ไม่สมควรรัก เหมือนดั่งเขาที่ได้รักกรรณิกา ในเพลาที่หล่อนมีเจ้าของดวงใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ได้รู้ซึ้งว่าจันทร์ดาไม่เคยลืมเลือนสุวรรณราพณ์ไปจากใจเลย แม้ว่าเขาจักพยายามตั้งใจสร้างโลกที่มีแต่ความสุขให้นางก็ตาม การตัดใจจากผู้ชายพรรค์นั้น มันยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้แต่เขาที่ปลอบใจบุตรชายที่สูญเสียรักแรกไปอย่างไม่มีวันหวนกลับก็ยังมีความคิดริษยาชายผู้นั้นอยู่ลึกๆ มันทำแต่บาปกรรม ฆ่าพ่อฆ่าแม่เขามามากมาย แต่กลับมีชีวิตที่มีแต่คนรัก แม้แต่ผู้หญิงที่เขาหลงใหล แม้ปากจักบอกว่าตัดความชิงชังไปได้ แต่ก็ยังเกลียดขี้หน้ามันอยู่ดี คนอย่างมันมิคู่ควรต่อกรรณิกาเลยแม้แต่นิด ผู้หญิงที่ภักดีแลเพียบพร้อมเช่นนี้ ไม่ควรเลยที่จักนึกหลงใหล ตกหลุมรักอสุราชาติชั่วเช่นมัน แต่การห้ามความรู้สึก
หรือการที่เขาคาดหวังว่าการใช้ความจริงใจแลกกับความเกลียดชัง มันคงเป็นความคิดที่ตื้นเขินเกินไป เด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นได้พบกับความรู้สึกผิดหวังต่อสาวผู้เป็นที่รักเป็นคราแรกในชีวิต เขาช้ำรักขนาดหนัก ถึงกับคอตกเหาะอากาศกลับวิมานฉิมพลี ข้าวปลาอาหารก็แตะมิค่อยลง สีหน้าอมทุกข์ของบุตรชายทำให้มารดาเช่นกรรณิกาอัปสรเป็นห่วงยิ่งนัก เมื่อเขาเข้านอน จึงแอบลอบเปิดบานประตูถือวิสาสะเข้าในห้องบรรทมของลูกชายที่นอนหลบหน้าหันหลังให้ ท่าทางหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน “ไกรสรลูกรัก... หากมีสิ่งใดที่ทำให้เจ้าทุกข์ใจ พูดกับแม่ได้หนา ลูกรู้ใช่ไหมว่าสามารถพูดคุยกับแม่ได้ทุกเมื่อ” ฝ่ามือเรียวบางค่อยๆ เอื้อมไปลูบเรือนผมเงางามสีดำสนิทของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน จึงเห็นว่าแก้มของเขาร้อนผ่าวขึ้นมาราวกับคนกำลังมีน้ำตา ไกรสรหันหน้ากลับมา ดวงหน้าคมคายรูปงามของบุตรชายนั้นเต็มตื้นไปด้วยความเสียใจ “ข้า... คงมิอาจรักหญิงผู้ใดได้อีกแล้วขอรับเสด็จแม่ ข้าชอบนางมาก แม้นจักเป็นเพลาที่แสนสั้นที่ได้พานพบกันก็ตาม” กรรณิกาอัปสรถอนหายใจ นั่นไงเล่า คิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มาจนทุกข์ตรมหมองใจวันนี้น่าจักม
ไกรสรนัดพบกับองค์หญิงจันทร์ดาเพื่อตามหาพี่ชายของหล่อนทุกวัน แม้ทุกครั้งจักคว้าน้ำเหลว แต่นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจ เพราะเขาอยากมาเจอเธอในทุกๆ วัน ในช่วงเวลากว่าสองวันที่ผ่านมา จันทร์ดานั้นมองเห็นความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเธอของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี ครุฑหนุ่มผู้นี้เติบใหญ่ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะสองวันนั้นเขาได้ฝึกกำลังระหว่างออกตามหาพระเชษฐาของหล่อน รวมถึงอายุขัยการเติบโตของอมนุษย์ที่รวดเร็วต่างจากมนุษย์ ทำให้ตอนนี้ร่างกายของเขาสูงสง่าใหญ่โตมากกว่าเธอเสียอีก ยอมรับว่าเขาดูสง่างามเสียจนใครๆ ต่างก็คงจักหลงใหลในรูปโฉมอันเป็นที่โจษจัณ จันทร์ดาชอบนกนัก โดยเฉพาะปีกของมัน เพราะอย่างนั้นเธอเลยชอบเฝ้ามองดูเวลาเขาโผบินอย่างอิสระ เพราะปีกของเขาที่มีสองสีมันช่างงดงามเหลือเกิน เธอผู้อ่อนโยน แต่พยายามทำตัวเข้มแข็งเพื่อคอยดูแลความประพฤติของพี่ชายให้อยู่ในครรลองคลองธรรมไม่นอกลู่นอกทางแทนพระบิดาที่ไม่เคยหันมาเหลียวแล แม้ว่าส่วนใหญ่จะเอาพี่ไม่ค่อยอยู่จนต้องยอมไปเป็นลูกไล่เขาก็ตาม ไกรสรบินเลาะไปตามปุยเมฆสีขาวเบาบาง ฉวัดเฉวียนมาทางหล่อนที่ขี่หัสดีลิงค์คอยเฝ้ามองดูเขาอยู่ไม่ไกลนัก “ข้าชอบเจ้าจัง จันทร์ดา
พระสุวรรณราพณ์กำลังเสียสติ เนื่องด้วยตนเองนั้นสูญเสียผู้หญิงที่รัก จึงทำให้พระองค์นั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาในการกำจัดชายที่เป็นศัตรูหัวใจ และเขากำลังหมกมุ่นอยู่กับวิธีการในการถล่มเมืองครุฑ หลังจากรู้ที่ตั้งของมัน ฝ่ามือใหญ่โตลูบไล้ดาบทมิฬที่อาบชโลมไปด้วยเลือด ดวงตาสีชาดเรืองรองในความมืดมิด เขาหมายมั่นปั้นมือว่าจักบุกไปถึงเมืองครุฑในอีกสี่วันให้หลัง เมื่อครบกำหนด เมืองนั้นจักพังราบเป็นหน้ากลอง รวมถึงครุฑาครุฑีน้อยใหญ่ทั้งหลาย เมื่อเจ้าเมืองมันกระทำความผิดย่อมไม่มีข้อละเว้น สังวรีราพณ์ยังคงยึดครองจิตใจอันชั่วร้าย และหวังให้พระสุวรรณราพณ์ใช้เลือดครุฑมาอาบดาบอีกสักหน่อย เท่านั้นกำลังวังชาเขาก็จะสมบูรณ์ สามารถเข้ายึดครองร่างกายและจิตใจของอีกฝ่ายได้สำเร็จ พี่จักมิมีวันเสียเจ้าไปให้ใคร หากใครมาแย่งชิงเจ้าไปจากอกพี่ ต้องจบลงด้วยความตายเท่านั้น ทั้งที่ตามหามาถึงสามภพสามชาติ และคาดหวังว่านี่จักเป็นชาติสุดท้ายที่เราจักได้ครองคู่กัน จนยอมทำทุกอย่างหวังเพียงให้เจ้าได้มาเป็นคู่ครองของพี่ แต่แม้แต่ชาตินี้ เราก็ต้องจากกันอีกหรือ? พี่ไม่ยอมหอก ตั้งแต่เจ้าจากไปเป็นของผู้อื่น พี่ก็เหมือนกำลังจะขาดใจ
พระโอรสหลบหลังบานประตูพลางแอบสอดมองหญิงสาวที่มีท่าทางระส่ำระส่ายภายในห้อง พระองค์เพลิดเพลินไม่น้อย ผุดรอยยิ้มเลือดเย็นข้างมุมปาก รู้สึกว่าการที่เขาได้มีสัมพันธ์สวาทกับพระสนมนั้นจักทำให้หล่อนค่อยๆ เปิดเผยนิสัยอันน่ารังเกียจที่มีแค่เพียงเสด็จพ่อที่จักได้เห็น ตกอยู่ในบ่วงวังวนที่ไม่อาจถอดถอนตัวออกมาได้ บ่วงวังวนแห่งการลุ่มหลงเขาอย่างเช่นกินรีตนอื่นๆ ที่เขาเคยล่อลวงมาด้วยอาคมเหล่านั้น เคยเจ็บใจนักที่ใครต่อใครต่างมาหลงรักได้ด้วยมนต์คาถาของตน แต่มีเพียงหล่อนที่เฉยเมย มองเขาเป็นเพียงบุตรชายของคนที่รัก มีใครหลายคนรวมถึงน้องสาวพยายามหาทางเข้าถึงอาคมที่เขามี แต่ไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้หรอกหนา ... อาคมล่อลวงหญิงสาว เพราะมันเป็นอาคมดำมืดที่จักทำให้สตรีทุกคนที่เขาเป่าคาถามักรู้สึกรักและลุ่มหลงในตัวเขาอย่างไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าทำไมท่านพ่อที่มีอาคมหลากหลายนั้นจึงเลือกถ่ายทอดพลังนี้มาสู่เขา การค้นพบอาคมดำมืดที่มีเพียงตนเองเท่านั้นที่รู้และใช้มันได้ตั้งแต่เกิดนั้นทำให้สำเริงสำราญใจไม่น้อย จนเขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจเช่นนี้เพราะคิดว่าตนเองมีอวิชชาเหนือกว่าใคร อยากให้เสด็จพ่อรับรู้ว่าเขานั้นแข็งแกร่งเหนือผ