แล้วพวกเขา 3 คนก็เดินทางไปห้องสมุดด้วยกัน สถานที่ที่กว้างขวาง เงียบสงบเหมาะสำหรับการอ่านหนังสือและการทำงานอย่างจริงจัง กนก มิวและพราวต่างก็มีเป้าหมายของตัวเอง มิวและพราวตั้งใจจะหาหนังสือเกี่ยวกับวิชาเคมีเพื่อใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับรายงาน ส่วนกนกนั้นแม้ว่าจะไม่ได้มีงานเร่งด่วนอะไรแต่เขาก็อยากมาหาหนังสือนิยายรักโรแมนติกเล่มใหม่เอาไว้อ่านสักหน่อย
เมื่อเดินเข้าไปในห้องสมุด มิวและพราวก็แยกย้ายไปหาหนังสือในส่วนของวิทยาศาสตร์ ในขณะที่กนกเดินตรงไปที่ชั้นหนังสือวรรณกรรม เขาหยิบนิยายรักโรแมนติกเล่มหนึ่งที่เขาคิดว่าน่าสนใจแล้วก็หามุมสงบในห้องสมุดเพื่อนั่งอ่านต่อ
หลังจากนั้นไม่นาน มิวและพราวก็เสร็จสิ้นจากการค้นหาหนังสือและเดินมาหากนก ที่กำลังจดจ่ออยู่กับหนังสือเล่มหนา
"นี่กนก ยังอ่านไม่จบอีกเหรอ" มิวยื่นหน้าไปถามกระซิบเสียงเบา
"กำลังถึงตอนสำคัญเลย พระเอกเพิ่งจะสารภาพรักนางเอก" กนกตอบด้วยแววตาที่เป็นประกาย
"แกนี่น่ะ..." พราวยิ้มเล็กๆหมั่นไส้เจ้าเพื่อนหนอนหนังสือ
"แต่เอาเถอะ เราเสร็จแล้ว กลับกันไหม?"
กนกพยักหน้าแล้วปิดหนังสืออย่างเสียดายแต่เขาก็รู้ว่าต้องกลับมาอ่านต่อในวันหลัง พวกเขาทั้งสามเดินออกจากห้องสมุดพร้อมกับพูดคุยกันเรื่องการเรียนและเรื่องราวในมหาวิทยาลัยอย่างสนุกสนาน แม้ว่าชีวิตของกนกจะไม่ได้มีอะไรที่ตื่นเต้นมากนักแต่เขาก็รู้สึกมีความสุขที่ได้มีเพื่อนดีๆ และมีหนังสือเป็นเพื่อนคู่ใจ
"เฮ้อ...เหนื่อยจังเลยอ่ะ นี่แค่ปีหนึ่งนะ ทำไมรายงานเยอะขนาดนี้"
"ก็ไม่เยอะเท่าไหร่ รีบทำสิ จะได้รีบกลับหอไปนอน" มิวบอกกนกที่ทำหน้าเหนื่อยอ่อนเมื่อต้องลาจากหนังสือนิยายเล่มนั้น
"อยากไปลั้นลาเหมือนพี่ปี 2 บ้างอ่ะ" อยู่พราวก็พูดขึ้นมา ทำให้กนกและมิวสงสัย
"แกดื่มแอลกอฮอล์เป็นหรอ?"
"ไม่เป็นหรอก แต่ว่าถ้าดื่มมันจะมีเพื่อนเพิ่มขึ้นนะ มีพี่ๆด้วย" พราวพูดออกมาด้วยแววตาขี้เล่น
"ไม่เอาอ่ะ ไม่เห็นจะอร่อยเลย" มิวแย้งขึ้น
"เฮ้ย แกเคยกินแล้วหรอ? โห ทำไมไม่ชวนวะเนี่ย" พราวโวยมิวที่เคยได้ชิมแอลกอฮอล์ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
"พ่อซื้อมาให้กินตอน ม.5 น่ะ"
"โห...พ่อโคตรจะเท่"
"พ่อบอกว่าเผื่อขึ้นมหาลัยแล้วมีคนเอามาให้กิน จะได้รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง" มิวอธิบายให้เพื่อนๆ ฟัง
"แล้วเป็นไง อร่อยป่ะ?"
"กินเบียร์ไม่เห็นอร่อยเลย ขมจะตาย ไม่รู้ว่ากินไปได้ยังไง" เขาเล่าพร้อมแสดงสีหน้าเหยเก เมื่อนึกถึงวันที่พ่อเอาเบียร์มาให้ลองชิม
"โห่ แกนี่ไม่รู้จักรสชาติของแอลกอฮอล์ที่มันอร่อยๆ" พราวพูดโม้คุยโว
"แกเคยกินเหรอ" มิวหันมองหน้าเพื่อนสาวด้วยความแปลกใจในคำพูดของเธอ
"ไม่เคยอ่ะ แต่เขาบอกว่าอร่อย"
"ตลกล่ะ" มิวส่ายหน้าให้กับพราวเพื่อนสาวขี้โม้ประจำกลุ่ม
"รีบๆ เลย จะได้กลับห้องกัน อยากไปอ่านนิยายอีกเล่มแล้ว"
"ชีวิตแกนี่มันน่าเบื่อจริงๆ มีแต่นิยาย นิยาย นิยาย"
"ไม่น่าเบื่อ เพราะว่าชีวิตมีนิยายน้า"
กนกนั่งฟังเพื่อน ๆ คุยกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าเรื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือปาร์ตี้จะไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าโลกของตัวเองน่าเบื่อ ตรงกันข้ามชีวิตของเขามีสีสันเพราะหนังสือ นิยายคือโลกอีกใบที่เปิดประตูสู่ความสุขที่ไม่ต้องพึ่งเสียงเพลงดังหรือเครื่องดื่มมึนเมาและแม้เพื่อน ๆ จะมองว่าเขาเป็นคนเรียบง่ายเกินไป กนกก็รู้ว่าพวกเขาเข้าใจในแบบของเขา
มิวกับพราวมักแซวว่าเขาเป็น "คุณชายหอพัก" ไม่เคยออกเที่ยวกลางคืน ไม่สนใจงานสังสรรค์ แทบไม่ทำอะไรที่หวือหวาแต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของกนกเลย เขามีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ มีหนังสือเป็นเพื่อน มีโลกจินตนาการที่สามารถหลบเข้าไปได้ทุกเมื่อ ในห้องพักเล็กๆของเขา หนังสือเรียงรายอยู่เต็มชั้น โต๊ะหนังสือวางนิยายกองพะเนินพร้อมกับกาแฟแก้วโปรดที่ดื่มคู่ไปกับการอ่าน
ชีวิตของกนกเป็นไปตามจังหวะเดิม ๆ ตื่นเช้าไปเรียน กินข้าวกับมิวและพราว กลับมาทำการบ้านหรือบางครั้งก็นั่งอ่านหนังสือจนลืมเวลา และการที่เขาอยู่หอในคนเดียวโดยไม่มีรูมเมทยิ่งทำให้เขาได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ไม่มีใครรบกวน ไม่มีใครคอยถามว่าทำไมต้องอ่านหนังสือเยอะขนาดนั้น
สำหรับคนอื่น ชีวิตแบบนี้อาจดูธรรมดาเกินไป แต่สำหรับกนก มันคือความสมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรพิเศษแค่ได้นั่งเงียบ ๆ กับนิยายสักเล่ม ท่ามกลางคืนอันเงียบสงบก็เพียงพอแล้ว
แต่คืนนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจมอยู่กับนิยายรักโรแมนติกเล่มใหม่ที่เพิ่งซื้อมา เสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นในห้อง…
แก๊ก
เสียงไขกุญแจประตูเบาๆ ดังขึ้นในตอนกลางคืนที่เงียบสงบ กนกเงยหน้าขึ้นจากหนังสือด้วยความสงสัย เขามองไปที่ประตูห้องซึ่งปิดสนิท ไม่มีใครควรจะมาหาเขาในเวลาดึกดื่นแบบนี้
"ใครน่ะ" เขาถามด้วยเสียงเบาๆแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ
กึก!
เสียงไขประตูได้สำเร็จ คราวนี้มันดังและชัดเจนขึ้นจนรู้สึกขนลุก เขาลุกจากเตียงและเดินไปที่ประตูอย่างช้าๆ มือของเขาเกือบจะจับที่ลูกบิดประตูแต่เขาก็หยุดชะงัก
"นี่แก...อย่ามาแกล้งนะ มิวหรอ!" เขาพูดเสียงสั่นแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบ
"ใครมาตอนดึกขนาดนี้..." เขารำพึงกับตัวเองแล้วเดินไปเปิดไฟหรี่ในห้องด้วยมือที่สั่นเล็กน้อยแล้วเดินกลับไปยังบานประตูไม้อีกครั้ง เมื่อถึงประตู เขาก็ค่อยๆเปิดมันออก ตรงหน้าเขาคือผู้ชายคนหนึ่งที่สวมหมวก เขายิ้มมุมปากให้กนกแล้วพูดขึ้นว่า
"เปิดประตูช้านะครับ "
กนกยังไม่ทันได้ตอบอะไร ผู้ชายคนนั้นก็ก้าวเข้ามาในห้องและกอดเขาไว้แน่น จากนั้นริมฝีปากของเขาจะถูกทาบปิดลงมาและบดจูบด้วยความปรารถนาที่ถาโถมจากอีกฝ่าย ดูดเม้นริมฝีปากบางเป็นจังหวะ แม้ไม้ได้ล่วงล้ำในโพรงปากแต่เสียงดูดปากดังเบาๆอยู่ข้างหู เขาตกใจจนเบิกตากว้างรู้สึกว่าตัวเองถูกครอบงำด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนและตอนนี้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นราวกับจะแตกออกจากอก
นี่มันอะไรกัน... เขาคิดในใจแต่ร่างกายของเขากลับไม่ยอมขยับเขยื้อนขัดขืน
ผู้ชายคนนั้นถอนจูบออกอย่างบางเบาแล้วมองเขาด้วยแววตาที่อบอุ่นและลึกลับ
"ทำไมจูบไม่เก่งเลยล่ะครับ ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่สอน" เสียงกระซิบเบาๆดังที่ข้างหู
กนกรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น เขาพยายามจะพูดอะไรแต่คำพูดก็ติดอยู่ในลำคอผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เขาอีกครั้งแล้วก็ก้าวเข้ามาใกล้ๆ
จากนั้น ทั้งสองคนก็...
กนกรู้สึกว่าตัวเองถูกดึงเข้าไปในโลกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนเขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงหรือไม่
หน้าบ้านหลังเล็กที่เงียบงัน มีเพียงเสียงสะอื้นปะปนกับเสียงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน ปล่อยให้มีเพียงสองร่างในอ้อมกอดกันแน่นอยู่กลางห้วงเวลาอันแสนเจ็บปวด ภพกอดร่างของกนกแน่น รู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากการร้องไห้ที่ไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่าย ๆ น้ำตาของคนน้องเปียกเสื้อเขาจนชื้น และแรงกอดของกนกก็เหมือนเป็นการยึดเหนี่ยวสุดท้ายไว้กับความจริง“ฮึก… พี่ภพ… มันเจ็บ…” เสียงสะอื้นแผ่วเบารอดออกจากริมฝีปากสั่น“ไม่เป็นไรแล้ว…” ภพกระซิบเบา ๆ มือใหญ่ลูบหลังคนน้องอย่างอ่อนโยน“พี่อยู่นี่แล้ว ไม่มีใครทำร้ายกนกได้อีกแล้วนะ…”กนกส่ายหน้าเล็กน้อย ซุกหน้าลงที่ไหล่กว้าง เสียงร้องไห้เปลี่ยนเป็นสะอื้นอย่างทรมาน“มันย้อนกลับมา… ภาพพวกนั้น… ตอนเด็ก… ทำไมถึงลืมมันไปได้ ฮึก… ทำไมถึงเพิ่งจำได้ตอนนี้…”“ไม่ต้องโทษตัวเองนะคนเก่ง…” ภพก้มลงจูบผมนิ่ม ๆ ซับน้ำตาที่เปื้อนแก้มเนียนด้วยความอดทนที
วันนี้พี่ภพชวนผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้า อากาศสดชื่นกว่าทุกวัน หรือบางทีอาจเป็นเพราะวันนี้พี่ภพอยู่ข้าง ๆเราไปเดินชมสวนดอกไม้ด้วยกัน แสงแดดอ่อน ๆ ทาบลงบนทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยสีสันของดอกไม้ที่กำลังผลิบาน นี่เป็นครั้งแรกที่เราถ่ายรูปคู่กัน พี่ภพยิ้มให้กล้อง ผมเองก็ยิ้มตามไปโดยไม่รู้ตัวแปลกดีนะ… ทำไมตอนนี้ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของพี่ภพเป็นเหมือนบ้านช่วงบ่าย พี่ภพบอกว่าจะพาผมไปในสถานที่แห่งหนึ่ง "สถานที่แห่งความทรงจำ"ผมไม่ได้ถามว่ามันคือที่ไหน เพราะสิ่งเดียวที่พี่ภพบอกผมก็คือ—"จับมือพี่ไว้แน่น ๆ นะ"และช่วงนี้ ผมกล้าจับมือพี่ภพแล้วด้วยเรานั่งรถมาด้วยกัน ข้างทางเริ่มคุ้นตาขึ้นเรื่อย ๆ ผมคิดว่าเรากำลังเดินทางกลับไปที่บ้านพี่ภพแต่พอรถเลี้ยวเข้าเส้นทางเล็ก ๆ ผมกลับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาดมันไม่ใช่บ้านของพี่ภพ แต่เป็นบ้านเก่าหลังนึงที่สภาพดี แต่ไม่มีใครอยู่แล้ว เมื่อก้าวลงจากรถ ผมรู้สึกเหมือนถูกสายลมที่มองไม่เห็นกระแทกเข้ามาเต็มแรงลมพัดเอื่อย
ในห้วงเวลาอบอุ่นช่วงปิดเทอมผ่านไปอย่างรวดเร็ว กนกอยู่บ้านมาหลายสัปดาห์แล้ว พี่ภพเองก็ติดโปรเจกต์ปีสุดท้ายและกำลังเตรียมตัวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน ทำให้เราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ส่งหากันเป็นระยะจนกระทั่งวันนี้พี่ภพมาหาน้าแป้น และทักมาหาเขา"วันนี้มาหาพี่หน่อย อยู่เป็นเพื่อนตอนทำงานได้ไหม?"กนกอ่านข้อความแล้วบอกแม่ว่าจะออกไปข้างนอกกับพี่ภพ เมื่อเจอกัน เราทานมื้อเที่ยงด้วยกัน ก่อนที่พี่ภพจะขับรถพาเขาไปยังห้องพักบรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเพลงบรรเลงคลอแผ่วเบา อากาศเย็นกำลังดีทำให้รู้สึกสบายใจ กนกไม่ได้ถามว่าทำไมพี่ภพถึงพาเขามาที่ห้องพัก—เขาแค่ไว้ใจคอนโดของพี่ภพอยู่ไม่ไกลจากหอในของเขานัก เป็นห้องขนาดกว้าง แบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นระเบียบ พื้นที่ครัวเล็กๆ อยู่มุมหนึ่ง ห้องนอนเชื่อมกับพื้นที่ทำงาน เตียงกว้างและดูนุ่มมาก"เราจะนั่งอ่านหนังสือที่เตียงพี่ก็ได้นะ ถ้าง่วงก็นอนได้เลย""ครับ"กนกตอบรับโดยไม่ถามอะไร เขาหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาเปิด แต่ในใจก็แอบสงสัยว่าพี่ภพให้มาอยู่เป็นเพื่อน หรือแค่ต้
"อ้อมกอดของแม่"คืนนี้เงียบสงบกว่าทุกคืน ลมหายใจของกนกอุ่นขึ้นเมื่อนอนอยู่ข้างแม่ อ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้ง"วันนี้แม่ขอนอนกับลูกชายคนโปรดได้ไหมครับ?""ได้ครับแม่"กนกขยับตัวให้แม่เข้ามาใต้ผ้าห่มอุ่นๆ พอเพชรล้มตัวลงนอน กนกก็รีบซุกตัวเข้าหาแม่ทันที โอบกอดแน่นราวกับไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเพชรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะลูบผมลูกชายอย่างอ่อนโยน "เป็นยังไงบ้างลูก ปีแรกในมหาวิทยาลัย เหนื่อยไหม?""เหนื่อยครับ แต่ก็สนุกมากด้วย""เรียนยากไหม?""ก็ยากนิดหน่อยครับ แต่ยังดีที่มีมิวช่วยติวให้ มิวเก่งมากเลยครับแม่""ดีจังเลย แม่จำได้ว่าลูกเล่าเรื่องมิวให้ฟังบ่อยๆ แล้วหนูพราวล่ะ เป็นไงบ้าง?""พราวก็ยังตลกเหมือนเดิมเลยครับแม่ ถ้าผมเครียดๆ เบื่อๆ พราวนี่แหละที่ทำให้ผมยิ้มได้""ดีแล้วล่ะลูก มีเพื่อนดีก็ช่วยกันประคองไปนะ มีอะไรให้แม่ช่วยก็บอกได้ อย่าเก็บไว้คนเดียว"กนกพยักหน้ารับ แล้วเงียบไปครู่หนึ่งเพชรมองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน ก่อนจะถามสิ่งที่ค้างคาใจ "แล้วพี่ภ
หลังจากนั้นพบรักก็พากนกกลับบ้าน เด็กหนุ่มเดินเข้าบ้านพร้อมความรู้สึกที่อบอุ่น แม้จะมีความหวาดกลัวและกังวลบางอย่างยังค้างอยู่ในใจ แต่การมีพี่ภพอยู่เคียงข้าง คอยโอบกอด คอยปลอบโยน ทำให้เขารู้สึกว่า… ไม่ได้เผชิญทุกอย่างเพียงลำพังและยิ่งรู้สึก… ชอบพี่ภพมากขึ้นทุกวันวันนี้ดูเหมือนว่าเขาจะใช้พลังไปเยอะ ทั้งร่างกายและหัวใจเลยเหนื่อยล้าเต็มที กนกหยิบหนังสือนิยายขึ้นมา หวังว่าจะอ่านเล่นสักหน่อยก่อนจะหลับไปแต่ก่อนที่เปลือกตาจะหนักอึ้ง มือถือก็สั่นเบา ๆ แจ้งเตือนข้อความจาก LINEพี่ภพ: “นอนหรือยังครับ”กนก: “กนกจะอ่านหนังสือนิยายสักหน่อย แล้วก็คงจะนอนแล้วครับ”พี่ภพ: “นอนไวจัง เพิ่งสามทุ่มเอง”กนกหลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบกลับกนก: “พี่ภพมีอะไรหรือเปล่าครับ”พี่ภพ: “พี่เหนื่อยนิดหน่อย พอดีส่งงานให้ลูกค้าอยู่ กำลังปั่นงานเลย”กนก: “วันนี้พี่ภพกลับไปในเมืองหรอครับ”
เพชรมองหน้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มกับโทรศัพท์ รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแสดงออกมา“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรกันครับ คุณกนกของแม่?”กนกสะดุ้งเงยหน้าขึ้น ก่อนจะรีบปฏิเสธเสียงอ้อมแอ้ม “ยิ้มอะไรกันล่ะครับ แม่คิดไปเอง กนกไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”เพชรหัวเราะเบา ๆ “ก็เห็นยิ้มกับโทรศัพท์ไง”เด็กหนุ่มเม้มปาก หันไปมองหน้าจออีกครั้ง ก่อนจะยอมรับเสียงเบา “ก็...พี่ภพ LINE มาบอกนะครับว่าอยู่บ้านตัวเองแล้ว”“อ้อ”“แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน กนกก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน” เจ้าตัวพูดต่อ “แต่ว่าพี่เขาบอกว่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านเราตรงนี้นี่เอง”เพชรพยักหน้ารับรู้ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่แววตายังคงมองสำรวจลูกชายของตัวเอง“วันนี้เขาจะมาหาหรือเปล่า?”“พี่ภพเหรอครับ?”“จ้ะ”“เห็นบอกว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวสวนมะพร้าวเล็ก ๆ”เพชรเลิกคิ้วเล็กน้อย “สวนมะพร้าว?”กนกพยักหน