1
แค่เริ่มต้นก็ผิดแล้ว
ผู้อื่นอาจจะคิดว่านางใจกล้าอาจหาญ เอ่ยวาจาต่อรองรับสั่งของฮ่องเต้แต่แท้จริงนางเพียงกลัวตนเองจะทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วตายกลายเป็นผีเร่ร่อนไปก่อน
“โอ๊ย! เจ็บ” มือไม้หนักกันเสียจริง
“ท่านหญิงเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ให้บ่าวตามหมอหรือไม่” เป็นซิวเหยารีบถลันเข้ามาหาก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยอย่างแท้จริง
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงเผลอขยับตัวเล็กน้อย”
“พวกเขาช่างกล้าลงมือกับท่าน ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าท่านเป็นเสี้ยนจู่จากแดนเหนือ” แม้ท่านหญิงของนางจะร้ายกาจกับผู้อื่นแต่กับสาวใช้เช่นตน ท่านหญิงมีเมตตามาก
“ซิวเหยากำแพงมีหู[1] พูดจาสิ่งใดให้ระวัง ที่นี่ไม่ใช่เป่ยเหลิ่ง” นางห้ามปรามสาวใช้คนสนิทให้ระวังตัว
แม้นี่จะเป็นการถูกโบยสองไม้ในรอบที่สองหลังจากทำข้อตกลงกับฮ่องเต้แล้ว แต่นางก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่หลังเช่นเดิม
เนื่องจากในช่วงนี้นางไม่ต้องออกไปวิ่งตามบุรุษตามคำสั่งของบิดาแล้ว นางจึงมีเวลาได้ทบทวนความทรงจำของร่างเดิม แล้วได้พบความจริงว่า เสี้ยนจู่เหลียงจิ่วเม่ย หาใช่คนร้ายกาจโดยเนื้อแท้
จากความทรงจำของท่านหญิงเหลียงในวัยสิบหนาวสตรีผู้นี้เห็นบิดาของตนลงมือสังหารพระชายาที่ถูกขังไว้ในคุกใต้ดินด้วยการบีบคอให้ตายเต็มสองตา ทั้งที่ตั้งแต่จำความได้จนเติบใหญ่ บิดาบอกนางว่ามารดาถูกฮ่องเต้เหลียงโจวเชี่ยวจับไว้เป็นตัวประกันที่เมืองหลวง ทำให้วัยเด็กของเหลียงจิ่วเม่ยโกรธเกลียดผู้มีศักดิ์เป็นท่านอาของตนมาก
เมื่อถูกบิดาจับได้ว่านางเห็นเรื่องราวโหดร้ายนั่นแล้ว นางก็กลายเป็นเครื่องมือของบิดาทันที นางทำตัวร้ายกาจเพื่อให้บิดาพอใจทั้งยังได้ปกปิดตัวตนที่อ่อนแอของตน การเข้าหาคุณชายรองเจียงนอกจากจะเป็นความต้องการของบิดาแล้วแท้จริงยังเป็นความต้องการของร่างนี้ที่หวังจะหลบหนีจากการควบคุมของบิดาผู้ชั่วช้า
‘หากเจ้าไม่สามารถทำประโยชน์ให้ข้าได้ เจ้าก็จะมีจุดจบไม่ต่างจากมารดาของเจ้า’ นั่นคือประโยคที่ฝังลึกในความทรงจำของร่างนี้ ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเกิดสิ่งใดกับพระชายาในเหลียงอ๋องนอกจากนาง ดังนั้นหากเหลียงจิ่วเม่ยต้องการมีชีวิตอยู่ นางก็ต้องทำตามคำสั่งของบิดา
“ซิวเหยา เราพบกันครั้งแรกตั้งแต่เมื่อใด”
“ทะ ท่านหญิง บ่าวผิดไปแล้ว ท่านจะลงโทษบ่าวเช่นใด บ่าวยินดีรับเจ้าค่ะ แต่อย่าขับไล่หรือขายบ่าวออกไปเลยนะเจ้าคะ” ท่าทางลนลานของอีกฝ่ายทำให้นางนึกขำขัน
“ข้ายังไม่ได้กล่าวโทษเจ้าเลย ข้าเพียงแต่อยากทราบว่าเจ้ามาเป็นสาวใช้ของข้าได้อย่างไร”
“ท่านหญิงช่วยเหลือบ่าวเอาไว้เจ้าค่ะ”
“เจ้าอยู่กับข้ามานานกี่ปีแล้ว”
“ท่านหญิงมีเรื่องใดหรือไม่ ท่านทำให้บ่าวใจคอไม่ดีแล้วนะเจ้าคะ”
“ข้าเพียงแต่อยากทบทวนเรื่องราวแต่หนหลัง เจ้าตอบมาเถิด”
“สามสี่ปีแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม...แล้วจวนหลวนโหวส่งคนมาแจ้งหรือยังว่าข้าจะต้องแต่งเข้าจวนเขาเมื่อใด”
“เป็นฮ่องเต้ส่งคนมาประกาศราชโองการว่าให้ท่านหญิงแต่งเข้าตระกูลหลวนในอีกห้าวันข้างหน้าเจ้าค่ะ”
“อืม”
“ท่านหญิงไม่โมโหหรือเจ้าคะ อีกห้าวันข้างหน้าจะตกแต่งจวนเตรียมการอย่างไรทัน แผลที่หลังท่านก็ไม่แน่ว่าจะหายทัน”
“งานแต่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเต็มใจ ไม่ว่าจะใช้เวลาเตรียมการนานเท่าใดมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
“เช่นนั้นเราหนีไปกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ขัดราชโองการเท่ากับเป็นกบฏ” แม้ว่าไม่ขัดราชโองการ เหลียงอ๋องก็เป็นกบฏอยู่แล้วก็ตาม แต่การแต่งเข้าจวนโหวก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดี ขอเพียงนางอยู่ในจวนโหวอย่างสงบ ยามที่บิดาถูกจับข้อหากบฏ ด้วยฐานะและความดีความชอบของท่านโหวหลวนห่าว ย่อมคุ้มครองปกป้องชีวิตนางได้
“แต่สมรสพระราชทานไม่อาจหย่าขาดได้นะเจ้าคะ”
“นั่นเป็นเรื่องในภายหน้า จัดการเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้แล้วเสร็จไปก่อน เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจะนอนอ่านหนังสือเงียบ ๆ”
“เจ้าค่ะ”
“อ้อ! เจ้าอย่าลืมไปหาหนังสือมาให้ข้าอีกนะ ที่มีอยู่ข้าอ่านจนหมดแล้ว”
“เจ้าค่ะ” ช่วงนี้ท่านหญิงของนางคงเบื่อหน่ายที่ต้องนอนอยู่บนเตียง จึงสั่งให้ตนหาหนังสือมาให้อ่านเช่นนี้
คล้อยหลังซิวเหยาออกไปได้ไม่นาน คนชุดดำก็ลอบเข้ามาทางหน้าต่างก่อนจะทรุดกายนั่งลงตรงโต๊ะแล้วหงายจอกรินน้ำชาใส่
“เจ้าแสร้งทำให้ใครดูกัน โดนโบยแค่สองไม้จะนับเป็นอันใดได้” คนในชุดดำกล่าวก่อนจะปลดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้างามล่มเมือง
“ข้าเป็นดวงใจของเหลียงอ๋อง ก็ต้องแสร้งบอบบางอ่อนแอมิใช่หรือ” นางเหยียดยิ้มตอบกลับสตรีที่อยู่ข้างกายบิดามานาน
นานจนนางคิดว่าอีกฝ่ายคือสตรีของบิดา
“หึ! เล่นงิ้วจนลืมความจริง” อีม่านแค่นเสียงในลำคอ หากท่านอ๋องรักและห่วงใยบุตรสาวจริง จะส่งให้มาเสี่ยงตายที่เมืองหลวงหรือ
รู้ทั้งรู้ว่าการขัดราชโองการอาจมีโทษถึงตาย แต่ก็ยังสั่งให้บุตรสาวเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อจัดการรวบหัวรวบหางคุณชายรองเจียง
[1] พูดจาให้ระวังคำพูด แม้อยู่ในที่สถานที่ปิดมิดชิดความลับก็อาจรั่วไหลได้
“อ๊า...” จูเฉ่าเหมยร้องครวญครางไม่เป็นภาษา รู้สึกวาบหวามกับสัมผัสของเขา พอเห็นในโพรงนุ่มพร้อมแก่การบุกรุกเขาก็สอดนิ้วของตนเข้าไปเพื่อคลายความคับแน่นภายใน เพราะได้น้ำหวานที่เอ่อล้นจากการโลมเลียทำให้เขาสามารถใส่นิ้วเพิ่มได้อีก แรงตอดรัดภายในทำให้เขาค่อย ๆ ขยับนิ้วอย่างช้า ๆ พลางคิดไปว่าหากสอดใส่ของตนเข้ามามันคงแทบปริแตกแพราะแรงรัดรึงเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงสอดใส่นิ้วเพิ่มอีกจากสองนิ้วเป็นสามนิ้วแล้วขยับเข้าออกจนน้ำหวานไหลออกมาเปรอะเปื้อนทั่วมือ “อ๊า! ท่านพี่ อ๊า…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก” นางส่งเสียงร้องพลางบิดกายไปมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่านก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานออกมา แรงตอดรัดในโพรงนุ่มทำให้เขารับรู้ได้ว่านางสุขสมแล้ว เขาจึงตวัดลิ้นโลมเลีย
“ขอบคุณเจ้าที่เดินทางมาจากเป่ยเหลิ่งเพื่อร่วมงานมงคลของข้า” “เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาให้ได้” “ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยซือซือ” ที่แม้จะท้องโตใกล้คลอดแล้ว ก็ยังมาร่วมงานมงคลของตนจนได้ “ข้าคงต้องกล่าวเช่นเดียวกันจิ่วเม่ย เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเจ้า” “ขอบคุณพวกเจ้าจริง ๆ” จูเฉ่าเหมยน้ำตารื้นขึ้นมา “ไม่เอา ๆ ไม่ร้องไห้ ประเดี๋ยวใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตา ใต้เท้าจิ้นจะตกใจยามเปิดหน้าเอา” เหลียงจิ่วเม่ยรีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซับน้ำตา “ดูเหมือนขบวนรับเจ้าสาวจะมาแล้ว พวกข้
หากเป็นผู้อื่นยามนี้คงนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่จะได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แตกต่างจากคู่นี้มากนักที่หลับสนิทจนเป่าหลิงสาวใช้คนสนิทของคุณหนูจูต้องเข้ามาปลุก จูเฉ่าเหมยอยู่ในอาภรณ์สีแดงที่ปักด้วยตนเอง ดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยความสุขเปล่งประกาย “หยุดมองหน้าข้าเช่นนั้นได้แล้วเป่าหลิง” คุณหนูจูกล่าวพลางนึกกล่าวโทษบุรุษที่มีอ้อมกอดอบอุ่นทำให้นางหลับสนิทจนถูกสาวใช้มาพบเข้าว่ามีบุรุษลอบมานอนร่วมเตียง “บ่าวเพียงดีใจเจ้าค่ะที่คุณหนูได้เจอบุรุษที่รักท่านมากเช่นใต้เท้าจิ้น” วันรุ่งขึ้นก็จะเข้าพิธีแล้ว แต่ใต้เท้าจิ้นยังลอบปีนหน้าต่างเข้ามาหาว่าที่ฮูหยินของตน ช่างรักใคร่กันมากเสียจริง “ข้าก็ดีใจที่บุรุษรูปงามเช่นเขาเลือกข้า แล้
“ข้าว่าแท้จริงเขาอยากแต่งตั้งแต่สามเดือนก่อนแล้ว แต่จนใจที่ไม่มีฤกษ์ดีเลย จึงพยายามเสาะหานักพรต ไต้ซือที่พอจะหาฤกษ์ดีที่รวดเร็วได้ จนได้ฤกษ์นี้มา ซึ่งเป็นเพียงฤกษ์เดียวที่จะสามารถทำให้เขาได้แต่งฮูหยินภายในปีนี้ได้” นอกนั้นต้องรอนานถึงปีหน้า “ใต้เท้าจิ้นช่างมีความพยายาม” “แต่ก็แพ้ข้า เพราะนอกจากข้ามีความพยายามแล้วข้ายังแข็งแรงมาก” “เจ้าค่ะ ท่านพี่ของข้าเก่งกาจที่สุด ทุกวันนี้ข้าหลงท่านจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” คนผู้นี้ชอบให้นางชมเชยเช่นนี้บ่อยครั้ง หากนางไม่ยอมเอ่ยปากชมเขา ค่ำคืนนั้นเขาจะรุกเร้านางจนนางไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาแต่ส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด “ข้าก็รักและหลงเจ้ายิ่งนัก ฮูหยินของข้า” หลวนจิ้นฝานกอดฮูหยินของตนเอาไว้ด้วยความรัก 
‘ที่ผ่านมาข้าเข้าใจผิดใช่หรือไม่’ ยามนั้นที่นางใช้มือช่วย มิใช่ปลดปล่อยครั้งเดียวเขาก็หมดแรงแล้วหรือ “ครานี้เจ้ากระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้านั้นหาได้อ่อนหัด และข้าก็แข็งแรงมากพอจะทำให้เจ้าหลงใหลข้า” คำกล่าวของเขาทำให้ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย แท้จริงวันนั้นเขาแกล้งหลับ ‘ปลดปล่อยแค่ครั้งเดียวก็หมดแรงแล้วหรือ ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก หากอยากให้สตรีหลงใหลท่านต้องแข็งแรงกว่านี้ เข้าใจหรือไม่’ นั่นคือวาจาที่นางกล่าวกับบุรุษที่นอนหมดแรงจนเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากที่ขอให้นางใช้มือช่วยเขาปลดปล่อย “ที่แท้เป็นข้าที่หลวมตัวให้หมาป่าห่มหนังแกะเช่นท่าน” “เจ้าจงจำไว้ว่าต่อนี้อย่าได้ดูแคลนสามีเรื่องอุ่นเตียงเด็ดขาด มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีแรงแ
“เช่นนั้นก็อย่าได้ชักช้าเลย” กล่าวจบเขาก็โอบรั้งเอวคอดกิ่วของนางให้เข้ามาแนบชิด มือใหญ่จับใบหน้าเล็กเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกเข้าโพรงปากนุ่มเกี่ยวกระหวัดพัวพันปลุกเร้าความปรารถนา ความสัมผัสวาบหวามทำให้นางอ่อนระทวย อาภรณ์ถูกถอดออกอย่างเร่งรีบ รู้ตัวอีกคราทั้งนางและเขาก็เปลือยเปล่า เขาดันตัวให้นางเอนกายนอนลงบนเตียง มือใหญ่ลูบไล้ไปตามผิวกายอ่อนนุ่ม ก้อนเต้าหู้อวบอิ่มสั่นไหวไปตามการขยับตัวยั่วเย้าให้เขาสัมผัสและเคล้นคลึงมัน ยอดอกชูชันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าด้วยปลายลิ้นก่อนจะดูดกลืนอย่างหิวกระหาย “อ๊า...” เหลียงจิ่วเม่ยส่งเสียงร้องครวญครางพลางบิดกายไปมาอย่างรัญจวน เมื่อหยอกเย้ายอดอกอวบอิ่มจนพอใจแล้ว เขาเลื่อนกายลงสู่ตรง