ฃ รู้ทั้งรู้ว่าการขัดราชโองการอาจมีโทษถึงตาย แต่ก็ยังสั่งให้บุตรสาวเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อจัดการรวบหัวรวบหางคุณชายรองเจียง
“แล้วเจ้ามาที่นี่มีอันใด” นางเอ่ยถามบุปผาที่รอบตัวมีแต่หนามพิษ ช่วงหนึ่งเดือนที่ไม่มีคนของเหลียงอ๋องมากวนใจช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขเสียจริง
“ท่านอ๋องฝากความมาบอกเจ้าว่า ‘ในเมื่อทำพลาดจนต้องแต่งเข้าจวนโหวแล้ว จงใช้ความเป็นฮูหยินน้อยจวนโหวให้เป็นประโยชน์ หลวนฮูหยินเป็นสหายสนิทของฮองเฮา สานสัมพันธ์เอาไว้ให้ดี อีกไม่นานคงจะได้ใช้งาน”
‘ทำตัวเป็นดั่งมารดาข้าเช่นนี้ คงหมายปองตำแหน่งฮองเฮา หากเหลียงอ๋องก่อกบฏสำเร็จสินะ’ เหลียงจิ่วเม่ยคิด
“จงจำไว้ว่าชีวิตเจ้าเป็นของท่านอ๋อง อย่าได้คิดทรยศหรือหักหลังเขา หากไม่อยากมีจุดจบเช่นมารดาของเจ้า”
“...” นางไม่ตอบ
“หึ!” อีม่านแค่นเสียงในลำคอแล้วมองนางด้วยสายตาเหยียดหยามก่อนจะกลับออกไปทางหน้าต่าง
‘ข้าช่างเป็นนางร้ายที่น่าสงสารที่สุด’ ไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ล้วนพบเจอความตาย
‘ชีวิตเจ้าซับซ้อนเช่นนี้ แล้วข้าจะใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีได้อย่างไร’ หากเป็นเช่นนี้ นางต้องทำเช่นไรถึงจะมีชีวิตรอดจนได้เจอเพื่อนรัก ไม่ต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปเสียก่อน
ชะตาชีวิตของเหลียงจิ่วเม่ยช่างริบหรี่ยิ่งนัก...
แผลจากการโดนโบยยังไม่ทันสมานดีนางก็ต้องสวมชุดเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวไปจวนโหว ไร้พิธีการหรือขบวนเจ้าสาวที่สมเกียรติ ส่วนสินสอดที่จวนโหวส่งมาตามธรรมเนียมน่ะหรือ ก็เป็นการส่งมาแบบขอไปที
แต่เอาเถิดนางก็ไม่ได้คาดหวังเรื่องนี้ตั้งแต่แรก อย่างไรพิธีกราบไหว้ฟ้าดินครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะราชโองการบังคับมา
“ท่านหญิง ระวังเท้านะเจ้าคะ” เป็นซิวเหยาที่เข้ามาช่วยประคองนางลงจากเกี้ยวเจ้าสาว ซึ่งแตกต่างจากในนิยายที่นางเคยอ่านมากนัก ว่าคนที่ประคองเจ้าสาวลงจากเกี้ยวอย่างทะนุถนอมต้องเป็นเจ้าบ่าว
“อืม” นางตอบรับสั้น ๆ และก้าวเท้าอย่างระวัง
“...” เมื่อเห็นพิธีกราบไหว้ฟ้าดินของผู้เป็นนาย ซิวเหยาอยากเอ่ยวาจาตำหนิออกไป แต่ทว่าด้วยฐานะของตนก็ไม่อาจเปิดปากได้ มิเช่นนั้นจะพานทำให้ท่านหญิงของตนเดือดร้อนไปด้วย
แม้จะถูกบังคับให้รับผิดชอบชื่อเสียงของท่านหญิงด้วยสมรสพระราชทานแต่การจัดพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเรียบง่ายเยี่ยงชาวบ้านเช่นนี้มิใช่จงใจหยาบเกียรติเสี้ยนจู่แห่งแดนเหนือหรือ
‘ดูเหมือนจวนโหวจะมีน้ำหนักในใจฮ่องเต้ไม่น้อย มิเช่นนั้นมีหรือจะกล้าจัดพิธีแบบขอไปทีเช่นนี้ได้’ นางคิดหลังจากเห็นการจัดการของจวนโหวผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวผืนบาง
ช่างเถิด...นางก็ไม่ได้คาดหวังอันใดตั้งแต่แรกทั้งยังคาดเดาเอาไว้ว่าราชโองการที่ระบุให้นางเป็นฮูหยินของโหวซื่อจื่อนั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นฮูหยินเอกหรือฮูหยินรอง มิเท่ากับว่าฮ่องเต้เหลือทางรอดเอาให้โหวซื่อจื่อหรือ
หากให้นางเป็นฮูหยินรองก็ดีเช่นกันไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งใดให้มาก ทั้งยังส่งผลดีต่อข้อเสนอที่นางจะตกลงกับเขา
ในเมื่อไม่ว่านางจะเลือกทางไหน คนผู้นั้นก็ล้วนต้องการผลประโยชน์จากเหลียงจิ่วเม่ย เช่นนั้นนางก็จะเลือกหนทางที่น่าจะทำให้นางมีชีวิตรอดได้มากที่สุด
‘หวังว่าข้าจะเลือกถูกต้อง’ นางไตร่ตรองมาแล้วหลายวัน คิดทบทวนไปมาหลายรอบกว่าจะได้หนทางที่น่าจะปลอดภัยที่สุด นางจึงคิดอยากจะเดิมพันดูสักครั้ง
แม้พิธีกราบไหว้นี้จะเกิดขึ้นจากสมรสพระราชทาน แต่ทว่าบรรดาขุนนางต่างรู้ดีว่าที่มาที่ไปคืออันใดพวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในการเข้าร่วมแสดงความยินดีทำให้คนตระกูลหลวนไม่ต้องต้อนรับแขกเหรื่อให้เหน็ดเหนื่อย
หลังจากกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จแล้ว นางก็ถูกพาไปที่เรือนหลังหนึ่งซึ่งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากเรือนหลัก
“ท่านหญิง พวกเขาช่างใจร้ายกับท่านเสียจริง”
“ช่างเถิด ข้าก็ไม่ได้คาดหวังอันใดกับการแต่งงานครั้งนี้ เจ้านำของที่ข้าสั่งมาครบถ้วนดีหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เมื่อผ่านพ้นพิธียกน้ำชาแล้วก็คงจะไม่มีใครสนใจข้าอีก เมื่อนั้นค่อยจัดการเรื่องของเรา” ก็อย่างที่บอกว่าเมื่อนางได้ตกลงเลือกเส้นทางให้ตนแล้ว นางจึงให้ซิวเหยานำเครื่องประดับของมีค่าไม่เว้นแม้แต่ผ้าไหมและแจกันหายากไปขายเปลี่ยนให้เป็นตั๋วเงินให้หมด เหลือไว้เพียงปิ่นปักผมสองสามอันที่ไม่ได้มีค่าอันใดมาก
“โถ่! ท่านหญิงของบ่าว” สาวใช้ที่แม้จะไม่ได้อยู่ข้างกายผู้เป็นนายตั้งแต่เด็ก แต่ทว่าหลายปีมานี้ก็อยู่เคียงข้างมาโดยตลอดจึงทราบว่าที่ท่านหญิงต้องทำตนร้ายกาจเพียงเพราะให้บิดาพอใจ
“ซิวเหยา เจ้าจงจำเอาไว้ว่าการพึ่งพาที่ดีที่สุดคือการพึ่งพาตนเอง”
“เจ้าค่ะท่านหญิง”
“หมั่นโถวที่ข้าให้เจ้าเตรียมอยู่ที่ใด”
“นี่เจ้าค่ะ” สาวใช้หยิบหมั่นโถวออกมาจากอกเสื้อ
เหลียงจิ่วเม่ยเปิดผ้าคลุมหน้าออกแล้วคว้าห่อหมั่นโถวในมือของสาวใช้มาก่อนจะแบ่งมันออกเป็นสองส่วนขนาดใกล้เคียงกัน
“ท่านหญิงเปิดผ้าคลุมหน้าออกเช่นนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ...”
“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้สนใจ อ่ะ...ข้าแบ่งให้เจ้า” นางส่งหมั่นโถวในมือให้สาวใช้
“อ๊า...” จูเฉ่าเหมยร้องครวญครางไม่เป็นภาษา รู้สึกวาบหวามกับสัมผัสของเขา พอเห็นในโพรงนุ่มพร้อมแก่การบุกรุกเขาก็สอดนิ้วของตนเข้าไปเพื่อคลายความคับแน่นภายใน เพราะได้น้ำหวานที่เอ่อล้นจากการโลมเลียทำให้เขาสามารถใส่นิ้วเพิ่มได้อีก แรงตอดรัดภายในทำให้เขาค่อย ๆ ขยับนิ้วอย่างช้า ๆ พลางคิดไปว่าหากสอดใส่ของตนเข้ามามันคงแทบปริแตกแพราะแรงรัดรึงเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงสอดใส่นิ้วเพิ่มอีกจากสองนิ้วเป็นสามนิ้วแล้วขยับเข้าออกจนน้ำหวานไหลออกมาเปรอะเปื้อนทั่วมือ “อ๊า! ท่านพี่ อ๊า…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก” นางส่งเสียงร้องพลางบิดกายไปมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่านก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานออกมา แรงตอดรัดในโพรงนุ่มทำให้เขารับรู้ได้ว่านางสุขสมแล้ว เขาจึงตวัดลิ้นโลมเลีย
“ขอบคุณเจ้าที่เดินทางมาจากเป่ยเหลิ่งเพื่อร่วมงานมงคลของข้า” “เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาให้ได้” “ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยซือซือ” ที่แม้จะท้องโตใกล้คลอดแล้ว ก็ยังมาร่วมงานมงคลของตนจนได้ “ข้าคงต้องกล่าวเช่นเดียวกันจิ่วเม่ย เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเจ้า” “ขอบคุณพวกเจ้าจริง ๆ” จูเฉ่าเหมยน้ำตารื้นขึ้นมา “ไม่เอา ๆ ไม่ร้องไห้ ประเดี๋ยวใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตา ใต้เท้าจิ้นจะตกใจยามเปิดหน้าเอา” เหลียงจิ่วเม่ยรีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซับน้ำตา “ดูเหมือนขบวนรับเจ้าสาวจะมาแล้ว พวกข้
หากเป็นผู้อื่นยามนี้คงนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่จะได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แตกต่างจากคู่นี้มากนักที่หลับสนิทจนเป่าหลิงสาวใช้คนสนิทของคุณหนูจูต้องเข้ามาปลุก จูเฉ่าเหมยอยู่ในอาภรณ์สีแดงที่ปักด้วยตนเอง ดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยความสุขเปล่งประกาย “หยุดมองหน้าข้าเช่นนั้นได้แล้วเป่าหลิง” คุณหนูจูกล่าวพลางนึกกล่าวโทษบุรุษที่มีอ้อมกอดอบอุ่นทำให้นางหลับสนิทจนถูกสาวใช้มาพบเข้าว่ามีบุรุษลอบมานอนร่วมเตียง “บ่าวเพียงดีใจเจ้าค่ะที่คุณหนูได้เจอบุรุษที่รักท่านมากเช่นใต้เท้าจิ้น” วันรุ่งขึ้นก็จะเข้าพิธีแล้ว แต่ใต้เท้าจิ้นยังลอบปีนหน้าต่างเข้ามาหาว่าที่ฮูหยินของตน ช่างรักใคร่กันมากเสียจริง “ข้าก็ดีใจที่บุรุษรูปงามเช่นเขาเลือกข้า แล้
“ข้าว่าแท้จริงเขาอยากแต่งตั้งแต่สามเดือนก่อนแล้ว แต่จนใจที่ไม่มีฤกษ์ดีเลย จึงพยายามเสาะหานักพรต ไต้ซือที่พอจะหาฤกษ์ดีที่รวดเร็วได้ จนได้ฤกษ์นี้มา ซึ่งเป็นเพียงฤกษ์เดียวที่จะสามารถทำให้เขาได้แต่งฮูหยินภายในปีนี้ได้” นอกนั้นต้องรอนานถึงปีหน้า “ใต้เท้าจิ้นช่างมีความพยายาม” “แต่ก็แพ้ข้า เพราะนอกจากข้ามีความพยายามแล้วข้ายังแข็งแรงมาก” “เจ้าค่ะ ท่านพี่ของข้าเก่งกาจที่สุด ทุกวันนี้ข้าหลงท่านจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” คนผู้นี้ชอบให้นางชมเชยเช่นนี้บ่อยครั้ง หากนางไม่ยอมเอ่ยปากชมเขา ค่ำคืนนั้นเขาจะรุกเร้านางจนนางไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาแต่ส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด “ข้าก็รักและหลงเจ้ายิ่งนัก ฮูหยินของข้า” หลวนจิ้นฝานกอดฮูหยินของตนเอาไว้ด้วยความรัก 
‘ที่ผ่านมาข้าเข้าใจผิดใช่หรือไม่’ ยามนั้นที่นางใช้มือช่วย มิใช่ปลดปล่อยครั้งเดียวเขาก็หมดแรงแล้วหรือ “ครานี้เจ้ากระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้านั้นหาได้อ่อนหัด และข้าก็แข็งแรงมากพอจะทำให้เจ้าหลงใหลข้า” คำกล่าวของเขาทำให้ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย แท้จริงวันนั้นเขาแกล้งหลับ ‘ปลดปล่อยแค่ครั้งเดียวก็หมดแรงแล้วหรือ ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก หากอยากให้สตรีหลงใหลท่านต้องแข็งแรงกว่านี้ เข้าใจหรือไม่’ นั่นคือวาจาที่นางกล่าวกับบุรุษที่นอนหมดแรงจนเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากที่ขอให้นางใช้มือช่วยเขาปลดปล่อย “ที่แท้เป็นข้าที่หลวมตัวให้หมาป่าห่มหนังแกะเช่นท่าน” “เจ้าจงจำไว้ว่าต่อนี้อย่าได้ดูแคลนสามีเรื่องอุ่นเตียงเด็ดขาด มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีแรงแ
“เช่นนั้นก็อย่าได้ชักช้าเลย” กล่าวจบเขาก็โอบรั้งเอวคอดกิ่วของนางให้เข้ามาแนบชิด มือใหญ่จับใบหน้าเล็กเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกเข้าโพรงปากนุ่มเกี่ยวกระหวัดพัวพันปลุกเร้าความปรารถนา ความสัมผัสวาบหวามทำให้นางอ่อนระทวย อาภรณ์ถูกถอดออกอย่างเร่งรีบ รู้ตัวอีกคราทั้งนางและเขาก็เปลือยเปล่า เขาดันตัวให้นางเอนกายนอนลงบนเตียง มือใหญ่ลูบไล้ไปตามผิวกายอ่อนนุ่ม ก้อนเต้าหู้อวบอิ่มสั่นไหวไปตามการขยับตัวยั่วเย้าให้เขาสัมผัสและเคล้นคลึงมัน ยอดอกชูชันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าด้วยปลายลิ้นก่อนจะดูดกลืนอย่างหิวกระหาย “อ๊า...” เหลียงจิ่วเม่ยส่งเสียงร้องครวญครางพลางบิดกายไปมาอย่างรัญจวน เมื่อหยอกเย้ายอดอกอวบอิ่มจนพอใจแล้ว เขาเลื่อนกายลงสู่ตรง