“ช่างเถิด เจ้าอย่าได้สนใจ อ่ะ...ข้าแบ่งให้เจ้า” นางส่งหมั่นโถวในมือให้สาวใช้
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านหญิง แต่หากท่านกินหมั่นโถวไปก่อน ท่านเขยจะไม่...”
“เขาไม่มาเข้าหอหรอกเชื่อข้าเถิด ส่วนของที่อยู่บนโต๊ะพวกนั้นจะไว้ใจได้มากเท่าใดกัน ข้าไม่เอาชีวิตของตนไปเสี่ยงหรอก รีบกินหมั่นโถวเสียเถิด พรุ่งนี้ค่อยมาดูกันว่าจะต้องจัดแจงสิ่งใดบ้าง”
“เจ้าค่ะ” ซิวเหยารู้สึกซาบซึ้งยิ่งนักที่ผู้เป็นนายมีใจแบ่งหมั่นโถวให้สาวใช้เช่นตน
“ประเดี๋ยวกินหมั่นโถวเสร็จแล้ว เจ้าช่วยเตรียมน้ำให้ข้าเสร็จแล้วค่อยมาช่วยข้าถอดชุดพวกนี้”
“เจ้าค่ะ” ยามนี้ซิวเหยารู้สึกสงสารท่านหญิงของตนยิ่งนัก ใครจะคิดว่าชีวิตของเสี้ยนจู่ผู้สูงศักดิ์แท้จริงจะอัปยศอดสูเช่นนี้ อยู่ในจวนอ๋องก็ถูกบิดามองเป็นเพียงเครื่องมือ ยามแต่งเข้าจวนโหวก็ถูกมองข้าม
“ขอบคุณที่เจ้าไม่ทิ้งข้านะซิวเหยา” นางสัญญาว่าจะตอบแทนสาวใช้ผู้นี้ให้ดี
“โถ่! ท่านหญิงของบ่าว” สาวใช้รู้สึกสงสารผู้เป็นนายจับใจ
เมื่อกินหมั่นโถวในมือหมดซิวเหยาก็ไปเตรียมน้ำร้อนให้ท่านหญิงของตนด้วยตัวเองเนื่องจากบริเวณรอบเรือนแห่งนี้ไร้ผู้คน ไม่มีแม้แต่บ่าวมารอรับใช้ บ่งบอกว่าเจ้านายจวนนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับท่านหญิงของตน
‘อันดับแรกข้าต้องหาคนของตนเองให้ได้ก่อน’
เหลียงจิ่วเม่ยแช่น้ำร้อนคลายความเหนื่อยล้าที่พบเจอในวันนี้ ก่อนจะสวมอาภรณ์ตัวในแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงโดยไม่คิดรั้งรอใคร
“คืนนี้เจ้าก็นอนที่นี่เถิด”
“แต่ยามนี้ท่านหญิง เอ่อ...ฮูหยินแต่งกับท่านโหวซื่อจื่อแล้ว หากบ่าวนอนที่นี่เกรงว่าจะไม่เหมาะสม”
“อย่างไรคืนนี้เขาก็ไม่มาหรอก เชื่อข้าเถิด แต่หากเจ้าไม่สบายใจก็เลือกห้องในเรือนนี้สักห้องเป็นที่หลับนอน เจ้าเป็นคนสนิทของข้า ย่อมถูกเพ่งเล็ง เราไม่รู้ว่าใครประสงค์ร้ายกับเราดังนั้นการอยู่ใกล้กันถือเป็นเรื่องดี” แม้ทุกย่างก้าวต่อจากนี้จะเต็มไปด้วยขวากหนามแต่นางก็จะก้าวเดินไปให้ได้ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและการได้พบกับสหายรักอีกครั้ง
“บ่าวจะระวังตัวเจ้าค่ะ”
“อืม ไปเถิด” นางกล่าวแล้วนั่งมองสาวใช้เดินไปที่ประตู ก่อนจะปิดประตูลง
‘ข้าไม่หวังความโปรดปรานหรือความรักจากสมรสพระราชทานครั้งนี้หรอก’ ใครบ้างจะพึงใจสตรีที่ตนพลาดพลั้งด้วย
น่าเสียดายในยามที่นางอ่านนิยายเรื่องนี้ นางไม่คุ้นเคยกับชื่อแซ่ของสามีพระราชทานผู้นี้ คล้ายกับว่าไม่ถูกกล่าวถึงเลย นางจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าคนผู้นี้มีนิสัยเช่นไร คงต้องเดิมพันกับตนเองสักครั้ง
เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ทำให้นางรู้สึกตื่นตัว ก่อนจะนางล้มตัวลงนอนห่มผ้าแสร้งเป็นนอนหลับไปแล้ว
ประตูที่เปิดออกอย่างแรงทำให้นางสามารถโล่งใจไปได้เล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนของเหลียงอ๋องหรือคนที่ถูกส่งมาลอบสังหารนาง เนื่องจากคงไม่มีใครเปิดประตูเสียงดังเพื่อให้นางรู้ตัวก่อน
“หึ!” บุรุษที่เดินเข้ามาภายในห้องหอแค่นเสียงเบา ๆ เมื่อกวาดสายตามองแล้วเห็นว่าอาหารมงคลบนโต๊ะยังวางอยู่ตามเดิม ส่วนตัวเจ้าสาวที่ควรจะนั่งรอที่เตียงอย่างสงบเสงี่ยมกลับนอนห่มผ้าหลับสนิทอยู่บนเตียง
“อ่า...ที่แท้เป็นโหวซื่อจื่อเอง อุ๊ย! ขออภัยเจ้าค่ะ” นางรีบดีดตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงแค่นเบา ๆ ของเขา ก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียงอย่างสงบเสงี่ยม
“หึ!” หลวนจิ้นฝานมองสตรีท่าทางไม่สำรวมด้วยสายตาเย็นชาและนึกเย้ยหยันตนเอง คนที่ไม่เคยพึงใจกันสองคนถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยสมรสพระราชทานเรื่องราวต่อจากนี้คงจะสนุกไม่น้อย
“ท่านมาก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องอยากตกลงกับท่านเล็กน้อย”
“ว่ามา!” ผู้ตรวจการหลวนยังคงยืนห่างจากเตียงด้วยท่าทางระวังตัว ทั้งยังไม่คิดนั่งลงคล้ายกับพร้อมจะจากไปทันทีที่ต้องการ
“ท่านควรให้คนตรวจตรารอบเรือนนี้ให้มั่นใจก่อน ว่าเรื่องที่เราสนทนากันจะไม่สามารถเล็ดลอดไปถึงหูคนที่ไม่หวังดีได้” นางแสร้งกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมแฝงความจริงจัง
“ต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาในจวนของข้าได้”
“ท่านจงอย่าได้ประมาท”
“หลี่เฉิง ได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ตรวจสอบเรื่องนี้ให้เรียบร้อย หากพบเหลือบไรที่ลอบเข้าจวนข้าก็สังหารมันเสีย เรียบร้อยเมื่อใดให้มารายงาน” ปากก็สั่งการลูกน้องที่ไม่เห็นตัวของเขา แต่สายตาที่มองมาคล้ายกับกำลังเอ่ยถึงนาง
‘ขอรับคุณชาย’ เสียงตอบรับลอยมาตามลม
‘กำลังหลอกด่าข้าว่าเป็นเหลือบไรใช่หรือไม่ เหลือบไรอันใดงดงามเช่นนี้ หึ!’
ลูกน้องเขากำลังเร้นกายอยู่ใกล้ ๆ มิเท่ากับว่าเรื่องที่นางสนทนากับซิวเหยาเมื่อครู่นี้ ถูกรายงานให้เขาฟังหมดแล้วกระมัง
“เอ่อ...โหวซื่อจื่อ หากท่านไม่รังเกียจก็นั่งก่อนเถิดเจ้าค่ะ” คิดจะต่อรองผลประโยชน์กับเขา นางก็ต้องเอาอกเอาใจหน่อย
“...” หลวนจิ้นฝานไม่เอ่ยวาจาโต้ตอบ และยังคงยืนนิ่งไม่คิดขยับตัวแม้แต่ชุ่น[1]เดียว
“อ่า...ไม่นั่ง” เช่นนั้นก็ยืนให้เมื่อยขาต่อไปเถิด ขาของเขาหาใช่ขาของนาง
[1] 1 ชุ่น = 1 นิ้ว
“อ๊า...” จูเฉ่าเหมยร้องครวญครางไม่เป็นภาษา รู้สึกวาบหวามกับสัมผัสของเขา พอเห็นในโพรงนุ่มพร้อมแก่การบุกรุกเขาก็สอดนิ้วของตนเข้าไปเพื่อคลายความคับแน่นภายใน เพราะได้น้ำหวานที่เอ่อล้นจากการโลมเลียทำให้เขาสามารถใส่นิ้วเพิ่มได้อีก แรงตอดรัดภายในทำให้เขาค่อย ๆ ขยับนิ้วอย่างช้า ๆ พลางคิดไปว่าหากสอดใส่ของตนเข้ามามันคงแทบปริแตกแพราะแรงรัดรึงเป็นแน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงสอดใส่นิ้วเพิ่มอีกจากสองนิ้วเป็นสามนิ้วแล้วขยับเข้าออกจนน้ำหวานไหลออกมาเปรอะเปื้อนทั่วมือ “อ๊า! ท่านพี่ อ๊า…ท่านเก่งกาจยิ่งนัก” นางส่งเสียงร้องพลางบิดกายไปมาด้วยความรู้สึกเสียวซ่านก่อนจะเกร็งกระตุกปลดปล่อยน้ำหวานออกมา แรงตอดรัดในโพรงนุ่มทำให้เขารับรู้ได้ว่านางสุขสมแล้ว เขาจึงตวัดลิ้นโลมเลีย
“ขอบคุณเจ้าที่เดินทางมาจากเป่ยเหลิ่งเพื่อร่วมงานมงคลของข้า” “เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาให้ได้” “ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าด้วยซือซือ” ที่แม้จะท้องโตใกล้คลอดแล้ว ก็ยังมาร่วมงานมงคลของตนจนได้ “ข้าคงต้องกล่าวเช่นเดียวกันจิ่วเม่ย เจ้าเป็นสหายของข้า อย่างไรข้าก็ต้องมาแสดงความยินดีกับเจ้า” “ขอบคุณพวกเจ้าจริง ๆ” จูเฉ่าเหมยน้ำตารื้นขึ้นมา “ไม่เอา ๆ ไม่ร้องไห้ ประเดี๋ยวใบหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตา ใต้เท้าจิ้นจะตกใจยามเปิดหน้าเอา” เหลียงจิ่วเม่ยรีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยซับน้ำตา “ดูเหมือนขบวนรับเจ้าสาวจะมาแล้ว พวกข้
หากเป็นผู้อื่นยามนี้คงนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่จะได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แตกต่างจากคู่นี้มากนักที่หลับสนิทจนเป่าหลิงสาวใช้คนสนิทของคุณหนูจูต้องเข้ามาปลุก จูเฉ่าเหมยอยู่ในอาภรณ์สีแดงที่ปักด้วยตนเอง ดวงหน้าหวานเต็มไปด้วยความสุขเปล่งประกาย “หยุดมองหน้าข้าเช่นนั้นได้แล้วเป่าหลิง” คุณหนูจูกล่าวพลางนึกกล่าวโทษบุรุษที่มีอ้อมกอดอบอุ่นทำให้นางหลับสนิทจนถูกสาวใช้มาพบเข้าว่ามีบุรุษลอบมานอนร่วมเตียง “บ่าวเพียงดีใจเจ้าค่ะที่คุณหนูได้เจอบุรุษที่รักท่านมากเช่นใต้เท้าจิ้น” วันรุ่งขึ้นก็จะเข้าพิธีแล้ว แต่ใต้เท้าจิ้นยังลอบปีนหน้าต่างเข้ามาหาว่าที่ฮูหยินของตน ช่างรักใคร่กันมากเสียจริง “ข้าก็ดีใจที่บุรุษรูปงามเช่นเขาเลือกข้า แล้
“ข้าว่าแท้จริงเขาอยากแต่งตั้งแต่สามเดือนก่อนแล้ว แต่จนใจที่ไม่มีฤกษ์ดีเลย จึงพยายามเสาะหานักพรต ไต้ซือที่พอจะหาฤกษ์ดีที่รวดเร็วได้ จนได้ฤกษ์นี้มา ซึ่งเป็นเพียงฤกษ์เดียวที่จะสามารถทำให้เขาได้แต่งฮูหยินภายในปีนี้ได้” นอกนั้นต้องรอนานถึงปีหน้า “ใต้เท้าจิ้นช่างมีความพยายาม” “แต่ก็แพ้ข้า เพราะนอกจากข้ามีความพยายามแล้วข้ายังแข็งแรงมาก” “เจ้าค่ะ ท่านพี่ของข้าเก่งกาจที่สุด ทุกวันนี้ข้าหลงท่านจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” คนผู้นี้ชอบให้นางชมเชยเช่นนี้บ่อยครั้ง หากนางไม่ยอมเอ่ยปากชมเขา ค่ำคืนนั้นเขาจะรุกเร้านางจนนางไม่ได้หลับไม่ได้นอนเอาแต่ส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด “ข้าก็รักและหลงเจ้ายิ่งนัก ฮูหยินของข้า” หลวนจิ้นฝานกอดฮูหยินของตนเอาไว้ด้วยความรัก 
‘ที่ผ่านมาข้าเข้าใจผิดใช่หรือไม่’ ยามนั้นที่นางใช้มือช่วย มิใช่ปลดปล่อยครั้งเดียวเขาก็หมดแรงแล้วหรือ “ครานี้เจ้ากระจ่างแจ้งแก่ใจแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้านั้นหาได้อ่อนหัด และข้าก็แข็งแรงมากพอจะทำให้เจ้าหลงใหลข้า” คำกล่าวของเขาทำให้ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย แท้จริงวันนั้นเขาแกล้งหลับ ‘ปลดปล่อยแค่ครั้งเดียวก็หมดแรงแล้วหรือ ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก หากอยากให้สตรีหลงใหลท่านต้องแข็งแรงกว่านี้ เข้าใจหรือไม่’ นั่นคือวาจาที่นางกล่าวกับบุรุษที่นอนหมดแรงจนเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากที่ขอให้นางใช้มือช่วยเขาปลดปล่อย “ที่แท้เป็นข้าที่หลวมตัวให้หมาป่าห่มหนังแกะเช่นท่าน” “เจ้าจงจำไว้ว่าต่อนี้อย่าได้ดูแคลนสามีเรื่องอุ่นเตียงเด็ดขาด มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะไม่มีแรงแ
“เช่นนั้นก็อย่าได้ชักช้าเลย” กล่าวจบเขาก็โอบรั้งเอวคอดกิ่วของนางให้เข้ามาแนบชิด มือใหญ่จับใบหน้าเล็กเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกเข้าโพรงปากนุ่มเกี่ยวกระหวัดพัวพันปลุกเร้าความปรารถนา ความสัมผัสวาบหวามทำให้นางอ่อนระทวย อาภรณ์ถูกถอดออกอย่างเร่งรีบ รู้ตัวอีกคราทั้งนางและเขาก็เปลือยเปล่า เขาดันตัวให้นางเอนกายนอนลงบนเตียง มือใหญ่ลูบไล้ไปตามผิวกายอ่อนนุ่ม ก้อนเต้าหู้อวบอิ่มสั่นไหวไปตามการขยับตัวยั่วเย้าให้เขาสัมผัสและเคล้นคลึงมัน ยอดอกชูชันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหยอกเย้าด้วยปลายลิ้นก่อนจะดูดกลืนอย่างหิวกระหาย “อ๊า...” เหลียงจิ่วเม่ยส่งเสียงร้องครวญครางพลางบิดกายไปมาอย่างรัญจวน เมื่อหยอกเย้ายอดอกอวบอิ่มจนพอใจแล้ว เขาเลื่อนกายลงสู่ตรง