เวลาเดียวกันที่ตำหนักรับรอง
แสงอรุณเพิ่งสาดลอดผ้าม่านไหมบางเบาเข้ามาในตำหนัก ทว่าความสงบในยามเช้าไม่อาจทำให้บรรยากาศคลายความเย็นชาได้แม้แต่น้อย
อ๋องหย่งอัน นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารที่ตกแต่งอย่างพิถีพิถัน เสื้อคลุมไหมสีดำขลิบเงินลายพยัคฆ์บ่งบอกถึงฐานะ แต่สีหน้าเรียบเย็นของเขากลับทำให้ผู้คนรอบข้างไม่กล้าสบตาแม้แต่องครักษ์ที่อยู่ข้างกาย
เขาใช้ตะเกียบทองคำคีบปลานึ่งซีอิ๊วใส่ปากอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบ
"สตรีที่ปีนเตียงข้า... ถูกสกุลเหยียนลงโทษอย่างไร!"
เฮยเจิน องครักษ์ข้างกายที่ยืนอยู่เบื้องหลังพลันชะงัก สีหน้าครุ่นคิดก่อนตอบเสียงเบาแต่หนักแน่น
"เรียนท่านอ๋อง นางถูกเฆี่ยนด้วยแส้หนังสิบห้าที แล้วตัดชื่อออกจากสกุลเหยียน ส่งกลับไปยังบ้านเดิมของมารดาขอรับ"
คิ้วเรียวคมของอ๋องหย่งอันเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเสียงเย้ยหยันดังออกมาเบา ๆ คล้ายสายลมกรรโชกในฤดูเหมันต์
"น้อยไป... ข้าว่าควรตัดแขนตัดขานางเสียด้วยซ้ำ จะได้เข็ด ไม่กล้าปีนเตียงบุรุษอีก!"
เฮยเจินได้ยินเช่นนั้นกลับเงียบงันไปครู่หนึ่ง ราวกับมีบางสิ่งกลืนคำพูดลงคอ ผู้เป็นนายกวาดสายตาเย็นเยียบมองอีกฝ่ายก่อนเอ่ยอีกครั้ง
"เจ้ามีอะไรปิดบังข้าใช่หรือไม่เฮยเจิน หากเจ้ากล้าปั้นเรื่องแม้แต่ครึ่งคำ... เจ้าก็รู้ว่าข้าจะทำเช่นไร!"
คำพูดที่เฉียบขาด ดั่งคมมีดกรีดกลางใจ ทำให้เฮยเจินยิ่งหน้าซีด เขายกมือประสานแล้วถอยออกไปเล็กน้อยก่อนเรียกหัวหน้าองครักษ์เงาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
"เหวินลั่ว"
เงาร่างสูงในชุดดำสนิทปรากฏขึ้นจากเงามุมเสา เหวินลั่ว องครักษ์เงาโค้งตัวต่ำ
"คารวะท่านอ๋อง"
เสียงอ๋องหนุ่มเย็นยะเยือกไม่เปลี่ยน
"ว่ามา อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ"
เหวินลั่วสบตากับเฮยเจินแวบหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงหนัก
"คุณหนูสามสกุลเหยียน... มิได้เป็นผู้วางแผน ข้าได้สืบแล้ว นางเป็นเหยื่อเช่นกัน ยาถูกวางโดยคุณหนูใหญ่เหยียนซูหนิง นางถูกวางยาและพามาที่ตำหนักแห่งนี้ โดยหวังจะให้พระองค์เป็นผู้ลงทัณฑ์คุณหนูสามด้วยตัวเองขอรับ"
ปั้ง!
ฝ่ามือที่กำแน่นของอ๋องหย่งอันทุบลงบนโต๊ะเสียงดังสนั่น จานชามเคลื่อนไหวและกระทบกันเป็นเสียงแหลม คิ้วดกเข้มขมวดแน่น ดวงตาคมวาวปรากฏแววกรุ่นโกรธ
"นางกล้าดีนัก... หลอกใช้ข้าเป็นเครื่องมือ หึ!"
เสียงหัวเราะเย็นยะเยือกดังขึ้นตามมา ปรากฏเพียงรอยยิ้มเหี้ยมที่มุมปาก
"..." "..."
"นางคงคิดว่า ต่อให้ข้าดื่มหรือไม่ดื่มชานั้น น้องสาวของนางก็ต้องถูกข้าฆ่าทิ้งอยู่ดีสินะ... หึ"
เหวินลั่วยังคงสงบ แต่ดวงตาลอบชำเลืองอ๋องอย่างระมัดระวัง
"ท่านอ๋องจะทำอย่างไรกับคุณหนูสามสกุลเหยียนขอรับ"
จ้าวอวี้ปรายตามองออกนอกบานหน้าต่าง เห็นแสงแดดกำลังจับยอดไม้ เขากล่าวเสียงเรียบแต่เฉียบขาด
"ไปตามสืบว่านางถูกส่งตัวไปที่ใด มีใครให้ความช่วยเหลือบ้าง หากนางยังมีชีวิตอยู่และไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง... ข้าย่อมไม่ชอบติดค้างผู้ใด ส่วนเหยียนซูหนิงผู้นั้น...แส้ ถ้าไม่ฟาดใส่ตัวเองก็จะไม่รู้ว่าเจ็บ!"
"..." "..."
"นางช่ำชองการวางแผนยิ่งนัก เช่นนั้นก็จัดบุรุษให้นางปีนเตียงสักหน่อย เจ้ากรมจงเต๋อผู้นั้นเหมาะสมกับนางดี รู้ใช่หรือไม่ว่าต้องจัดการอย่างไรต่อ หึ!"
เสียงแค่นหัวเราะและสายตาของผู้เป็นนายที่ปราดมองเฮยเจินและเหวินลั่ว ทำให้พวกเขาเข้าใจทันทีว่ามีเรื่องสนุกให้ทำอีกแล้ว
จงเต๋อ เจ้ากรมเก็บของเก่าผู้นี้อายุเกือบ 60 ปี แต่มากด้วยเรื่องตัณหาราคะ มีภรรยา 3 คน และอนุภรรยาอีก 7 คน ทุกคนในบ้านต่างอิจฉาริษยากันจนบ้านแทบแตก เมียแต่ละคนก็มีลูกที่คอยแย่งความโปรดปรานกันเต็มไปหมด
"รับบัญชา"
เฮยเจินกับเหวินลั่วคุกเข่ารับคำสั่ง จากนั้นจึงหายตัวออกไปอย่างเงียบงัน
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอก็ดังขึ้นจากทางเดินด้านนอก ร่างสูงโปร่งในชุดสีฟ้าประดับลายวิจิตรก็ก้าวเข้ามาโดยไม่ต้องให้ขันทีประกาศ
"เรื่องใดกันที่ทำให้น้องข้าเสียอารมณ์แต่เช้า"
จ้าวอวี้ลุกขึ้นเล็กน้อย แววตาอ่อนลง แล้วรีบโค้งคำนับให้แก่ผู้ที่มาเยือน
"คารวะเสด็จพี่ เหตุใดจึงมาที่นี่ด้วยตนเอง พระองค์ให้คนมาตามข้าก็ได้"
องค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์เข้ามานั่งตรงข้ามน้องชายพลางหัวเราะเบา ๆ
"เจ้ายังไม่เปลี่ยนสินะ อาหารบนโต๊ะของเจ้าไม่เคยเกินห้าจานสักวัน"
จ้าวอวี้อันยักไหล่เล็กน้อย พลางรินน้ำชาให้พี่ชาย
"ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย ทั้งในมื้ออาหารหรือในราชสำนัก"
องค์รัชทายาทหัวเราะในลำคอ แต่สายตายังไม่ละไปจากน้องชาย
"เจ้าชนะศึกใหญ่ ข้าเฝ้ารอว่าเจ้าน่าจะกลับมาอยู่เมืองหลวงเสียที เหตุใดจึงยังเลือกจิงอัน... สถานที่อันห่างไกลนั่นอีก"
ดวงตาของจ้าวอวี้วาวแสงด้วยประกายเย็นเฉียบ
"เพราะที่นั่นห่างไกลราชสำนัก สงบจากเรื่องน่าปวดหัว ไม่มีสายตาสอดรู้ ไม่มีคนเสแสร้ง ต่อให้สู้รบตลอดปีกระหม่อมก็ไม่กลัว พอแค่ได้รักษาแผ่นดินและชีวิตของชาวบ้านเอาไว้ได้"
จ้าวหลินพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะรู้ว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่ความจริงก็คือเรื่องราวโหดร้ายในอดีตต่างหากคือสิ่งที่น้องชายผู้นี้ของเขาอยากหลีกหนี
"หากเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น พี่ก็ไม่ขัด เจ้าเติบโตพอที่จะเลือกเส้นทางของตนเองได้แล้ว...แต่เจ้าอย่าได้ลืมว่าที่ตรงนี้ยังมีพี่ชายของเจ้ารั้งรอเจ้าอยู่เสมอ"
สองพี่น้องนั่งสนทนาในความเงียบสงบเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่เริ่มอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แต่น้ำเสียงของอ๋องหนุ่มยังคงเยือกเย็น ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใด ๆ เหมือนทุกสิ่งล้วนถูกควบคุมไว้เบื้องหลังม่านน้ำแข็ง
1 สัปดาห์ต่อมา
ท้องฟ้ายามเช้าเหนือแนวป่าทอดยาวเป็นสาย เสียงนกป่าขับขานพลางสายลมยามรุ่งแจ้งพัดเฉื่อยปลุกไผ่ไหวเอน กิ่งไม้พาดเงาทอดทับทางคดเคี้ยวที่เลียบไหล่เขา สองร่างในอาภรณ์เรียบง่ายนั่งเคียงบนรถม้าที่ไม่ได้หรูหรา หากแต่คล่องตัวสำหรับการเดินทางไกล
รถม้าโยกไหวตามแรงล้อที่ลื่นไถลผ่านทางลูกรัง เป็นเวลาเข้าสู่วันที่แปดของการเดินทางจากเมืองหลวงฉางหรง สู่เมืองฉางซาที่อยู่ใกล้ชายแดน เมิ่งซีอยู่ในชุดนักเดินทางเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน
ผมถักเกล้าขึ้นเหนือศีรษะตามแบบบุรุษทั่วไป มือเรียวงามลูบผ้าม่านหน้าต่างรถม้าแผ่วเบา ดวงตาเรียวรีจ้องมองทิวเขาเบื้องหน้าแววลึกด้วยความเงียบงัน
เสี่ยวซือที่นั่งเคียงข้าง ดึงกระบอกน้ำออกจากห่อสัมภาระ ยื่นให้เมิ่งซีพลางยิ้มบาง...
"คุณหนู ดื่มน้ำสักหน่อยนะเจ้าคะ ท่านเข้าไปนั่งในรถม้าดีหรือไม่ นั่งตรงนี้ออกจะเมื่อยตัวนะเจ้าคะ"
เมิ่งซีหลุดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะรับน้ำมาดื่ม
"ต่อไปนี้เรียกข้าว่านายหญิงนะเสี่ยวซือ คนหนูสามคนเดิมได้ตายจากไปแล้ว จากนี้ไปมีแต่ฉินเมิ่งซีเท่านั้น"
"เจ้าค่ะนายหญิง"
เสี่ยวซือรับคำอย่างไม่โต้แย้งใด ๆ หลายวันที่ผ่านมานางเห็นแล้วว่าเจ้านายผู้นี้มีเมตตาและดีกับนางมากเพียงใด ถึงจะมีหลายอย่างที่นางคิดว่านายหญิงดูแปลกและแตกต่างก็ตาม
ตลอดหลายวันที่ผ่าน พวกนางแวะพักตามหมู่บ้านและตำบลเล็ก ๆ ที่มีโรงเตี๊ยม หากไม่มีก็เข้าไปแจ้งผู้นำหมู่บ้านเพื่อขอพักอาศัย และซื้อเสบียงข้าวปลาอาหารและน้ำ เผื่อเอาไว้
ขณะรถม้าเคลื่อนผ่านช่องเขาที่เต็มไปด้วยพงไม้รกเรื้อ เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพที่ทำให้สองสาวถึงกับต้องหยุดม้าทันที!
"นั่น...มีคนอยู่ข้างหน้าเจ้าค่ะ เหมือนจะมีคนหมดสติด้วย!" เสี่ยวซือเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นจนแน่ชัดแล้วว่ามีคนหมดสติอยู่ข้างหน้า
"จอดรถม้าดูพวกเขาสักหน่อยเถอะเสี่ยวซือ ถือโอกาสพักม้าให้หญ้าให้น้ำสักหน่อย"
เมิ่งซีเอ่ยขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปหยิบของในรถม้า เมื่อรถม้าจอดสนิทในพุ่มไม้ข้างทาง เมิ่งซีลงจากรถอย่างระมัดระวังก่อนก้าวเข้าไป
"ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยท่านแม่ของข้าด้วย นายท่านได้โปรดขอแบ่งน้ำให้ข้าน้อยสักเล็กน้อย ข้ายินดีรับใช้ท่านทุกอย่างเป็นการตอบแทน"
เด็กหญิงอายุราวหกขวบกับเด็กชายวัยหนุ่ม รีบลุกมาคุกเข่าตรงหน้าเมิ่งซี สองพี่น้องนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นข้างร่างของมารดาที่นอนหมดสติ ใบหน้าแดงก่ำด้วยพิษแดด ข้างกันมีหญิงชรานั่งพิงต้นไม้ มือจับไม้เท้าแน่น สายตามืดมัวส่ายไปมา ริมฝีปากแห้งผาก
"รีบลุกขึ้นเถอะน้องชายน้องสาว มาช่วยข้าพยุงมารดาของเจ้าเร็วเข้า เสี่ยวซือเจ้าเอาน้ำให้ท่านยายดื่มด้วย"
"เจ้าค่ะนายหญิง"
"ท่านแม่ได้ยินลูกหรือไม่ มีคนใจดีมาช่วยเราแล้ว ท่านดื่มน้ำดับกระหายก่อนนะเจ้าคะ"
เมื่อทุกคนได้ดื่มน้ำดับกระหายอาการก็ดีขึ้นมาบ้าง เมิ่งซีจึงได้โอกาสถามไถ่เรื่องราวไปในตัว ว่าเหตุใดพวกเขาจึงได้มาอยู่กลางหุบเขาเช่นนี้
"หนูน้อย..เจ้าชื่ออะไร" นางถามเบา ๆ
"ข้าชื่อจั่วซินเอ๋อร์ นั่นพี่ชายข้าชื่อจั่วไป๋ พวกเรามากับท่านแม่กับท่านย่า กับท่านพ่อที่ออกไปหาน้ำแต่ยังไม่กลับมา... ท่านช่วยแม่ข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ"
"ซินเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล พี่สาวจะให้พี่เสี่ยวซือต้มข้าวให้พวกเรากินรองท้อง เจ้ากับพี่ชายช่วยหาฟืนมากองไว้ตรงนี้นะ พี่สาวจะไปขนของลงจากรถม้า" เมิ่งซีกล่าวพลางลูบศีรษะเด็กสาวด้วยความสงสาร
"เจ้าค่ะ/ขอรับ ข้ากับน้องสาวจะออกไปหาฟืนตอนนี้เลยขอรับพี่สาว" พูดจบจั่วไป๋ก็รีบพาน้องสาวน้องสาวไปหาเก็บไม้แห้งในบริเวณใกล้เคียงมากองรวมกันไว้
เมิ่งซีและเสี่ยวซือก็รีบขึ้นไปหยิบของบนรถม้า แล้วรีบลงมาลากลังไม้ที่มีอุปกรณ์ออกมาตั้ง โครงเตาเหล็กที่พวกนางเตรียมไว้ถูกจัดวางอย่างรวดเร็ว มีกระทะขนาดพอดีวางตั้งเหนือกองไฟลุกโชน
ไม่นานเมื่อน้ำร้อนได้ที่เมิ่งซีก็นำข้าวสารใส่ลงไป ตามด้วยเครื่องปรุงอีกเล็กน้อยและเนื้อแห้งทุบ
ควันเบาบางเริ่มลอยขึ้นในขณะที่เมิ่งซีนั่งพัดควันอยู่ข้าง ๆ หญิงที่หมดสติเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นนิดหนึ่ง เด็กทั้งสองหยุดร้องไห้และเบิกตากว้างเมื่อกลิ่นข้าวต้มลอยฟุ้ง
ไม่นานนักชายวัยกลางคนในชุดผ้าฝ้ายขาดรุ่งริ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ เขาทรุดเข่าลงตรงหน้าเมิ่งซี ดวงตาเต็มไปด้วยความสำนึก
"แม่นาง ขอบคุณท่านเหลือเกิน... ข้าชื่อจั่วเหวินเฉิง ภรรยาข้าชื่อจั่วจือหลิน มารดาข้าชื่อจั่วซั่งเหนียง ลูกข้าสองคนคือจั่วซินเอ๋อร์กับจั่วไป๋... ขอบคุณ ขอบคุณที่ช่วยชีวิตครอบครัวของข้า"
เมิ่งซียิ้มอ่อน
สำนวน "แส้! ถ้าไม่ฟาดใส่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเจ็บ"
มีความหมายเชิงเปรียบเปรยว่า: บางเรื่องต้องประสบด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจถึงความยากลำบาก ความเจ็บปวด หรือผลลัพธ์ของการกระทำ
กล่าวคือ คนเรามักจะไม่เข้าใจความทุกข์ ความลำบาก หรือความผิดพลาด จนกว่าจะได้ลงมือทำหรือเจอกับตัวเองจริง ๆ
5 ปีต่อมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แคว้นเว่ยได้ฟื้นคืนจากเถ้าธุลีและผงาดขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าว การขึ้นครองราชย์ของจ้าวอวี้และเมิ่งซีในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากราษฎรทุกหมู่เหล่า พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครอง แต่ยังเป็นผู้ที่นำพาความหวังมาสู่แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งและสิ้นหวังการฟื้นฟูแคว้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ปัญหาภัยแล้งที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญถูกจัดการได้อย่างเด็ดขาด ด้วยการขุดลอกคลองส่งน้ำขนาดใหญ่ไปทั่วแคว้นตั้งแต่สองปีแรก และยังมีการสอนขุดเจาะหาบ่อบาดาลทั่วแคว้นทำให้ผืนดินที่เคยแห้งแตกระแหงกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง พื้นที่เพาะปลูกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลผลิตทางการเกษตรก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเมิ่งซีได้ใช้ น้ำยาปรับพันธุกรรมพืช ที่เป็นของวิเศษจากระบบ นำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาแช่ในน้ำยาเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนจะทำการแจกจ่ายให้ทุกครัวเรือน พร้อมกับสอนวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องให้กับราษฎรแต่ละท้องถิ่น พืชแต่ละชนิดถูกจัดสรรไปตามพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด บวกกับประสิทธิภาพของน้ำยาปรับพันธุกรรม จึงทำให้ผลผลิ
แสงแดดยามบ่ายคล้อยเริ่มอ่อนแรงลง ทอดเงาต้นไม้ให้ยาวขึ้นไปตามพื้นดิน ไท่ซ่างหวงโฮ่วในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเดินเก็บผักอยู่ในสวนอย่างสบายใจ มือของนางค่อย ๆ เด็ดใบผักใส่ตะกร้าอย่างเบามือ สายตาก็ทอดมองไปยังธรรมชาติรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเงียบและอุดมสมบูรณ์ นางรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่รากเหง้าของตนเองอีกครั้งเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ไท่ซ่างหวงกำลังเดินอยู่ท่ามกลางแปลงถั่วฝักยาวที่ออกดอกสีม่วงสวยงาม ข้างพระองค์คือเด็กน้อยสองคน อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ที่กำลังเดินตุ๊ต๊ะตามท่านปู่ไปอย่างซุกซน พวกเขามีแก้มที่กลมฟูและดวงตาที่กลมโตราวกับลูกแก้ว"เจ๋อเอ๋อร์... เดินดี ๆ นะลูก... อย่าไปชนเถาถั่วเข้าล่ะ" ไท่ซ่างหวงกล่าว ขณะที่คอยประคองหลาน ๆ อย่างระมัดระวัง แม้จะอยู่ในวัยที่ควรพักผ่อน แต่พระองค์ก็เต็มไปด้วยพลังในการเล่นกับหลานน้อยข้างกันนั้นเป็นแปลงแตงโมลูกใหญ่ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ไท่ซ่างหวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามท่านลุงชุยที่คอยตามดูแลอยู่ไม่ห่างว่า... "ชุยซาน... แตงโมพวกนี้หวานหรือไม่""แตงโมพวกนี้เป็นสายพันธุ์ที่หวานฉ่ำ กินแล้วสดชื่นมากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท... มีทั้งสีเหลืองและสีแดงพ่ะย่ะค่ะ" ท่านลุงชุยต
หลายวันผ่านไป ขบวนเนรเทศออกห่างจากความเจริญไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางป่าเขาที่แสนอันตราย อากาศที่หนาวเย็นยามค่ำคืนกัดกินร่างกายของทุกคนที่ไม่มีเสื้อผ้าห่มกายให้เพียงพอ "ท่านพี่เจ้าคะ... ท่านพี่เห็นนั่นหรือไม่" เหยียนฮูหยินกระซิบสามี แล้วพยักพเยิดหน้าไปยังพุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ผู้คุมคนหนึ่งเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้นพร้อมกับหญิงสาวที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรังจนรู้ได้ว่าเพิ่งผ่านอะไรมา"เจ้าหมายความว่ายังไง" เหยียนอวี้เจิ้งถามด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด"ข้าว่าท่านพี่มีโอกาสที่จะระบายโทสะ แถมยังได้ข้าวได้น้ำกินสักถ้วยแล้วละเจ้าค่ะ" นางกล่าวพร้อมกับหันไปมอง ฉินซินเหยาที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าของนางยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เหยียนอวี้เจิ้งมองตามสายตาของภรรยา เขาก็เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อทันที ฉินซินเหยาผู้เป็นอนุภรรยาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความงามของนางก็เริ่มจืดจางลงในสายตาเขา จนในที่สุดเขาก็ทอดทิ้งนางให้อยู่แต่ในเรือนของตัวเองมานานนับสิบปี ตอนนี้ในสายตาของเขา นางเป็นเพียงเครื่องมือที่จะช่วยให้เขามีชีวิตรอดเท่านั้น"หึ..." เหยียนอวี้เจิ้งหัวเราะในลำคอด้
ท้องพระโรงต้าเซิ่งกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นพายุใหญ่แห่งการกวาดล้างกลุ่มกบฏ ขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังคงภักดีต่างพากันยืนประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ เหล่าขุนใหญ่ผู้กระทำความผิดร้ายแรงถูกประทานสุราพิษ องค์ชายสามและองค์ชายสี่ถูกประทานยาพิษจนสิ้นพระชนม์ พร้อมกับพระสนมผู้เป็นมารดา ส่วนสกุลกู้และสกุลหานถูกประหารเก้าชั่วโคตร เพื่อไม่ให้ผู้ใดกล้าคิดการใหญ่เช่นนี้อีกในอนาคต ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ถูกตัดสินโทษตามความผิด หนึ่งในนั้นคือสกุลเหยียนที่ถูกยึดทรัพย์และเนรเทศไปใช้แรงงานยังชายแดนฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าที่สงบ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความปีติยินดี ที่ได้เห็นลูกชายทั้งสองเติบโตอย่างมีคุณภาพและรักใคร่กลมเกลียว"วันนี้... เรามีราชโองการที่สำคัญยิ่ง" ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานไปทั่วท้องพระโรง ทำให้ขุนนางทุกคนต่างพากันเงียบสนิท"นับจากนี้... เราขอสละราชสมบัติ! และมอบบัลลังก์ต้าเซิ่งอันเรืองรอง ให้กับองค์รัชทายาทจ้าวหลิน ผู้สัตย์ซื่อมั่นคงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม เป็นผู้สืบทอดปกครองโดยชอบธรรม!"ทันทีที่สิ้นเส
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งซีได้มาเยืนอตำหนักของฮองเฮาพร้อมกับลูกน้อยทั้งสอง นางค่อนข้างประหม่าเพราะความไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าตนเองจะปฏิบัติตัวถูกตามกฎในวังหลังหรือไม่ ทว่าทุกอย่างไม่ได้น่ากังวลเหมือนที่นางคิด..."หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน คารวะองค์หญิงเพคะ" เมิ่งซียอบกายลงอย่างนอบน้อม "ลูกสะใภ้ตามสบายเถิด เจ้าน่าลำบากเตรียมอะไรมาเลย" ฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "พี่สะใภ้รีบลุกขึ้น หม่อมฉันขออุ้มหลาน ๆ นะเพคะ" องค์หญิงจิ้งเหยารีบเดินมาพยุงแขนเมิ่งซี ก่อนจะหันไปหาหลานน้อยทั้งสองที่ชุยเหม่ยกับเสี่ยวซืออุ้มตามเข้ามา"ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ"แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ก็ถูกผู้เป็นอาหญิงอุ้มไปหาเสด็จย่า"โถ... หลานย่า แก้มเจ้าเยอะขนาดนี้ แสดงว่ามารดาของเจ้าต้องเลี้ยงดูมาอย่างดี น่าชื่นชมจริง ๆ" ฮองเฮาอุ้มหมิงเย่ว์ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วจูบลงไปบนแก้มที่ป่องของนางอย่างอ่อนโยน อวิ๋นเจ๋อที่เห็นน้องสาวถูกผู้เป็นย่าอุ้มก็รีบยื่นมือเข้าไปหาแล้วส่งเสียงร้อง "แอ้ แอะ!" อย่างชัดเจน ฮองเฮาจึงหัวเราะออกมาอย่างมีความส
วังหลวงแคว้นต้าเซิ่งท้องพระโรงแห่งแคว้นต้าเซิ่งถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่อึดอัดและตึงเครียด ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันมองหน้ากันอย่างเลิกลัก หลายคนรู้ดีว่าการประชุมในวันนี้ไม่ใช่การว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าซีดเซียว พระองค์ไอเป็นเลือดเป็นระยะ ส่วนรัชทายาทจ้าวหลินก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขาดูอ่อนเพลียและหมดแรงอย่างเห็นได้ชัดมหาอัครเสนาบดีกู้ฉาง ขุนนางชราผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก ก้าวออกมาจากแถวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ"ทูลฝ่าบาท! ข่าวการศึกที่ท่านอ๋องหย่งอันได้รับชัยชนะและยึดครองแคว้นเว่ยได้สำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีพ่ะย่ะค่ะ!" กู้ฉางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด แต่ในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ "...""แต่กระหม่อมขอทูลว่า... การปกครองแคว้นที่เพิ่งยึดมานั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก หากแผ่นดินของเรายังไม่มั่นคงเช่นนี้... อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองกู้ฉางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ "เจ้าจะพูดอะไรกันแน่! แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการปกครองที่มั่นคงของข้า!""กระหม่อมเห็นว่า... ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีพระวร