ม่านทองปักมังกรไหวเอนในลมยามค่ำ กลิ่นกำยานหอมละมุนลอยกรุ่นอยู่ทั่วท้องพระโรงจินเต๋อ พระราชวังอันโอฬารแห่งราชวงศ์ต้าหรง ที่ประดับประดาด้วยแสงตะเกียงสีชาด
พิณเจ็ดสายบรรเลงรับจังหวะร่ายรำจากเหล่านางรำ ท่วงท่าชดช้อยเคล้าเสียงหัวเราะและคำเยินยอที่ฟังคล้ายกลุ่มฝูงแมลงหวี่ในยามร้อนระอุ
ทว่าสายตาของบุรุษหนึ่งกลับไม่เหลียวแลใคร…
เขานั่งนิ่งประหนึ่งรูปสลัก ชุดเกราะเงินประดับลายพยัคฆ์เปื้อนฝุ่นศึกไม่มากแต่สะท้อนแสงเปลวเทียนเป็นประกาย นัยน์ตาคมไม่หลบสายตาผู้ใด แต่ก็ไม่เปิดใจรับผู้ใดเช่นกัน
เขาคือ "อ๋องหย่งอัน" หรือ "จ้าวอวี้" แม่ทัพผู้คุมด่านจิงอัน ชายผู้เป็นนักรบที่มีฉายาว่า มัจจุราชแห่งชายแดน นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีที่เขาได้กลับเข้ามาในเมืองหลวงแห่งนี้
นับตั้งแต่มีคำสั่งย้ายให้เขาไปประจำการที่เมืองชายแดนตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จวบจนตอนนี้ก็เป็นเวลา 15 ปีแล้วที่เขาอยู่ที่นั่นและเติบโตมาพร้อมกับความหวาดกลัวของผู้คน บ้างก็ว่าเขาเป็นมัจจุราช บ้างก็ว่าเขาเป็นปีศาจที่ฆ่าไม่ตาย
ฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดา ทรงพระพักตร์นิ่งเมื่อทอดพระเนตรบุตรชายจากบัลลังก์มังกร ใจหนึ่งปลื้มปีติยิ่ง แต่คำพูดกลับราบเรียบดังลมเหมันต์
"หย่งอัน เจ้าปรารถนาสิ่งใดเป็นรางวัลแห่งชัยชนะครั้งนี้?"
เสียงในท้องพระโรงเงียบลงราวถูกปิดปากด้วยมือเดียว ขุนนางทั้งหมดย่อหัวต่ำมองอ๋องหนุ่มที่ลุกขึ้นคุกเข่าช้า ๆ
"กระหม่อมมีครบทุกอย่างแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงได้อยู่ชายแดน ทำหน้าที่รับใช้แว่นแคว้นก็เพียงพอแล้ว"
เสียงหนักแน่นจนแม้แต่สายลมยังหยุดไหว ฮ่องเต้ไม่ตรัสตอบทันที ทรงหันไปยังขันทีผู้จดราชโองการ แล้วตรัสเสียงเรียบ
"ด่านจิงอัน นับแต่นี้จะเป็นเขตศักดินาของอ๋องหย่งอัน เจ้าจงปกครอง บริหาร และป้องกันดั่งหนึ่งเจ้าแคว้น ขอเพียงภักดีต่อราชสำนัก"
"เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ที่ฝ่าบาททรงโปรดประทานที่ดินศักดินา ณ เมืองจิงอัน ให้กระหม่อมถือครอง ขอได้โปรดอย่าทรงเป็นกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม… ไม่มีความปรารถนาต่อบัลลังก์หรืออำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น"
"..."
"ต่อให้ต้องกลายเป็นเพียงวิญญาณเฝ้าอาณาเขต กระหม่อมก็จะไม่ล่วงล้ำแม้เพียงเงาของราชบัลลังก์"
เขาก้มศีรษะลงต่ำ ผืนหินเย็นกระทบหน้าผากของอ๋องหนุ่มโดยไร้ความลังเล เงาร่างที่ก้มอยู่ตรงนั้น… ไม่ใช่เพียงอ๋องผู้หนึ่ง แต่คือบุตรที่ครั้งหนึ่งเคยยิ้มให้พระบิดาอย่างบริสุทธิ์
ทว่าเวลาผ่านไป ยิ้มนั้นกลับเหือดแห้ง พร้อมกับภาพจำทุกอย่างที่เคยร่วมกันก็ค่อย ๆ จางหายไปเช่นกัน
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรบุตรชายที่คุกเข่าอยู่ด้วยใจที่เจ็บปวด ต่อให้ลูกชายจะคิดว่าพ่อต้องการผลักไสเขาให้พ้นจากบัลลังก์ ต่อให้ลูกจะคิดว่าพ่อคือคนที่ฆ่าแม่ คนเป็นพ่อก็ทำได้เพียงยินยอมให้ลูกเข้าใจผิด
สายตาหลายคู่ที่จับจ้อง ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ต้องแบกรับความโกรธเคืองของบุตรชายเอาไว้...
ในยามที่ฮ่องเต้ตรัสถามว่า "เจ้าปรารถนาอะไรเป็นรางวัลแห่งชัยชนะครั้งนี้?" เสียงในท้องพระโรงพลันเงียบงัน
อ๋องจิ้งหยวน จ้าวเฉิง (องค์ชายสาม) ช้อนสายตาขึ้นมองพี่ชายร่วมบิดาผู้นั่งนิ่งไม่พูดจาตั้งแต่ต้นงาน แววตาภายใต้ใบหน้าโดเด่น พลันสะท้อนรอยยิ้มเหยียดบางเบา
นิ้วมือเรียวเคาะถ้วยสุราเบา ๆ ราวกับกลั้นหัวเราะ เขารู้ดีว่า หากจ้าวอวี้ปรารถนาจะกลับเมืองหลวง ตำแหน่งองค์รัชทายาทที่มั่นคงของจ้าวหลิน คงมิใช่เรื่องแน่นอนอีกต่อไป
อ๋องจื่อหนาน จ้าวหาน (องค์ชายสี่) ในขณะที่องค์ชายผู้เลื่องชื่อว่าทรงเมตตาและอ่อนโยนกลับเอียงหน้าฟังคำตอบของพี่ชายคนรองด้วยรอยยิ้มลึก
ดวงตาคู่นั้นราวอาทิตย์ยามช้า อบอุ่นเสียจนทุกคนอยากเข้าใกล้ เขาจดจำความเคลื่อนไหวทุกอย่างไว้เงียบ ๆ เขาไม่พูด ไม่แม้แต่จิบสุรา แต่ทุกคำพูดของจ้าวอวี้ล้วนถูกบันทึกไว้ในใจเขา
อ๋องเกิ่งอี้ จ้าวเหวิน (องค์ชายห้า) จ้าวเหวินมองพี่ชายอย่างภาคภูมิ ถึงเขาจะไม่เคยได้ใช้เวลาร่วมกับพี่ชายคนที่สอง แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีความสามารถ และเป็นที่น่ากลัวเกรงของขุนนางในราชสำนัก
องค์รัชทายาท จ้าวหลิน บุรุษผู้สงบนิ่งที่สุดในท้องพระโรง ยกสุราขึ้นแนบริมฝีปาก แต่กลับมิได้ดื่ม สายตาจ้องมองน้องชายผู้กลับมาจากสนามรบด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก
"เจ้าปฏิเสธการมีชื่อเสียง...แต่ยิ่งปฏิเสธ ชื่อเสียงของเจ้าก็ยิ่งโด่งดัง" องค์รัชทายาทรำพึงเบา ๆ กับตัวเอง
องค์หญิงจิ้งเหยา แม้นั่งอยู่มุมหญิงในตำแหน่งฝ่ายใน ทว่าสายตาขององค์หญิงผู้ฉลาดและเปี่ยมจินตนาการ กลับไม่อาจละไปจากพี่ชายร่วมบิดา จ้าวอวี้ในยามแต่งเกราะรบสะท้อนแสง ดูสง่างามราววีรบุรุษในตำนาน องค์หญิงจึงได้แต่ชื่นชมพี่ชายอยู่เงียบ ๆ
ฮองเฮาสวี่ สวี่เซี่ยนเจิน พระพักตร์ของนางยังคงเยือกเย็นและสงบนิ่ง ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเมตตาและความรัก แม้จ้าวอวี้จะมิใช่โอรสของนางโดยสายเลือด ทว่าคำสัญญาที่ให้กับสตรีผู้จากไปในอดีต ยังคงฝังแน่นในหัวใจ
และนาง…ยังคงเฝ้ามองลูกชายของสหายรักเหมือนแม่แท้ ๆ ที่เฝ้ามองลูกกลับบ้าน
ทว่าในสายตาของขุนนางทั้งราชสำนัก...'ชายผู้นี้มิเคยปรารถนาสิ่งใด...ย่อมเป็นภัยใหญ่ในภายภาคหน้า'
การประกาศให้ด่านจิงอันกลายเป็นพื้นที่ศักดินาของอ๋องหย่งอัน ทำให้ขุนนางบางส่วนเริ่มคิ้วขมวด รู้ดีว่านี่มิใช่แค่รางวัล แต่มันคือ 'การวางหมาก' ของฮ่องเต้ที่พวกเขาไม่เข้าใจเสียทีเดียว
เมื่อจอกสุราถูกเติมซ้ำจนเต็ม จ้าวอวี้ก็ยกดื่มโดยไร้ถ้อยคำ เหล่าขุนนางต่างพาลูกหลานมาแสดงความเคารพ กลับถูกเพียงสายตาเย็นเยียบตวัดตอบแทน
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้บุรุษเยี่ยงนี้นัก...
จนกระทั่งเขาลุกขึ้นจากที่ประทับและออกจากท้องพระโรงไปโดยไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วง
เสียงบรรเลงยังดังต่อเนื่องในท้องพระโรง ทว่าอ๋องหย่งอันกลับเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงสวนหลวงด้านทิศตะวันตกของท้องพระโรง ซึ่งใกล้ตำหนักรับรองที่เขาต้องพักในระยะนี้ กลิ่นดอกชาหอมกรุ่นในอากาศ ศาลาหินเล็กกลางสวนตั้งอยู่ริมสระบัว ที่โต๊ะมีถ้วยชาและขนมวางอยู่ เขามิได้คิดอันใด ดื่มดับกระหายเข้าไปหลายจอก
หารู้ไม่ว่ายาเพิ่งเริ่มออกฤทธิ์...
ณ ตำหนักรับรองของพระราชวัง
ร่างบอบบางของหญิงสาวผู้หนึ่งถูกพาเข้าห้องมาอย่างเร่งร้อน เหยียนเมิ่งซี บุตรีสามจากตระกูลเหยียน ร่างของนางเย็นเฉียบ แต่ผิวกลับแดงเรื่อ ดวงหน้าอ่อนหวานประดับด้วยหยาดเหงื่อ นัยน์ตาปรือก่อนปิดสนิท
ไม่มีผู้ใดรู้ว่านาง…กำลังจะตายไป...
ในอีกกาลเวลาหนึ่ง
เมิ่งซี ครูสอนศิลปะป้องกันตัวสาววัยยี่สิบแปดกำลังปีนผาเพื่อสอนนักเรียน เธอพลาดท่าตกลงมา หัวกระแทกอย่างรุนแรง โลกทั้งใบดับวูบ ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างจะเปิดขึ้นอีกครั้ง…
นัยน์ตาพร่าเบลอ ร่างกายเร่าร้อนอย่างไม่เคยเป็น ลมหายใจขาดเป็นห้วง
'ที่นี่…ที่ไหน…'
เสียงในใจดังขึ้น แต่ริมฝีปากกลับมิอาจขยับ เรี่ยวแรงไม่มี แม้แต่จะลืมตายังเป็นไปได้ยาก
กลิ่นชา…กลิ่นกำยาน…อากาศที่ร้อนระอุราวจะลุกเป็นไฟ
เสียงเสื้อคลุมหลุดร่วงลงกับพื้นเย็นเยียบของตำหนักรับรอง เงาของบุรุษสูงใหญ่ปกคลุมร่างบางซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงผ้าแพรหรู กลิ่นชาหอมจางลอยอบอวลเจือกลิ่นกำยานอุ่นร้อน ราวกับเร่งเร้าเพลิงปรารถนาในอกให้โหมกระพือ
จ้าวอวี้(อ๋องหย่งอัน)กำลังคร่ำครวญด้วยความทรมานจากฤทธิ์ยา
ร่างของเขาเปียกชื้นเหงื่อจากความร้อนรุ่ม สายตาคมปลาบเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวผสานความปรารถนา เมื่อเห็นสตรีบนเตียงปรือตา ลมหายใจถี่ระรัว ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย
"เจ้าคิดจะปีนเตียงข้าอย่างนั้นหรือ?" เขากระซิบเสียงพร่า ขณะก้มลงใกล้ใบหูของนาง
"..."
"กล้าดีนัก!..."
แขนแกร่งเกี่ยวร่างของหญิงสาวเข้าหาตัว ขณะที่ริมฝีปากกดลงบนซอกคอ ลากไล้ราวสัตว์นักล่าที่รอปลดปล่อยตัวตนดิบเถื่อน
"หึ...เรือนร่างแบบนี้ เจ้าเตรียมมาล่อลวงข้าใช่หรือไม่"
"อื้อ..."
เสียงครางเบาหวิวหลุดจากริมฝีปากหญิงสาว ใบหน้าแดงระเรื่อ ดวงตาที่มองเห็นเพียงเงาร่างพร่ามัวสั่นระริก
เมิ่งซีในจิตสำนึกสุดท้ายที่ยังหลงเหลือจากกาลเวลาเดิม ตกตะลึงกับสัมผัสวาบหวามที่เข้าครอบงำนางอย่างไม่ทันตั้งตัว ร่างกายกลับตอบสนองต่อทุกแรงสัมผัสราวกับเป็นเจ้าของที่แท้จริง
จ้าวอวี้กัดฟันแน่น มือใหญ่ลากเลื่อนแถบผ้าออกจากเรือนกายบางเบาอย่างไร้ความปรานี
"เจ้าทำให้ข้าร้อนรุ่มได้ขนาดนี้...ก็ควรรับผิดชอบให้ถึงที่สุด"
เสียงฟืดฟาดของผ้าไหมถูกฉีกดังสะท้อนในห้อง ก่อนเขาจะฝังตัวลงเหนือกายบางที่สั่นสะท้าน ใบหน้าเขาแนบชิดแทบประชิดต้นคอของนาง กลิ่นกายผสมกลิ่นเหงื่อร้อนผ่าวทำให้โลกทั้งใบคล้ายหมุนคว้าง
"บอกข้าสิ ว่าเจ้าต้องการ..."
"ขะ...ข้า..." เมิ่งซีพยายามพูด ทว่าความรู้สึกแปลกประหลาดในร่าง ทำให้ทุกคำกลืนหายไปพร้อมเสียงหอบ
เขาไม่รอฟัง...
ท่วงท่าของเขาร้อนแรง รุนแรง และไม่เปิดช่องให้ตั้งหลัก ความอดกลั้นพังทลายลงตั้งแต่ริมฝีปากหยักทาบทับ และสะโพกกระแทกแน่นเข้าหาร่างกายอ่อนนุ่ม
"อาาาา..."
เสียงครางจากหญิงสาวทำให้ดวงตาของเขาวาววับ ร่างกายตอบสนองรุนแรงยิ่งขึ้น
"อย่าหลบตาข้า..." เขากระซิบชิดริมฝีปาก
"..."
"ถ้าเจ้าจะปีนเตียงข้า เจ้าก็ต้องมองข้าทุกครั้งที่ข้าขยับ"
มือข้างหนึ่งยึดเรียวคางของนางไว้ สายตาอันเร่าร้อนประสานตรงเข้ากับดวงตาปรือมัวของนาง ขณะที่สะโพกของเขาเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดยั้ง
"อื้อ...มัน...มันแปลก..." เธอกระซิบเสียงสะอื้น ทว่าแววตากลับสั่นไหวด้วยความปรารถนา
"เจ้าจะต้องจำคืนนี้ไปชั่วชีวิต...เจ้าจะไม่มีวันลืมสัมผัสของข้าได้เลย"
ร่างกายกำลังถูกสัมผัสจากมือใหญ่และหยาบกร้าน ลมหายใจอุ่นจัดเป่ารินตรงซอกคอ ริมฝีปากแข็งกระด้างทาบลงมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย
"เจ้าวางยา ข้าจะให้เจ้ารับผิดชอบ…อ๊าา" เสียงกระซิบแหบพร่ากระซิบข้างหู
เมิ่งซีที่อยู่ในร่างเหยียนเมิ่งซีอยากจะกรีดร้อง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมาอยู่ในร่างใคร เกิดอะไรขึ้น และเพราะเหตุใดถึงร้อนรุ่มจนแทบจะคลั่ง
เงาของบุรุษใหญ่โตคร่อมร่างเธอไว้ มือสากกระชากเสื้อผ้าจนหลุดลุ่ย ร่างกายเธอกลับตอบสนองทุกสัมผัสด้วยความร้อนแรง ราวกับร่างนี้มีชีวิตเป็นของมันเอง
นอกประตู องครักษ์เงาทั้งสี่กำลังจะรายงานเรื่องสตรีที่อยู่ในห้องทว่า...
"ท่านอ๋อง"
"ชู่…"
เหวินลั่วยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ ดวงตาเขามองผ่านช่องไม้ เห็นเงาร่างนายเหนือหัวกำลัง…
"ถ้าไม่อยากตายก็อย่าเข้าไปขัด!"
ขณะในห้อง เสียงสะท้อนแห่งบทรักแว่วอยู่เคล้าเสียงหอบเหนื่อย เมิ่งซีพยายามต่อต้าน แต่แรงเธอไม่พอแม้แต่จะผลักอกเขาออก
ก่อนสติจะดับวูบลงอีกครั้ง หญิงสาวคนใหม่ในร่างนี้รู้เพียงว่า…ชีวิตของนางจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
"ว่ากันว่ามีหญิงลึกลับขึ้นเตียงกับอ๋องหย่งอัน ท่านอ๋องเรียกน้ำตั้งหลายครั้ง"
"สตรีนางใดถึงหาญกล้าเพียงนั้น หากมิใช่ในวังหลวง มีหวังนางคงถูกฆ่าทิ้งแล้ว"
เสียงกระซิบกระซาบของบรรดาสาวใช้ดังไปทั่ววัง เพียงไม่นานเรื่องราวก็ลุกลามบานปลาย
📌 คำเตือนเนื้อหาและข้อชี้แจงสำคัญ 📌
นิยายเรื่องนี้เป็นงานเขียนแนวจินตนาการ ที่ผสมผสานระหว่างโลกอดีตกับองค์ประกอบจากโลกปัจจุบัน ตัวละครบางส่วนมีต้นกำเนิดจากยุคสมัยใหม่และย้อนกลับไปยังยุคโบราณ ด้วยเหตุนี้ อาจปรากฏถ้อยคำ สิ่งของ หรือแนวคิดบางประการที่ไม่สอดคล้องกับบริบทของยุคโบราณในทางประวัติศาสตร์ ขอความกรุณาอ่านเพื่อความบันเทิง ไม่ดราม่านะคะที่รัก...
5 ปีต่อมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แคว้นเว่ยได้ฟื้นคืนจากเถ้าธุลีและผงาดขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าว การขึ้นครองราชย์ของจ้าวอวี้และเมิ่งซีในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากราษฎรทุกหมู่เหล่า พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครอง แต่ยังเป็นผู้ที่นำพาความหวังมาสู่แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งและสิ้นหวังการฟื้นฟูแคว้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ปัญหาภัยแล้งที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญถูกจัดการได้อย่างเด็ดขาด ด้วยการขุดลอกคลองส่งน้ำขนาดใหญ่ไปทั่วแคว้นตั้งแต่สองปีแรก และยังมีการสอนขุดเจาะหาบ่อบาดาลทั่วแคว้นทำให้ผืนดินที่เคยแห้งแตกระแหงกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง พื้นที่เพาะปลูกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลผลิตทางการเกษตรก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเมิ่งซีได้ใช้ น้ำยาปรับพันธุกรรมพืช ที่เป็นของวิเศษจากระบบ นำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาแช่ในน้ำยาเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนจะทำการแจกจ่ายให้ทุกครัวเรือน พร้อมกับสอนวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องให้กับราษฎรแต่ละท้องถิ่น พืชแต่ละชนิดถูกจัดสรรไปตามพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด บวกกับประสิทธิภาพของน้ำยาปรับพันธุกรรม จึงทำให้ผลผลิ
แสงแดดยามบ่ายคล้อยเริ่มอ่อนแรงลง ทอดเงาต้นไม้ให้ยาวขึ้นไปตามพื้นดิน ไท่ซ่างหวงโฮ่วในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเดินเก็บผักอยู่ในสวนอย่างสบายใจ มือของนางค่อย ๆ เด็ดใบผักใส่ตะกร้าอย่างเบามือ สายตาก็ทอดมองไปยังธรรมชาติรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเงียบและอุดมสมบูรณ์ นางรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่รากเหง้าของตนเองอีกครั้งเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ไท่ซ่างหวงกำลังเดินอยู่ท่ามกลางแปลงถั่วฝักยาวที่ออกดอกสีม่วงสวยงาม ข้างพระองค์คือเด็กน้อยสองคน อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ที่กำลังเดินตุ๊ต๊ะตามท่านปู่ไปอย่างซุกซน พวกเขามีแก้มที่กลมฟูและดวงตาที่กลมโตราวกับลูกแก้ว"เจ๋อเอ๋อร์... เดินดี ๆ นะลูก... อย่าไปชนเถาถั่วเข้าล่ะ" ไท่ซ่างหวงกล่าว ขณะที่คอยประคองหลาน ๆ อย่างระมัดระวัง แม้จะอยู่ในวัยที่ควรพักผ่อน แต่พระองค์ก็เต็มไปด้วยพลังในการเล่นกับหลานน้อยข้างกันนั้นเป็นแปลงแตงโมลูกใหญ่ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ไท่ซ่างหวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามท่านลุงชุยที่คอยตามดูแลอยู่ไม่ห่างว่า... "ชุยซาน... แตงโมพวกนี้หวานหรือไม่""แตงโมพวกนี้เป็นสายพันธุ์ที่หวานฉ่ำ กินแล้วสดชื่นมากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท... มีทั้งสีเหลืองและสีแดงพ่ะย่ะค่ะ" ท่านลุงชุยต
หลายวันผ่านไป ขบวนเนรเทศออกห่างจากความเจริญไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางป่าเขาที่แสนอันตราย อากาศที่หนาวเย็นยามค่ำคืนกัดกินร่างกายของทุกคนที่ไม่มีเสื้อผ้าห่มกายให้เพียงพอ "ท่านพี่เจ้าคะ... ท่านพี่เห็นนั่นหรือไม่" เหยียนฮูหยินกระซิบสามี แล้วพยักพเยิดหน้าไปยังพุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ผู้คุมคนหนึ่งเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้นพร้อมกับหญิงสาวที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรังจนรู้ได้ว่าเพิ่งผ่านอะไรมา"เจ้าหมายความว่ายังไง" เหยียนอวี้เจิ้งถามด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด"ข้าว่าท่านพี่มีโอกาสที่จะระบายโทสะ แถมยังได้ข้าวได้น้ำกินสักถ้วยแล้วละเจ้าค่ะ" นางกล่าวพร้อมกับหันไปมอง ฉินซินเหยาที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าของนางยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เหยียนอวี้เจิ้งมองตามสายตาของภรรยา เขาก็เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อทันที ฉินซินเหยาผู้เป็นอนุภรรยาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความงามของนางก็เริ่มจืดจางลงในสายตาเขา จนในที่สุดเขาก็ทอดทิ้งนางให้อยู่แต่ในเรือนของตัวเองมานานนับสิบปี ตอนนี้ในสายตาของเขา นางเป็นเพียงเครื่องมือที่จะช่วยให้เขามีชีวิตรอดเท่านั้น"หึ..." เหยียนอวี้เจิ้งหัวเราะในลำคอด้
ท้องพระโรงต้าเซิ่งกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นพายุใหญ่แห่งการกวาดล้างกลุ่มกบฏ ขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังคงภักดีต่างพากันยืนประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ เหล่าขุนใหญ่ผู้กระทำความผิดร้ายแรงถูกประทานสุราพิษ องค์ชายสามและองค์ชายสี่ถูกประทานยาพิษจนสิ้นพระชนม์ พร้อมกับพระสนมผู้เป็นมารดา ส่วนสกุลกู้และสกุลหานถูกประหารเก้าชั่วโคตร เพื่อไม่ให้ผู้ใดกล้าคิดการใหญ่เช่นนี้อีกในอนาคต ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ถูกตัดสินโทษตามความผิด หนึ่งในนั้นคือสกุลเหยียนที่ถูกยึดทรัพย์และเนรเทศไปใช้แรงงานยังชายแดนฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าที่สงบ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความปีติยินดี ที่ได้เห็นลูกชายทั้งสองเติบโตอย่างมีคุณภาพและรักใคร่กลมเกลียว"วันนี้... เรามีราชโองการที่สำคัญยิ่ง" ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานไปทั่วท้องพระโรง ทำให้ขุนนางทุกคนต่างพากันเงียบสนิท"นับจากนี้... เราขอสละราชสมบัติ! และมอบบัลลังก์ต้าเซิ่งอันเรืองรอง ให้กับองค์รัชทายาทจ้าวหลิน ผู้สัตย์ซื่อมั่นคงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม เป็นผู้สืบทอดปกครองโดยชอบธรรม!"ทันทีที่สิ้นเส
นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งซีได้มาเยืนอตำหนักของฮองเฮาพร้อมกับลูกน้อยทั้งสอง นางค่อนข้างประหม่าเพราะความไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าตนเองจะปฏิบัติตัวถูกตามกฎในวังหลังหรือไม่ ทว่าทุกอย่างไม่ได้น่ากังวลเหมือนที่นางคิด..."หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน คารวะองค์หญิงเพคะ" เมิ่งซียอบกายลงอย่างนอบน้อม "ลูกสะใภ้ตามสบายเถิด เจ้าน่าลำบากเตรียมอะไรมาเลย" ฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "พี่สะใภ้รีบลุกขึ้น หม่อมฉันขออุ้มหลาน ๆ นะเพคะ" องค์หญิงจิ้งเหยารีบเดินมาพยุงแขนเมิ่งซี ก่อนจะหันไปหาหลานน้อยทั้งสองที่ชุยเหม่ยกับเสี่ยวซืออุ้มตามเข้ามา"ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ"แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ก็ถูกผู้เป็นอาหญิงอุ้มไปหาเสด็จย่า"โถ... หลานย่า แก้มเจ้าเยอะขนาดนี้ แสดงว่ามารดาของเจ้าต้องเลี้ยงดูมาอย่างดี น่าชื่นชมจริง ๆ" ฮองเฮาอุ้มหมิงเย่ว์ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วจูบลงไปบนแก้มที่ป่องของนางอย่างอ่อนโยน อวิ๋นเจ๋อที่เห็นน้องสาวถูกผู้เป็นย่าอุ้มก็รีบยื่นมือเข้าไปหาแล้วส่งเสียงร้อง "แอ้ แอะ!" อย่างชัดเจน ฮองเฮาจึงหัวเราะออกมาอย่างมีความส
วังหลวงแคว้นต้าเซิ่งท้องพระโรงแห่งแคว้นต้าเซิ่งถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่อึดอัดและตึงเครียด ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันมองหน้ากันอย่างเลิกลัก หลายคนรู้ดีว่าการประชุมในวันนี้ไม่ใช่การว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าซีดเซียว พระองค์ไอเป็นเลือดเป็นระยะ ส่วนรัชทายาทจ้าวหลินก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขาดูอ่อนเพลียและหมดแรงอย่างเห็นได้ชัดมหาอัครเสนาบดีกู้ฉาง ขุนนางชราผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก ก้าวออกมาจากแถวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ"ทูลฝ่าบาท! ข่าวการศึกที่ท่านอ๋องหย่งอันได้รับชัยชนะและยึดครองแคว้นเว่ยได้สำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีพ่ะย่ะค่ะ!" กู้ฉางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด แต่ในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ "...""แต่กระหม่อมขอทูลว่า... การปกครองแคว้นที่เพิ่งยึดมานั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก หากแผ่นดินของเรายังไม่มั่นคงเช่นนี้... อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองกู้ฉางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ "เจ้าจะพูดอะไรกันแน่! แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการปกครองที่มั่นคงของข้า!""กระหม่อมเห็นว่า... ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีพระวร