แชร์

มลทินของตระกูล!

ผู้เขียน: ต้าซ้อ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-03 12:59:59

กลิ่นหอมจางของกลีบเหมยที่โปรยไว้เมื่อคืนยังหลงเหลือเจือจาง ปะปนกับกลิ่นอุ่นของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนทอดกายอยู่บนเตียงไม้หอม

เสียงนกกระจอกส่งเสียงเจื้อยแจ้วริมระเบียง ขณะที่หญิงสาวร่างบางใต้ผ้าห่มแพรเนื้อดีขยับกายเล็กน้อย เปลือกตาสั่นระริกอย่างอ่อนแรง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

สิ่งแรกที่เหยียนเมิ่งซีเห็น...คือเพดานไม้ประณีต และผ้าม่านลวดลายวิจิตรตระการตา

สิ่งที่สองคือ...หน้าอกเปลือยเปล่าของตนเอง

"อะ...อา...?"

นางรีบยกมือขึ้นปิดอกอิ่มแล้วก้มหน้ามองสภาพตนเอง ใบหน้าแดงก่ำ มือไม้สั่นเทา หัวใจเต้นระส่ำ

และแล้วนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนอยู่ไม่ห่าง...

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมเปิดเผยช่วงอกแน่นเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อแน่นดั่งลูกรักของเทพเจ้าที่สวรรค์สรรค์สร้าง ไหล่กว้างและแขนที่ยังกอดตัวนางไว้หลวม ๆ ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ใบหน้านิ่งงันหากแต่ดุดัน แลดูไม่ต่างจากรูปสลักเทพสงครามที่มีชีวิต

"ตายแล้ว!...นี่มัน...นี่ฉันฝันอยู่ใช่ไหม?"

เมิ่งซีครางเสียงเบา สีหน้าซีดเผือด ยังไม่ทันได้ขยับตัวจากเตียง ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น

สายตาคมกริบดั่งมีดเหล็กฉายแววเย็นเฉียบ ริมฝีปากยกยิ้มบางด้วยความเย้ยหยันในวินาทีที่มองสบตาสตรีเบื้องหน้า

"แสร้งทำเป็นตกใจงั้นหรือ?" 

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ แฝงความเย็นชาจนแทบบาดลึกเข้าในกระดูก

"ฉะ..ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหน แล้วคุณเป็นใคร..." เมิ่งซีพยายามตั้งสติ มือคว้าผ้าห่มขึ้นห่อตัวแน่น

"ตกใจจนวิปลาสไปแล้วรึอย่างไร คำพูดพิกลยิ่งนัก!"

อ๋องหนุ่มคิ้วขมวดเป็นปมแล้วลุกขึ้นจากเตียง แสงเทียนส่องใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นเยียบ เขาหยิบเสื้อคลุมมาสวมไว้หลวม ๆ ก่อนหันกลับมา

"หากเจ้าใคร่ปีนเตียงข้า ก็ควรจะยอมรับเสียดี ๆ มิใช่แสร้งตีหน้าใสซื่อเยี่ยงนี้"

"ฉันเปล่านะ!"

"เช่นนั้นหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าจึงเปลือยกายอยู่บนเตียงข้าเล่า?" เขาก้าวเข้ามาใกล้เพียงคืบ จ้องนางราวจะล้วงเข้าไปถึงหัวใจ

"ฉะ..ฉัน ให้ตายเถอะนี่มันเรื่องอะไรกัน!" เมิ่งซีพึมพำเบา ๆ 

"น่าขันนัก...สตรีในยุคนี้ล้วนมีแต่ย้อมแมวขายทั้งสิ้น" คำพูดของเขา...ทำให้เมิ่งซีชาวาบไปทั้งตัว

"คุณพูดจาแบบนี้กับฉันได้ยังไง? นอกจากจะไม่รับผิดชอบแล้วยังมาดูถูกฉันอีก!"

"หึ! เจ้าหวังให้ข้าเชื่อหรือ ว่าเจ้าบังเอิญมาตกอยู่ในอ้อมอกข้าทั้งที่มิได้เจตนา? สตรีเจ้าเล่ห์เช่นเจ้าข้าพบมาแล้วนับไม่ถ้วน"

เมิ่งซีเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตา ไม่เพียงเจ็บใจ...แต่ยังรู้สึกผิดในสิ่งที่ตนมิได้ทำด้วยซ้ำ

ทันใดนั้น...

[ระบบเถาเป่า] เสียงในหัวดังกังวานขึ้นอย่างประหลาด

[ยินดีต้อนรับผู้ใช้งาน เหยียนเมิ่งซี ท่านได้ย้อนเวลาจากยุคปัจจุบันมายังอดีตเมื่อ 3,000 ปีก่อน ท่านควรปรับคำพูดให้เข้ากับกาลเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเสียสติ คนตรงหน้าท่านคือ ท่านอ๋องหย่งอันแห่งแคว้นต้าเซิ่ง ผู้ที่เป็นเจ้าของฉายา มัจจุราชชายแดน โปรดอย่าตกใจ ระบบจะทำงานเป็นผู้ช่วยคอยสนับสนุนท่านเอง ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงนี้นอกจากท่าน]

"ฮะ...หา?" เมิ่งซีอุทานเสียงหลง มองรอบห้องราวคนเสียสติ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้น

[ระบบร้านค้าเถาเป่าเปิดใช้งานแล้ว ท่านสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของข้ามยุคได้ตามระดับของร้านเถาเป่า ระบบขอเตือนว่าไม่ควรทำตัวให้น่าสงสัยมากไปกว่านี้]

จังหวะเดียวกันนั้น จ้าวอวี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็กระตุกคิ้ว มองนางอย่างไม่พอใจ

"เจ้าคิดจะเมินข้ารึ?"

"ข้า...ข้าเปล่า!" 

เมิ่งซีหันกลับมา สีหน้าตื่นตระหนก สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งตรงหน้า ก่อนที่ผู้ชายหน้าโหดคนนี้จะฆ่านางทิ้งเสียก่อน

"หน้าเจ้าดูไม่เหมือนคนโง่...แต่การกระทำของเจ้าช่างไม่สมราคาเลยสักนิด" จ้าวอวี้หรี่ตามองนางเพื่อประเมินคร่าว ๆ

"ทะ..ท่านอ๋อง ข้าจะไม่อยู่ขัดหูขัดตาท่านอีก" เมิ่งซีกลั้นใจพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ปลายเตียง

"หึ...จะกลับเรือนงั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าจงกลับไปเสียเถิด..เฮยเจิน!" เขาหันไปด้านข้าง ตวัดเสียงเย็นเรียกข้ารับใช้ 

"ขอรับท่านอ๋อง!"

ชั่วพริบตาประตูตำหนักเปิดออกอย่างรวดเร็ว องครักษ์ใก้าวเข้ามาคุกเข่าอย่างขึงขัง

"ส่งนางกลับไป ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องแสดงความนอบน้อม หากนางหาทางปีนเตียงอีก...ตัดขาทิ้งเสีย!"

คำสั่งนั้น...หนักแน่น เย็นชา และเฉียบขาด

เมิ่งซีตกใจจนตัวสั่น นางไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับนาง แต่ที่แน่ ๆ นับจากนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป...

จวนสกุลเหยียน

ม่านฟ้าสีเทาหม่นปกคลุมทั่วท้องนภา เมฆลอยอ้อยอิ่งประหนึ่งจะร้องไห้ตามความรู้สึกของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ถูกขับไล่ออกจากจวนอย่างไม่ปรานี

เมิ่งซีถูกนำตัวกลับมาที่จวนสกุลเหยียนก่อนฟ้าสางเรือนหนึ่ง นางยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกจับโยนลงบนพื้นลานหน้าเรือนหลัก ขาทั้งสองอ่อนแรงจนลุกแทบไม่ขึ้น ร่างกายระบมเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำจากคืนที่ถูกเหยียบย่ำ

เสียงฝีเท้าดังกราวจากปลายทางของระเบียงไม้ เหยียนซูหนิงในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อนเดินตรงเข้ามา ท่าทางร้อนรนแต่ในแววตามีรอยยิ้มแฝงไว้

"ท่านพ่อเจ้าคะ!" 

นางโผเข้าไปคุกเข่าเบื้องหน้าบิดา ใต้เท้าเหยียนอวี้เจิ้งเดินออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าขรึมจัด มือหนึ่งถือพัด อีกมือไขว้หลัง

"เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงลากเมิ่งซีมาตรงนี้?"

"ลูกเพียงทนไม่ได้เจ้าค่ะ เมิ่งซี...เมิ่งซีล่วงเกินท่านอ๋องหย่งอัน! ผู้คนต่างเรียกท่านว่าอ๋องปีศาจ! หากเขาโกรธขึ้นมาเราจะต้องเดือดร้อนกันทั้งตระกูล!" นางแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เสียงฮือฮาจากบ่าวไพร่ดังแว่วขึ้นในลาน ตาใต้เท้าเหยียนเบิกกว้าง ดวงหน้าเครียดขึ้งแทบระเบิด

"เจ้าว่าอะไรนะ? ล่วงเกินอ๋องหย่งอัน?"

"ขะ..ข้า ฟังข้าก่อน ข้าไม่รู้ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง"  เมิ่งซีพยายามพูด น้ำเสียงแหบแห้งจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง

"เจ้าไม่รู้!  เจ้าทำให้ข้าขายหน้า! บุตรสาวไร้ยางอาย! ข้าควรฆ่าเจ้าให้ตายเสียตรงนี้!"

ใต้เท้าผู้เป็นบิดาก้าวเร็วเข้ามา ฟาดพัดไม้ในมือใส่บ่าของนางอย่างแรง เขาหันไปตวาดใส่บ่าวรับใช้ให้รีบไปหยิบของมา

"นำแส้มา!"

เมิ่งซีลอบกัดฟัน เงยหน้าขึ้นมองตาบิดาแม้ดวงตาจะพร่ามัว ต่อให้นางพยายามหยัดกายสู้ แต่ร่างกายของนางก็อ่อนแรงจนไม่อาจต้านทานแรงบ่าวชายที่จับตัวนางไว้

"ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร..."

"เจ้าคือมลทินของตระกูล! เดิมทีก็ไร้ประโยชน์ เป็นลูกของอนุที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่มีวันเจริญ! หากไม่เพราะเจ้า...ข้าคงไม่ถูกชาวบ้านครหา!"

เซี่ยะ!    เซี่ยะ!     เซี่ยะ!

แส้หนังเส้นใหญ่ฟาดลงบนแผ่นหลังของหญิงสาว ผิวหนังปริแตกเป็นทางยาว เลือดซึมออกมาช้า ๆ นางกัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมเปล่งเสียงร้องแม้แต่น้อย

"ข้า...ไม่ผิด..." เมิ่งซีเอ่ยแผ่วเบา ดวงตาสั่นระริก

"เจ้าจะเถียงข้ารึ!?" เสียงตวาดก้อง

เซี่ยะ!    เซี่ยะ!    เซี่ยะ!

ขณะนั้นเอง อนุฉินและบ่าวรับใช้ของนางก็รีบวิ่งออกมาดูลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

"นายท่าน ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ! อย่าทำร้ายซีเอ๋อร์เลย" 

อนุฉินคุกเข่าต่อหน้าสามีทั้งน้ำตานองหน้า 

"เจ้ามาก็ดี มาดูสิ่งที่ลูกสาวของเจ้าทำ ช่างอัปยศยิ่งนัก รีบลากนางออกไปจากจวนของข้า แล้วตัดนางออกจากสกุลเสียแต่วันนี้ อย่าให้เสนียดจากตัวนางมาแปดเปื้อนจวนของข้า!"

คำสั่งเด็ดขาดของผู้เป็นใหญ่ในจวน ทำให้สตรีในจวนต่างก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ

"นายท่าน อย่างน้อยก็ให้นางได้พักสักคืนก่อนจะออกจากเรือน! ข้าน้อยไม่เคยเอ่ยขออะไรจากนายท่านเลย ครั้งนี้ได้โปรดฟังคำขอของข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ"  อนุฉินกล่าวอย่างอ้อนวอน

"พัก? พักเพื่อให้นางสร้างเรื่องอีกหรืออย่างไร! ข้าจะไม่ให้นางนำของสกุลเหยียนไปแม้แต่เส้นด้ายเส้นเดียว!"

"เมิ่งซีเจ้าไม่มีความละอาย คิดว่าตัวเองปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องแล้วจะเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์ได้อย่างนั้นรึ?! ช่างน่าขันยิ่งนัก" เสียงพี่ชายต่างมารดากล่าวเสริมจากอีกมุม

"พ่อบ้านเหอ! พ่อบ้านเหออยู่ไหน"

"บ่าวมาแล้วขอรับนายท่าน" เพียงครู่เดียวบ่าวชายสูงวัยก็รีบวิ่งมาโค้งกายต่อหน้าเสนาบดีคลังผู้เป็นนาย

"เจ้าไปดำเนินการตัดสตรีชั่วช้านางนี้ออกจากตระกูล! ต่อจากนี้ชื่อของนางไม่เกี่ยวข้องกับสกุลเหยียนอีกต่อไป!"

พ่อบ้านที่ดูจะเอ็นดูนางเอกถอนใจเบา ๆ

"ขอรับนายท่าน ขอให้นายท่านเมตตาให้คุณหนูสามพักที่เรือนอนุฉินอีกคืนก่อน ขืนไล่นางออกไปยามนี้เกรงว่าชาวบ้านจะซุบซิบนินทาได้ สุดท้ายคงไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงสกุลเหยียนที่สั่งสมมานาน"

พ่อบ้านรู้ดีว่านายท่านผู้นี้รักหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด เขาเองก็คงช่วยคุณหนูน้อยได้เพียงเท่านี้

"หึ...เอาเถอะ เพียงหนึ่งคืน แล้วอย่าให้ข้าเห็นหน้าอีก!" ใต้เท้าเหยียนหันไปชีหน้าเมิ่งซีด้วยความไม่พอใจ

"ซีเออร์...ต่อไปนี้ลูกก็เปลี่ยนไปใช้แซ่ฉินเถอะ" 

อนุฉินหันมาพูดกับลูกสาว เมิ่งซียังไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงของใต้เท้าเหยียนก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

"จะเปลี่ยนเป็นอะไรข้าก็ไม่สน! แต่อย่าใช้แซ่เหยียนอีก!" ใต้เท้าเหยียนสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าเรือนไป 

ท่ามกลางฝนที่โปรยลงมา สายตาทุกคู่มองร่างบอบบางที่เปื้อนเลือดและโคลนอย่างเย้ยหยัน…

ไม่มีใครรู้เลยว่า...เด็กสาวที่ถูกผลักไสออกจากตระกูลในวันนี้ จะกลายเป็นคนที่พวกเขาต้องคุกเข่าขอร้องในวันหน้า...

อนุฉินผู้เป็นมารดา ยังคงประคองลูกสาวอย่างเงียบงัน นางกล้ำกลืนหยาดน้ำตาไว้ในอก มือที่สั่นระริกยังพยายามซับเลือดบนแผ่นหลังของบุตรสาวเบา ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนบาง ข้างกายมีหยวนอีและเสี่ยวซือคอยช่วยเหลือด้วยดวงตาแดงก่ำ

เมื่อรอจนทุกคนลับสายตา อนุฉินก็เงยหน้าขึ้นมองพ่อบ้านเหอที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยสายตาอ้อนวอน

"พ่อบ้านเหอ…คิดว่าท่านคงรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใคร ข้าขอร้องท่าน ช่วยจัดการเอกสารการย้ายถิ่นฐานของซีเอ๋อร์ด้วยเถอะเจ้าค่ะ นางไม่มีที่ไปอีกแล้ว"

พ่อบ้านเหอแม้จะเป็นข้ารับใช้แต่ก็อยู่กับสกุลเหยียนมายาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวกับท่านผู้เฒ่า พอเห็นอนุฉินเอ่ยเช่นนั้นก็เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจยาว

"คุณหนูสามเดิมทีเป็นเด็กดี เพียงแต่สวรรค์ไร้เมตตา"

 เขาพึมพำเบา ๆ แล้วหันไปมองรอยแผลบนแผ่นหลังของเมิ่งซีที่ถูกนายท่านเหยียนใช้แส้ฟาดลงเต็มแรง สีหน้าเคร่งขรึมของเขาสะท้อนความรู้สึกที่ไม่อาจกล่าวออก

"..."

"ข้าจะจัดการให้ แม้จะไม่อาจเอ่ยปากค้านนายท่านได้ แต่ข้าก็ยังมีสิทธิ์จัดการสำมะโนครัว เรื่องเอกสารการย้ายถิ่นฐานท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะจัดการให้ทั้งหมด"

"ขอบคุณพ่อบ้านเหอ"

"แต่อย่าได้บอกผู้ใดว่าเป็นข้าเป็นคนจัดการ ข้าแก่แล้ว ไม่อยากตายโดยไร้หลุมฝังศพ"

"เจ้าค่ะ ข้ารับปาก"

ความหมายของคำว่า ก่อนฟ้าสางเรือนหนึ่ง 

🔹 "เรือนหนึ่ง"

“เรือน” ในที่นี้คือ หน่วยเวลาแบบจีนโบราณ

1 วันมี 12 ยาม → 1 ยาม = 2 ชั่วโมง

ดังนั้น “เรือนหนึ่ง” ก็คือ ช่วงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

เมื่อใช้ว่า “ก่อนฟ้าสางเรือนหนึ่ง” แปลว่า:

❝ก่อนถึงเวลาฟ้าสางประมาณ 1 ยาม หรือ 2 ชั่วโมง❞

→ อาจเท่ากับช่วง ตี 3 - ตี 5

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   จบบริบูรณ์

    5 ปีต่อมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แคว้นเว่ยได้ฟื้นคืนจากเถ้าธุลีและผงาดขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าว การขึ้นครองราชย์ของจ้าวอวี้และเมิ่งซีในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากราษฎรทุกหมู่เหล่า พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครอง แต่ยังเป็นผู้ที่นำพาความหวังมาสู่แผ่นดินที่เคยแห้งแล้งและสิ้นหวังการฟื้นฟูแคว้นเริ่มต้นอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ ปัญหาภัยแล้งที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญถูกจัดการได้อย่างเด็ดขาด ด้วยการขุดลอกคลองส่งน้ำขนาดใหญ่ไปทั่วแคว้นตั้งแต่สองปีแรก และยังมีการสอนขุดเจาะหาบ่อบาดาลทั่วแคว้นทำให้ผืนดินที่เคยแห้งแตกระแหงกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง พื้นที่เพาะปลูกขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลผลิตทางการเกษตรก็เพิ่มขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเมิ่งซีได้ใช้ น้ำยาปรับพันธุกรรมพืช ที่เป็นของวิเศษจากระบบ นำเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ มาแช่ในน้ำยาเป็นเวลาหนึ่งคืนก่อนจะทำการแจกจ่ายให้ทุกครัวเรือน พร้อมกับสอนวิธีการเพาะปลูกที่ถูกต้องให้กับราษฎรแต่ละท้องถิ่น พืชแต่ละชนิดถูกจัดสรรไปตามพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด บวกกับประสิทธิภาพของน้ำยาปรับพันธุกรรม จึงทำให้ผลผลิ

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   เสียงหัวเราะ

    แสงแดดยามบ่ายคล้อยเริ่มอ่อนแรงลง ทอดเงาต้นไม้ให้ยาวขึ้นไปตามพื้นดิน ไท่ซ่างหวงโฮ่วในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเดินเก็บผักอยู่ในสวนอย่างสบายใจ มือของนางค่อย ๆ เด็ดใบผักใส่ตะกร้าอย่างเบามือ สายตาก็ทอดมองไปยังธรรมชาติรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเงียบและอุดมสมบูรณ์ นางรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่รากเหง้าของตนเองอีกครั้งเบื้องหน้าไม่ไกลนัก ไท่ซ่างหวงกำลังเดินอยู่ท่ามกลางแปลงถั่วฝักยาวที่ออกดอกสีม่วงสวยงาม ข้างพระองค์คือเด็กน้อยสองคน อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ที่กำลังเดินตุ๊ต๊ะตามท่านปู่ไปอย่างซุกซน พวกเขามีแก้มที่กลมฟูและดวงตาที่กลมโตราวกับลูกแก้ว"เจ๋อเอ๋อร์... เดินดี ๆ นะลูก... อย่าไปชนเถาถั่วเข้าล่ะ" ไท่ซ่างหวงกล่าว ขณะที่คอยประคองหลาน ๆ อย่างระมัดระวัง แม้จะอยู่ในวัยที่ควรพักผ่อน แต่พระองค์ก็เต็มไปด้วยพลังในการเล่นกับหลานน้อยข้างกันนั้นเป็นแปลงแตงโมลูกใหญ่ที่กำลังเติบโตอย่างเต็มที่ ไท่ซ่างหวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามท่านลุงชุยที่คอยตามดูแลอยู่ไม่ห่างว่า... "ชุยซาน... แตงโมพวกนี้หวานหรือไม่""แตงโมพวกนี้เป็นสายพันธุ์ที่หวานฉ่ำ กินแล้วสดชื่นมากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท... มีทั้งสีเหลืองและสีแดงพ่ะย่ะค่ะ" ท่านลุงชุยต

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   แตกสลาย

    หลายวันผ่านไป ขบวนเนรเทศออกห่างจากความเจริญไปเรื่อย ๆ ท่ามกลางป่าเขาที่แสนอันตราย อากาศที่หนาวเย็นยามค่ำคืนกัดกินร่างกายของทุกคนที่ไม่มีเสื้อผ้าห่มกายให้เพียงพอ "ท่านพี่เจ้าคะ... ท่านพี่เห็นนั่นหรือไม่" เหยียนฮูหยินกระซิบสามี แล้วพยักพเยิดหน้าไปยังพุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป ผู้คุมคนหนึ่งเดินออกมาจากพุ่มไม้นั้นพร้อมกับหญิงสาวที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ผมเผ้ารุงรังจนรู้ได้ว่าเพิ่งผ่านอะไรมา"เจ้าหมายความว่ายังไง" เหยียนอวี้เจิ้งถามด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิด"ข้าว่าท่านพี่มีโอกาสที่จะระบายโทสะ แถมยังได้ข้าวได้น้ำกินสักถ้วยแล้วละเจ้าค่ะ" นางกล่าวพร้อมกับหันไปมอง ฉินซินเหยาที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ใบหน้าของนางยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เหยียนอวี้เจิ้งมองตามสายตาของภรรยา เขาก็เข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อทันที ฉินซินเหยาผู้เป็นอนุภรรยาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยหลงใหล แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความงามของนางก็เริ่มจืดจางลงในสายตาเขา จนในที่สุดเขาก็ทอดทิ้งนางให้อยู่แต่ในเรือนของตัวเองมานานนับสิบปี ตอนนี้ในสายตาของเขา นางเป็นเพียงเครื่องมือที่จะช่วยให้เขามีชีวิตรอดเท่านั้น"หึ..." เหยียนอวี้เจิ้งหัวเราะในลำคอด้

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   โง่งม

    ท้องพระโรงต้าเซิ่งกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากผ่านพ้นพายุใหญ่แห่งการกวาดล้างกลุ่มกบฏ ขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังคงภักดีต่างพากันยืนประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำ เหล่าขุนใหญ่ผู้กระทำความผิดร้ายแรงถูกประทานสุราพิษ องค์ชายสามและองค์ชายสี่ถูกประทานยาพิษจนสิ้นพระชนม์ พร้อมกับพระสนมผู้เป็นมารดา ส่วนสกุลกู้และสกุลหานถูกประหารเก้าชั่วโคตร เพื่อไม่ให้ผู้ใดกล้าคิดการใหญ่เช่นนี้อีกในอนาคต ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ถูกตัดสินโทษตามความผิด หนึ่งในนั้นคือสกุลเหยียนที่ถูกยึดทรัพย์และเนรเทศไปใช้แรงงานยังชายแดนฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าที่สงบ แต่ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความปีติยินดี ที่ได้เห็นลูกชายทั้งสองเติบโตอย่างมีคุณภาพและรักใคร่กลมเกลียว"วันนี้... เรามีราชโองการที่สำคัญยิ่ง" ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวานไปทั่วท้องพระโรง ทำให้ขุนนางทุกคนต่างพากันเงียบสนิท"นับจากนี้... เราขอสละราชสมบัติ! และมอบบัลลังก์ต้าเซิ่งอันเรืองรอง ให้กับองค์รัชทายาทจ้าวหลิน ผู้สัตย์ซื่อมั่นคงเพียบพร้อมด้วยคุณธรรม เป็นผู้สืบทอดปกครองโดยชอบธรรม!"ทันทีที่สิ้นเส

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   ความจริง

    นี่เป็นครั้งแรกที่เมิ่งซีได้มาเยืนอตำหนักของฮองเฮาพร้อมกับลูกน้อยทั้งสอง นางค่อนข้างประหม่าเพราะความไม่คุ้นชิน ไม่รู้ว่าตนเองจะปฏิบัติตัวถูกตามกฎในวังหลังหรือไม่ ทว่าทุกอย่างไม่ได้น่ากังวลเหมือนที่นางคิด..."หม่อมฉันถวายพระพรฮองเฮาเพคะ ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน คารวะองค์หญิงเพคะ" เมิ่งซียอบกายลงอย่างนอบน้อม "ลูกสะใภ้ตามสบายเถิด เจ้าน่าลำบากเตรียมอะไรมาเลย" ฮองเฮาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "พี่สะใภ้รีบลุกขึ้น หม่อมฉันขออุ้มหลาน ๆ นะเพคะ" องค์หญิงจิ้งเหยารีบเดินมาพยุงแขนเมิ่งซี ก่อนจะหันไปหาหลานน้อยทั้งสองที่ชุยเหม่ยกับเสี่ยวซืออุ้มตามเข้ามา"ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ"แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรไปมากกว่านี้ อวิ๋นเจ๋อและหมิงเย่ว์ก็ถูกผู้เป็นอาหญิงอุ้มไปหาเสด็จย่า"โถ... หลานย่า แก้มเจ้าเยอะขนาดนี้ แสดงว่ามารดาของเจ้าต้องเลี้ยงดูมาอย่างดี น่าชื่นชมจริง ๆ" ฮองเฮาอุ้มหมิงเย่ว์ขึ้นมาอย่างทะนุถนอม แล้วจูบลงไปบนแก้มที่ป่องของนางอย่างอ่อนโยน อวิ๋นเจ๋อที่เห็นน้องสาวถูกผู้เป็นย่าอุ้มก็รีบยื่นมือเข้าไปหาแล้วส่งเสียงร้อง "แอ้ แอะ!" อย่างชัดเจน ฮองเฮาจึงหัวเราะออกมาอย่างมีความส

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   ไม่เคยสำนึก!

    วังหลวงแคว้นต้าเซิ่งท้องพระโรงแห่งแคว้นต้าเซิ่งถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศที่อึดอัดและตึงเครียด ขุนนางน้อยใหญ่ต่างพากันมองหน้ากันอย่างเลิกลัก หลายคนรู้ดีว่าการประชุมในวันนี้ไม่ใช่การว่าราชการตามปกติ ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าซีดเซียว พระองค์ไอเป็นเลือดเป็นระยะ ส่วนรัชทายาทจ้าวหลินก็มีสีหน้าไม่ต่างกันนัก เขาดูอ่อนเพลียและหมดแรงอย่างเห็นได้ชัดมหาอัครเสนาบดีกู้ฉาง ขุนนางชราผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก ก้าวออกมาจากแถวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ"ทูลฝ่าบาท! ข่าวการศึกที่ท่านอ๋องหย่งอันได้รับชัยชนะและยึดครองแคว้นเว่ยได้สำเร็จนั้น เป็นเรื่องที่น่ายินดีพ่ะย่ะค่ะ!" กู้ฉางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด แต่ในแววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ "...""แต่กระหม่อมขอทูลว่า... การปกครองแคว้นที่เพิ่งยึดมานั้นเป็นเรื่องยากยิ่งนัก หากแผ่นดินของเรายังไม่มั่นคงเช่นนี้... อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้พ่ะย่ะค่ะ"ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองกู้ฉางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ "เจ้าจะพูดอะไรกันแน่! แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับการปกครองที่มั่นคงของข้า!""กระหม่อมเห็นว่า... ฝ่าบาทและองค์รัชทายาทมีพระวร

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status