ทรมาน ข้าทรมานเหลือเกิน
เปลือกตาหนักอึ้ง สติค่อยๆ เลือนราง
ข้ากำลังจะตายงั้นรึ
ท่านแม่ ท่านพี่ จื่อเหยาขอลา...
แค่ก แค่ก แค่ก!
หลี่จื่อเหยาสำรอกน้ำออกมาจากปากคำใหญ่ ความทรมานเมื่อครู่มลาย หายไปทีละน้อย
เมื่อของเหลวไหลออกมาจนหมด ความเจ็บปวดตรงหน้าอกก็ หมดไป หลี่จื่อเหยาได้กลิ่นหอมสดชื่นของไม้กฤษณา แม้กำลังจะหมดแรง นางก็พยายามเปิดเปลือกตาเพื่อมองภาพผู้มีพระคุณ
นัยน์ตาดุจลูกกวางสบเข้ากับดวงแก้วสีนิล บุรุษแปลกหน้าผู้หนึ่งกำลังประคองนางเอาไว้ในอ้อมแขน
“แม่นาง เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว” ชายในชุดสีครามกระตุกรอยยิ้มบนมุมปากน้อยๆ ช่างดูอบอุ่นยิ่งนัก
“ขะ...ขอบคุณ” หญิงสาวที่เพิ่งก้าวข้ามจากประตูผีส่งเสียงเบาแทบจะไม่ได้ยิน
“ไม่เป็นไร เห็นคนกำลังจะตาย ข้าเป็นลูกผู้ชายย่อมต้องช่วยเหลือ”
หลี่จื่อเหยาอยากจะถามชื่อของเขา ทว่านางไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว ในที่สุดร่างที่ต้องผจญกับความหนาวเหน็บก็สลบไสลในอ้อมแขนของชายผู้นั้น
พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงอ่อนจาง ลมกลางคืนสายหนึ่งพัดกลิ่นดอกเหมยกุ้ย[1] เข้ามา ทางหน้าต่าง
แพขนตาหนากระเพื่อมไหว เปลือกตาของหลี่จื่อเหยาเปิดขึ้น นางกะพริบตาช้าๆ ดวงแก้วสีน้ำตาลกวาดมองตั้งแต่เพดานลงมาจนถึงผนังห้อง ท่ามกลางแสงนวลจากเทียนไขปรากฏภาพอันคุ้นเคย
ใช่...นี่คือห้องของนาง ในบ้านตระกูลหลี่
“คุณหนูฟื้นแล้ว”
หลี่จื่อเหยามองไปทางต้นเสียง เมื่อเห็นใบหน้าของสาวใช้คนสนิทริมฝีปาก ขาดสีเลือดก็ขยับยิ้ม “เสี่ยวจู”
“คุณหนูรู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“น้ำ ขอน้ำกินหน่อย” เสี่ยวจูประคองหลี่จื่อเหยาให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงหันไปหยิบถ้วยกระเบื้อง ที่บรรจุน้ำอยู่เต็มแล้วป้อนให้นายหญิงของตน
เมื่อน้ำสัมผัสริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก ความรู้สึกกระหายกลับเพิ่มมากยิ่งขึ้น หลี่จื่อเหยาดื่มน้ำอีกอึกใหญ่อย่างรวดเร็วจนเสี่ยวจูต้องเอ่ยเตือน ด้วยเกรงว่านายหญิงของตนจะสำลัก
ความทรมานจากความกระหายสิ้นไปแล้ว หลี่จื่อเหยาจึงค่อยๆ ทบทวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
นางจำได้ว่ากำลังเดินกลับบ้านหลังจากไปซื้อเครื่องประทินผิว ระหว่างข้ามสะพานก็มีอาชาตัวใหญ่ตะบึงเข้ามา ด้วยความตกใจจึงรีบเบี่ยงกายหลบจนพลัดตกลงไปในคูเมือง ความรู้สึกหวาดหวั่นยามสายธารอันหนาวเหน็บโอบล้อมนางเอาไว้ ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ร่างบางพลันสั่นเทา นางกลัวเหลือเกิน และในขณะที่ความตายกำลังคืบคลานเข้ามา นางก็พบว่าตนเองได้ถูกช่วยเหลือเอาไว้โดยชายแปลกหน้าผู้หนึ่ง
“เสี่ยวจู ผู้มีพระคุณของข้าเล่า ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด”
“พอคุณหนูหมดสติ คุณชายท่านนั้นก็ช่วยพาคุณหนูกลับมาส่งแล้วรีบจากไป นายท่านยังไม่ทันได้ขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้ารู้ชื่อแซ่ของเขาหรือไม่”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ! เขาคือผู้มีพระคุณของข้า แต่ไม่มีผู้ใดคิดจะไต่ถามนามของเขาเลยหรือ”
“คุณชายคนนั้นไปมาราวกับสายลม นายท่านยังไม่ทันได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ เจ้าค่ะ”
“เขาช่วยไม่ให้ข้าไปเยี่ยมชมน้ำพุเหลืองก่อนวัยอันควร บุญคุณใหญ่หลวงย่อมต้องทดแทน เสี่ยวจู พรุ่งนี้เจ้าลองไปสืบดูว่าคุณชายท่านนั้นเป็นผู้ใด คงมีคนที่เห็นเหตุการณ์รู้จักเขาบ้างกระมัง”
“เจ้าค่ะ บ่าวจะรีบไปจัดการให้ทันที”
หลังจากกำชับกำชาสาวใช้ของตนเองเรียบร้อยแล้ว หลี่จื่อเหยาก็เอนกายลงบนฟูกแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นเสี่ยว จูรีบออกไปสืบหาผู้มีพระคุณของนายหญิงตั้งแต่เช้าตรู่ นางเที่ยวสอบถามคนที่อยู่แถวสะพานนั้นหลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักบุรุษในชุดสีน้ำเงินที่ช่วยคุณหนูตระกูลหลี่จากเงื้อมมือมัจจุราชเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดสาวใช้ผู้เหน็ดเหนื่อยก็ยอมแพ้ แล้วกลับมารายงานไปตามความเป็นจริง เรื่องนี้ทำให้หลี่จื่อเหยารู้สึกผิดหวังอยู่ลึกๆ
ภาพใบหน้าหล่อเหลากับดวงแก้วสีดำดุจน้ำหมึกนั้นยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงคำนึงของนาง
‘คุณชายท่านคือผู้ใดกัน ข้าจะหาตัวท่านพบได้อย่างไร’
ในระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังเหม่อลอย เสี่ยวจูก็เปรยบางอย่างขึ้นมา “ตามความเห็นของบ่าว ชายผู้นั้นคงไม่ต้องการรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงได้จากไปโดยไม่บอกชื่อแซ่”
“หืม เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนั้นเล่าเสี่ยวจู เขาช่วยชีวิตข้าเอาไว้ยังต้องรับผิดชอบสิ่งใดอีก”
เสี่ยวจูช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโผล่ออกมาด้วยท่าทีเคืองๆ
“ก็เขาทั้งกอดทั้งจูบคุณหนูต่อหน้าคนตั้งมากมาย หนำซ้ำยังอุ้มท่านด้วย”
“อะไรนะ!” นัยน์ตาดอกท้อพลันเบิกกว้าง หลี่จื่อเหยาแทบไม่อยากจะเชื่อ “เขาน่ะหรือ จะ...จูบข้า”
“เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ ป่านนี้คนคงลือไปทั่วแล้ว”
ชายหญิงห้ามใกล้ชิด นี่นางถูกชายแปลกหน้าทั้งกอดทั้งจูบ หลี่จื่อเหยา เอามือกุมขมับ ยามนี้ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้ไม่มีชิ้นดีแน่แล้ว
ทว่าหลายวันผ่านไปกลับไม่มีข่าวลือน่าอายดั่งที่หลี่จื่อเหยาคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก นางถูกบุรุษกอดจูบต่อหน้าธารกำนัล ความจริงต้องเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่ทุกคนในบริเวณนั้นทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องนี้ เกิดขึ้น
‘แปลกประหลาดยิ่งนัก’
หลี่จื่อเหยาได้แต่กังขา หรือว่าคุณชายผู้นั้นจะเป็นพวกมีอิทธิพล มิเช่นนั้นคงไม่ทำตัวลึกลับ หนำซ้ำยังสามารถปิดปากคนที่เห็นเหตุการณ์ได้ทั้งหมดอีกด้วย
หากจะกล่าวกันตามจริง เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะต้องการรักษาภาพลักษณ์ของตนเองมากกว่าของนางเสียอีก
ถ้าชายผู้นั้นเป็นคนมีอำนาจจริง นางย่อมไม่มีทางได้พบใบหน้าหล่อเหลานั้นอีกถ้าหากเขาไม่ต้องการ
เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่จะได้พบกับชายผู้นั้นอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายปกปิดตัวตน ความหวังย่อมเลือนราง หลี่จื่อเหยาหมดแรง นางแทบจะล้มเลิกความคิดที่จะตามหาเขาในทันที แต่บุญคุณในครั้งนี้นางจะจดจำเอาไว้ไม่มีวัน ลืมเลือนอย่างแน่นอน
‘หากมีวาสนาต่อกันข้าคงได้พบกับท่านอีก และเมื่อถึงเวลานั้นข้าหลี่จื่อเหยายินดีทดแทนบุญคุณ’
[1] ดอกเหมยกุ้ย คือดอกกุหลาบ
โครม! เสียงของกระแทกผนังภายในห้องทำงานของนายท่านตระกูลหลี่ ทำให้ผู้ที่ได้ยินชะงักงันด้วยความตกใจ“บัดซบ! ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” หลี่เค่อตวาดด้วยความเดือดดาล“เป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถดูแลคุ้มครองสินค้าได้ ขอให้นายท่านลงโทษจินหูเถิด”เมื่อเห็นคนสนิทนั่งคุกเข่าขอรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว นายท่านตระกูลหลี่ก็อดเห็นใจไม่ได้“ลงโทษเจ้าแล้วได้อันใด สินค้าเหล่านั้นก็ไม่กลับมาอยู่ดี”“พวกโจรไม่ได้ขโมยของไปทั้งหมด เรายังพอเหลือสินค้าเอามาวางขายได้นะขอรับ”“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล” หลี่เค่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น“สินค้าที่ถูกปล้นไป ล้วนเป็นของที่ถูกสั่งเอาไว้ทั้งสิ้น มัดจำข้าก็รับมาครึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่มีสินค้าไปส่งตามสัญญา ร้านค้าตระกูลหลี่ได้พินาศคามือข้าแน่”ภาพบิดาผู้ล่วงลับลอยผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ถ้ากิจการของครอบครัว ต้องพังในรุ่นของเขา หลี่เค่อคงไม่มีหน้าไปพบกับวิญญาณบรรพชน“ข้าเชื่อว่าลูกค้าเหล่านั้นย่อมเข้าใจ หากเราหาเงินมัดจำไปคืนได้ พวกเขา อาจจะไม่ฟ้องร้องค่าปรับก็ได้ขอรับ”“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายดั่งที่เจ้าคิดน่ะสิ จะมาถามหาน้ำใจเกี่
ครั้นน้องสาวจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าคมก็จางหายหลี่เค่อลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังชั้นหนังสือ เขาหยิบกล่องสีดำใบหนึ่งขึ้นมา เมื่อเปิดฝาก็พบเอกสารหลายสิบฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นโฉนดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆหลังจากกวาดสายตาอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยิบโฉนดออกมาสองสามใบถึงเขาจะมั่นใจว่าหลิวจินหูจะสามารถขายสินค้าที่เหลือได้ทันเวลา แต่หากมีลูกค้าที่ไม่ยินยอม แล้วเรียกร้องเอาเงินค่าปรับสักสองสามคน เท่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เงินสดในบัญชีคงไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าปรับมหาศาลเหล่านั้น เขาจึงจำต้องเฉือนเนื้อบางส่วนเพื่อรักษา ร่างกายเอาไว้เวลาผ่านไปราวสายลมผู้ช่วยมือดีอย่างหลิวจินหูสามารถขายสินค้าที่มีได้ทั้งหมด ทำให้ร้านค้าตระกูลหลี่สามารถชดใช้เงินค่ามัดจำกับลูกค้าเก่าแก่ได้ แต่ปัญหายังคงไม่หมดไป เมื่อมีลูกค้าสองรายที่ไม่ยินดีรับเงินคืนไปเฉยๆคนที่มีปัญหาล้วนแล้วเป็นลูกค้าใหม่ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สั่งซื้อสินค้าจำนวนเยอะที่สุดอีกด้วย เนื่องจากเป็นลูกค้าใหม่ซึ่งไร้ความสัมพันธ์ใดๆ พวกเขาจึงไม่มีความเห็นใจให้กับร้านค้าตระกูลหลี่แม้ก่อนหน้าหลี่เค่อได้เตรียมการขายที่ดินสามแห่
เวลาล่วงเลยจนถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า หลี่เค่อหมายใช้วันเกิดครบรอบอายุห้าสิบปีของมารดาเปิดตัวหลี่จื่อเหยา เขาจัดทำเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลผู้ดีทั้งหลาย รวมไปถึงพ่อค้าวาณิชที่มีลูกชายถึงวัยแต่งงาน เขามั่นใจว่าน้องสาวคนงามจะเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาคุณชาย เหล่านั้นอย่างแน่นอนสำหรับตระกูลหลี่นั้นถือเป็นตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตาพอสมควร ด้วยทำการค้าภายในเมืองหลวงมายาวนาน อีกทั้งนายท่านรุ่นก่อนก็เป็นคนกว้างขวาง และมีมิตรสหายมาก ทำให้แขกเหรื่อพากันมาร่วมอวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างหนาตา ซึ่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในแคว้นหานทั้งสิ้นนอกจากคำอวยพร บรรดาสหายเก่าและเศรษฐีทั้งหลายต่างมอบของขวัญล้ำค่าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย หลี่เค่อตาเป็นประกายเมื่อเห็นรายการของกำนัล รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งที่ลงทุนลงแรงกับวันนี้ไปมากอีกด้านหนึ่งหลี่จื่อเหยานั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองภาพหญิงสาว งดงามที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองเหลือง ในขณะที่สาวใช้ประจำตัวกำลังเกล้าผมเป็นทรงเมฆลอยให้อย่างใส่ใจนิ้วยาวสวยดุจลำเทียนวาดไล้บนรูปหน้าแผ่วเบา ก่อนจะหยิบกระดาษสีแดงในกล่องเครื่องประทินโฉมขึ้นมา ริมฝีปากรูปกระจับเม้
ถึงกระนั้นความหวังก็ยังริบหรี่ เพราะต่อให้นางพยายามตามหาเบาะแสเท่าใด ก็ไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้‘บางทีเขาอาจจะเป็นคนต่างเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจจะเป็นเทพจากสวรรค์ที่มาช่วยนางจากประตูผี เมื่อเสร็จธุระก็บินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วกระมัง’ เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มขื่นก็ปรากฏ จะมีเหตุผลอันใดเล่า เขาก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งสองไม่เคยรู้จักมักคุ้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่บุรุษผู้หนึ่งจะต้องสานสัมพันธ์หรือเป็นห่วงเป็นใยสตรีที่บังเอิญได้ช่วยเหลือนั่นล่ะคือความจริงทางที่ดีนางควรลืมเรื่องที่เสี่ยวจูพูด การต่อลมหายใจเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยชีวิตคนเท่านั้น ในเมื่อไม่มีข่าวลือเสียหาย นางก็ยังคงรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ได้มิใช่หรือนิ้วเรียวลูบลงบนกลีบปากอย่างช้าๆ หลี่จื่อเหยาแทบจำสัมผัสอันพร่าเลือนจากการถ่ายทอดอากาศสู่กายนางมิได้ พอมาคิดอีกที ถึงแม้ชายผู้นั้นจะทำลงไปเพราะต้องการช่วยเหลือก็ตาม แต่นั่นไม่เท่ากับว่าจูบแรกของนางได้ถูกขโมยไปแล้วหรือ‘ช่างเถิด’หลี่จื่อเหยาถอนหายใจ อย่างไรการเฝ้ารอคนผู้นั้นอย่างเปล่าประโยชน์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว หลังจากคืนนี้ไป
“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณหนูงดงามถึงเพียงนี้จะมีตรงที่ใดให้ข้านึกรังเกียจได้บ้างเล่า หืม” เขาคว้ามือขาวเนียนของนางมากอบกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีนิลดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลช่างดึงดูดหัวใจยิ่ง“ขะ...ข้าไม่รู้ว่าคุณชายหายไปด้วยเหตุใด จึงคิดว่าท่านหนีหน้า เพราะ ไม่ต้องการรับผิดชอบเรื่อง...” หลี่จื่อเหยายั้งปากของตนเองเอาไว้เกือบไม่ทัน แต่นางจะพูดเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่าบุรุษหล่อเหลาออกแรงดึงมือเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงก็เคลื่อนเข้าปะทะกับอกแกร่ง เขาตวัดแขนกระชับอ้อมกอดให้แนบสนิท ไม่ยินยอมให้หญิงสาวผู้ตื่นตระหนกดิ้นหลุดจากพันธนาการ“ใครว่า ข้าอยากกลับมารับผิดชอบใจจะขาด”การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลี่จื่อเหยาแทบละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ เขากับนางอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากจนลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษรินรดลงบนแก้มนวล หญิงสาวไม่อาจควบคุมก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่กำลังเต้นถี่รัว ใบหน้าของนางทั้งเห่อร้อนและแดงระเรื่อราวกับคนต้องพิษไข้แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าย่อมไม่ดีแน่ หลี่จื่อเหยาดิ้นขลุกขลักอย่างน่าสงสาร แต่มู่หรงอี้หวายก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้นางเป็น
ระหว่างที่มู่หรงอี้หวายกำลังจุมพิตหลี่จื่อเหยาอย่างดูดดื่มอยู่นั้น หลี่เค่อที่ตามหาน้องสาวอยู่ก็ผ่านมาพบคนทั้งคู่เข้าพอดีไฟโทสะของผู้นำสกุลหลี่พวยพุ่ง นัยน์ตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แทบอยากจะถลาเข้าไป ฆ่าบุรุษที่กำลังลิ้มชิมผลไม้สุกที่เขาลงทุนลงแรงอย่างยากเย็นเสียให้ตายคามือ“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยน้องสาวของข้าเดี๋ยวนี้”พอถูกขัดจังหวะ มู่หรงอี้หวายถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง พลางสบนัยน์ตาดุจกวางน้อยที่กำลังสั่นระริก เขาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะคลายอ้อมกอดอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดือดดาลอยู่ด้านหลังสักนิดการกระทำอันแสนท้าทายทำให้หลี่เค่อโมโหยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน“เจ้ากล้าลวนลามน้องสาวของข้าในเขตบ้านสกุลหลี่ นี่มันหยามกันชัดๆ”มู่หรงอี้หวายปรับสีหน้าเป็นคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกอีกครั้ง เขาหันไปเผชิญหน้ากับประมุขสกุลหลี่อย่างใจเย็น“นายท่านหลี่ได้โปรดลดโทสะลงก่อน ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น”“หึ! แค่ขอโทษคำเดียวจะให้แล้วกันไปหรือ คิดง่ายไปหน่อยกระมัง”“เป็นความผิดของข้าที่ไม่รู้จักควบคุมตนเองให้ดี
มู่หรงอี้หวายเผลอกัดริมฝีปากตนจนห้อเลือด เห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลี่จื่อเหยาจึงแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ครั้นเห็นแววโศกเศร้าบนใบหน้า ของเขา ก็อดสะท้านสะเทือนหัวใจมิได้ คำพูดตัดรอนของนางทำให้เขาเจ็บปวดงั้นรึ“คุณชายมู่หรงทำไม่ได้หรือ” หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าของเขาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึก“ไม่ได้... ข้าทำไม่ได้” เขาส่งสายตาอ้อนวอน“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินกับหูว่าท่านเพียงเผลอไผล ผู้อื่นจึงไม่ต้องการให้คุณชายต้องฝืนใจรับผิดชอบ”“คุณหนูหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย”“แล้วคุณชายจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”“เป็นข้าผิดทั้งนั้น ที่พอพบเจ้าอีกครั้งก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” มู่หรงอี้หวายเดินเข้าไปใกล้นางก้าวหนึ่ง แล้วคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากอบกุม “นี่ข้าลืมบอกว่าชอบเจ้าสินะ”“คะ...คุณชายมู่หรง ท่านชอบข้าจริงๆ หรือ” นางพูดเสียงเบาหวิว จิตใจล่องลอยหลงใหลไปกับคำพูดหวานหูของเขา“หากไม่จริงใจ ข้าคงไม่ควบม้าเร็วติดต่อกันถึงสามวันสามคืน เพื่อจะมาพบหน้าเจ้าให้ได้ในวันนี้”นัยน์ตาสุกใสดุจกวางน้อยไหวระริก เขาทนลำบากเพื่อมาพบหน้านางหรือ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่
“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียทีสำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้ “ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน“เ
“อะไรกันคุณชายมู่หรง อย่ามัวแต่ตะลึงสิ” พานจินซานเย้าแหย่เจ้าบ่าว ที่มัวแต่เบิกนัยน์ตาอ้าปากค้างเหล่าสหายคนอื่นเห็นดังนั้นก็เอ่ยหยอกอีกคนละประโยคสองประโยค แต่มู่หรงอี้หวายก็มิได้นำพา“เจ้าสาวของเราคงหิวแล้ว” พานอวี๋รีบเดินเข้าไปหาหลี่จื่อเหยาพร้อมถ้วยใส่เกี๊ยว แล้วคีบส่งถึงปากนางอย่างมีน้ำใจ เจ้าสาวคนสวยอ้าปากกินอย่างเสียไม่ได้ แต่แล้วก็ต้องคายสิ่งที่กินเข้าไปออกมา และคุณหนูพานที่รอท่าอยู่แล้วก็เอาถ้วยรับเกี๊ยวไว้ได้ทันควัน“ดะ...ดิบ เกี๊ยวยังดิบอยู่เลย นี่พวกท่านแกล้งข้าหรือ”“เปล่าเสียหน่อย ข้าจะใจร้ายแกล้งเจ้าสาวคนสวยได้อย่างไรกันเล่า คำว่า ‘ดิบ’ พ้องเสียงกับคำว่า ‘มีลูก’ เมื่อเจ้าเอ่ยคำมงคลออกมาแล้ว คืนนี้ก็...” พอคุณหนูพานหยุดพูดเพียงเท่านี้ ทุกคนก็พากันหัวเราะ หลี่จื่อเหยาเข้าใจความหมาย จึงก้มหน้างุดด้วยขวยอายเป็นกำลัง“พวกเจ้าหยุดล้อเล่นได้แล้ว รีบเอาเหล้ามงคลมาให้ข้า เดี๋ยวนี้” มู่หรงอี้หวายพูดตัดบท นึกอยากให้ตัวก่อกวนพวกนี้จากไปเสียที เพราะเขาอยากขย้ำสาลี่ดอกงามจนทนแทบไม่ไหวแล้วเย่เทียนหลางได้ยินดังนั้น ก็เดินเข้ามาพร้อมจอกใส่สุราสองใบแล้วยื่นให้คู่บ่าวสาว มู่หรงอี้หวายมองใ
บ่าวสาวหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม คารวะบุพการี อย่างนอบน้อม“สาม คำนับกันและกัน”ทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน จังหวะที่ค้อมกาย ชายหนุ่มเห็นรอยยิ้มจางๆ ซึ่งบ่งบอกว่านางมีความสุขเพียงใดผ่านผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว...“ส่งเข้าเรือนหอ...”มู่หรงอี้หวายยิ้มยินดีจนถึงดวงตา ในที่สุดเขาก็ได้นางเป็นภรรยาสมใจปรารถนาแล้วตามธรรมเนียม เจ้าบ่าวยังต้องรั้งอยู่ต้อนรับแขกในงานเลี้ยงก่อน ยิ่งวันนี้ฉินอ๋องให้เกียรติมาร่วมพิธี เขาจะเสียมารยาทไม่ได้ เจ้าสาวจึงต้องไปรอคอยในห้องหออย่างสงบเสงี่ยมจนกว่างานเลี้ยงจะจบลงนัยน์ตาคมกริบมองส่งสตรีในชุดสีแดงงดงามจนลับสายตา ความจริงมู่หรงอี้หวายไม่อยากกินเหล้า เขาต้องการกลืนกระต่ายขาวทั้งตัวเสียเดี๋ยวนี้มากกว่า‘ให้ตายเถอะ! คนพวกนี้ไม่มีข้าแล้วดื่มสุรากันไม่ได้หรืออย่างไร’ถึงแม้จะร่ำร้องในใจเสียงดังสักเพียงใด แต่เขาก็ต้องปั้นยิ้ม อดทนการคารวะสุราจากทุกคนสุรานารีแดงที่หมักถึงสิบหกปีของตระกูลหลี่รสแรงไม่น้อย ใบหน้าของมู่หรงอี้หวายเริ่มแดงก่ำ ถึงแม้เขาจะพยายามเดินลมปราณเพื่อขับเหงื่ออยู่ตลอดเวลาก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าแขกเหรื่อกับเหล่าสหายจะสนุกสนานกับการดวลเหล้ากับเขาเหลือเกินงานเลี้
“เห็นหรือไม่ว่า มีคุณชายเย่เป็นเพื่อนมันดีแค่ไหน ยามมีภัยก็มาช่วยด้วยความรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ หนำซ้ำยังมีป้ายผ่านทางอีก สารพัดประโยชน์ถึงเพียงนี้ ข้าถึงทำใจเกลียดเขาไม่ลงสักทียามที่ทะเลาะกัน”“พี่อี้หวายทำไมพูดเช่นนี้เล่าเจ้าคะ” หลี่จื่อเหยารู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ จึงเอ่ยปราม“ไม่เป็นไรหรอกคุณหนูหลี่ อี้หวายแค่เล่นมุกตลกเท่านั้น ข้าชินเสียแล้ว” เย่เทียนหลางยักคิ้วประหนึ่งไม่ยี่หระ“ใช่ มันก็แค่มุกตลก”เมื่อพูดจบมู่หรงอี้หวายก็ออกแรงเดินไปยังรถม้าของหลี่จื่อเหยา นางประคองชายหนุ่มผู้บาดเจ็บเข้าไปในรถอย่างเป็นห่วงเป็นใย ส่วนอาชาของเขาสือหย่งคังเป็นผู้จัดการเย่เทียนหลางมองตามเงาร่างของสตรีในดวงใจจนลับสายตา เขาจึงกระโดดขึ้นหลังม้าแล้วออกนำขบวนสู่เมืองหลวงหิมะโปรยปราย แสงจันทร์เสี้ยวสลัวราง เส้นทางเปลี่ยวร้าง ไม่ต่างกับหัวใจ ของบุรุษผู้ไร้ซึ่งความสำคัญ...เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนหลี่เค่อเกรงว่าหลี่จื่อเหยาจะได้รับอันตรายอีก จึงไม่อนุญาตให้นางออกไปเที่ยวเล่นตามใจ อย่างมากที่สุด คืออนุญาตให้ไปเยี่ยมว่าที่เจ้าบ่าวได้ในบางครั้ง เขาคิดว่าเป็นเพราะอาถรรพ์งานแต่งถึงได้เกิดเรื่องไม่
มู่หรงอี้หวายได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกโมโหมากขึ้นถูกนางเข้าใจเขาผิดโดยสิ้นเชิง“ให้ตายเถอะ! ข้าขอโทษที่ไม่สามารถฆ่าพวกมันทิ้งทั้งหมดได้ต่างหาก” สายตาวาวโรจน์ยังคงจดจ้องไปทางชายป่า “อาการป่วยของข้ายังไม่หายสนิท จึงไม่สามารถเด็ดหัวมันมาเพื่อแก้แค้นให้กับเจ้า บัดซบ!”“มะ...หมายความว่า พี่อี้หวายจะไม่ยกเลิกงานแต่งหรือเจ้าคะ” นัยน์ตาดอกท้อเบิกกว้าง ความหวังอันรางเลือนเริ่มกลับมาส่องสว่างอีกครั้งแล้วมู่หรงอี้หวายเหลือบสายตาไปยังเย่เทียนหลางที่ยืนมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับมามองคู่หมั้นสาวที่กำลังร้องไห้“เหลวไหล! ใครบอกว่าข้าจะไม่แต่งงานกับเจ้า”“ก็ท่านเอาแต่โมโห แล้วข้าก็ถูก... ถูกเห็น... ฮือ” น้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาจควบคุม เพราะหลี่จื่อเหยาไม่มั่นใจว่าเขาโกรธโจร หรือกำลังโกรธนางอยู่กันกันแน่มู่หรงอี้หวายเพิ่งรู้สึกตัวว่า คงกำลังทำหน้าเหมือนเทพจงขุยอยู่กระมัง กระต่ายน้อยถึงได้ลนลานหวาดหวั่นถึงเพียงนี้เขาพยายามปรับสีหน้า และน้ำเสียงให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะรั้งร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดโดยไม่สนใจว่านางจะกระทบถูกบาดแผลของตนหรือไม่ ริมฝีปากหยักบางประทับจุมพิตซับน้ำตา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่เทียนหลางค่อยถอยออกห่างจากสตรีที่หยุดร้องไห้ เขาลงจากเตียงแล้วสาวเท้าออกไปรอที่หน้าห้องเมื่อไม่มีบุรุษอยู่ด้วย หลี่จื่อเหยาก็พยายามจัดอาภรณ์ให้ดีที่สุด โชคดีที่ชุดตัวนอกเพียงถูกถอดออกไป นางจึงสามารถเก็บซ่อนรอยขาดวิ่นของอาภรณ์ชั้นในได้บ้างครั้นแต่งกายจนเรียบร้อยที่สุดแล้ว นางจึงเยื้องกรายตามบุรุษในชุดขี่ม้าไปที่ด้านนอกเย่เทียนหลางที่ยืนรออยู่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ไม่น่าเชื่อว่าความปรานีของเขาจะทำให้ความรู้สึกหวาดหวั่นทั้งหลายของนางทุเลาลงจนแทบจะหมดสิ้น ครานี้เหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก็คือยามที่มู่หรงอี้หวายรู้ว่านางถูกบุรุษอื่นเห็นเรือนกายของตนไปเสียแล้ว เขาจะยังต้องการว่าที่เจ้าสาวคนนี้อยู่อีกหรือไม่ระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังคิดวุ่นวาย บุรุษในชุดขี่ม้าสีน้ำตาลก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้นาง“ที่นี่ห่างไกลจากจุดที่รถม้าถูกทิ้งไว้ เช่นนั้นคงต้องขอล่วงเกินเจ้าอีกครั้งแล้ว”หลี่จื่อเหยาพอเดาออกว่าเขาจะทำสิ่งใด ครั้นจะปฏิเสธก็คงเสียเวลาหากต้องเดินย่ำไปบนหิมะที่ทั้งเปียกและลื่น อีกอย่างนางก็เชื่อว่าเย่เทียนหลางเป็นสุภาพบุรุษ เขาย่อมไม่ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากก
เย่เทียนหลางไม่เสียเวลาพูดพร่ำ ก็ทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจก็ถึงตัวชายชุดดำ มือขวาตวัดดาบเชือดเฉือนลงบนร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล โจรร้ายพอมีวิชาจึงหลบการโจมตีจุดตายได้อย่างหวุดหวิด ครั้นเห็นบุรุษในชุดสีน้ำตาลเป็นผู้มีวรยุทธ์์สูงล้ำก็เริ่มมีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด“เจ้าเก่งมากที่ทำให้ข้าเลือดตก ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์์คือผู้ใดหรือ”“ข้าคือเย่เทียนหลางแห่งสำนักคุ้มภัย รู้แล้วก็จำไปบอกยมบาลด้วยว่า ใครสังหารเจ้า”“ยะ...เย่เทียนหลางหรือ” ชายชุดดำละล่ำละลัก น้ำเสียงอ่อนลงด้วยความหวั่นเกรง“ต้องให้พูดซ้ำหรือ” เย่เทียนหลางยิ้มเยาะ แต่กลิ่นอายสังหารยังไม่ลดน้อยถอยลงเลยพอได้ยินว่าบุรุษตรงหน้าคือทายาทสำนักคุ้มภัยตระกูลเย่อันเลื่องลือ โจรราคะก็มีท่าทางหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก มันไม่คิดจะต่อกรกับอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้วมือหนาล้วงระเบิดควันออกมาแล้วเขวี้ยงลงพื้นอย่างรวดเร็ว ห้องทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยกลุ่มควัน แล้วชายชุดดำก็อาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไปทางหน้าต่าง“บัดซบ! ข้าจะฆ่าเจ้า” เย่เทียนหลางกัดฟันกรอด พลางสบถอย่างเดือดดาล แล้วทำท่าจะกระโดดตามออกไป“ช้าก่อน” เสียงสั่นเครือของหลี่จื่อเหยาดัง
ร่างบางวิ่งต่อไปอย่างทุลักทุเลด้วยความหวังสองเท้าย่ำลงไปบนหิมะที่ทั้งหนาและเย็นเฉียบ ความเหนื่อยล้าทำให้ความเร็วในการก้าวเท้าลดน้อยถอยลง๔หลี่จื่อเหยาเริ่มหอบ ลมหายใจกระทบอากาศเย็นจนกลายเป็นควัน ร่างบางไม่อาจฝืนได้อีก นางจึงหันกลับไปมองทางที่ตนเพิ่งผ่านมา เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดติดตามจึงผ่อนฝีเท้าลงความจริงนางควรจะดีใจ แต่เมื่อคิดว่าคนร้ายทั้งสามอาจจะตามเสี่ยวจูไป จึงไม่อาจยินดีได้ มีทางเดียวคือต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วตามคนมาช่วยสาวใช้คนสนิทให้จงได้หญิงสาวเดินต่อไปไม่ถึงร้อยเชียะความหวังก็ดับวูบ เมื่อหนึ่งในกลุ่มโจรขวางทางอยู่ หลี่จื่อเหยาแทบร้องไห้ แต่น้ำตายังไม่ทันหยด ร่างบางก็ถูกคนตัวใหญ่ในชุดสีดำจับตัวเอาไว้ เขาตวัดแขนนำหลี่จื่อเหยาขึ้นพาดบ่า แล้วทะยานกลับไปยังทิศทางที่นางเพิ่งจะผ่านมาอย่างยากลำบากด้วยความเร็วลมหนาวบาดผิว แต่ความสิ้นหวังบาดหัวใจยิ่งกว่าในที่สุดชายชุดดำก็พาหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายกลับมาถึงกระท่อมหลังเก่า เขาสาวเท้าตรงไปข้างใน และครานี้ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ห้องด้านนอก ร่างสูงกำยำตรงดิ่งไปยังห้องนอน ครั้นถึงที่หมายก็วางหญิงสาวลงบนเตียงแข็งกระด้างความหวาดกลัวพุ่งขึ้นถึ
คณะเดินทางเคลื่อนที่ไปได้อีกสี่ลี้ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เบื้องหน้าปรากฎคนสวมชุดดำ ปิดหน้าตาสามคนถือดาบกระโดดออกมาจากชายป่าขวางเส้นทางเอาไว้หนึ่งในนั้นใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นมาบนรถม้าแล้วแย่งบังเหียนจากคนขับ ส่วนชายชุดดำอีกคนก็ตรงไปจัดการคนขับเกวียน รถม้าถูกบังคับให้หยุดลงกลางคัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วเสียงเอะอะ จากภายนอกทำให้หลี่จื่อเหยานั่งกอดกับเสี่ยวจูด้วยความหวาดกลัว ฉับพลันที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นบุรุษตัวใหญ่ในชุดสีดำก้าวเข้ามา เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็คว้าตัวเสี่ยวจูแล้วลากออกไปส่งให้พรรคพวกอีกคนที่รอท่าอยู่ เสียงกรีดร้องตกใจ ของหญิงสาวทั้งสองคนกลับเรียกเสียงหัวเราะน่ารังเกียจจากโจรร้าย“ปล่อยพวกข้าไปเถิด หากต้องการเงินทอง ข้าจะนำของมีค่าที่ติดตัวมาให้เจ้าทั้งหมด” หลี่จื่อเหยาพยายามต่อรองทั้งที่หวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก นางคว้าถุงเงินแล้วโยนไปตรงหน้าโจร ชายชุดดำก้มลงเก็บถุงเงินแล้วโยนเล่นก่อนจะเก็บเข้าไปที่ข้างเอว“แน่นอนว่าข้าอยากได้เงิน แต่จะดีสักเพียงใดถ้าได้คุณหนูคนงามมากอดกกด้วย” ชายชุดดำกลั้วหัวเราะพร้อมเดินย่างสาม
“วันนี้เราอาจจะจัดเตรียมให้ไม่ทัน ทางร้านขอนัดส่งสินค้าภายในวันพรุ่งนี้ ก็แล้วกันนะเจ้าค่ะ” หลี่จื่อเหยาตอบอย่างสุภาพ เมื่อเห็นสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย นางพลันก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบนั้นทันที“พรุ่งนี้ข้าจะแจ้งกับพ่อบ้านให้รอรับของ หากพร้อมแล้วก็ส่งคนไปได้ทุกเมื่อ”“เนื่องจากท่านสั่งสินค้าจำนวนมาก ทางร้านจึงจำเป็นต้องขอค่ามัดจำสินค้าก่อนครึ่งหนึ่ง เมื่อส่งของเรียบร้อยแล้วค่อยรับเงินส่วนที่เหลือ ไม่ทราบว่าคุณชายเย่สะดวกหรือไม่เจ้าคะ” นางเหลือบตาขึ้นมองหน้าคมเข้มนั้น แต่ก็ต้องมีอันหลุบตากลับลงไปอีกครา เขาไม่ยอมเลิกจ้องนาง ความรู้สึกบางอย่างถูกส่งออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น จนทำให้นางรู้สึกขวยอายไปหมด“คุณหนูหลี่เขียนสัญญาซื้อขายได้เลย ข้าพร้อมจ่ายตามข้อตกลง”“เช่นนั้นเชิญคุณชายทางด้านนี้เจ้าค่ะ”หลี่จื่อเหยารีบสาวเท้าเดินนำเขาไปยังโต๊ะเก็บเงินของร้าน นางเชิญให้เขานั่ง ส่วนตนเองนั้นเคลื่อนกายไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเปิดลิ้นชักหยิบสัญญาซื้อขายออกมาสองฉบับ จากนั้นจึงหยิบลูกคิดขึ้นมาดีดอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะจรดปลายพู่กันลงจำนวนเงินมัดจำพร้อมประทับตราร้านค้าลงในสัญญาที่เตรียมเอาไว้“เชิญคุณชา