โครม!
เสียงของกระแทกผนังภายในห้องทำงานของนายท่านตระกูลหลี่ ทำให้ผู้ที่ได้ยินชะงักงันด้วยความตกใจ
“บัดซบ! ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้” หลี่เค่อตวาดด้วยความเดือดดาล
“เป็นความผิดของข้าที่ไม่สามารถดูแลคุ้มครองสินค้าได้ ขอให้นายท่านลงโทษจินหูเถิด”
เมื่อเห็นคนสนิทนั่งคุกเข่าขอรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว นายท่านตระกูลหลี่ก็อดเห็นใจไม่ได้
“ลงโทษเจ้าแล้วได้อันใด สินค้าเหล่านั้นก็ไม่กลับมาอยู่ดี”
“พวกโจรไม่ได้ขโมยของไปทั้งหมด เรายังพอเหลือสินค้าเอามาวางขายได้นะขอรับ”
“เรื่องนั้นข้ารู้ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้ากังวล” หลี่เค่อกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
“สินค้าที่ถูกปล้นไป ล้วนเป็นของที่ถูกสั่งเอาไว้ทั้งสิ้น มัดจำข้าก็รับมาครึ่งหนึ่งแล้ว หากไม่มีสินค้าไปส่งตามสัญญา ร้านค้าตระกูลหลี่ได้พินาศคามือข้าแน่”
ภาพบิดาผู้ล่วงลับลอยผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง ถ้ากิจการของครอบครัว ต้องพังในรุ่นของเขา หลี่เค่อคงไม่มีหน้าไปพบกับวิญญาณบรรพชน
“ข้าเชื่อว่าลูกค้าเหล่านั้นย่อมเข้าใจ หากเราหาเงินมัดจำไปคืนได้ พวกเขา อาจจะไม่ฟ้องร้องค่าปรับก็ได้ขอรับ”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดี แต่ข้ากลัวว่าจะไม่ง่ายดั่งที่เจ้าคิดน่ะสิ จะมาถามหาน้ำใจเกี่ยวกับเรื่องการค้า ก็คงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”
“อย่างไรเสียระหว่างนี้ข้าจะรีบปล่อยสินค้าที่มีอยู่ กำไรที่ได้คงพอค่าใช้จ่ายในเดือนนี้ อีกทั้งยังสามารถคืนค่ามัดจำให้ลูกค้าได้หลายคนอยู่ขอรับ”
“ดี เจ้ารีบไปดำเนินการเสียให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องการเจรจากับลูกค้าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าหวังว่าลูกค้าเก่าแก่คงจะเห็นใจร้านค้าตระกูลหลี่ของเราอยู่บ้าง”
“ขอรับนายท่าน” หลิวจินหูรีบสาวเท้าออกไปจากห้องทำงานเพื่อดำเนินการ ตามแผนในทันที
เมื่อผู้ช่วยคนสนิทก้าวพ้นธรณีประตู หลี่เค่อทรุดร่างลงบนเก้าอี้เสมือนดั่งคนสิ้นเรี่ยวแรง เขากวาดสายตาไปบนสมุดบัญชีอีกครั้งพลางทอดถอนใจ
ช่วงระยะเวลาเพียงหนึ่งปีกลับเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มจาก ธัญพืชที่ตุนเอาไว้เพื่อเก็งกำไรถูกความชื้นจนเสียหายไปกว่าครึ่ง ต่อมามีพ่อค้าจากเมืองอื่นเข้ามาขายข้าว และธัญพิชตัดราคา เขาจำต้องเทขายสินค้าในราคาต่ำกว่าทุน
ทว่าความโชคร้ายยังคงไม่หมดไป ตั้งแต่เดือนเจ็ดมาจนถึงตอนนี้ขบวนสินค้าของตระกูลหลี่ถูกดักปล้นไปแล้วกว่าสิบครั้ง จึงทำให้ในสมุดบัญชีมีแต่ตัวเลขสีแดงเต็มไปหมด
หลี่เค่อคิดอยากเอามือกุมขมับ แต่ในความเป็นจริงเขาก็ทำเช่นนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ในขณะที่นายท่านใหญ่ของตระกูลกำลังกลัดกลุ้ม หลี่จื่อเหยาก็ก้าวเข้ามา ในห้องทำงานพร้อมกับน้ำแกงบำรุงถ้วยหนึ่ง
“พี่ใหญ่เจ้าคะ ดื่มน้ำแกงปลาสักนิดเถิด” ใบหน้างามประดับรอยยิ้มสดใสที่ทำให้ผู้มองสบายใจเอาไว้
“ขอบคุณนะเหยาเหยา แต่ตอนนี้พี่ชายคงดื่มอะไรไม่ลง”
“อย่าพูดเช่นนั้นสิเจ้าคะ พี่ใหญ่ยังต้องใช้ความคิด แล้วน้ำแกงปลานั้นก็บำรุงสมอง”
“อืม ก็ได้ บางทีน้ำแกงของเจ้าอาจจะช่วยให้พี่นึกอะไรดีๆ ออก” หลี่เค่อยื่นมือไปรับถ้วยน้ำแกงจากน้องสาว เขาเปิดฝาออกก็พบน้ำแกงที่เคี่ยวอย่างพิถีพิถันจนกลายเป็นสีน้ำนม เมื่อรับรู้ถึงความใส่ใจของน้องสาว ริมฝีปากบางจึงขยับยิ้มอย่างอดมิได้
“พี่ใหญ่มัวทำอันใดอยู่ รีบๆ ดื่มเสียสิเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะเสียรสชาตินะ”
“เอาล่ะๆ ข้าจะดื่มแล้ว” หลี่เค่อรับคำแล้วรีบดื่มน้ำแกงถ้วยนั้นจนหมด รสชาติอันดีเยี่ยมทำให้บุรุษผู้เคร่งเครียดรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
หลี่จื่อเหยาเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกยินดี อย่างน้อยตนก็ทำให้พี่ชายสดชื่นขึ้นมา บ้าง
“หากชายใดได้เจ้าไปเป็นภรรยานับว่าโชคดียิ่งนัก” หลี่เค่อเปรย
“พี่ใหญ่กล่าวหนักไปแล้ว น้องก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง”
“จะว่าไปปีนี้เหยาเหยาของเราก็อายุสิบหกแล้ว ข้ากับท่านแม่คงต้องคิดเรื่องหาคู่ครองให้กับเจ้าเสียที”
“น้องสาวยังไม่อยากแต่งงานเลยเจ้าค่ะ อยากอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ และก็ดูแลท่านพี่กับหลานชายไปก่อน”
“มิได้ๆ หากปล่อยนานเข้าเจ้ากลายเป็นสาวทึนทึกขึ้นมา ข้าคงไม่มีหน้าไปพบท่านพ่อ”
“อืม...ถ้าเช่นนั้น ท่านพี่จัดการตามเห็นสมควรเถิดเจ้าค่ะ”
“เอาไว้ข้าสะสางเรื่องยุ่งยากพวกนี้ให้แล้วเสร็จเสียก่อน แล้วค่อยไปปรึกษากับท่านแม่เรื่องคู่ครองของเจ้า”
“เจ้าค่ะ”
หลี่เค่อยิ้มอย่างพอใจ น้องสาวของเขาเป็นคนอ่อนหวานว่าง่าย ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังเลยสักครั้ง
เมื่อเห็นพี่ชายทำท่าจะสะสางงานตรงหน้าต่อ หลี่จื่อเหยาจึงไม่อยากรบกวนเขาอีกต่อไป นางเดินไปหยิบถ้วยกระเบื้องที่ว่างเปล่าบนโต๊ะ แล้วสาวเท้าออกจากห้องทำงานอย่างสงบเสงี่ยม
ครั้นน้องสาวจากไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าคมก็จางหายหลี่เค่อลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปยังชั้นหนังสือ เขาหยิบกล่องสีดำใบหนึ่งขึ้นมา เมื่อเปิดฝาก็พบเอกสารหลายสิบฉบับ ซึ่งล้วนแต่เป็นโฉนดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆหลังจากกวาดสายตาอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจหยิบโฉนดออกมาสองสามใบถึงเขาจะมั่นใจว่าหลิวจินหูจะสามารถขายสินค้าที่เหลือได้ทันเวลา แต่หากมีลูกค้าที่ไม่ยินยอม แล้วเรียกร้องเอาเงินค่าปรับสักสองสามคน เท่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว เงินสดในบัญชีคงไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าปรับมหาศาลเหล่านั้น เขาจึงจำต้องเฉือนเนื้อบางส่วนเพื่อรักษา ร่างกายเอาไว้เวลาผ่านไปราวสายลมผู้ช่วยมือดีอย่างหลิวจินหูสามารถขายสินค้าที่มีได้ทั้งหมด ทำให้ร้านค้าตระกูลหลี่สามารถชดใช้เงินค่ามัดจำกับลูกค้าเก่าแก่ได้ แต่ปัญหายังคงไม่หมดไป เมื่อมีลูกค้าสองรายที่ไม่ยินดีรับเงินคืนไปเฉยๆคนที่มีปัญหาล้วนแล้วเป็นลูกค้าใหม่ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นผู้ที่สั่งซื้อสินค้าจำนวนเยอะที่สุดอีกด้วย เนื่องจากเป็นลูกค้าใหม่ซึ่งไร้ความสัมพันธ์ใดๆ พวกเขาจึงไม่มีความเห็นใจให้กับร้านค้าตระกูลหลี่แม้ก่อนหน้าหลี่เค่อได้เตรียมการขายที่ดินสามแห่
เวลาล่วงเลยจนถึงวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า หลี่เค่อหมายใช้วันเกิดครบรอบอายุห้าสิบปีของมารดาเปิดตัวหลี่จื่อเหยา เขาจัดทำเทียบเชิญส่งไปยังตระกูลผู้ดีทั้งหลาย รวมไปถึงพ่อค้าวาณิชที่มีลูกชายถึงวัยแต่งงาน เขามั่นใจว่าน้องสาวคนงามจะเป็นที่ต้องตาต้องใจบรรดาคุณชาย เหล่านั้นอย่างแน่นอนสำหรับตระกูลหลี่นั้นถือเป็นตระกูลที่มีคนนับหน้าถือตาพอสมควร ด้วยทำการค้าภายในเมืองหลวงมายาวนาน อีกทั้งนายท่านรุ่นก่อนก็เป็นคนกว้างขวาง และมีมิตรสหายมาก ทำให้แขกเหรื่อพากันมาร่วมอวยพรให้ฮูหยินผู้เฒ่าอย่างหนาตา ซึ่งล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในแคว้นหานทั้งสิ้นนอกจากคำอวยพร บรรดาสหายเก่าและเศรษฐีทั้งหลายต่างมอบของขวัญล้ำค่าแก่ฮูหยินผู้เฒ่าอีกด้วย หลี่เค่อตาเป็นประกายเมื่อเห็นรายการของกำนัล รู้สึกว่าคุ้มค่ายิ่งที่ลงทุนลงแรงกับวันนี้ไปมากอีกด้านหนึ่งหลี่จื่อเหยานั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นัยน์ตาสีน้ำตาลมองภาพหญิงสาว งดงามที่สะท้อนอยู่ในกระจกทองเหลือง ในขณะที่สาวใช้ประจำตัวกำลังเกล้าผมเป็นทรงเมฆลอยให้อย่างใส่ใจนิ้วยาวสวยดุจลำเทียนวาดไล้บนรูปหน้าแผ่วเบา ก่อนจะหยิบกระดาษสีแดงในกล่องเครื่องประทินโฉมขึ้นมา ริมฝีปากรูปกระจับเม้
ถึงกระนั้นความหวังก็ยังริบหรี่ เพราะต่อให้นางพยายามตามหาเบาะแสเท่าใด ก็ไม่พบร่องรอยของคนผู้นั้น เหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คนของโลกใบนี้‘บางทีเขาอาจจะเป็นคนต่างเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก หรืออาจจะเป็นเทพจากสวรรค์ที่มาช่วยนางจากประตูผี เมื่อเสร็จธุระก็บินกลับสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้วกระมัง’ เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มขื่นก็ปรากฏ จะมีเหตุผลอันใดเล่า เขาก็แค่คนที่ผ่านมาเท่านั้น ทั้งสองไม่เคยรู้จักมักคุ้น จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่บุรุษผู้หนึ่งจะต้องสานสัมพันธ์หรือเป็นห่วงเป็นใยสตรีที่บังเอิญได้ช่วยเหลือนั่นล่ะคือความจริงทางที่ดีนางควรลืมเรื่องที่เสี่ยวจูพูด การต่อลมหายใจเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่ใช้ช่วยชีวิตคนเท่านั้น ในเมื่อไม่มีข่าวลือเสียหาย นางก็ยังคงรักษาศักดิ์ศรีเอาไว้ได้มิใช่หรือนิ้วเรียวลูบลงบนกลีบปากอย่างช้าๆ หลี่จื่อเหยาแทบจำสัมผัสอันพร่าเลือนจากการถ่ายทอดอากาศสู่กายนางมิได้ พอมาคิดอีกที ถึงแม้ชายผู้นั้นจะทำลงไปเพราะต้องการช่วยเหลือก็ตาม แต่นั่นไม่เท่ากับว่าจูบแรกของนางได้ถูกขโมยไปแล้วหรือ‘ช่างเถิด’หลี่จื่อเหยาถอนหายใจ อย่างไรการเฝ้ารอคนผู้นั้นอย่างเปล่าประโยชน์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว หลังจากคืนนี้ไป
“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณหนูงดงามถึงเพียงนี้จะมีตรงที่ใดให้ข้านึกรังเกียจได้บ้างเล่า หืม” เขาคว้ามือขาวเนียนของนางมากอบกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีนิลดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลช่างดึงดูดหัวใจยิ่ง“ขะ...ข้าไม่รู้ว่าคุณชายหายไปด้วยเหตุใด จึงคิดว่าท่านหนีหน้า เพราะ ไม่ต้องการรับผิดชอบเรื่อง...” หลี่จื่อเหยายั้งปากของตนเองเอาไว้เกือบไม่ทัน แต่นางจะพูดเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่าบุรุษหล่อเหลาออกแรงดึงมือเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงก็เคลื่อนเข้าปะทะกับอกแกร่ง เขาตวัดแขนกระชับอ้อมกอดให้แนบสนิท ไม่ยินยอมให้หญิงสาวผู้ตื่นตระหนกดิ้นหลุดจากพันธนาการ“ใครว่า ข้าอยากกลับมารับผิดชอบใจจะขาด”การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลี่จื่อเหยาแทบละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ เขากับนางอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากจนลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษรินรดลงบนแก้มนวล หญิงสาวไม่อาจควบคุมก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่กำลังเต้นถี่รัว ใบหน้าของนางทั้งเห่อร้อนและแดงระเรื่อราวกับคนต้องพิษไข้แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าย่อมไม่ดีแน่ หลี่จื่อเหยาดิ้นขลุกขลักอย่างน่าสงสาร แต่มู่หรงอี้หวายก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้นางเป็น
ระหว่างที่มู่หรงอี้หวายกำลังจุมพิตหลี่จื่อเหยาอย่างดูดดื่มอยู่นั้น หลี่เค่อที่ตามหาน้องสาวอยู่ก็ผ่านมาพบคนทั้งคู่เข้าพอดีไฟโทสะของผู้นำสกุลหลี่พวยพุ่ง นัยน์ตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น แทบอยากจะถลาเข้าไป ฆ่าบุรุษที่กำลังลิ้มชิมผลไม้สุกที่เขาลงทุนลงแรงอย่างยากเย็นเสียให้ตายคามือ“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าเป็นผู้ใด ปล่อยน้องสาวของข้าเดี๋ยวนี้”พอถูกขัดจังหวะ มู่หรงอี้หวายถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง พลางสบนัยน์ตาดุจกวางน้อยที่กำลังสั่นระริก เขาไม่ลืมที่จะส่งยิ้มอันแสนอบอุ่นให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะคลายอ้อมกอดอย่างเชื่องช้า โดยไม่สนใจบุรุษที่กำลังเดือดดาลอยู่ด้านหลังสักนิดการกระทำอันแสนท้าทายทำให้หลี่เค่อโมโหยิ่งขึ้น เขาขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับปูดโปน“เจ้ากล้าลวนลามน้องสาวของข้าในเขตบ้านสกุลหลี่ นี่มันหยามกันชัดๆ”มู่หรงอี้หวายปรับสีหน้าเป็นคุณชายผู้สุขุมนุ่มลึกอีกครั้ง เขาหันไปเผชิญหน้ากับประมุขสกุลหลี่อย่างใจเย็น“นายท่านหลี่ได้โปรดลดโทสะลงก่อน ข้าต้องขออภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น”“หึ! แค่ขอโทษคำเดียวจะให้แล้วกันไปหรือ คิดง่ายไปหน่อยกระมัง”“เป็นความผิดของข้าที่ไม่รู้จักควบคุมตนเองให้ดี
มู่หรงอี้หวายเผลอกัดริมฝีปากตนจนห้อเลือด เห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลี่จื่อเหยาจึงแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ครั้นเห็นแววโศกเศร้าบนใบหน้า ของเขา ก็อดสะท้านสะเทือนหัวใจมิได้ คำพูดตัดรอนของนางทำให้เขาเจ็บปวดงั้นรึ“คุณชายมู่หรงทำไม่ได้หรือ” หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าของเขาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึก“ไม่ได้... ข้าทำไม่ได้” เขาส่งสายตาอ้อนวอน“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินกับหูว่าท่านเพียงเผลอไผล ผู้อื่นจึงไม่ต้องการให้คุณชายต้องฝืนใจรับผิดชอบ”“คุณหนูหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย”“แล้วคุณชายจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”“เป็นข้าผิดทั้งนั้น ที่พอพบเจ้าอีกครั้งก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” มู่หรงอี้หวายเดินเข้าไปใกล้นางก้าวหนึ่ง แล้วคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากอบกุม “นี่ข้าลืมบอกว่าชอบเจ้าสินะ”“คะ...คุณชายมู่หรง ท่านชอบข้าจริงๆ หรือ” นางพูดเสียงเบาหวิว จิตใจล่องลอยหลงใหลไปกับคำพูดหวานหูของเขา“หากไม่จริงใจ ข้าคงไม่ควบม้าเร็วติดต่อกันถึงสามวันสามคืน เพื่อจะมาพบหน้าเจ้าให้ได้ในวันนี้”นัยน์ตาสุกใสดุจกวางน้อยไหวระริก เขาทนลำบากเพื่อมาพบหน้านางหรือ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่
“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียทีสำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อแน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้ “ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน“เ
ตามกฎหมายของแคว้นหาน หากต้องการสู่ขอหญิงสาวจากตระกูลใด ต้องมีของกำนัลมามอบให้ ถ้าถูกปฏิเสธจะไม่สามารถเรียกร้องขอคืนได้ ดังนั้นการสู่ขอจึงเป็นเรื่องที่ทุกตระกูลต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้มีโอกาสจะลงทุนอย่างสูญเปล่าก็ตามที แต่ชาวแคว้นหานกลับมีความเชื่อว่ายิ่งให้ของล้ำค่ามากเท่าใด ก็แสดงว่าจริงใจต่อหญิงสาวมากเท่านั้นหลังจากวันเกิดฮูหยินผู้เฒ่า บ้านสกุลหลี่ก็มีแม่สื่อมาเยือนไม่ขาดสาย และแน่นอนว่าพวกนางย่อมถือของล้ำค่ามาด้วย ทำให้หลี่เค่ออารมณ์ดีติดต่อกันมาสามวันแล้วแรกเริ่มเดิมทีนายท่านหลี่หวังว่าจะมีผู้สนใจเป็นเจ้าบ่าวของน้องสาวประมาณห้าหกคน แต่ผู้ที่ต้องการได้หลี่จื่อเหยาไปเป็นภรรยานั้นมีมากเกินความคาดหมาย นับจากวันเกิดมารดา ก็มีแม่สื่อมาดำเนินการสู่ขอนางมากถึงยี่สิบห้าคน เช่นนี้ย่อมหมายความว่าตระกูลหลี่ได้ของล้ำค่ามากถึงยี่สิบห้าชิ้นช่างบรรจวบเหมาะยิ่งนักหลี่เค่อได้ถอนทุนคืนจากการจ้างแม่สื่อฟง รวมไปถึงค่าเครื่องประทินผิวอย่างดีสำหรับดูแลความงาม และผิวพรรณของหลี่จื่อเหยาด้วยแม้จะฉวยโอกาสในการหาทรัพย์สินเข้าคลังของตระกูล แต่ความจริงเขาก็รักหลี่จื่อเหยามากเช่นกัน เมื่อรู้ว่านางม
ผ่านไปครู่หนึ่ง เย่เทียนหลางค่อยถอยออกห่างจากสตรีที่หยุดร้องไห้ เขาลงจากเตียงแล้วสาวเท้าออกไปรอที่หน้าห้องเมื่อไม่มีบุรุษอยู่ด้วย หลี่จื่อเหยาก็พยายามจัดอาภรณ์ให้ดีที่สุด โชคดีที่ชุดตัวนอกเพียงถูกถอดออกไป นางจึงสามารถเก็บซ่อนรอยขาดวิ่นของอาภรณ์ชั้นในได้บ้างครั้นแต่งกายจนเรียบร้อยที่สุดแล้ว นางจึงเยื้องกรายตามบุรุษในชุดขี่ม้าไปที่ด้านนอกเย่เทียนหลางที่ยืนรออยู่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นมาให้ ไม่น่าเชื่อว่าความปรานีของเขาจะทำให้ความรู้สึกหวาดหวั่นทั้งหลายของนางทุเลาลงจนแทบจะหมดสิ้น ครานี้เหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก็คือยามที่มู่หรงอี้หวายรู้ว่านางถูกบุรุษอื่นเห็นเรือนกายของตนไปเสียแล้ว เขาจะยังต้องการว่าที่เจ้าสาวคนนี้อยู่อีกหรือไม่ระหว่างที่หลี่จื่อเหยากำลังคิดวุ่นวาย บุรุษในชุดขี่ม้าสีน้ำตาลก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้นาง“ที่นี่ห่างไกลจากจุดที่รถม้าถูกทิ้งไว้ เช่นนั้นคงต้องขอล่วงเกินเจ้าอีกครั้งแล้ว”หลี่จื่อเหยาพอเดาออกว่าเขาจะทำสิ่งใด ครั้นจะปฏิเสธก็คงเสียเวลาหากต้องเดินย่ำไปบนหิมะที่ทั้งเปียกและลื่น อีกอย่างนางก็เชื่อว่าเย่เทียนหลางเป็นสุภาพบุรุษ เขาย่อมไม่ทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากก
เย่เทียนหลางไม่เสียเวลาพูดพร่ำ ก็ทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็ว ชั่วอึดใจก็ถึงตัวชายชุดดำ มือขวาตวัดดาบเชือดเฉือนลงบนร่างของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล โจรร้ายพอมีวิชาจึงหลบการโจมตีจุดตายได้อย่างหวุดหวิด ครั้นเห็นบุรุษในชุดสีน้ำตาลเป็นผู้มีวรยุทธ์์สูงล้ำก็เริ่มมีท่าทีหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด“เจ้าเก่งมากที่ทำให้ข้าเลือดตก ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์์คือผู้ใดหรือ”“ข้าคือเย่เทียนหลางแห่งสำนักคุ้มภัย รู้แล้วก็จำไปบอกยมบาลด้วยว่า ใครสังหารเจ้า”“ยะ...เย่เทียนหลางหรือ” ชายชุดดำละล่ำละลัก น้ำเสียงอ่อนลงด้วยความหวั่นเกรง“ต้องให้พูดซ้ำหรือ” เย่เทียนหลางยิ้มเยาะ แต่กลิ่นอายสังหารยังไม่ลดน้อยถอยลงเลยพอได้ยินว่าบุรุษตรงหน้าคือทายาทสำนักคุ้มภัยตระกูลเย่อันเลื่องลือ โจรราคะก็มีท่าทางหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก มันไม่คิดจะต่อกรกับอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้วมือหนาล้วงระเบิดควันออกมาแล้วเขวี้ยงลงพื้นอย่างรวดเร็ว ห้องทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยกลุ่มควัน แล้วชายชุดดำก็อาศัยจังหวะนี้หลบหนีออกไปทางหน้าต่าง“บัดซบ! ข้าจะฆ่าเจ้า” เย่เทียนหลางกัดฟันกรอด พลางสบถอย่างเดือดดาล แล้วทำท่าจะกระโดดตามออกไป“ช้าก่อน” เสียงสั่นเครือของหลี่จื่อเหยาดัง
ร่างบางวิ่งต่อไปอย่างทุลักทุเลด้วยความหวังสองเท้าย่ำลงไปบนหิมะที่ทั้งหนาและเย็นเฉียบ ความเหนื่อยล้าทำให้ความเร็วในการก้าวเท้าลดน้อยถอยลง๔หลี่จื่อเหยาเริ่มหอบ ลมหายใจกระทบอากาศเย็นจนกลายเป็นควัน ร่างบางไม่อาจฝืนได้อีก นางจึงหันกลับไปมองทางที่ตนเพิ่งผ่านมา เมื่อพบว่าไม่มีผู้ใดติดตามจึงผ่อนฝีเท้าลงความจริงนางควรจะดีใจ แต่เมื่อคิดว่าคนร้ายทั้งสามอาจจะตามเสี่ยวจูไป จึงไม่อาจยินดีได้ มีทางเดียวคือต้องรีบออกไปจากที่นี่แล้วตามคนมาช่วยสาวใช้คนสนิทให้จงได้หญิงสาวเดินต่อไปไม่ถึงร้อยเชียะความหวังก็ดับวูบ เมื่อหนึ่งในกลุ่มโจรขวางทางอยู่ หลี่จื่อเหยาแทบร้องไห้ แต่น้ำตายังไม่ทันหยด ร่างบางก็ถูกคนตัวใหญ่ในชุดสีดำจับตัวเอาไว้ เขาตวัดแขนนำหลี่จื่อเหยาขึ้นพาดบ่า แล้วทะยานกลับไปยังทิศทางที่นางเพิ่งจะผ่านมาอย่างยากลำบากด้วยความเร็วลมหนาวบาดผิว แต่ความสิ้นหวังบาดหัวใจยิ่งกว่าในที่สุดชายชุดดำก็พาหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายกลับมาถึงกระท่อมหลังเก่า เขาสาวเท้าตรงไปข้างใน และครานี้ก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ห้องด้านนอก ร่างสูงกำยำตรงดิ่งไปยังห้องนอน ครั้นถึงที่หมายก็วางหญิงสาวลงบนเตียงแข็งกระด้างความหวาดกลัวพุ่งขึ้นถึ
คณะเดินทางเคลื่อนที่ไปได้อีกสี่ลี้ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เบื้องหน้าปรากฎคนสวมชุดดำ ปิดหน้าตาสามคนถือดาบกระโดดออกมาจากชายป่าขวางเส้นทางเอาไว้หนึ่งในนั้นใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นมาบนรถม้าแล้วแย่งบังเหียนจากคนขับ ส่วนชายชุดดำอีกคนก็ตรงไปจัดการคนขับเกวียน รถม้าถูกบังคับให้หยุดลงกลางคัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วเสียงเอะอะ จากภายนอกทำให้หลี่จื่อเหยานั่งกอดกับเสี่ยวจูด้วยความหวาดกลัว ฉับพลันที่ผ้าม่านถูกเลิกขึ้นบุรุษตัวใหญ่ในชุดสีดำก้าวเข้ามา เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็คว้าตัวเสี่ยวจูแล้วลากออกไปส่งให้พรรคพวกอีกคนที่รอท่าอยู่ เสียงกรีดร้องตกใจ ของหญิงสาวทั้งสองคนกลับเรียกเสียงหัวเราะน่ารังเกียจจากโจรร้าย“ปล่อยพวกข้าไปเถิด หากต้องการเงินทอง ข้าจะนำของมีค่าที่ติดตัวมาให้เจ้าทั้งหมด” หลี่จื่อเหยาพยายามต่อรองทั้งที่หวาดกลัวจนน้ำตาไหลพราก นางคว้าถุงเงินแล้วโยนไปตรงหน้าโจร ชายชุดดำก้มลงเก็บถุงเงินแล้วโยนเล่นก่อนจะเก็บเข้าไปที่ข้างเอว“แน่นอนว่าข้าอยากได้เงิน แต่จะดีสักเพียงใดถ้าได้คุณหนูคนงามมากอดกกด้วย” ชายชุดดำกลั้วหัวเราะพร้อมเดินย่างสาม
“วันนี้เราอาจจะจัดเตรียมให้ไม่ทัน ทางร้านขอนัดส่งสินค้าภายในวันพรุ่งนี้ ก็แล้วกันนะเจ้าค่ะ” หลี่จื่อเหยาตอบอย่างสุภาพ เมื่อเห็นสายตาอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย นางพลันก้มหน้าหลบสายตาคมปลาบนั้นทันที“พรุ่งนี้ข้าจะแจ้งกับพ่อบ้านให้รอรับของ หากพร้อมแล้วก็ส่งคนไปได้ทุกเมื่อ”“เนื่องจากท่านสั่งสินค้าจำนวนมาก ทางร้านจึงจำเป็นต้องขอค่ามัดจำสินค้าก่อนครึ่งหนึ่ง เมื่อส่งของเรียบร้อยแล้วค่อยรับเงินส่วนที่เหลือ ไม่ทราบว่าคุณชายเย่สะดวกหรือไม่เจ้าคะ” นางเหลือบตาขึ้นมองหน้าคมเข้มนั้น แต่ก็ต้องมีอันหลุบตากลับลงไปอีกครา เขาไม่ยอมเลิกจ้องนาง ความรู้สึกบางอย่างถูกส่งออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น จนทำให้นางรู้สึกขวยอายไปหมด“คุณหนูหลี่เขียนสัญญาซื้อขายได้เลย ข้าพร้อมจ่ายตามข้อตกลง”“เช่นนั้นเชิญคุณชายทางด้านนี้เจ้าค่ะ”หลี่จื่อเหยารีบสาวเท้าเดินนำเขาไปยังโต๊ะเก็บเงินของร้าน นางเชิญให้เขานั่ง ส่วนตนเองนั้นเคลื่อนกายไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วเปิดลิ้นชักหยิบสัญญาซื้อขายออกมาสองฉบับ จากนั้นจึงหยิบลูกคิดขึ้นมาดีดอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะจรดปลายพู่กันลงจำนวนเงินมัดจำพร้อมประทับตราร้านค้าลงในสัญญาที่เตรียมเอาไว้“เชิญคุณชา
“รักษาตัวเอาไว้ให้ดี อย่าทำอย่างเมื่อครู่กับผู้ใดอีกหากข้าไม่สั่ง” เขาเค้นเสียงเข้ม“จะ...เจ้าค่ะ” เหม่ยเหมยรีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าตามคำสั่งอย่างร้อนรนมู่หรงอี้หวายมองสำรวจตรวจความเรียบร้อย เพราะไม่อยากให้หญิงสาวใช้เล่ห์กลทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าเขาล่วงเกินนาง แต่แล้วนัยน์ตาคมกริบ ก็เหลือบเห็นความผิดปกติบางอย่าง ร่างแกร่งขยับกายไปนั่งตรงข้างเตียง“เหม่ยเหมย มาคุกเข่าตรงหน้าข้าประเดี๋ยวนี้”สิ้นคำสั่งสาวใช้คนสนิทก็รีบคุกเข่าลงตรงหน้าผู้เป็นนาย เขาเชยคางของนางขึ้นพลางสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง ด้วยใบหน้าที่ถมึงทึงขึ้นเรื่อยๆ“ใคร”“อะไรนะเจ้าคะ” หญิงสาวตั้งตัวไม่ทันกับคำถามแสนสั้นนั้น“ข้าถามว่า ใคร!” มู่หรงอี้หวายเน้นเสียงหนัก โทสะพวยพุ่ง“มะ...ไม่มีเจ้าค่ะ ไม่มี” นางละล่ำละลัก คิดไม่ถึงว่าเขาจะดูออก“หากไม่พูดมาตามตรง พรุ่งนี้ออกจากที่นี่ไปได้เลย แต่ถ้าสารภาพมา ข้าจะไล่แค่ไอ้คนหื่นกามนั่นออกไปเพียงผู้เดียว”“คะ...คุณชายเย่ เป็นคุณชายเย่ แต่บ่าวถูกเขาบังคับไม่ได้เต็มใจจริงๆ นะเจ้าคะ” เหม่ยเหมยน้ำตาคลอ หวังว่าผู้เป็นนายจะให้อภัยนางมู่หรงอี้หวายปล่อยมือจากปลายคาง แล้วส่งเสียงหึในลำคอ“เ
“คุณชายเจ้าคะ เหม่ยเหมยขอเข้าไปได้หรือไม่”“เข้ามาได้” มู่หรงอี้หวายตอบรับ โดยไม่ยอมปล่อยมือว่าที่เจ้าสาว พลางถามสาวใช้ของตนเสียงเย็น “มีอะไร” “พ่อบ้านใหญ่ให้บ่าวมาแจ้งว่า เตรียมรถม้าให้คุณหนูหลี่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”“พวกเจ้าช่างรู้จังหวะเสียจริง” มู่หรงอี้หวายยกยิ้ม คิดถึงหน้าพ่อบ้านเก่าแก่ที่เหมือนรู้ทุกอย่างในบ้านผู้นั้น“จื่อเหยาขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ”“แล้วพบกันนะเหยาเอ๋อร์ คนดีของข้า” เขาส่งยิ้มเจิดจ้าละลายหัวใจไปยังหญิงสาว หลี่จื่อเหยาคลี่ยิ้มอ่อนหวานน่ารักตอบกลับไป นางลุกขึ้นแล้วเยื้องย่างไปเบื้องหน้า ก่อนจะหันกลับมาสบตาบุรุษในดวงใจอีกครั้งหนึ่ง จึงค่อยเดินออกจากห้องไปจริงๆเหม่ยเหมยเห็นแล้วแทบทนไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงลอบบริภาษอีกฝ่ายในใจ‘นังแพศยา มากมารยา คงกำลังเสแสร้งว่าใสซื่ออยู่สินะ ยามนี้นายน้อยกำลังหลงเจ้า แต่สักวันเถิดเขาจะเขี่ยเจ้าทิ้ง’เมื่อหลี่จื่อเหยาจากไปไกลแล้ว มู่หรงอี้หวายจึงเอนกายลงนอนอีกครั้ง เพราะไม่ว่าจะอย่างไร อาการบาดเจ็บทางร่างกายของเขานั้นหนักหนาจริงๆ แผลที่ศีรษะค่อนข้างลึก แม้จะถอดผ้าพันแผลออกแล้วก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยาที่ดื่มก็มีฤทธิ์ท
หลังจากเย่เทียนหลางจากไปแล้ว เหม่ยเหมยจึงเดินกลับไปยังเรือนพักของนายน้อยมู่หรงนางเปิดประตูแล้วตรงไปยังห้องนอนของมู่หรงอี้หวายอย่างเงียบเชียบ ครั้นเห็นนายน้อยกำลังออดอ้อนว่าที่เจ้าสาวอย่างอ่อนโยน นางก็ทำหน้าเหมือนกำลังกลืนเข็มพันเล่มลงคอ เจ็บปวดแต่ไม่อาจพูด ได้แต่อิจฉาหลี่จื่อเหยาอยู่เงียบๆมู่หรงอี้หวายเหลือบเห็นใครบางคนตรงม่านลูกปัด พอสังเกตดีๆ แล้วเห็นเป็นสาวใช้ต้นห้อง ก็ไม่ได้สนใจที่นางอยากรู้อยากเห็นเรื่องของชายหญิง คงเป็นเพราะหญิงสาวเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว‘อืม... อีกไม่นานข้าคงใช้งานเหม่ยเหมยได้แล้วสินะ’ชายหนุ่มเก็บสายตากลับมา แล้วให้ความสนใจกระต่ายขาวในอ้อมแขนอีกครั้ง หลี่จื่อเหยาช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ว่าง่าย และอ่อนหวานราวน้ำผึ้ง เป็นสตรีในแบบที่เขาต้องการไม่มีผิด เหลืออีกไม่กี่ก้าวนางก็จะกลายสภาพเป็นทาสรักของเขาอย่างสมบูรณ์แววตาหลงใหลผสานความร้อนแรงจากอารมณ์ปรารถนาล้ำลึกถูกส่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว หลี่จื่อเหยาได้เห็นก็สั่นสะท้าน นางหลุบตาลง ไม่กล้ามองหน้าเขา“เหยาเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ ตัวสั่นเชียว”“ก็พี่อี้หวายมองข้าราวกับ... ราวกับ...” นางอึกอัก หน้าแดงระเรื่อขึ้นอีกระลอก
ชาหอมกรุ่นกับขนมถูกวางลงบนโต๊ะเหม่ยเหมยรินน้ำชาใส่จอกส่งให้เย่เทียนหลางอย่างคล่องแคล่ว นางเป็นสาวใช้ก็จริง แต่กลับได้รับการดูแลอย่างดีเกินกว่าฐานะ ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ล้วนขับเน้นให้นางโดดเด่นมากกว่าผู้ใด มู่หรงอี้หวายให้นางปรนนิบัติข้างกายมาหลายปี หนำซ้ำยังให้เรียนเขียนอ่าน กระทั้งดนตรีก็เชี่ยวชาญ ทุกคนต่างคิดว่านายน้อยมู่หรงคงชุบเลี้ยงสตรีผู้นี้ไว้เป็นอนุ ดังนั้นบ่าวไพร่ในคฤหาสน์จึงปฏิบัติต่อนางอย่างนอบน้อมเนื่องจากเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม กิริยาอ่อนหวาน จึงไม่แปลกที่เย่เทียนหลางจะชื่นชมนางอยู่ไม่น้อย ทุกครั้งที่มาเยือนคฤหาสน์ ก็มักจะเสวนากับนางนานๆ บางครั้งยังนำของมาฝากติดมือมาให้ เขาจึงเป็นบุคคลที่หญิงสาวทำดีด้วยเป็นพิเศษ แต่เมื่อครู่ ด้วยโทสะที่คุกรุ่น เขากลับเอาเปรียบนาง เพื่อระบายความอัดอั้นที่ไม่อาจตระกองกอดหลี่จื่อเหยาได้ชายหนุ่มมองใบหน้างามอย่างพิจารณา ก็พบว่ายามนี้มันช่างราบเรียบเสียเหลือเกิน ต่างกับเมื่อครู่ที่สีชาดฉาบผิวนวลจนไปจนถึงใบหู‘ดูเหมือนว่าระหว่างเตรียมของว่าง นางคงตั้งสติได้แล้วกระมัง’ “ท่านรออยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวเหม่ยเหมยจะไปเรียนนายน้อยว่า คุณชายค