“จะเป็นไปได้อย่างไร คุณหนูงดงามถึงเพียงนี้จะมีตรงที่ใดให้ข้านึกรังเกียจได้บ้างเล่า หืม” เขาคว้ามือขาวเนียนของนางมากอบกุมเอาไว้ นัยน์ตาสีนิลดุจท้องฟ้ายามรัตติกาลช่างดึงดูดหัวใจยิ่ง
“ขะ...ข้าไม่รู้ว่าคุณชายหายไปด้วยเหตุใด จึงคิดว่าท่านหนีหน้า เพราะ ไม่ต้องการรับผิดชอบเรื่อง...” หลี่จื่อเหยายั้งปากของตนเองเอาไว้เกือบไม่ทัน แต่นางจะพูดเรื่องน่าอายเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า
บุรุษหล่อเหลาออกแรงดึงมือเพียงเล็กน้อย ร่างบอบบางในอาภรณ์สีแดงก็เคลื่อนเข้าปะทะกับอกแกร่ง เขาตวัดแขนกระชับอ้อมกอดให้แนบสนิท ไม่ยินยอมให้หญิงสาวผู้ตื่นตระหนกดิ้นหลุดจากพันธนาการ
“ใครว่า ข้าอยากกลับมารับผิดชอบใจจะขาด”
การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้หลี่จื่อเหยาแทบละลายกลายเป็นแอ่งน้ำ เขากับนางอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากจนลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษรินรดลงบนแก้มนวล หญิงสาวไม่อาจควบคุมก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายที่กำลังเต้นถี่รัว ใบหน้าของนางทั้งเห่อร้อนและแดงระเรื่อราวกับคนต้องพิษไข้
แต่ถึงอย่างไรชายหญิงก็ไม่ควรใกล้ชิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าย่อมไม่ดีแน่ หลี่จื่อเหยาดิ้นขลุกขลักอย่างน่าสงสาร แต่มู่หรงอี้หวายก็ไม่มีท่าทีจะยอมปล่อยให้นางเป็นอิสระ
“ท่านผู้มีพระคุณปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่” นางดิ้นจนหมดแรง จึงใช้วิธีร้องประท้วง หวังว่าเขาจะปรานี
“คุณหนูหลี่เรียกข้าว่าอะไรนะ”
“ผะ...ผู้มีพระคุณ”
“จริงสินะ ข้าช่วยชีวิตของคุณหนูหลี่เอาไว้ ย่อมต้องเป็นผู้มีพระคุณ”
“จุดประสงค์ที่ข้าตามหาท่านก็เพื่อทดแทนบุญคุณ ไม่ได้หวังให้รับผิดชอบ เรื่อง... อะไรนั่น” หลี่จื่อเหยารีบอธิบาย นางหวังว่าเขาจะเชื่อแล้วลืมคำพูดเหลวไหลก่อนหน้านี้
“อืม เป็นเช่นนี้หรอกรึ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไร บางอย่าง “ก็ได้ ไหนลองว่ามาสิ คุณหนูหลี่คนงามจะทดแทนพระคุณข้าเยี่ยงไร”
“ท่านผู้มีพระคุณต้องการสิ่งใดเล่า จื่อเหยายินดีจะตามหามาให้ท่าน แต่หากตระกูลหลี่มีสิ่งนั้นอยู่ในครอบครองก่อนแล้ว ขอเพียงท่านเอ่ยปาก ข้าจะขอร้องพี่ชายให้ยกสิ่งนั้นให้โดยไม่ลังเล”
มู่หรงอี้หวายขมวดคิ้ว เขานิ่งไปครู่หนึ่งด้วยกำลังใช้ความคิด
“หากข้า ต้องการ เจ้ายินดีมอบทุกอย่างเลยหรือ”
“ข้าหลี่จื่อเหยาให้คำมั่น เช่นนี้แล้วผู้มีพระคุณพอใจหรือไม่”
“ดี ดีมาก ข้าพอใจยิ่งนัก” มู่หรงอี้หวายกลั้วหัวเราะประหนึ่งได้ฟังเรื่อง น่ายินดี
“โปรดบอกมาเถิด ท่านผู้มีพระคุณต้องการสิ่งใด”
“ข้าต้องการเจ้า”
“ได้เจ้าค่ะ อะ... เดี๋ยวก่อน ท่านว่าอย่างไรนะ” ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยอารามตกใจ นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
“ข้า-ต้อง-การ-เจ้า” มู่หรงอี้หวายพูดอย่างช้าๆ ชัดๆ ทีละถ้อยคำ เขาสบตาของนางโดยไม่แม้แต่จะหลบเลี่ยง
เมื่อได้ยินคำขออันหนักแน่นนั้นอีกครั้ง หลี่จื่อเหยาได้แต่อ้าปากค้าง ทำอันใดไม่ถูก
หากจะบอกว่าบุรุษผู้นี้เพียงหยอกเย้าเล่นก็คงไม่ใช่ เพราะน้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นไม่เจือแววขบขันเอาไว้แม้แต่น้อย นางยังคงตระหนกจึงไม่กล้าตอบรับในทันที ได้แต่ก้มหน้างุด
“ว่าอย่างไรเล่าสาวน้อย” มู่หรงอี้หวายเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบจึงก้มลงกระซิบที่ข้างหูลมหายใจอันร้อนผ่าวของบุรุษต้องกระทบจุดอ่อนไหวบนใบหูจนเกิดสีชาด
หลี่จื่อเหยาแทบสิ้นเรี่ยวแรงพยุงกาย แต่ที่ไม่ล้มลงไปกับพื้นเพราะมูเหรงอี้หวายยังคงพันธนาการนางเอาไว้ในอ้อมแขน ซึ่งจะปล่อยเอาไว้เช่นนี้คงไม่ได้
สาวน้อยจึงรวบรวมความกล้า นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา แล้วเอ่ยถาม อีกครั้งด้วยเสียงอันสั่นเทา “ทะ...ท่านต้องการข้า”
“ถูกต้อง และอย่าจงได้คิดบิดพลิ้วเพราะเจ้าให้คำมั่นแล้ว”
“ตะ...แต่ว่า... อุ๊บ...”
มู่หรงอี้หวายไม่ปล่อยให้สตรีในอ้อมแขนเอ่ยอันใดอีก เขาหยุดคำพูด เหล่านั้นด้วยการครอบครองริมฝีปากอิ่มงาม
เมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวบดเบียดกลืนกินคำพูดของตนจนหมดสิ้น ความรู้สึกสับสนปนเปถาโถมเข้าใส่หลี่จื่อเหยา นางไม่ได้รังเกียจเขา ทว่าก็หวาดกลัวกับสิ่งที่ชายหนุ่มหยิบยื่นให้
ความรู้สึกบางอย่างเริ่มเด่นชัด นางตามหาบุรุษผู้นี้เพราะนัยน์ตาสีนิลคู่นั้นติดตรึงอยู่ในส่วนลึก เขาพานางกลับมาจากประตูผี แต่กลับคว้าหัวใจของนางไป มิหนำซ้ำตอนนี้ยังช่วงชิงจูบจากริมฝีปากนางโดยไม่ถามไถ่อีกแล้ว
ช่างเอาแต่ใจยิ่งนัก!
ความจริงตนควรจะผลักเขาออกไป แต่ทุกสัมผัสยามที่ริมฝีปากบางประทับลงมานั้นช่างแผ่วเบา ละมุนละไมและหวานล้ำราวกับน้ำผึ้ง จนหญิงสาวไม่อาจถอนตัวถอนใจ
มู่หรงอี้หวายไม่ได้ตะโบมจูบ ทว่าละเลียดชิมอย่างเชื่องช้า ลิ้นอุ่นร้อนค่อยๆ ไล้เลียกลีบปากสีกุหลาบประหนึ่งจะอ้อนวอนให้อีกฝ่ายตอบรับความวาบหวามนี้ และทันทีที่หลี่จื่อเหยาเผยอรอยแยกสีหวาน ลิ้นปราดเปรียวจึงแทรกลึกเข้าสู่อาณาเขตแห่งมธุรส
เขาสำรวจและดูดกลืนความหวานจนถ้วนทั่ว แทบไม่มีที่ใดที่ชายหนุ่มจะไม่ลิ้มลอง ลิ้นนุ่มไร้ประสบการณ์ได้แต่ป่ายปัดสะเปะสะปะไปมาอย่างขลาดกลัว บุรุษผู้ช่ำชองเชิงรักจึงตวัดดูดดึงปลายลิ้นที่สั่นระริกนั้นเอาไว้อย่างนุ่มนวล ประหนึ่งจะเชิญชวนให้อีกฝ่ายเรียนรู้และตอบสนอง
เขาเร่งจังหวะให้เร่าร้อนมากขึ้น ลิ้นร้ายเกี่ยวกระหวัดรัดรึง เคล้าคลึงจนบังเกิดเสียงครางหวานในลำคอระหงของนาง
ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด สติของหลี่จื่อเหยายิ่งรางเลือนลงทุกที ลมหายใจกำลังถูกช่วงชิง นางเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก จูบของเขาช่างทรมานและหอมหวานในเวลาเดียวกัน
หากจะเปรียบเป็นสุรา จุมพิตของมู่หรงอี้หวายคงเหมือนเหล้าผลไม้รสชาติหอมหวาน ฤทธิ์ไม่ได้ร้อนแรง แต่ยิ่งดื่มก็ยิ่งต้องการมากขึ้น... มากขึ้น ด้วยลุ่มหลงในรสชาติอันยากจะปฏิเสธ รู้ตัวอีกครั้งนางก็ถูกมอมเมาจนยากจะไถ่ถอนเสียแล้ว
ยามนี้หญิงสาวถูกชายหนุ่มผู้เอาแต่ใจสูบเรี่ยวแรงไปจนแทบจะหมดสิ้น แขนบอบบางเลื่อนขึ้นเพื่อโอบต้นคอแกร่งไว้เป็นหลักยึด นิ้วเรียว ดุจลำเทียนแทรกเข้าไปในเส้นไหมนุ่มลื่น พลางลูบไล้ไปตามอารมณ์จะนำพา
“เด็กดี เจ้าช่างหอมหวานกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากนัก” เขากระซิบชิดริมฝีปาก อิ่มงาม
ใบหน้าสะคราญโฉม แดงระเรื่อ นัยน์ตาฉ่ำปรือด้วยยังไม่ตื่นจากห้วงเสน่หาที่เขามอบให้ นางหอบหายใจ จนริมฝีปากสีชาดสั่นระริก แม้นางไม่ได้ตั้งใจยั่วยวน แต่ผู้ใดได้เห็นภาพนี้ย่อม ทนไม่ไหวทั้งนั้น
“คุณชายได้รางวัลแล้วก็ปล่อยจื่อเหยาเถิด”
“ต่อไปถึงคราข้าให้รางวัลเจ้าบ้างต่างหากเล่า” ใบหน้าหล่อเหลาแขวนไว้ ด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ เขาเชยคางของนางขึ้นพลางใช้นิ้วเรียวยาวเกลี่ยริมฝีปากสีชาดที่กำลังบวมเป่ง เพราะฤทธิ์จากจุมพิตร้อนแรง “ว่าอย่างไร เจ้ายินดีรับไว้หรือไม่เล่า ข้าสัญญาว่าจะทำให้ดีกว่าเมื่อครู่”
ชายหนุ่มโน้มศีรษะลงมาอย่างช้า แล้วหยุดในขณะที่ริมฝีปากของคนทั้งสองห่างกันเพียงนิดเดียว นัยน์ตาสีนิลจดจ้องนางราวกับ กำลังถามหาคำตอบ
“คุณชายมู่หรง...” นางเอ่ยออกมาดั่งคนละเมอ แต่เขากลับทึกทักว่านั่นคือ คำตอบตกลง
ริมฝีปากบางค้นหากลีบกุหลาบสีหวานได้แทบจะทันที ฟันคมขบ ริมฝีปากล่างเพื่อหยอกเย้าและลองเชิง เมื่อหญิงสาวหลับตาพริ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม เขาจึงเติมเต็มความรู้สึกด้วยจุมพิตอย่างสมบูรณ์
ลิ้นร้อนลากไล้ชิมความหวานหอม จากภายนอกเข้าสู่โพรงปากหวานฉ่ำ ตวัดกระตุ้นเร้าลิ้นนุ่มเล็กให้ตอบสนองไปตาม ท่วงทำนองแห่งความปรารถนาที่นางไม่เคยรู้จัก ท่าทางเงอะงะไร้ประสบการณ์ยิ่งกระตุ้นให้หมาป่าอยากลิ้มลองรสชาติของกระต่ายน้อย
มือแกร่งเริ่มลูบไล้ไปตามเรือนกายเพื่อกระตุ้นสัญชาตญาณตามธรรมชาติ ของชายหญิง พร้อมกับสำรวจร่างระหงนุ่มนิ่มไปในตัว เขาพบว่าหญิงสาววัยดรุณ ผู้นี้มีรูปร่างสมบูรณ์แบบ สะโพกผึ่งผาย หน้าอกกลมกลึง หนำซ้ำยังไวต่อการ รับสัมผัสอีกด้วย
สตรีที่มีคุณสมบัติเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ช่างเหนือความคาดหมาย และนั่นยิ่งทำให้เขาอยากฉีกกระชากความบริสุทธิ์นี้ให้แหลกสลายคามือ
ไม่นานนักนางก็เริ่มเรียนรู้ที่จะตอบสนอง รสจูบจึงยิ่งร้อนแรงเป็นเท่าทวี ทั้งสองต่างพยายามช่วงชิงความหอมหวานของกันและกัน ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัด ดูดดื่มรุกรานไปทั่วโพรงปากราวกับคนหิวกระหาย
ยิ่งสัมผัสกันมากเท่าใดยิ่งรู้สึกว่าไม่พอ
เสียงคำรามดังขึ้นในลำคอแกร่ง เมื่อหญิงสาวตอบโต้ลิ้นร้ายด้วยฟันคม ชายหนุ่มตอบโต้โดยการเคล้าคลึงสะโพกกลมกลึง เขาถอนจุมพิตที่ริมฝีปากงาม ก่อนจะซุกไช้ซอกคอหอมกรุ่น ดูดดึงประทับตราสีกุหลาบลงไปเพื่อประกาศว่า นางเป็นของเขาแต่ผู้เดียว
เสียงครางแว่วหวานอย่างควบคุมตนเองไม่ได้เล็ดลอดออกมาในที่สุด มู่หรงอี้หวายลอบยิ้มอย่างย่ามใจ สตรีผู้นี้คงตกลงไปในหลุมลึกแห่งเสน่หาที่เขาขุดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
‘หลี่จื่อเหยา ในที่สุดเจ้าก็อยู่ในกำมือข้าแล้ว’
ข้าคือมู่หรงซือเฉิง บิดาข้าคือมู่หรงอี้หวาย คหบดีใหญ่และวาณิชหลวงอันดับหนึ่งของแคว้นหาน มารดาข้าเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อมนามหลี่จื่อเหยา ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าข้านั้นคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีบุญวาสนาที่จะได้เสพสุขจากทรัพย์สินมหาศาล ที่ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดของตระกูลมู่หรงข้าช่างโชคดีเหลือเกินความจริงข้ามีพี่สาวผู้หนึ่ง นางมีชื่อว่ามู่หรงรั่วเยียน ผู้คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต่อไปนางจะต้องเติบโตเป็นสตรีที่งดงามปานเทพธิดาแน่นอน ก็ใช่ล่ะสิ นางถอดแบบบิดาผู้มีรูปโฉมล้ำเลิศมาทุกสิ่ง ไม่เว้นแม้แต่นิสัยใจคอเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คน พี่สาวของข้ามักสวมหน้ากากคุณหนูในห้องหอทุกกระเบียดนิ้ว ไม่ว่าจะเอ่ยวาจา หรือเยื้องกรายไปที่ใด ทุกคนล้วนยกยิ้มพลางพยักหน้าหงึก ๆ คิดว่านางช่างดีแสนดี แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้หน้ากากเทพธิดา มีแม่หมาป่าตัวน้อย ๆ ที่พร้อมจะขย้ำคอทุกคนซ่อนอยู่นางร้ายไม่ต่างจากท่านพ่อเลยสักนิด! ข้าจำได้ว่าครั้งหนึ่ง ท่านพ่อเปรยกับท่านแม่ว่าไม่ต้องการบุตรเขยที่ร่ำรวยและเก่งเกินไป ยิ่งเป็นพวกเศรษฐีใหม่ หรือขุนนางซื่อสัตย์สุจริต แต่เบื้องหลังไม่ได้มีอำนาจมากนักก็พอ เพื่อที่แต
ตั้งแต่ศิษย์พี่หญิงจากไป ข้าไม่เคยเฉียดกลายเข้าไปใกล้บ้านตระกูลหลี่อีกเลย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาข้าทำเพียงอ่านรายงานความเคลื่อนไหวภายในบ้านตระกูลหลี่ จากคนที่ข้าส่งเข้าไปแทรกซึมเท่านั้นคนของข้าผู้นั้นทำหน้าที่แม่นม นางดูแลหลี่หลางได้อย่างดี อีกทั้งยังเพิ่มรายงานเล็ก ๆ น้อยเกี่ยวกับคนที่อยู่รอบตัวของเขามาด้วย จากรายงานเหล่านั้น ข้ามักจะได้รับรู้เรื่องของหลี่จื่อเหยาเสมอ ๆ แม้ตอนที่หลี่หลางเกิดคุณหนูหลี่จะยังอายุน้อยก็ตาม แต่นางกลับดูแลจัดการเรื่องทุกอย่างของเด็กชายประหนึ่งมารดาเลยทีเดียวอาจเป็นเพราะหลี่จื่อเหยาเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหลี่หลางที่สุด ทำให้ชื่อของนางผ่านสายตาข้าบ่อยครั้ง พอรู้ตัวอีกที เรื่องของคุณหนูผู้นี้ก็กลายเป็นส่วนที่ข้าชอบอ่านในรายงานไปเสียแล้ว “คุณหนูหลี่ปักเสื้อให้คุณชายน้อย” “คุณชายน้อยชอบกินอาหารฝีมือคุณหนูหลี่” “คุณหนูหลี่ดีดพิณได้ไพเราะ” “คุณหนูหลี่ชอบดอกบัวที่สุด” “ตอนนี้คุณหนูหลี่เข้าวัยปักปิ่นแล้ว นางงดงามดั่งดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์” ข้ารู้จักนิสัยใจคอของนางผ่านทางรายงานที่ถูกส่งมา จนรู้สึกว่าหากได้เห็นหน้าคาดตาสักครั้งก็คงดี ทว่าความคิดนี้มีอันต้องตกไป เพราะข้าไม
หลี่จื่อเหยายิ้มถึงดวงตา ในขณะที่เอ่ยล้อเลียนเขาด้วยประโยคที่ตนเองได้ยินบ่อยครั้งที่สุด ก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนซอกคอของเขา โดยไม่รู้ว่าเท่านี้ก็เพียงพอให้บุรุษผู้เร่าร้อนทรมานมากมายมู่หรงอี้หวายหวานล้ำไปทั้งใจ อีกทั้งยังรู้สึกวูบวาบไปทั้งกาย แต่ก็อดกลั้นความปรารถนาอันไม่สิ้นสุดที่ตนเองมีต่อนางเอาไว้ในห้องกว้างขวางมีเพียงเงาร่างของสองสามีภรรยาโอบกอดกันอยู่เนิ่นนาน กลิ่นอายแห่งความรัก และความเข้าอกเข้าใจแผ่ซ่านไปถ้วนทั่วทุกอณูคฤหาสน์ตระกูลมู่หรง หลายเดือนต่อมาหลังจากมีข่าวดีว่าฮูหยินน้อยของคุณชายตั้งครรภ์แล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงประกาศแต่งตั้งวาณิชหลวงของราชสำนักคนใหม่ ซึ่งมู่หรงอี้หวายได้รับสืบทอดตำแหน่งจากบิดา ด้วยการสนับสนุนของฉินอ๋องและขุนนางที่เห็นว่าเขามีความสามารถมู่หรงเหออารมณ์ดี จึงจัดงานเลี้ยงฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และประกาศมอบหมายกิจการทั้งหมดให้บุตรชายที่ยามนี้พร้อมรับผิดชอบทุกสิ่งที่ตระกูลสร้างเอาไว้แล้วส่วนตนเองก็ตั้งใจจะออกท่องเที่ยว ใช้ชีวิตยามเกษียณเพื่อไปในที่ที่ภรรยาผู้ล่วงลับเคยเอ่ยว่าต้องการไปสักครั้ง แต่ไม่มีโอกาสเพราะยามนั้นเขาต้องรับผิดชอบทุกอย่างจ
เมื่อความสงบกลับมา มู่หรงอี้หวายจึงเล่าเรื่องวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้บิดาฟังอย่างรวบรัด พยายามตัดจุดที่อาจจะสร้างความแค้นเคืองให้คหบดีใหญ่ออกไป เหลือเพียงส่วนเสี้ยวสำคัญๆ เท่านั้น แล้วไปเน้นย้ำความต้องการของญาติผู้น้องที่หมายจะทำการยกเลิกการหมั้นหมายกับเย่เทียนหลางเสียมากกว่า มู่หรงเหอได้ฟังก็ทอดถอนหายใจ แต่ก็รับปากจะทำตามคำขอของซูเพ่ยอิงพอพูดคุยกันเสร็จสรรพ มู่หรงเหอก็เข้าไปเยี่ยมหลี่จื่อเหยาที่ยังนอนหมดสติอยู่ พอเห็นสภาพของลูกสะใภ้คนโปรด เขาก็เอ่ยปากว่าจะถมสระบัวทิ้ง เพราะเข้าใจว่านางเป็นลมตกน้ำไปเอง จึงเกรงว่าจะเป็นอันตรายอีก แต่มู่หรงอี้หวายห้ามเอาไว้ เพราะหลี่จื่อเหยาชอบดอกบัวมากที่สุด คหบดีใหญ่จึงตำหนิลูกชายว่าไม่รู้จักดูแลภรรยาให้ดี ก่อนจะกลับออกไป ก็ยังคาดโทษเอาไว้อีกด้วยมู่หรงอี้หวายมองส่งบิดาจนลับตา จากนั้นจึงกลับเข้ามาชำระร่างกายตนเอง แล้วไปนั่งเฝ้าหลี่จื่อเหยาที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ห่างไปไหน ทั้งยื่นมือไปจับหน้าผากเพื่อตรวจไข้ ไหนจะคอยเช็ดเหงื่อที่ผุดพราย จนกระทั่งไม่รู้สึกความร้อนบนใบหน้าของนางแล้วจึงคลายใจ แล้วม่อยหลับไปในที่สุดแสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องกระทบใบหน้างาม
ตระกูลมู่หรงมั่งคั่งเฟื่องฟูมาทุกยุคสมัย พวกเขาไม่เคยขาดเงินทอง ทว่าทายาทสืบสกุลกลับมีน้อยยิ่งกว่าน้อย แม้ในอดีตเหล่าผู้นำตระกูลพยายามแต่งอนุภรรยาเข้าตระกูลมากมาย แต่อย่างไรก็ไม่เคยมีทายาทเกินหนึ่งคน ประหนึ่งถูกคำสาปอย่างไรอย่างนั้น จนกระทั่งเซียนท่านหนึ่งมาแถลงไขในโลกนี้ไม่มีผู้ได้จะได้ทุกอย่างสมปรารถนา ต้นตระกูลได้บวงสรวงต่อฟ้าขอความรุ่งโรจน์ทุกชั่วอายุคน ดังนั้นฟ้าดินจึงให้พรข้อนี้แลกกับการมั่งมีบุตรหลาน ทำให้คนรุ่นต่อมามีความสุขกับเงินทอง แต่ต้องกลุ้มใจกับเรื่องผู้สืบทอดตลอดไป ก่อนจากท่านเซียนได้แนะนำวิธีแก้เคล็ดไว้ให้ คือห้ามชายตระกูลมู่หรงมักมากมีหลายภรรยา หากเลือกที่จะรวบรวมพลังหยางไว้ที่สตรีเพียงผู้เดียว พวกเขาก็จะมีโอกาสมีทายาทมากกว่าหนึ่งคนหลังจากนั้นผู้นำตระกูลมู่หรงที่เชื่อคำแนะนำต่างก็แต่งภรรยาเอกเพียงคนเดียวมาโดยตลอด จนกระทั่งสวรรค์เห็นใจ จึงบันดาลให้บางรุ่นที่สามารถทำตามท่านเซียนชี้แนะ ได้ทายาทชายหญิงอย่างละคนแต่ผู้นำบางรุ่นก็มิได้เคร่งครัด เช่นเดียวกับบิดาของเขา ที่หลังจากได้ทายาทสืบสกุลแล้วก็ใช่ชีวิตเยี่ยงชายสามัญ เพียงแต่ไม่ได้รับอนุภรรยาเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเ
“เทียนหลาง เรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ไม่ได้มีใครบังคับให้เจ้ากระทำ ทุกอย่างล้วนเกิดจากการไตร่ตรองของเจ้าทั้งสิ้น ข้าเข้าใจว่าเจ้าคับแค้น แต่ข้าเองก็สิ้นใจด้วยน้ำมือของเจ้าไปแล้วที่คูเมือง อีกทั้งยังถูกโจรกระจอกที่เจ้าจ้างวารเหล่านั้นรุมทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ในขณะที่เจ้าสวมบทเป็นยอดบุรุษช่วยหญิงงาม เพียงสองเรื่องนี้ข้าก็สามารถส่งเจ้าไปนอนเล่นในคุกของท่านเจ้าเมืองได้แล้ว แต่เป็นเพราะข้าเห็นแก่ท่านลุง จึงทำเป็นนิ่งเฉยตลอดมา”“ที่แท้เจ้าก็ไม่ได้ความจำเสื่อม” เย่เทียนหลางพูดเสียงเบามู่หรงอี้หวายหยักยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่มิได้กระทำเพื่อเย้ยหยันคู่สนทนา หากแต่เพื่อความใจอ่อนของตนเองที่มีแต่สหายมากกว่า“เชื่อเถิดเทียนหลาง ข้าอยากป่วยจนจำอะไรไม่ได้จริงๆ ไปเสียเลยมากกว่า”“แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร” เย่เทียนหลางหน้าซีดเผือด แต่ยังคงรักษาอาการเอาไว้“ตอนแรกข้าก็คิดจะจัดการเจ้าขั้นเด็ดขาด ตัดความสัมพันธ์ของตระกูล แล้วส่งเจ้าไปคุกให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อครู่เจ้าบอกว่าทุกอย่างเป็นข้าที่บีบคั้นเจ้าจนเหลืออด เช่นนั้นข้าจะให้โอกาสพวกเราทั้งสองอีกหน ต่อไปนี้ ข้า...มู่หรงอี้หวายจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับก