"เป็นไปไม่ได้... ข้าไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีพิษ ข้านึกว่าข้าแทงท่านเฉย…สักจึก"
อินหลัวเบิกตากว้าง ข้าจะรู้ได้ไงก็ข้าไม่ใช่จ้าวอินหลัว ไอ้ที่พูดไปก็เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น แต่หมอนี้เหมือนจะเชื่อคนยาก จ้าวอินหลัวเอ๊ย จ้าวอินหลัว ไปทำเขาทำไมเนี้ยะ
"แน่นอนว่าเจ้าไม่รู้" เขากระซิบเสียงเบาแต่หนักแน่น
"เพราะสามีของเจ้า อ๋องชั่วตระกูลซ่งนั่นต่างหาก ที่เล่นไม่ซื่อ เขาอาบพิษไว้ในมีดสั้นเล่มนั้น เพื่อให้เจ้ากลายเป็นมือลอบสังหารโดยไม่รู้ตัว...และข้า... ต้องรับพิษนั้นไปทั้งร่าง"
จ้าวอินหลัวพูดอะไรไม่ออก ลมหายใจสะดุด ร่างกายสั่นเล็กน้อย หลี่เจินหรงยิ้มเย็น เหยียดมุมปากอย่างผู้ควบคุมเกมทุกอย่างไว้แล้ว
"เจ้าว่า เจ้าสมควรถูกลงโทษหรือไม่...เพราะเจ้าคือผู้ลงมือ เจ้าคือภรรยาของคนที่วางแผนและเจ้าจะต้องชดใช้มัน... ด้วยความทรมาน เจ็บแทนข้า…ครึ่งหนึ่ง...แต่อย่าได้ตายไป"
หลี่เจินหรง กระซิบชิดใบหูอินหลัว
"ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าตายง่ายดายจะต้องอยู่ทรมานกับข้าก่อนเพื่อชดใช้สิ่งที่อ๋องชั่วสามีเจ้าและเจ้าทำกับข้า"
อินหลัวใจเต้นแรงจนแทบแตกเป็นเสี่ยง หายใจไม่ทัน มือสั่น สัญชาตญาณเดียวที่สั่งนางในยามนี้คือ หนี แต่ไม่ทันพ้นขอบกระโจมเสียงฝีเท้าหนักก็ดังตามติดมา
เงาร่างวูบผ่านข้างกาย มือแข็งราวคีมเหล็กตะปบเข้าที่ต้นแขน ก่อนที่ร่างของนางจะถูกเหวี่ยงกลับไป
"คิดจะหนี"
เสียงทุ้มต่ำดังก้องในหู พร้อมกับแรงบีบที่ลำคอ มือของหลี่เจินหรงบีบรอบคอหอยของอินหลัวแน่นหนา จนฝ่าเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้น
"อึก... อะ… “
จ้าวอินหลัวดิ้นรน น้ำตาเอ่อเพราะขาดอากาศ มือพยายามข่วนต้นแขนเขาแต่ก็ไร้ผล ใบหน้าของอ๋องหลี่เจินหรงเยือกเย็นไร้แววความเมตตา แต่ในขณะที่เขากำลังจะออกแรงบีบมากขึ้น...
ตึก... ตึก... ตึก...
เสียงชีพจรของเขาเองดังในหู ปวดแปลบกลางอก ความร้อนพุ่งจากภายในราวไฟสุม
"อึก..."
มือที่บีบคออินหลัวคลายออกอย่างฉับพลัน ร่างของจ้าวอินหลัวร่วงลงพื้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของเจินหรงที่ทรุดตามลงมา
“แฮ่ก... อึก... อ๊ากกกกกกก”
เสียงคำรามต่ำๆ ดั่งสัตว์บาดเจ็บขาดใจ เจ็บปวดราวถูกไฟแผดเผาจากภายใน เส้นเลือดในลำคอปูดโปน ใบหน้าซีดเซียว รอยแผลปูดแดงเลือดไหลเป็นทาง
พิษ…พิษที่นางส่งเข้าไปที่ตัวเขายังไม่ถูกถอนด้วยยาถอนพิษ อารมณ์ขุ่นมัวธาตุไฟเข้าแทรกจึงทำให้มันกำเริบ ความเจ็บปวดกำลังกลับมา กัดกินร่างเขาอีกครั้ง จ้าวอินหลัวไอแรงจนตัวโยน พอเห็นเขาทรมานจะลุกขึ้นจะเข้าไปช่วย แต่...ก็ชะงักกึก
“อ๊าาาาาาาาาาาา”
อินหลัวกรีดร้อง ร่างบิดเกร็ง เจ็บ... เจ็บเหลือเกิน กลางหน้าอกเหมือนถูกเผาด้วยเหล็กร้อน ความเจ็บปวดแผ่ซ่านราวถูกหั่นสดๆ หักกระดูก อินหลัวดิ้นไปกับพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ มือคว้าหาอากาศราวจะขาดใจ
"ยะ... ยานั่น..." อินหลัวพึมพำก่อนดวงตาจะพลิกกลับ
ยาปราณคู่รับความเจ็บปวดแทนกันครึ่งหนึ่ง เขาทรมาน...นางก็ทรมาน และสุดท้าย จ้าวอินหลัวก็หมดสติ ดวงตาหรี่ลง ทรุดร่างแน่นิ่งอยู่เคียงข้าง เจินหรงครางต่ำอย่างความเจ็บปวด
ในยามนั้น หลี่เจินหรงกัดฟันแน่นจนกรามขึ้นรูป แต่ยังดันตัวขึ้นมานั่งพิงเสาไม้ได้ในที่สุด เขาหอบหายใจ ดวงตาแดงก่ำและมองร่างอินหลัวตรงหน้า...แล้วกระตุกยิ้มเย็นชา
"เจ้าจะไม่มีวันตายจนกว่าข้าจะยอมให้เจ้าได้ตาย..." เสียงทุ้มต่ำหลุดลอดไรฟันอย่างเลือดเย็น
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนของท่านหมอหนุ่มดังขึ้นนอกกระโจม ก่อนร่างในชุดยาวสีขาวจะพรวดเข้ามาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อและความกังวล
"ท่านอ๋อง"
หลี่เจินหรงนั่งพิงแท่นนอน ใบหน้าเขาซีดเซียว ลมหายใจสะท้านเป็นจังหวะ ร่างกายสั่นระริก ราวกับสู้กับเพลิงไฟที่เผาผลาญจากภายใน
"อย่าฝืน"
ท่านหมอเข้ามาพยุงร่างเขาขึ้น ค่อยๆ พาเอนลงนั่งบนเตียงด้วยมือที่คล่องแคล่วแต่ระวัง
"ยานี้...จะช่วยให้ทุเลาได้ชั่วคราว อย่างน้อยก็พอให้ท่านไม่กัดลิ้นตนเองตอนเจ็บ"
เขายื่นถ้วยยาสีเข้ม กลิ่นขมฉุน หลี่เจินหรงยกถ้วยขึ้น กระดกรวดเดียว รสขมฝาดแล่นเข้าสู่ลำคอ ก่อนจะตามมาด้วยความรู้สึกแปลบๆ คล้ายลมเย็นไหลผ่านเส้นประสาทที่ถูกกรีด
ความเจ็บปวด...ค่อยๆ มลายลง แต่อีกสิ่งที่แล่นมาหลังจากนั้นคือ ความเบลอ... คล้ายเมา คล้ายฝัน คล้ายหลุดจากพันธนาการนาทีหนึ่ง
เขาสูดลมหายใจลึก รู้สึกเบาสบายเสียจนเกือบเผลอหลุดหัวเราะ หลี่เจินหรงเหลือบตามองไปทางร่างอินหลัวที่นอนแน่นิ่งบนพื้นพรม
"น่าจะไม่ต้องรีบกินยานัก…ปล่อยให้นางทรมานอีกหน่อย..." เขาพึมพำเบาๆ เสียงขาดปลายคำ มุมปากเขากระตุกยิ้มช้าๆ อย่างเคยชิน
"แต่นางก็สลบไปเสียแล้วนี่... ข้าเจ็บอยู่คนเดียว... ช่างน่าหงุดหงิด"
อินหลัวหันไปมองเขาแล้วเบ้ปากนิดๆ จะต้องคี๊บคาสินะ จะว่าไปก็ดีนะไม่อยากพูดก็แค่วางท่าสง่างามเหมือนหงส์" ข้านะน่ะที่พูดเหมือนกระจกอย่างไรเล่าสะท้อนสิ่งที่พวกท่านทำกับข้า และท่านก็เพิ่งจะให้ข้ากินยาประหลาดโดยไม่ถามความยินยอม ข้ายังไม่ได้ฟ้องกรมแพทย์สภาเลยนะ แค่บ่นนี่ถือว่ายังน้อยไปกับที่ถูกกระทำ ข้าทำอะไรให้ท่านบอกแล้วว่าไม่ใช่ข้าไม่ใช่ข้าสักหน่อยที่แทงท่าน ข้าแค่มาผิดคิว ดีนะที่ข้ารอดมา ไม่งั้นข้าจะกลายเป็นศพเงียบที่สุดในประวัติศาสตร์ของการข้ามเวลาเพราะห้ามพูดนี่แหละ"พูดได้เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างแต่ความโมโหจัดเต็มไป๋อี้เฉิงถอนหายใจยาวอีกรอบ แล้วยกมือขึ้นให้ขันทีเสี่ยวหม่าถอยห่างไปก่อน"ไม่ต้องมัดตอนนี้หรอก ขอให้ข้าดูอาการนางให้ดีก่อน เดี๋ยวนางดิ้นเชือกขาดเอา"หลี่เจินหรงไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ขยับลุกขึ้นเดินไปยืนพิงเสาไม้ไผ่ด้านข้าง สายตาเย็นชานั้นยังจับจ้องมาทางอินหลัวไม่วางตาบรรยากาศในกระโจมที่เพิ่งจะเริ่มสงบลงได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหลี่เจินหรงที่ยืนกอดอกพิงเสาอยู่เงียบๆ ก็เลื่อนสายตาคมกริบไปยังขันทีร่างเล็กที่ยืนก้มหน้าอยู่ริมประตู เสี่ยวหม่า หน้าตาไม่ได้ฉลาดนัก แต่ซื่อสัตย์อย่างไร้
ท่านหมอไป๋อี้เฉิงไม่ทันฟังจนจบก็รีบทรุดตัวลงข้างจ้าวอินหลัว มือเขาคลำชีพจร กดเบาๆแล้วขมวดคิ้ว"ยังเต้นอยู่...แต่แรงไม่เท่าเดิม"อี้เฉิงควักยาถุงเล็กออกมา ชงยาสีคล้ำอีกถ้วย ปล่อยให้เย็นพอดี จากนั้นจึงใช้แขนข้างหนึ่งรองศีรษะอินหลัวขึ้นพิงอก ก้มลงป้อนยาทีละนิดอย่างระมัดระวังแต่เพราะจ้าวอินหลัวยังสลบเขาจึงต้องใช้ช้อนเขี่ยริมฝีปากให้อ้าเบาๆแล้วหยอดยาเข้าไป เช็ดคราบยาตามมุมปากด้วยผ้าขาว ละเมียดละไมไม่ต่างจากคนดูแลน้องสาวที่ป่วยหนักกระบวนการกินยาของจ้าวอินหลัว ใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นนัก หลี่เจินหรงมองภาพนั้นจากบนแท่นอนและเขาไม่พูดอะไร แต่สีหน้าดู...สงบขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ว่าเพราะยา หรือความโกรธลดลง เมื่อยาทั้งหมดถูกกลืนลงไปแล้ว อี้เฉิงถอนหายใจเสียงยาว เหมือนปล่อยลมที่กักไว้นาน"โชคดีที่ยาปราณคู่นี้มีอีกสรรพคุณหนึ่ง..."อี้เฉิงพูดกับหลี่เจินหรง พลางเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ"นอกจากจะแบ่งความเจ็บแล้ว...มันยังแบ่งผลของยาให้ด้วย ยาชาบรรเทาอาการบาดเจ็บของท่าน...เพราะผูกปราณกันไว้ ตอนที่นางกลืนยาเข้าไป ผลจึงส่งถึงท่านเช่นกัน""หมายความว่า..."หลี่เจินหรงขมวดคิ้วช้าๆ"หมายความว่า...ข้ากำลังเสี่ยง
"เป็นไปไม่ได้... ข้าไม่มีทางรู้ด้วยซ้ำว่ามันมีพิษ ข้านึกว่าข้าแทงท่านเฉย…สักจึก" อินหลัวเบิกตากว้าง ข้าจะรู้ได้ไงก็ข้าไม่ใช่จ้าวอินหลัว ไอ้ที่พูดไปก็เพื่อเอาตัวรอดทั้งนั้น แต่หมอนี้เหมือนจะเชื่อคนยาก จ้าวอินหลัวเอ๊ย จ้าวอินหลัว ไปทำเขาทำไมเนี้ยะ "แน่นอนว่าเจ้าไม่รู้" เขากระซิบเสียงเบาแต่หนักแน่น "เพราะสามีของเจ้า อ๋องชั่วตระกูลซ่งนั่นต่างหาก ที่เล่นไม่ซื่อ เขาอาบพิษไว้ในมีดสั้นเล่มนั้น เพื่อให้เจ้ากลายเป็นมือลอบสังหารโดยไม่รู้ตัว...และข้า... ต้องรับพิษนั้นไปทั้งร่าง"จ้าวอินหลัวพูดอะไรไม่ออก ลมหายใจสะดุด ร่างกายสั่นเล็กน้อย หลี่เจินหรงยิ้มเย็น เหยียดมุมปากอย่างผู้ควบคุมเกมทุกอย่างไว้แล้ว"เจ้าว่า เจ้าสมควรถูกลงโทษหรือไม่...เพราะเจ้าคือผู้ลงมือ เจ้าคือภรรยาของคนที่วางแผนและเจ้าจะต้องชดใช้มัน... ด้วยความทรมาน เจ็บแทนข้า…ครึ่งหนึ่ง...แต่อย่าได้ตายไป" หลี่เจินหรง กระซิบชิดใบหูอินหลัว"ข้าจะไม่มีทางให้เจ้าตายง่ายดายจะต้องอยู่ทรมานกับข้าก่อนเพื่อชดใช้สิ่งที่อ๋องชั่วสามีเจ้าและเจ้าทำกับข้า"อินหลัวใจเต้นแรงจนแทบแตกเป็นเสี่ยง หายใจไม่ทัน มือสั่น สัญชาตญาณเดียวที่สั่งนางในยามนี้คือ หนี แต่
จ้าวอินหลัวสะดุ้งเฮือก แล้วพลิกตัวลุกนั่งทันทีอย่างไว ดวงตากลมโตใสแจ๋วแบบเด็กขอของกินตอนไม่มีเงิน แหงนมองเขา พร้อมยกมือขึ้นสองข้างส่ายไปมา"ไม่ๆๆ เดี๋ยวก่อน ท่านอ๋อง...ท่านอาจจะจำผิดคนก็ได้นะ ข้าไม่ใช่จ้าวอินหลัว ข้า...ชื่อจ้าวอิ๋งอั่ว หรือไม่ก็...หลัวอินจิ๋ว หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คนนั้น ข้าเป็นชาวบ้านบ้าเดินหลงทางมาจากหมู่บ้านข้างเขาเจ้าค่ะ ท่านอ๋อง"นางพูดพลางชูสองนิ้วประกอบคำว่า หมู่บ้าน หลี่เจินหรงเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งตรง มองนางราวกับมองคนเสียสติ"เจ้าจะกล้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งที่มือของเจ้าถือมีดแทงข้า""อ๋ออออ มีดนั่น โอ้...ข้าจำได้แล้ว" อินหลัวดีดนิ้ว แปะ แล้วทำตาโต"...ว่าไม่ใช่ข้า" ยิ้มฟันขาวทันที"บางทีท่านอาจฝันไปก็ได้นะ ตอนถูกแทง ท่านอาจเมามาก่อนแล้วละเมอเห็นข้าเป็นนักฆ่าหญิงก็เป็นได้"เขากระตุกยิ้ม...แต่เป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว“ใครจะลืมเจ้าได้ คนที่กล้าถือมีดต่อหน้าข้าไม่เหลือใครสักคนที่มีชีวิตรอดนอกจากเจ้าคนเดียวจ้าวอินหลัว” อินหลัวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ข้ามาผิดภพแน่นอน มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ “ท่านลองคิดดูดีๆ ก่อน ข้าตัวเล็กนิดเดียวใครจะกล้าเ
"เจ้าหมายความว่า…" ดวงตาหลี่เจินหรงเป็นประกายไป๋อี้เฉิงสบตาเขาอย่างจริงจัง"ยานี้เรียกอีกชื่อว่า ยาปราณคู่ ผู้ที่กินเม็ดที่สองเข้าไปจะรับความเจ็บปวดจากพิษในร่างท่านอ๋องไปครึ่งหนึ่ง...เหมือนผูกลมหายใจเดียวกัน"“สวรรค์มีตาแล้วสินะ ดีจังมียาดีๆ แบบนี้ด้วย”"แต่ว่า... ขอเตือนให้จดจำไว้ให้มั่น หากคนที่กินเม็ดยาคู่ตายลง...ท่านอ๋องจะต้องตายตามในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม" ไป๋อี้เฉิงพูดเสียงเบาแต่ชัดทุกถ้อยคำ ยกขวดยาขึ้นด้วยมือที่มั่นคง แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งเช่นเดิม "ข้าน้อยเห็นว่าท่านอ๋องรีบกลืนยาเม็ดแรกเสียเถิด ยานี้มีเพียงคู่เดียวในแผ่นดิน หากหล่นหาย ถูกขโมย หรือเคราะห์ร้ายใดเกิดขึ้น… อย่างน้อย ท่านอ๋องก็ยังได้กินยาเม็ดสำคัญไปแล้ว" ไป๋อี้เฉิงรู้ดีแก่ใจว่าหลี่เจินหรงมีศัตรูไม่น้อยหลี่เจินหรงรับเม็ดยากลมเรียบขึ้นพินิจ แสงตะเกียงสะท้อนยาสีฟ้าหม่นจางๆ โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขากลืนเม็ดนั้นลงคอ ไป๋อี้เฉิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง "ส่วนยาเม็ดที่สอง...กระหม่อมจะเก็บไว้ให้ดี และจะเลือก…" หมอหนุ่มยื่นมือจะเก็บเข้ากล่องไม้ "ไม่ต้อง" เสียงทุ้มต่ำตัดขึ้นมาทันควัน หลี่เจินหรงยกมือขึ้นช้าๆ หยุดการเคลื่อนไหวขอ
ภายใต้แสงคบเพลิงที่ริบหรี่ เสียงโซ่เหล็กที่พันข้อเท้าอยู่นั้นหยุดนิ่งแล้ว แต่ในสมองของขนมกลับวุ่นวายดั่งเสียงกลองศึก“นำตัวนางไปพบท่านอ๋อง” เสียงสั่งดังอยู่ไม่ไกลนักฉันไม่ได้เอามือจกกระเป๋าไว้ ก็เข้ามาซี่ แน่จริงก็เข้ามาแม่จะถีบให้แม้ในโลกที่จากมาก่อนจะตายด้วยอุบัติเหตุเพราะช่วยคนอื่น แต่โลกนี้ขนมปฏิญาณไว้ว่าจะช่วยตัวเองให้ถึงที่สุดตอนนั้นเอง ประตูกรงถูกเปิดออก เสียงเหล็กเสียดสีกันดังแสบหู ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมโซ่ใหม่ในมือ ก้าวมาใกล้อย่างอหังการ"จ้าวอินหลัวถึงเวลาแล้ว…ไปพบท่านอ๋อง"ดวงตาของจ้าวอินหลัวฉายแวววาบ ร่างเธอยังอ่อนแรงแต่ยังมีเรี่ยวแรงพอจะดิ้น เมื่อทหารก้มลงจะคล้องกุญแจโซ่ เธอเตะเข้าที่เป้าของทหารคนนั้นเต็มแรง“พลั๊ก” ก่อนจะฟาดข้อศอกเข้าที่คางอีกฝ่ายจนอีกฝ่ายหงายหลังล้มลงกุมเป้าแน่นเสียงร้องลั่นขึ้นพร้อมความโกลาหล ขนมไม่รอช้า พุ่งตัวหนีไปในความมืด ลัดเลาะตามเส้นทางค่ายที่ไม่รู้จัก เหงื่อเย็นไหลตามแผ่นหลัง และเมื่อเห็นกระโจมใหญ่ผ้าแดงปักทองลวดลายหมาป่าโดดเด่นกลางลานค่ายก็วิ่งเข้าไปซุกตัวโดยไม่ต้องคิดนานภายในเงียบสงัด กลิ่นหอมบางเบาของสมุนไพรจากกำยานลอยปะปนกับกลิ่นห