“คุณทิ ป้ายใหม่สวยเชียวนะคะเนี่ย”
เสียงเอ่ยทักจากเลขาสาวของเจ้าของบริษัทเอ่ยทักทายในตอนสายของวันหลังจากที่เธอเพิ่งเดินผ่านมาแถวแผนกไอทีและเห็นป้ายประจำตำแหน่งป้ายใหม่ของเขาซึ่งฝ่ายบุคคลเพิ่งนำมาเปลี่ยนให้เมื่อเช้านี้
“ขอบคุณครับ” ทิพากรตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม ในตอนที่หญิงสาวกำลังจะเดินผ่านโต๊ะทำงานเขาไป หัวหน้าแผนกไอทีก็เอ่ยรั้งเธอไว้ด้วยคำถามที่อยากรู้คำตอบมาตลอดสองสัปดาห์นี้
“คะ?”
“เอ่อ...ช่วงนี้คุณกานต์ไม่เข้าออฟฟิศหรือครับ ผมไม่เห็นเลย” ทิพากรตัดสินใจถามออกไปในที่สุด
“เข้านะคะ แต่ช่วงนี้คุณกานต์อยู่ออฟฟิศอีกบริษัทหนึ่งที่ชั้นบนมากกว่าค่ะ คุณทิมีอะไรหรือเปล่าคะ ฝากเกลแจ้งคุณกานต์ได้นะคะ ช่วงบ่ายเกลต้องเอาแฟ้มด่วนของพี่อุ้มบัญชีขึ้นไปให้คุณกานต์เซ็นพอดี นี่ก็เร่งพี่อุ้มอยู่กลัวทำเอกสารไม่ทัน”
“ไม่เป็นไรครับ ของผมไม่ด่วนขนาดนั้น”
ตลอดสองเดือนที่เข้ามาทำงานภายใต้บริษัทของคุณกานต์ ทิพากรแทบไม่เห็นหน้าเห็นตาอีกฝ่ายเลย หากไม่นับประชุมงานก็อาจจะเรียกได้ว่าระหว่างเขาทั้งคู่ไม่มีการสื่อสารใดอีกเลย
แม้ว่าแบบนี้จะเป็นเรื่องที่มันควรจะเป็นอยู่แล้วสำหรับความสัมพันธ์ของเขากับคุณกานต์ แต่ทิพากรรู้ดีว่าตัวเขาเองมีความรู้สึกผิดหวังทุกครั้งที่เมื่อมองไปยังประตูห้องกระจกฝ้าห้องทำงานส่วนตัวของเจ้าของบริษัท แล้วไม่เห็นอะไรนอกจากความว่างเปล่า เงียบงัน และประตูที่ปิดสนิท
การรอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการหวังให้กระทงลอยทวงกระแสน้ำกลับมาสู่มือผู้ที่ปล่อยมันลงน้ำ
หัวหน้าแผนกไอทีลอบถอนหายใจก่อนจะหันกลับมาตั้งใจทำหน้าที่ของตนให้คุ้มกับเงินเดือนสูงลิ่วหากเทียบกับบริษัทเก่าที่เขาเคยทำงานด้วย แถมมีสวัสดิการดีเยี่ยมอีก ทิพากรทำงานที่กองอยู่ตรงหน้าจนลืมเรื่องของอติกานต์ไปได้พักใหญ่ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เข้าสู่เวลาพักเที่ยงแล้ว
รุ่นน้องมหาวิทยาลัยซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นลูกน้องในแผนกเขาเอ่ยชวนให้ลงไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน ตอนนั้นเองที่หัวหน้าแผนกไอทีอย่างทิพากรได้เงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอที่เต็มไปด้วยตัวอักษรและตัวเลขยุ่งเหยิงเกินกว่าที่หลายคนจะเข้าใจได้
ยังไม่ทันที่ทิพากรจะตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนนั้น เลขาสาวของอติกานต์ที่หอบแฟ้มเอกสารกองใหญ่ไว้ในอ้อมแขนก็เอ่ยเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน ทิพากรจึงหันไปบอกรุ่นน้องในแผนกให้ลงไปหาอะไรกินกันก่อนแล้วตนจะตามลงไปสมทบ
“คุณทิ พร้อมไหมคะ ขึ้นไปพร้อมเกลเลย คุณกานต์เพิ่งว่างเซ็นเอกสาร เรารีบขึ้นไปตอนนี้รับรองเซ็นไวจบไวแน่นอนค่ะ”
“ค...ครับ? อะไรนะครับคุณเกล”
ทิพากรลุกเดินเข้าไปรับแฟ้มเอกสารกว่าครึ่งที่เลขาสาวหอบอุ้มไว้แนบอกมาช่วยถือ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความตกใจและสงสัยกับสิ่งที่เธอเพิ่งเอ่ยบอก
“ก็คุณทิมีเรื่องต้องแจ้งคุณกานต์ไม่ใช่เหรอคะ นี่เกลแจ้งคุณกานต์ให้แล้ว คุณกานต์เลยบอกว่าขึ้นไปคุยตอนนี้ได้เลยค่ะ คุณกานต์พอจะมีเวลาให้คุยได้อยู่” เธออธิบายพร้อมกับก้าวเดินนำทิพากรไปยังลิฟต์ไปด้วย
“เดี๋ยวนะครับ คุณเกลแจ้งคุณกานต์ไปแล้วเหรอครับ”
ทิพากรทำอะไรไม่ได้เมื่อเธอเอ่ยตอบยืนยันคำถามเขา ในที่สุดทิพากรก็ตระหนักได้ว่าตัวเขาเข้ามายืนในลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนตัวขึ้นไปยังชั้น 37 เวลาเพียงน้อยนิดนั้นไม่เพียงพอให้ทิพากรคิดอะไรได้ทันเลยสักอย่าง เพียงเสี้ยวนาทีเขาก็เดินหอบแฟ้มเอกสารกองโตตามหลังเลขาสาวตัวเล็กเข้ามายังชั้น 37 เดินผ่านสำนักงานของบริษัทเล็ก ๆ รายอื่น ๆ ที่เข้ามาเช่าพื้นที่ในชั้นนี้ จนกระทั่งเดินตรงมาจนสุดทางเดินก็พบกับโค้งประตูไม้ลงสีดำสนิทซึ่งด้านบนมีป้ายตัวอักษรสีทองวินเทจนูนขึ้นมาตามแนวโค้งว่า
AK Studio
หญิงสาวร่างเล็กใช้ไหล่ของเธอดันประตูทึบนั้นเข้าไปอย่างเคยชิน เมื่อเข้ามาด้านในก็พบกับเคาน์เตอร์แผนกต้อนรับซึ่งไร้พนักงาน ไร้ของตกแต่ง แม้แต่คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์สำนักงานก็ไม่มีให้เห็น ราวกับว่าเคาน์เตอร์ตรงนี้ไม่เคยถูกใช้งานจริงมาก่อน
ทิพากรยังคงเดินตามหลังหญิงสาวเลี้ยวไปตามทางเดินไม่กว้างนักซึ่งพาพวกเขาลึกเข้าไปด้านใน การตกแต่งภายในนี้ช่างคุ้นตาทิพากรเหลือเกิน เพียงแต่เขานึกไม่ออกว่าเคยเห็นการตกแต่งแบบนี้ที่ไหน หรือบางทีเขาอาจเคยเห็นตามนิตยสารก็เป็นได้
ในที่สุดเลขาสาวก็ผลักประตูกระจกติดฟิล์มดำนำทิพากรเข้าไปในห้อง ซึ่งภาพตรงหน้าของทิพากรทำเอาขาเรียวหยุดยืนนิ่งมองดูชายหนุ่มร่างสูงสง่า ใบหน้าคุ้นเคยที่ไม่ได้พบเจอมาหลายวันกำลังยืนคร่อมหญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดชั้นในลูกไม้สุดเซ็กซี่พร้อมกล้องถ่ายรูปในมือซึ่งกำลังกดชัตเตอร์ถ่ายรูปเธอรัว ๆ จากมุมสูง
อติกานต์ยังคงสวมกางเกงสแล็กที่สั่งตัดพิเศษเพื่อให้เข้ากับรูปร่าง และยังคงสวมเสื้อเชิ้ตตามแบบที่ทิพากรและพนักงานคนอื่น ๆ ที่ชั้น 32 และ 33 เห็นจนชินตา เพียงแต่ตอนนี้กระดุมที่ข้อมือถูกปลดออกและแขนเสื้อที่รีดมาจนเนี้ยบถูกถกขึ้นไปกองไว้ที่เหนือข้อศอกทั้งสองข้าง ผมที่เซตมาอย่างดีตอนนี้มีบางช่อตกลงมาปรกใบหน้าหล่อเหลา หากแต่นั่นยิ่งทำให้อติกานต์ดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณทิ!”
เสียงเรียกจากเลขาสาวเรียกให้ทิพากรออกมาจากภวังค์ของตัวเอง และดูเหมือนว่าช่างภาพหนุ่มที่ถูกจับจ้องด้วยสายตาของเขาอยู่นานเมื่อสักครู่จะรู้ตัวแล้วเช่นกันจากเสียงเรียกนั้น
อติกานต์ละสายตาขึ้นจากเลนส์กล้องหันมามองเจ้าของชื่อที่ถูกเรียก วินาทีนั้นทิพากรถึงได้เพิ่งเห็นว่าไม่ใช่เพียงกระดุมที่ปลายแขนเสื้อเท่านั้นที่อติกานต์ปลดออก กระดุมหลายเม็ดที่ด้านหน้าเสื้อเชิ้ตก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระเช่นเดียวกัน
แผงอกที่โผล่พ้นรอยแยกเสื้อเชิ้ตของเจ้านายหนุ่มทำให้งานในหัวที่ทิพากรพยายามหามาใช้เป็นเหตุผลในการขึ้นมาพบผู้บริหารตามที่เพื่อนเลขาสาวผู้หวังดีได้แจ้งกับชายหนุ่มซึ่งถือกล้องตัวใหญ่และกำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ให้เขาก่อนหน้านี้ด้วยความเข้าใจผิดหาไปหมดเกลี้ยง
อติกานต์เดินมาหยุดยืนตรงหน้าทิพากร เขาหันไปขอบคุณเลขาตัวเองก่อนจะเอ่ยอนุญาตให้เธอลงไปพักกลางวัน ส่วนหัวหน้าแผนกไอจีที่ยังคงยืนนิ่งหอบแฟ้มเอกสารไว้แนบอกนั่น...
“คุณหิวหรือยัง คุณทานข้าวกล่องตรงนั้นรอก่อน ผมถ่ายเซตนี้ใกล้เสร็จแล้ว ไว้เราค่อยคุยงานกัน”
อติกานต์พูดเพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็เดินกลับไปยังหน้าเซตซึ่งนางแบบสาวยังคงนอนค้างท่าสุดเซ็กซี่รออยู่ที่เดิม ทิพากรได้แต่ยิ้มแห้งให้เลขาสาวที่ส่งยิ้มสดใสตอบกลับมาให้พร้อมพูดให้กำลังใจในการคุยงานก่อนจะเดินออกไปไม่สนใจเขาอีก
ให้ตายเถอะ เขามีเรื่องจะคุยกับคุณกานต์เมื่อไหร่กัน
เขาแค่ถามคุณเกลไปเพียงเพราะความสงสัยอยากรู้โง่ ๆ ของเขาเท่านั้น ไม่คิดว่าคนฟังจะเข้าใจผิดตีความว่าเขามีเรื่องด่วนที่ต้องคุยงานกับเจ้าของบริษัทไปได้ยังไง
ทิพากรนั่งมองข้าวกล่องตรงหน้าสลับกับช่างภาพและนางแบบรวมถึงทีมงานอีกสองสามคนที่หน้าเซตอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีวี่แววใกล้เคียงกับคำว่าใกล้เสร็จของคุณกานต์ที่พูดกับเขาก่อนหน้านี้เลยสักนิด สุดท้ายความหิวก็ชนะความเกรงใจ ทิพากรเปิดกล่องข้าวค่อย ๆ นั่งกินเงียบ ๆ ที่ชุดโซฟารับแขก จนกระทั่งกินจนหมดกลุ่มคนที่ยังคงทำงานอยู่อีกฝั่งห้องก็ยังคงไม่เดินมาหยิบกล่องข้าวกล่องอื่น ๆ ไปกินเลยแม้แต่คนเดียว รวมถึงคุณกานต์ด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าเกือบเข้าบ่ายสองแล้วทิพากรถึงได้เห็นอติกานต์ถอดกล้องตัวใหญ่ที่คล้องคอไว้ออกวางลงที่โต๊ะสูงหน้าฉากถ่ายแบบแล้วเดินเข้ามาทิ้งตัวลงข้างเขาบนโซฟาพร้อมคิ้วเข้มที่ขมวดมุ่นใบหน้าดูเคร่งเครียดยุ่งเหยิง
“เอ่อ...คุณกานต์ หน้าเซตมีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
เห็นอีกฝ่ายทิ้งตัวพิงพนักโซฟาทั้งยังหลับตาเหมือนข่มอะไรบางอย่างไว้ในใจทิพากรก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง เพราะอยู่ในบริเวณเดียวกันมาโดยตลอด ห้องนี้ก็ไม่ได้กว้างขวางมากนัก ทิพากรจึงพอจะเดาได้ว่าเมื่อสักครู่ที่หน้าเซตถ่ายแบบต้องมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ
อติกานต์ถอนหายใจยาว ดวงตาคมลืมขึ้นมามองคนถาม ก่อนที่ร่างสูงจะหยัดตัวขึ้นนั่งหลังตรงสง่าด้วยมาดผู้บริหารหนุ่มที่เห็นอยู่เป็นประจำอีกครั้ง
“ขอโทษที่ให้รอนาน คุณว่าเรื่องงานของคุณมาได้เลยครับ”
อติกานต์หันมายิ้มบางให้ทิพากร เขาเอ่ยถามถึงธุระที่เลขาสาวได้แจ้งมาตั้งแต่ก่อนเที่ยงว่าหัวหน้าแผนกไอจีมีเรื่องอยากขอคุยด้วย เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้อติกานต์จึงหยิบเอาปากกาที่เลขาสาววางไว้ให้บนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาอย่างรู้งานขึ้นมา พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มเอกสารอันที่วางใกล้ที่สุดมาเปิดดู
ตวัดปลายปากกาเซ็นชื่อบนเอกสารได้ไม่กี่แผ่น ฝ่ามือเรียวเย็นเฉียบจากอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องนี้ก็แตะลงที่ท่อนแขนข้างที่จับปากกาเบา ๆ
“คุณกานต์ทานข้าวก่อนไหมครับ”
อติกานต์มองใบหน้าขาวนวลของคนที่นั่งอยู่ข้างกาย ก่อนที่จะละสายตาจากเอกสารขึ้นมามองตามอีกฝ่าย ที่เมื่อเห็นเขาหยุดมือในการเซ็นเอกสารก็ลุกไปหยิบข้าวกล่องมายื่นให้ อติกานต์ไม่ได้พูดอะไร เขาตอบรับความหวังดีของพนักงานคนเก่งของเขาด้วยการวางแฟ้มเอกสารลงแล้วรับข้าวกล่องมาเปิดกินเงียบ ๆ
อติกานต์ไม่คิดว่าบรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลายที่เขาเคยได้รับจากคนข้าง ๆ ตอนที่เขาและทิพากรยังออกเดตกันจะกลับมาให้เขาได้สัมผัสอีกในตอนนี้ ตอนที่ใจเขากำลังขุ่นมัวด้วยปัญหาของงานที่ไม่เป็นไปตามที่วางไว้
ความจริงการทำสตูดิโอถ่ายรูปนี้เป็นเพียงอีกหนึ่งงานอดิเรกที่เขาบังเอิญทำได้ดีเลยตั้งสตูดิโอนี้ขึ้นมาเพื่อใช้ความชอบนี้ในการพักสมองจากงานบริหารหนัก ๆ เขาไม่ได้รับงานถ่ายเยอะ เพราะยังคงตั้งใจให้เป็นงานอดิเรกเท่านั้น ไม่อยากให้กระทบงานที่บริษัท แต่เพราะนายแบบนางแบบที่ลูกค้าเจาะจงมารอบนี้เบี้ยวนัดเขาหลายรอบจนสุดท้ายต้องมาเบียดเบียนเวลางานหลักของเขา ทั้งอาทิตย์นี้เขาถึงได้อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจับใครสักคนทุ่มลงพื้นแทบจะตลอดเวลา
เพิ่งจะมีแค่ช่วงเวลาตอนนี้ที่อติกานต์รู้สึกว่าใจได้ผ่อนคลายลงได้บ้างเพียงแค่ได้ยินเสียงนุ่ม ๆ ของหัวหน้าแผนกไอทีของเขา
แต่ตอนนี้สัจธรรมของโลกกำลังทำให้อารมณ์ที่เย็นลงของเขากำลังพุ่งสูงขึ้นมาอีก เมื่อหนึ่งในทีมงานสตูดิโอของเขาเข้ามารายงานว่านายแบบกิตติมศักดิ์ที่ลูกค้ารักนักรักหนาเบี้ยวงานอีกตามเคย พร้อมข้ออ้างโง่ ๆ ที่บอกว่าปวดท้องจนมาถ่ายไม่ไหว ทั้งที่เมื่อคืนไดจิเพิ่งโทรมาอวดว่านายแบบหนุ่มน้อยดาวรุ่งเพิ่งแวะไปวาดลวดลายที่บาร์ เรียกลูกค้าหนุ่ม ๆ เข้าบาร์คับคั่ง จนเจ้าของบาร์นั่งยิ้มหน้าบานกับยอดขายจนต้องโทรมาอวดใส่เพื่อนสนิทแบบเขา
“ไม่มาก็ไม่ถ่ายแล้ว แม่งเอ๊ย คิดว่าฉันจะง้อหรือไง ฉันไม่ได้ร้อนเงินขนาดจะง้อลูกค้าหรอกนะ ที่มาทำก็แค่เพราะชอบเท่านั้น ถ้าเรื่องมากนักก็หานายแบบใหม่”
“แต่คุณกานต์ครับ จะหานายแบบใหม่ตอนนี้ก็ยาก แล้วยิ่งถ้าต้องหาคนที่คล้ายกันอีก หาไม่ทันหรอกครับ”
“ฉันไม่ได้จะย้อมแมวขายใคร เปลี่ยนคนใหม่ก็คือเปลี่ยนใหม่ ไม่ต้องไปสนหรอกว่าจะคล้ายไหม ถ้ามีปัญหาอะไรเดี๋ยวฉันเคลียร์กับลูกค้าเอง ค่าปรับไม่กี่แสนจะกลัวอะไร” อติกานต์วางช้อนลง หมดอารมณ์จะกินต่อ
ทิพากรนั่งฟังบทสนทนาดุเดือดของคนข้างกายกับทีมงานสตูดิโออยู่เงียบ ๆ จนพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ยิ่งเห็นใบหน้าเคร่งขรึมที่น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ คนที่ไม่ชอบเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์อย่างทิพากรจึงเอ่ยคำที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ตกใจเมื่อเอ่ยออกไป
“ถ้าผมพอช่วยได้และคุณกานต์อนุญาต...ผมเป็นแบบให้ถ่ายเฉพาะส่วนไปก่อนได้นะครับ”
สามวันทีเดียวที่หัวหน้าแผนกไอทีไม่ได้มาทำงาน ด้วยเหตุผลว่าลาป่วย นั่นไม่ได้สร้างความแปลกใจอะไรกับพนักงานในบริษัทคนอื่น ๆ ถ้าหากว่าคนที่มาแจ้งลาให้ทิพากรไม่ใช่เจ้าของบริษัทอย่างอติกานต์ ทั้งยังเอ่ยปากกำชับกับฝ่ายบุคคลว่าไม่ต้องทวงใบรับรองแพทย์กับเจ้าตัว ทั้งที่ตามระเบียบแล้วหากพนักงานลาป่วยเกิน 1 วันจะต้องส่งใบรับรองแพทย์ตามมาให้ฝ่ายบุคคลนอกจากความสงสัยเรื่องที่ผู้บริหารหนุ่มหล่อไปสนิทสนมกับหัวหน้าแผนกไอทีขนาดที่เดินมาลางานให้อีกฝ่ายด้วยตัวเองแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกหัวข้อหนึ่งที่พนักงานในบริษัทเริ่มตั้งวงซุบซิบกันคือ...อติกานต์ ผู้บริหารหนุ่ม เจ้าระเบียบและน่าเกรงขามคนนี้ อาจจะกำลังออกเดตกับใครสักคนอยู่หลายวันมานี้พนักงานหลายคนต่างได้รับรอยยิ้มบางทรงเสน่ห์จากผู้บริหารซึ่งปกติไม่ค่อยได้เห็นอติกานต์ยิ้มนัก แม้ในวันที่ไม่มีเรื่องยุ่งยากใจให้จัดการ หรือแม้แต่วันที่คู่ค้าเซ็นสัญญาร่วมโครงการสำเร็จ อติกานต์ก็มีเพียงใบหน้านิ่งเท่านั้น เรื่องนี้ทำเอาพนักงานบางคนถึงขั้นวิตกกังวลจนพานคิดมากว่าตัวเองกำลังจะถูกไล่ออกแต่ทว่าต้องยอมรับว่าอติกานต์ที่ดูอารมณ์ดีและเ
อติกานต์ตวัดเสื้อสูทของตนคุมร่างอ่อนปวกเปียกของหัวหน้าแผนกไอทีไว้จนมิดชิด เมื่อหันไปมองที่ผนังกระจกด้านที่สามารถมองออกไปเห็นวิวอาคารบ้านเรือนในเมืองหลวงจากมุมสูงได้ อติกานต์ก็พบว่าในตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ลำแสงสีส้มแผ่บนท้องฟ้าแคบคงเรื่อย ๆ เมื่อพระอาทิตย์กำลังโคจรไปอีกด้านหนึ่งของโลกก่อนหน้านี้เขาสอนงานหัวหน้าแผนกไอทีอยู่นาน ทบทวนบททดสอบอยู่หลายครั้งจนนักเรียนคนเก่งเหนื่อยล้าเขาจึงพาไปนอนที่โซฟารับรองแขกภายในห้องแน่นอนว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องทำงานของผู้บริหาร หลังจากเลขาสาวโทรเข้ามาที่โต๊ะทำงานด้วยความห่วงใยว่าถึงเวลาเลิกงานแล้ว จะให้เธอเรียกคนขับรถ หรือไปซื้อยาแก้ปวดลดไข้มาให้หรือไม่อติกานต์ปฏิเสธความหวังดีนั้นไปอย่างไม่ต้องคิด นั่นเพราะเขาไม่ได้ป่วยจริง ที่เลขาของเขาเข้าใจไปแบบนั้นก็คงไม่พ้นเป็นฝีมือของเพื่อนสนิทตัวดีอย่างไดจิแต่เขาก็ต้องขอบคุณ ที่เรื่องโกหกของเพื่อนเขาส่งผลให้เลขาหน้าห้องของเขาเลื่อนตารางนัด ดักแฟ้มเอกสารและพนักงานฝ่ายต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าพบออกไปก่อนทิพากรยังคงหลับสนิทจากความอ่อนเพลียร่างเปลือยเปล่าสวม
ท่ามกลางเสียงวุ่นวายของพนักงานออฟฟิศที่กลับมาขับเคลื่อนบริษัทของนักธุรกิจดาวรุ่งอีกครั้งซึ่งดังแว่วเข้ามาภายในห้องให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ เงาร่างเลือนรางของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่นอกผนังกระจกฝ้าของห้องทำงานผู้บริหาร ยังไม่รวมประตูที่เจ้าของห้องไม่คิดจะล็อก แสงไฟภายในห้องที่สว่างเพียงพอตามมาตรฐานความสว่างในที่ทำงานทุกองค์ประกอบส่งผลให้หัวใจของทิพากรเต้นระรัว กลัวว่าจะถูกจับได้หากมีใครสักคนเข้ามาเห็นเข้า แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในความกลัวนั้นมีความตื่นเต้นแทรกอยู่มากพอสมควรเมื่อทิพากรอ้าปากรับความแข็งขืนของอติกานต์เข้าไปในโพรงปาก อีกฝ่ายก็หลับตาลงข่มอารมณ์จากสัมผัสอุ่นชื้น เสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอดังลอดออกมาเบา ๆ อติกานต์ยื่นมือไปวางไว้บนกลุ่มผมนุ่มขยุ้มมันเบา ๆ อย่างหาที่ระบายไม่ได้มีเพียงหัวหน้าแผนกไอทีคนเดียวที่ต้องข่มกลั้นเสียงแห่งราคะริมฝีปากเล็กยังคงทำหน้าที่ได้ดี ลิ้นนุ่มแลบเลียไปทั่วตัวตนของเขาราวกับเด็กน้อยได้ชิมไอศกรีมรสโปรด“อือ คุณทำได้ดีนี่” อติกานต์ตบแก้มตอบจากการดูดดุนตัวตนของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจแรง ๆ ไปสองสามทีจนม
ความเงียบปกคลุมห้องทำงานส่วนตัวของผู้บริหารซึ่งล้อมด้วยผนังกระจกติดฟิล์มฝ้าถึงสามด้าน ไฟทุกดวงในห้องปิดลงแล้วหลังจากเจ้าของห้องออกไปทำธุระข้างนอกบริษัทตามที่ได้บอกเอาไว้เมื่ออติกานต์ก้าวเท้าออกจากประตู ทิพากรก็ก้าวตามออกมาด้วยเช่นกัน หากแต่จุดหมายเขาคือโต๊ะทำงานของตัวเอง อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลาพักเที่ยง ทิพากรจึงมีเวลาไม่มากสำหรับการคิดหาหนทางเข้าไปนั่งหมอบที่ใต้โต๊ะทำงานตัวใหญ่ตามที่อีกฝ่ายบอกไว้โดยที่ไม่ให้พนักงานคนอื่น ๆ สงสัยปากกาเจลสีน้ำเงินถูกหยิบขึ้นมาเขียนโน้ตแปะไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ว่าเจ้าของตำแหน่งหัวหน้าแผนกไอทีต้องออกไปทำธุระข้างนอกให้คุณกานต์ในช่วงบ่าย หลังจากที่เขาเอ่ยปฏิเสธคำชวนของสองสาวที่ชักชวนไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านชาบูเปิดใหม่ถัดไปไม่ไกลจากตึกสำนักงานเมื่อพนักงานเบาบางลง ทิพากรคว้ากระเป๋าเอกสารแล้วเดินออกไปจากโต๊ะ เพื่อแสดงละครให้แนบเนียนว่าหัวหน้าแผนกไอทีผู้นี้ออกไปจากออฟฟิศแล้วจริง ๆ แต่ก่อนที่จะถึงหน้าลิฟต์ ทิพากรหันหลังไปมองพนักงานที่ยังเหลืออยู่ในออฟฟิศ ทุกคนง่วนอยู่กับเวลาพักกลางวันของตัวเอง บางกินข้าวกล่องที่ห่อมาบ้างก็หลับตางีบหลับ
“วันจันทร์หลังผมประชุมบอร์ดตอนเก้าโมงเสร็จ คุณเข้ามาพบผมที่ห้องทำงานด้วย เราจะมาตกลงรายละเอียดเรื่องของเรากัน”นั่นคือประโยคที่อติกานต์ทิ้งไว้หลังจากที่อีกฝ่ายขับรถมาส่งเขาถึงคอนโด การที่อติกานต์สามารถขับรถตรงมาที่คอนโดเขาได้โดยไม่เอ่ยถามทางสักคำทำให้ทิพากรตกใจอยู่พอสมควร แต่เมื่อพยายามคิดหาเหตุผล เขาก็ได้ข้อสรุปด้วยตัวเองว่า อติกานต์อาจจะเห็นที่อยู่ของเขาจากประวัติพนักงานก็ได้ตลอดวันหยุดทิพากรไม่ได้ออกไปไหน เขาใช้เวลาทั้งวันในการหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่สตูดิโอ แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่เขาจำได้ทุกอย่าง ความดิบเถื่อนของอติกานต์ที่แสดงออกมาไม่ทำให้เขาหวาดกลัวเลยสักนิด กลับกันมันยิ่งทำให้เขารู้สึกใจเต้นระรัวทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ที่สตูดิโอความรู้สึกถึงส่วนแข็งขึงที่ชนผนังคอหอยของเขาจนสำลักน้ำหูน้ำตาไหลยิ่งกระตุ้นความสุขของเขามากกว่าการสวมใส่ถุงน่องยามช่วยตัวเองเสียอีก เขาไม่คิดว่าเส้นแบ่งระหว่างพนักงานและเจ้านาย รวมถึงภาพชายหนุ่มธรรมดาสองคนที่เคยเดตกันด้วยความอ่อนโยนอบอุ่นในอดีตจะถูกทำลายลงเร็วขนาดนี้แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับวันจ
ทิพากรนั่งนิ่งมองดูอติกานต์ที่ค่อย ๆ ปลดเข็มขัดออก การขยับเคลื่อนไหวของมือใหญ่ตรงหน้าดูจะเชื่องช้าเหลือเกินในใจของคนที่ได้แต่นั่งดู ทั้งที่ดื่มไวน์แดงรสเลิศไปแล้วหลายอึก ทว่าทิพากรกลับรู้สึกคอแห้งจนต้องกลืนก้อนน้ำลายลงไปคอเพื่อดับความกระหายเมื่อซิปกางเกงถูกปลดลง ความปรารถนาในใจที่ถูกทำลายความยับยั้งลงไปด้วยแอลกอฮอล์จึงทำให้ทิพากรไม่สามารถอดใจตนเองได้ คนอยู่ต่ำกว่าจึงยื่นใบหน้าไปใกล้จนปลายจมูกชิดชั้นในสีดำสนิทของอติกานต์ ทิพากรส่งเสียงครางหวานออกมาเบา ๆ เมื่ออติกานต์เองก็ขยับเท้าเข้ามา ยิ่งทำให้ใบหน้าแนบชิดกับส่วนที่แข็งขึงภายในเนื้อผ้ายืดหยุ่นศีรษะของทิพากรถูกลูบเบา ๆ จากฝ่ามือร้อน กดน้ำหนักเล็กน้อยเพื่อให้ใบหน้าของนายแบบมือสมัครเล่นบดเบียดกับอวัยวะส่วนล่าง อีกฝ่ายถูไถใบหน้าไปมาอย่างหลงใหล การกระทำนั้นเรียกเสียงหัวเราะในลำคออย่างพอใจจากอติกานต์ ประทับใจจนต้องยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพความน่ารักเก็บเอาไว้“รู้จักอ้อนเป็นแมวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”อติกานต์รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ในมุมนี้ทิพากรไม่ต่างอะไรกับแมวช่างอ้อนที่ชอบถูไถตัวกับแข่งขาเจ้าของ เ