共有

11.วัดใจกันไปเลย!

last update 最終更新日: 2025-06-27 20:42:25

วัดใจกันไปเลย!

“เห็นทีว่าท่านคงไม่อยากใช้ชีวิตอิสระอีกต่อไปแล้ว ก็ดี...เรียกทหารมาเลย”

“เจ้าพูดอะไรของเจ้ากัน”

“ทาสสินะ ทาสที่หลบหนีเสียด้วย”

ถานถานหน้าถอดสี ความลับที่เขาเก็บซ่อนมานานนับสิบปี แม่นางผู้นี้รู้ได้อย่างไรกัน มาถึงตอนนี้เสวียนหนี่ไม่ได้เป็นรองเขาอีกต่อไป นางละสายตาไปยังกลุ่มทหารที่กำลังตรงมาหา เห็นท่าทีตื่นกลัวของถานถานนางยิ่งมั่นใจว่าตนเป็นฝ่ายเหนือกว่าบอกเขาต่ออย่างไม่เกรงกลัว

“ทหารมานู่นแล้ว  ข้าจะไม่หนี แต่ท่านกล้าวัดใจกับข้าหรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้าขู่ข้างั้นรึ”

“ตัวข้านั้นรอดจากความตายมาหลายครั้ง ความตายหาใช่สิ่งน่ากลัวสำหรับข้าไม่ ตายแล้วก็หลุดพ้นแล้ว ๆ กันไป แต่ท่านนี่สิ ข้าดูก็รู้ว่าท่านโหยหาชีวิตอิสระเพียงใด หากถูกจับกลับไปเป็นทาสรองมือรองเท้าพวกขุนนางชั่วช้า อายุก็ไม่ใช่

น้อย ๆ แล้ว ถูกทรมานโขกสับทั้งเช้าเย็นจะตายก็ไม่ได้ตาย ท่านว่าชีวิตที่เหลือของข้ากับท่านใครจะน่าเวทนากว่ากัน”

“พูดจาเหลวไหล ข้าไม่ใช่ทาสเสียหน่อย เจ้าไปเอาเรื่องบ้าบอนี้มาจากไหน”

“แผ่นหลังของท่านอย่างไรเล่า! แผลเป็นที่แผ่นหลังด้านซ้ายเกิดจากเหล็กร้อนนาบประทับตราทาส”

เจี่ยนถานถานถึงกับชะงักงัน เขาก้าวถอยห่างนางออกไปสามถึงสี่ก้าว คนเช่นเขาโหยหาชีวิตอิสระที่สุด การที่นางเอาเรื่องนี้มาขู่ทำให้เขาไปไม่เป็น อันที่จริงหญิงสาวพูดถูก หากนางตายไปแล้วก็จบสิ้นกันไป แต่สำหรับเขาที่เคยเป็นทาสหลบหนีถ้าถูกจับกลับไปได้โทษอย่างน้อยก็ต้องถูกโบย 50 ที แล้วส่งกลับไปใช้แรงงานเหมือนเดิม

เขาได้ก้าวเท้าเข้าสู่วงการทาสเมื่ออายุสามสิบแปดหนาว เพราะถูกคนชั่วช้าจับไปขาย และเพิ่งหนีออกจากบ้านขุนนางชั่วช้าเมื่ออายุได้สี่สิบแปดหนาว เก็บงำความลับใช้ชีวิตในนามคนธรรมดาได้เพียงสองปีก็จะต้องหมดอิสระภาพเช่นเดิมแล้วหรือนี่

...ถ้ามีเงินห้าตำลึงจะมีประโยชน์อันใดอีกหากขาดอิสระภาพไม่สามารถโบยบินได้ตามใจปรารถนา

...หึ นางช่างร้ายกาจนัก ใช้วาจาข่มขู่ให้ข้าเป็นนกหวาดเกาทัณฑ์*ไปเสียได้ แม่นางผู้นี้ตามทันข้าได้ทุกฝีก้าว เอาเถิด...ข้ายอมทำตามนางไปก่อนแล้วค่อยสลัดนางออกภายหลัง...ถานถานนึกในใจ

“มีอะไรกัน!”

ทหารนายหนึ่งในบรรดาทหารทั้งหมด 5 นายได้ถามขึ้นเสียงห้าวทุ้ม เขามองหน้าชายแก่ก่อนจะเลื่อนสายตามาที่เสวียน

หนี่ พอเห็นใบหน้านางแววตาของทหารนายนี้ก็วูบไหวเหมือนกำลังจับผิด

“ไม่มีอะไรหรอกขอรับ ข้าแค่ตกลงกับลูกสาวไม่ได้ว่าเย็นนี้จะกินอะไรกันดี”

“นางเป็นลูกสาวเจ้ารึตาแก่ขี้เมา”

“ขอรับ”

ถานถานบอกไปแล้วแสร้งหัวเราะเสียงอ่อนกลบเกลื่อน ชายในเครื่องแบบดูไม่ค่อยเชื่อเท่าไรเพราะหญิงสาวตรงหน้าเขานั้นดูสะอาดสะอ้านผิวพรรณขาวผ่องดุจไข่มุก หน้าตางดงามไม่มีเค้าโครงว่าจะคล้ายคลึงถานถานแต่ประการใด เมื่อเห็นว่าทหารไม่ค่อยจะเชื่อถานถานจึงพูดขึ้นอีก

“ลูกสาวข้านางงดงามได้แม่ ภรรยาข้านางงามดุจนางเซียน เมื่อก่อนข้าหล่อเหลามากนะท่านทหาร พูดแล้วจะหาว่าข้าโอ้อวด ฮ่า ๆ ความหล่อของข้าเป็นที่หนึ่งในละแวกนี้เลยก็ว่าได้ สาวน้อยสาวใหญ่ต่างหลงใหลวิ่งไล่ตามเช้าค่ำ ฮ่า ๆ แต่ข้าเองเลือกลงเอยกับแม่ของนางนี่แหละ”

...หึ หึ

เสวียนหนี่ได้ยินตาแก่ถานพูดจึงได้หัวเราะแต่เพียงในใจ ตาแก่ผู้นี้มีทักษะการเอาตัวรอดใช่ย่อย อีกทั้งคารมคมคายยังฟังดูพูดเข้าข้างตนเองจนน่าขัน เช่นนั้นเพื่อความอยู่รอดนางก็ควรจะเล่นกับเขาหน่อยเป็นไรไป

“ท่านพ่อ ข้าว่าวันนี้เราควรกินแกงปลา ข้าอยากกินแกงปลา”

“เหอะ แกงปลารึ ไม่ล่ะ ข้าว่าตุ๋นซี่โครงดีกว่า”

“แกงปลา”

“ตุ๋นซี่โครง”

“เอ๊ะ ก็บอกว่าแกงปลา”

“เอ๊ะ เจ้าเป็นลูกอย่าดื้อด้าน ข้าบอกว่าตุ๋นซี่โครงก็ตุ๋นซี่โครงซี้”

“แกง”

“หยุด! ไสหัวไปทะเลาะกันที่อื่น ไป!”

ด้วยความรำคาญ ทหารนายนั้นจึงออกปากตวาดไล่สองพ่อลูกปลอมกระเจิง เจี่ยนถานถานหันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้ทหารเหมือนสำนึกผิดแล้วดันหลังเสวียนหนี่เดินไปข้างหน้า เมื่อเดินมาได้ไกลระยะหนึ่งทั้งสองจึงผงะออกจากกันอย่างขุ่นเคือง แล้วต่างฝ่ายต่างพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเป็นประโยคเดียวกัน

“เราแยกกันตรงนี้!”

ถานถานบอกนางแล้วเตรียมจะเดินหนีแต่เสวียนหนี่คิดขึ้นได้ว่าขวานของเขายังอยู่กับนาง จึงเรียกเขาอยู่ก่อน

“ตาแก่ถานดูนี่สิ”

หญิงสาวดึงเอาขวานที่เหน็บอยู่เอวด้านหลังชูขึ้นเหนือศีรษะ ถานถานได้เห็นก็อ้าปากค้าง เขาลืมเอาขวานคืนจากนางได้อย่างไรกัน

“เอาคืนข้ามา”

“ข้าคืนแน่ แต่เอาเงินที่ขายกำไลหยกมาคืนข้าก่อน”

ชายแก่กัดฟันกรอด นางไม่ใช่หมูให้เขาเคี้ยวได้ง่าย

จริง ๆ คิดผิดไปถนัดที่ช่วยนาง!

แต่นั่นก็เป็นเพราะเขาเองก็มีใจไม่ซื่อตรงตั้งแต่ต้น ประการแรกเขาอยากพานางไปส่งให้แก่ครอบครัวเพราะหวังเงินทอง

ประการที่สองเมื่อรู้แล้วว่านางเป็นลูกทรราชเขาก็ยังจะพานางมาส่งให้ทางการเพราะอยากได้เงินรางวัลอีก โดนเอาคืนแค่นี้ยังถือว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ

“เอานี่เงินของเจ้า!  แล้วก็ส่งขวานข้ามาเสียที”

เขาโยนถุงเงินให้นาง เสวียนหนี่ก้มลงไปเก็บแล้วนับดูเงินโบราณที่ไม่ค่อยจะคุ้นชิน ที่โลกปัจจุบันนางใช้เงินหยวน แต่นี่มันค่าเงินใดบ้างล่ะ

“นี่เท่าไร”

“เป็นลูกคุณหนูประสาอะไรเงินเท่านี้ก็นับไม่ถูก”

ถูกของเขา เจ้าของร่างนี้เป็นคุณหนูประสาอะไร นางไม่เคยได้แตะต้องเงินเลยหรืออย่างไรกัน เหตุใดเรื่องแค่นี้เสวียนหนี่ถึงไม่มีความทรงจำเรื่องเงินของนางเลย แต่จะว่าไปเจ้าของร่างไม่เคยออกจากอารามเขาต้าซานไม่เคยได้ไปจับจ่ายซื้อของที่ไหน อยากได้อะไรแม่กับพี่ชายก็จัดหามาให้แล้วนางจะไปรู้จักการใช้เงินได้อย่างไร

...เฮ้อ โง่เง่าสิ้นดี อ่อนแอถึงเพียงนี้น่ารำคาญเสียจริง

“ข้าขายกำไลเจ้าได้ห้าตำลึงเงิน จ่ายค่าอาหารไปแล้วห้าร้อยอิแปะ ที่เหลืออยู่ในมือเจ้าสี่ตำลึงเงินกับอีกห้าร้อยอิแปะ”

“เดี๋ยวสิ ค่าเงินหนึ่งตำลึงเงินต่อหนึ่งพันอิแปะเลยหรือนี่”

ช่างเป็นค่าเงินที่แสนมีคุณค่า ค่าเงินของคนโบราณนั้นมีเกณฑ์วัดจากความอดยากของผู้คน ยิ่งในยุคสมัยที่มีสงครามประชาชนอดยากแร้นแค้นค่าเงินก็ย่อมมีค่ามากตาม กว่าจะได้มาแต่ละอิแปะเลือดตาแทบกระเด็น ความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อนช่างน่าสงสารน่าเห็นใจ ต้องทำงานหนักเพื่อจ่ายภาษีทางการเป็นผลผลิต ทว่าผลผลิตแต่ละปีก็ใช่ว่าจะได้มากมายแล้วยังต้องส่งเข้าคลังเสบียงหลวงอีก

“เอาขวานข้ามา”

“ข้าจะจ้าง”

“อะไร”

“ข้าอยากไปหุบเขาอูยา หากท่านพาข้าไปได้”

ว่าแล้วนางก็ถอดต่างหูและปิ่นปักผมออกมาอีก

“ปิ่นปักผมอันนี้ข้าคิดว่ามีค่ามากกว่ากำไลหยก เอ่อ...น่าจะมากกว่ากำไลนั่นประมาณ 5 เท่า และมันก็คงทำมาจากทองคำแท้ ทั้งต่างหูและปิ่นนี่ทองแท้ทั้งคู่ หากท่านไปส่งข้าที่หุบเขาอูยาได้ข้าจะมอบแด่ท่านทั้งหมด”

“หุบเขาอูยา!”

ที่น่าตกใจไม่ใช่นางจะว่าจ้างเขาด้วยปิ่นปักผมและต่างหู แต่เพราะนางเอ่ยถึงหุบเขาอูยาต่างหาก ถานถานมีท่าทีเกรงกลัวอย่างประหลาด เขาถึงขั้นถอยห่างออกไปสามถึงสี่ก้าว เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนหน้าผากอย่างตื่นตระหนก ดูเหมือนเขาจะมีอาการหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าตอนประจัญหน้ากับทหารเมื่อครู่เสียอีก ซึ่งตลอดเวลาที่นางอยู่กับเขานางไม่เคยเห็นเขาเกรงกลัวอะไรขนาดนี้มาก่อน

“ไม่ ๆ ข้าไม่ไปหุบเขาอูยาอีกเด็ดขาด ให้ตายก็ไม่ไป”

“ท่านพูดว่าไม่ไปอีก หมายความว่าท่านเคยไปหุบเขา

อูยามาแล้วหรือ”

“ข้า...”

เขากระอึกกระอัก ของมีค่าพวกนั้นจะว่าไปก็อยากได้อยู่หรอกแต่จะให้เขาเอาชีวิตไปเสี่ยงที่หุบเขาอูยาอีกรอบถานถานคิดว่าไม่คุ้มกันเอาเสียเลย ปฏิกิริยาของถานถานเปลี่ยนไปชัดเจนจนเสวียนหนี่สัมผัสได้ เขาสั่นเทาไปทั้งตัว ขนาดยามพูดเสียงที่เปล่งออกมายังฟังดูสั่นเครือ

“ท่านเป็นอะไรไป”

“ข้า ข้า...เป็นคนของหุบเขาอูยา”

“เช่นนั้นดีเลยสิ”

เสวียนหนี่ตะลึงงันก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ รอยยิ้มของนางทำให้อีกฝ่ายมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อเห็นความเป็นกังวลมากมายของเขานางจึงใช้ฝ่ามือลูบแผ่นหลังของเขา

เบา ๆ  แล้วลดระดับน้ำเสียงที่แข็งกระด้างให้ฟังดูเหมือนเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อลวงให้เขาใจอ่อนช่วยเหลือนาง

“...เจี่ยนถานถาน ท่านเป็นอะไรไป”

“ข้าไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว ไปหาคนอื่นเถิด”

“เกิดอะไรขึ้น”

“...”

ความอึดอัดใจของเขานางรับรู้ได้ คล้ายกับว่าเขากำลังมีบางสิ่งที่ไม่อยากเอ่ยถึง ดังนั้นนางจึงไม่อยากสะกิดแผลให้เขาตื่นกลัวยิ่งกว่าเดิม

“ค่อยเล่าให้ข้าฟังทีหลังก็ได้ แต่ท่านต้องฟังข้า ตั้งใจฟังข้านะตาแก่ถาน เมื่อเราไปถึงที่นั่นข้าจะมีอำนาจมากพอปกป้องท่านได้ จะไม่มีผู้ใดทำอะไรท่านได้ เพราะข้าคือว่าที่ฮูหยิน

ประมุข”

“หา เจ้านะหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร”

“เอาไว้ข้าจะเล่าให้ฟังหากท่านตกลงว่าจะพาข้าไป นอกจากปิ่นกับต่างหูนี่ท่านจะได้รับค่าตอบแทนจากท่านประมุขอย่างงามเมื่อข้าไปถึง ข้าสัญญา”

ไม่รู้คำสัญญาของนางจะจริงหรือหลอกแต่ถานถานก็รู้สึกเชื่อมั่นในคำพูดของนางอย่างประหลาด อยู่ที่นี่ต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร แค่ใช้ชีวิตวันต่อวันอย่างไร้จุดหมาย ถึงเขาจะรักชีวิตอิสระเพียงใดใช่ว่าจะตัดความห่วงหาอาลัยอาวรณ์ได้หมดจด ที่นั่นมีเหตุให้ต้องกลัวการกลับไปเยือน แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเศษเสี้ยวความทรงจำดี ๆ หลงเหลืออยู่ เขามีบ้าน มีพ่อและแม่ที่ป่านนี้คงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ทุกสรรพสิ่งสิ้นไปตามอายุขัย แต่ความปรารถนาสุดท้ายของเขาคืออยากไปเคารพหลุมฝังศพของพ่อและแม่อีกสักครั้ง ถ้าอยู่แคว้นเถียนต่อไปความลับเรื่องที่เขาเป็นทาสหลบหนีจะถูกเปิดโปงเมื่อไรก็ไม่อาจรู้ได้

เขาหลุบตามองที่พื้นถนนแล้วถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ

“ข้าคิดถึงบ้าน ข้าเองก็อยากไปเยือนมาตุภูมิสักครั้ง ไปก็ไป”

“ขอบคุณ ขอบคุณเจ้าค่ะ”

***นกหวาดเกาทัณฑ์ หมายถึง ผู้มีปมฝังใจ หวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

この本を無料で読み続ける
コードをスキャンしてアプリをダウンロード

最新チャプター

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด (จบ)   43.จดหมายจากทางไกล (จบ)

    จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด (จบ)    42.ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน

    ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด (จบ)    41.คำขอร้องของหลีเหว่ย

    คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด (จบ)    40.คำตอบของอี้เฉิน

    คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด (จบ)   39.เกิดอะไรกับห่าวอู๋

    เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั

  • เจ้าสาวประมุขหุบเขามืด (จบ)    38.ส่งซูหนี่

    ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ

続きを読む
無料で面白い小説を探して読んでみましょう
GoodNovel アプリで人気小説に無料で!お好きな本をダウンロードして、いつでもどこでも読みましょう!
アプリで無料で本を読む
コードをスキャンしてアプリで読む
DMCA.com Protection Status