ประกาศจับกบฏ
ที่โรงเตี๊ยมในตลาด ถานถานพาเสวียนหนี่มาแล้วสั่งอาหารสามอย่าง มีเป็ดพะโล้ น้ำแกงซี่โครง ไก่ย่าง และที่ขาดไม่ได้เลยคือสุราหมัก ถานถานโลภมากจึงสั่งมาทีเดียวเลยห้าไห เขานั่งทานอย่างเอร็ดอร่อยราวกับว่าไม่เคยได้ลิ้มรสของดีเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เสวียนหนี่ทานแค่พออิ่มจึงนั่งจิบชาต่อ เมื่ออิ่มแล้วถานถานได้แบมือออกมาตรงหน้านาง นางทำหน้ามึนงงสงสัยจึงถามกลับ
"อะไรหรือเจ้าคะ"
"ข้าไม่มีค่าอาหาร เจ้าเอากำไลหยกมาให้ข้า ข้าจะเอาไปขายให้"
"ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ"
"เอ้า เจ้าจะกินอิ่มโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าอาหารหรืออย่างไร หรือจะให้ข้าเป็นคนจ่าย แค่ให้เจ้าติดตามมาและยังต้องช่วยตามหาครอบครัวเจ้าอีก เท่านี้ข้าก็เสียเวลามากแล้ว"
เสวียนหนี่เห็นว่าเป็นจริงดังที่เขาบอก หากเขาจะช่วยนางตามหาครอบครัวจริง นั่นเท่ากับว่าเขาได้เสียเวลาโดยใช่เรื่อง นางถอดกำไลออกมาแล้วยื่นให้เขา ตาแก่ถานยิ้มเต็มใบหน้าก่อนจะยื่นมือออกมารับกำไลไป ทว่าอีกฝ่ายยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ
"มีอะไรอีกเล่า"
"ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านจะไม่เอากำไลข้าไปแล้วหนีหาย"
"เหอะ ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร สุราข้ายังวางอยู่ที่นี่ตั้ง 3 ไห อย่างไรข้าก็ต้องกลับมาเอาสิ"
"...เช่นนั้นเอาขวานที่เหน็บอยู่เอววางไว้ตรงนี้"
"หา เจ้า!"
"ขวานที่ทำจากโลหะเหล็กกับกำไลหยกของข้าราคาน่าจะสูสีกัน หากท่านไม่มีเจตนาชวดเงินค่ากำไลข้าก็จงเอาขวานของท่านมาเป็นประกัน ทำเช่นนั้นข้าก็จะแน่ใจได้ว่าท่านจะกลับมารับข้าจริง ๆ"
...หึ ข้าไม่ใช่หมูหรอกนะ ตาแก่ขี้เถ้า
โลหะเหล็กในยุคโบราณเป็นของหายาก ราคาสูงกว่ากำไลหยกของนางเสียด้วยซ้ำ เสวียนหนี่พอมีความรู้เรื่องนี้มาบ้าง แร่โลหะเป็นสิ่งที่หายากมากในยุคโบราณ นอกจากกองทัพหรือในวังหลวง ชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางได้มาครอบครองง่าย ๆ การได้มาของถานถานเสวียนหนี่ไม่สนใจว่าเขาจะได้มาอย่างไร แต่ดูจากนิสัยที่เขามักจะพกเอาขวานเล่มนี้ติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยเสมอหมายความว่าสิ่งนี้คือของรักของเขา ฉะนั้นแล้ว หากเขาวางขวานเป็นประกัน อย่างไรเสียถานถานก็ต้องกลับมารับนางอย่างแน่นอน
"เออ ๆ ก็ได้ เจ้ารออยู่ตรงนี้เดี๋ยวข้าจะเอาไปขายแถว ๆ นี้แหละ"
เจี่ยนถานถานพูดจบก็เดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม เมื่อเขาเดินออกไปแล้วเสวียนหนี่จึงยกชามาจิบต่อรอเขาอย่างใจเย็น ในระหว่างนั้นเสียงพูดคุยของเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ดังขึ้น สร้างความสนใจให้นางเป็นอย่างมาก จึงตั้งใจเงี่ยหูฟังเงียบ ๆ
"เถ้าแก่ ท่านได้ข่าวหรือไม่ เมื่อวานนี้ซีฮันอ๋องถูกกำจัดแล้วนะ ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกฆ่าล้างตระกูลหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ"
"รู้สิ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เมื่อวานมีทหารมาติดประกาศจับคนที่หลบหนีด้วย"
"หืม ยังมีคนหลบหนีได้อีกหรือ"
"ใช่ นางเป็นลูกสาวของฉู่มู่เฉิน เป็นประกาศบรรยายลักษณะไม่มีรูปติดหรอกนะ ได้ข่าวว่านางถูกส่งไปอารามเขาต้าซานตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าใบหน้านางเป็นเช่นไร...นางชื่อว่าอะไรนะ เอ...ฉู่ ฉู่เสวียนหนี่ ใช่ ๆ ฉู่เสวียนหนี่"
เสวียนหนี่ตะลึงค้างหลังจากได้รู้ว่าตนเองเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างลูกทรราชที่กำลังหนีตาย มิหนำซ้ำนางกับเจ้าของร่างนี้ยังมีชื่อแซ่เหมือนกันเสียด้วย ยังนับว่าโชคดีที่ไม่มีใครรู้จักรูปร่างหน้าตาของเจ้าของร่าง มิน่าล่ะ...ตั้งแต่เดินเข้ามาในตลาดนางถึงยังไม่ถูกแจ้งทางการให้มาจับตัวไป
...เดี๋ยวก่อนนะ...จะไม่มีคนรู้จักใบหน้าเจ้าของร่างได้อย่างไร แล้วคนที่อารามล่ะ?
"น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้จักใบหน้านาง แม่ชีที่อารามต้าซานไม่ยอมให้ข้อมูลอะไรแก่ทางการเลยหรือ"
"เฮ้อ พูดไปแล้วก็น่าสงสารกันหมด พวกนางก็คงรักและเอ็นดูแม่นางเสวียนหนี่ผู้นั้น เพราะเลี้ยงกันมาตั้งแต่เด็ก จึงห่วงใยไม่ต่างจากลูกหลาน"
"หมายความว่าอย่างไรขอรับเถ้าแก่"
"ก่อนทหารจะเข้าไปคุมตัว บรรดาแม่ชีที่บนเขาตัดสินใจดื่มยาพิษเลือกที่จะปิดปากฆ่าตัวตายก่อนนะซี"
หลังจากฟังจนจบเสวียนหนี่น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับความทรงจำของเจ้าของร่างที่ไหลบ่าเข้ามาไม่หยุดหย่อน เริ่มตั้งแต่วัยเด็กจนถึงบัดนี้ ทุกวาจาที่มารดาและพี่ชายได้สั่งเสีย เหตุการณ์ตอนเด็กที่นำพาความอาภัพมาให้ รวมไปถึงเรื่องพู่หยกสีนิลที่ถูกขโมยไป
อนิจจา เหตุใดสตรีตัวเล็ก ๆ ถึงได้มีโชคชะตาอาภัพถึงเพียงนี้ ทั้งมารดาและแม่ชีต่างเสียสละให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ
…แต่แล้วเจ้าของร่างก็สิ้นใจตายกลางป่าโดดเดี่ยวลำพังสุดแสนเวทนา
เกล็ดน้ำตาใส ๆ ร่วงหล่นลงในจอกชา เมื่อนั้นเสวียน
หนี่จึงได้สติคืนมา ถึงแม้เจ้าของร่างจะโชคร้ายเพียงใด นางผู้เข้ามาอาศัยร่างนี้ก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ การถูกฆ่าตายด้วยวิธีโบราณมันตายอนาถเกินไป หากไม่สามารถกลับไปในโลกปัจจุบันได้แล้ว นางก็จะสานต่อความประสงค์สุดท้ายของเจ้าของร่างให้ลุล่วง นั่นคือการเดินทางไปหุบเขาอูยาแล้วมีชีวิตยืนยาวดั่งเช่นมารดาของเจ้าของร่างปรารถนาเสวียนหนี่ปาดน้ำตาออกจากแก้มนวลเนียนจนแห้งสนิทแล้วทำตัวให้เป็นปกติที่สุด นางชะเง้อมองออกไปด้านนอกยังไม่เห็นถานถานกลับมา ใจของนางเริ่มเป็นกังวลจนทำอะไรไม่ถูก กลัวเหลือเกินว่าเขาจะเห็นประกาศแล้วเดาความออกว่านางคือใคร หลังจากนั้นเขาก็คงพาทหารมาจับตัวนางไปเพื่อเอาเงินรางวัลค่าหัวเป็นการตอบแทน ในขณะที่เสวียนหนี่กำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้นได้มองขวานที่วางอยู่บนโต๊ะพลันเกิดความคิดบางอย่าง ถ้านางเอาขวานนี่หนีไปก่อนที่ถานถานจะกลับมา ก็คงจะพอขายกินดำเนินชีวิตต่อไปได้อยู่หลายวัน ยังดีกว่าเสี่ยงดวงนั่งรอเขากลับคืนมาเพื่อเปิดโปง
คิดได้ดังนั้นเสวียนหนี่จึงหยิบเอาขวานแล้วลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อกำลังจะก้าวเดินเสี่ยวเอ้อร์ที่มองเห็นท่าทางแปลก ๆ ของนางได้รีบเข้ามาขวางทางไว้ก่อน
"แม่นาง เจ้ายังไม่ได้จ่ายค่าอาหาร"
"อะ อ๋อ คือว่า...ข้าแค่จะเดินไปดูภาพวาดตรงนั้นไม่ได้ตั้งใจจะหนีแน่นอน ข้าจะรอท่านตาของข้าในโรงเตี๊ยมนี่แหละ ข้าจะไปก่อนท่านตาได้อย่างไร"
เสวียนหนี่แก้ตัวแล้วหัวเราะแก้เก้อ รีบเดินไปแหงนหน้ามองภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติที่แขวนเอาไว้ประดับข้างฝา ในหัวก็เอาแต่คิดว่าจะหนีออกจากโรงเตี๊ยมนี่ได้อย่างไร เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งได้หันกลับมามองเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ พบว่าทั้งคู่กำลังจ้องเขม็งมองมาที่นางอยู่เช่นกัน
...ให้ตายเถอะ ข้าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรละเนี่ย จับตามองข้าเสียขนาดนี้
ฉู่เสวียนหนี่เอ๋ย...ทะลุมิติมาทั้งที แทนที่จะได้เป็นคุณหนูฮูหยินเสวยสุข ไฉนตัวข้านั้นดันโผล่มาเป็นลูกทรราชหนีตาย
นางได้แต่ตัดพ้อทอดถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อหนีออกไปจากโรงเตี๊ยมนี่ไม่ได้ ทางรอดทางเดียวของนางก็คือภาวนาให้ถานถานไม่เจอประกาศจับ ถึงจะเจอก็ขอให้เขาไม่ฉลาดพอจนเดาถูกว่านางคือลูกสาวฉู่มู่เฉิน
...แต่จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อตาแก่ถานผู้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายจะตายไป
หลังจากถานถานนำกำไลหยกไปขายแล้วได้เงินมาจำนวนหนึ่ง เขาเห็นกลุ่มคนที่กำลังมุงดูประกาศจับผู้ร้ายจึงเดินเข้าไปดูอีกคน ด้วยความที่เป็นคนจรไม่รู้หนังสือจึงได้ไถ่ถามบุรุษลักษณะดูมีการศึกษาผู้หนึ่งว่า
“คุณชายท่านนี้ ข้าขอถามหน่อยเถิด ในประกาศของทางการว่าอย่างไร”
“ประกาศจับกบฏที่ร่วมกับซีฮันอ๋อง ลูกสาวกบฏฉู่มู่เฉินหนีไปได้ นางมีนามว่าฉู่เสวียนหนี่ ใครพบเห็นหญิงสาวลักษณะท่าทางดูมีพิรุธให้รีบแจ้งทางการ มีรางวัลนำจับห้าตำลึง”
"ห้าตำลึง!”
ถานถานอุทานแล้วปลีกตัวออกมาจากชาวบ้านที่กำลังมุงดูประกาศจับ เมื่อเดินห่างผู้คนออกมาไกลแล้วเขาจึงหยุดครุ่นคิดบางสิ่งแล้วพึมพำ
“นางคือลูกสาวทรราชที่กำลังหลบหนี ไม่ใช่ลูกคุณหนูหลงป่า หากข้านำตัวนางส่งให้ทางการข้าก็จะได้ห้าตำลึงเงิน รวมกับค่ากำไลหยกที่ขายไปก็เป็นสิบตำลึงเงินพอดี ฮ่า ๆ ๆ”
เขาส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน คิดเอาไว้ว่าต้องรีบดำเนินตามแผนก่อนที่จะมีคนรู้เรื่องราวของนางแล้วแจ้งทางการจับนางไปตัดหน้าเขา ชายแก่รีบสาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมด้วยความรวดเร็ว เมื่อมองเข้าไปยังเห็นเสวียนหนี่อยู่ด้านในจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เงินที่ได้จากการขายกำไลเขาเอาไปจ่ายค่าอาหารห้าร้อยอิแปะ ที่เหลืออยู่คือสี่ตำลึงเงินกับอีกห้าร้อยอิแปะ เขาเก็บเอากับไว้ตนเองอย่างดีไม่มีเจตนาจะคืนให้นางแต่อย่างใด ส่วนเสวียนหนี่ก็เอาแต่คิดแต่เรื่องที่ตนเองทะลุมิติมาเข้าร่างลูกสาวทรราชจนลืมถามไปว่าเขาขายกำไลหยกได้มามากน้อยเพียงใด จึงยังไม่ได้ทวงเงินคืนเสียเดี๋ยวนั้น
“ไปกันเถอะ”
นางเดินตามเขาไปเงียบ ๆ เห็นท่าทางปกติดีของถานถานวางใจครึ่งไม่วางใจครึ่ง เขาพานางเดินไปตามตรอกของตลาด เมื่อทั้งสองเดินมาไกลได้ระยะหนึ่งเสวียนหนี่จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
“ท่านตา ข้าว่าข้าเริ่มจะจำอะไรได้บ้างแล้ว บ้านของข้าอยู่ไม่ไกล ไม่ต้องลำบากท่านตาให้ไปส่งแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าคงกำลังรอข้า เช่นนั้นเราสองคนแยกกันตรงนี้เลยก็ได้เจ้าค่ะ”
“เกรงใจไปไย ให้ข้าไปส่งน่ะดีแล้ว”
“ไม่ ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าคงรบกวนท่านแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณในความหวังดีที่เอื้อเฟื้อแก่ข้า ข้าไปล่ะ”
“เดี๋ยวสิ”
ถานถานรั้งนางไว้ก่อนแล้วมองไปเบื้องหน้า นั่นคือจวนตระกูลฉู่ที่ถูกเผาไหม้เหลือเพียงซากปรักหักพัง และฝั่งขวามือยังมีทหารอยู่จำนวนหนึ่งที่กำลังตรวจค้นหากบฏต้องสงสัยกันอย่างเข้มข้น
“ฉู่เสวียนหนี่”
เมื่อเขาเรียกชื่อนาง นางขนลุกอย่างหวาดหวั่น แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าเชิดหน้ายกยิ้มอย่างมั่นใจตอบกลับไป
“ว่าอย่างไรเจี่ยนถานถาน”
ใบหน้าที่เคยใสซื่อปรากฏรอยยิ้มร้ายราวกับว่านางคือคนละคนกับเมื่อครู่ สิ่งที่นางแสดงออกมานั้นพลอยทำให้ถานถานมึนงงเดาทางไม่ออก เท่าที่เห็น ณ ตอนนี้สีหน้าและน้ำเสียงของนางนั้นผิดไปถนัดตาจากคนเดิม
“ท่านน่ะ จะพาข้าไปมอบให้ทางการสินะ...ตาแก่ถาน”
“...”
ประกาศจับกบฏที่โรงเตี๊ยมในตลาด ถานถานพาเสวียนหนี่มาแล้วสั่งอาหารสามอย่าง มีเป็ดพะโล้ น้ำแกงซี่โครง ไก่ย่าง และที่ขาดไม่ได้เลยคือสุราหมัก ถานถานโลภมากจึงสั่งมาทีเดียวเลยห้าไห เขานั่งทานอย่างเอร็ดอร่อยราวกับว่าไม่เคยได้ลิ้มรสของดีเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เสวียนหนี่ทานแค่พออิ่มจึงนั่งจิบชาต่อ เมื่ออิ่มแล้วถานถานได้แบมือออกมาตรงหน้านาง นางทำหน้ามึนงงสงสัยจึงถามกลับ"อะไรหรือเจ้าคะ""ข้าไม่มีค่าอาหาร เจ้าเอากำไลหยกมาให้ข้า ข้าจะเอาไปขายให้""ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ""เอ้า เจ้าจะกินอิ่มโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าอาหารหรืออย่างไรหรือจะให้ข้าเป็นคนจ่าย แค่ให้เจ้าติดตามมาและยังต้องช่วยตามหาครอบครัวเจ้าอีก เท่านี้ข้าก็เสียเวลามากแล้ว"เสวียนหนี่เห็นว่าเป็นจริงดังที่เขาบอก หากเขาจะช่วยนางตามหาครอบครัวจริงนั่นเท่ากับว่าเขาได้เสียเวลาโดยใช่เรื่อง นางถอดกำไลออกมาแล้วยื่นให้เขา ตาแก่ถานยิ้มเต็มใบหน้าก่อนจะยื่นมือออกมารับกำไลไปทว่าอีกฝ่ายยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ"มีอะไรอีกเล่า"
ตาแก่เจ้าเล่ห์"มีอะไรอีกล่ะแม่นาง""คุณไม่ใช่หุ้นส่วนหรอกหรือคะ""หุ้นส่วนอะไรของเจ้าข้าไม่เข้าใจข้าแค่มาตัดไม้ไปเผาถ่านขายก็เท่านั้นว่าแต่เจ้าเถอะมาอยู่ในป่าได้อย่างไร""...ข้ามาได้อย่างไร"เสวียนหนี่ครุ่นคิด เจ้าของธุรกิจร้านอาหารชื่อดังที่ประสบความสำเร็จจนขยายสาขามากกว่ายี่สิบสาขาและกำลังจ่อคิวขยายสาขาเพิ่มอีกสามแห่ง หญิงสาวทุ่มเทแรงกายและแรงใจในการดำเนินธุรกิจนี้เป็นอย่างมากครั้นเมื่อถึงยามสรุปผลการดำเนินงานไตรมาสแรกของปีเสวียนหนี่นั่งตรวจตราเอกสารด้วยตนเองในขณะที่ยังนั่งจดจ่อคำนวณรายรับของกิจการที่โต๊ะทำงานจู่ ๆ ก็รู้สึกง่วงซึมสาเหตุเพราะทำงานหามรุ่งหามค่ำร่างกายเหนื่อยล้าอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่ยอมพักผ่อนเลยสักงีบถึงเจ็ดวันเต็มหรืออาจจะเป็นเพราะหักโหมจนเกินไปจึงทำให้หมดสติเช่นนั้นชายแก่ที่อยู่ตรงหน้าก็คงจะเป็นคนในความฝันฉู่เสวียนหนี่นึกได้ก็รีบหยิกแขนตนเองเพื่อทดสอบว่าความฝันหรือเรื่องจริงทว่ากลับเจ็บแปลบจนต
ของถูกขโมยไปแล้วเสวียนหนี่รีบเข้ามาหาถุงผ้าสีน้ำตาลในห้องนอนของซินหยางแต่ก็ไม่พบอะไรเลย ที่นางเจอคือร่องรอยการรื้อค้นอยู่ก่อนแล้วจึงเข้าใจได้ว่ามีใครบ้างคนได้เข้ามาที่นี่ก่อนนางและได้ขโมยถุงผ้าดังกล่าวไปไม่ว่าจะหาอย่างไรก็ไม่เจอเสวียนหนี่จึงรีบวิ่งกลับไปหาซินหยางทว่าเมื่อมาถึงที่ที่ซินหยางนอนบาดเจ็บก็พบร่างของมารดานอนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาปิดสนิทไร้กระทั่งสัญญาณชีพของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เสวียนหนี่จึงรีบคลานเข้าไปกอดซินหยางไว้แน่นโหยไห้ปานจะขาดใจตายไปด้วยกันยังไม่ทันจะได้ร้องคร่ำครวญปลายดาบเล่มหนึ่งก็จ่อมาตรงหน้าพอเงยขึ้นมองเห็นว่าเป็นทหารนายหนึ่งกำลังใช้ดาบชี้มาที่นาง เขาไม่พูดพร่ำอะไรก็เตรียมตวัดดาบหมายเอาชีวิตแต่ก่อนที่ดาบคมเล่มนั้นจะได้เฉือนเนื้อหนังของนาง กลางลำตัวของทหารนายนั้นได้มีปลายดาบอีกเล่มแทงสวนทะลุจากด้านหลังเมื่อดาบถูกชักออกโลหิตสีแดงฉานพุ่งกระเซ็นอย่างสยดสยอง จากนั้นร่างของทหารก็ทรุดลงนอนตายตาเหลือกหญิงสาวอ้าปากตะลึงค้างกับภาพตรงหน้า เสียงเรียกของป๋อเหวินปลุกนา
ซูหนี่ต้องรอด...ซีฮันอ๋องถูกกำจัดแล้ว เช่นนั้นก็...ไม่นะ ท่านแม่!ฉู่เสวียนหนี่คิดในใจก่อนจะทำท่ากระโดดลงจากเกวียนคนขับเกวียนที่แม่ชีหยูถงให้ช่วยพานางหลบหนีได้หันกลับมาเห็นจังหวะที่นางกำลังจะกระโดด จึงรีบร้องห้ามปรามนางในทันที"แม่นาง แม่นางเจ้าจะลงจากเกวียนไม่ได้นะ แม่ชีหยูถงกำชับไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้เจ้าลงจากเกวียนเด็ดขาดจนกว่าจะถึงจุดหมาย"นางไม่ฟังที่เขาบอก ยังพยายามหาจังหวะเหมาะเพื่อที่จะกระโดดลงให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นคนขับเกวียนยิ่งควบล่อให้วิ่งเร็วขึ้นทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นางกระโดดลงไปสำเร็จและเร่งความเร็วเพื่อไม่ให้ทหารที่อาจจะตามมาทันพลั่ก!แต่แล้วเสวียนหนี่ก็หาวิธีกระโดดลงจนได้ร่างของนางกระแทกกับพื้นถนนขรุขระจนเกิดบาดแผลเลือดไหลบริเวณเข่าอาภรณ์สีสะอาดที่นางสวมใส่อยู่คลุกฝุ่นมอมแมม แม้ว่านางจะเจ็บแปลบไปทั้งร่างแต่เสวียนหนี่ยังยันกายลุกขึ้นวิ่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก้าวทุกก้าวแฝงไ
แสร้งเป็นคนดีอะไรตอนนี้“ป๋อเหวิน เจ้ารอข้าตรงนี้กับเสวียนหนี่ก่อน ข้ามีธุระต้องไปคุยกับแม่ชีหยูถง”“ขอรับฮูหยิน เชิญท่านฮูหยินคุยธุระตามสบาย ข้าจะรออยู่ที่นี่กับเสวียนหนี่”ป๋อเหวินรับปากแล้วหันไปยิ้มให้เสวียนหนี่อย่างรู้ใจกัน เพราะต่างก็รู้กันดีว่าเมื่อลับตาท่านแม่ไปแล้ว เสวียนหนี่จะได้รับอนุญาตให้ทานขนมได้มากเท่าที่นางพอใจพี่ป๋อเหวินไม่เคยขัดใจนางเลยสักครั้ง ไม่ว่านางจะร้องขอสิ่งใดหลังจากที่ลงเขาไปแล้ว เขาก็จะจัดการหามาให้นางในครั้งถัดไปสองพี่น้องต่างมารดา หนึ่งคนสื่อสารด้วยวาจาอีกคนสื่อสารด้วยภาษามือ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน ราวกับว่าห้วงเวลาในวัยเยาว์ของทั้งคู่ได้หวนกลับมาอีกครั้ง...ซินหยางที่แยกตัวออกมาจากทั้งสอง ได้เดินเข้ามาหาแม่ชีหยูถงในห้องนั่งสมาธิ นางเห็นแม่ชีกำลังนั่งอยู่หน้าเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ นางจึงเข้าไปคุกเข่าสักการะเทวรูปด้วยจิตศรัทธา ก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานอยู่นานความไม่สบายใจใดเล่าจะเท่าความห่วงหาอาลัยอาวรณ
ส่งนางไปอารามเจียวเหมยได้พาซินแสเจิ้งมาที่ห้องของเสวียนหนี่ ซินหยางที่กำลังเฝ้าดูอาการลูกน้อยอยู่ลุกขึ้นยืนมองคนทั้งสองด้วยแววตาประหลาดใจ ลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างบ่งบอกว่าเจียวเหมยไม่ได้ประสงค์ดีต่อนางสองแม่ลูกเป็นแน่ เจียวเหมยมองหน้าซินหยางวูบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มอย่างสมเพชเวทนา“ฮูหยินใหญ่ ท่านอาวุโสผู้นี้คือซินแสเจิ้ง ท่านพี่อนุญาตให้ข้าพาซินแสเจิ้งมาเพื่อตรวจดูดวงชะตาเสวียนหนี่”“ตรวจดูดวงชะตา?”“เจ้าค่ะ”“ลูกข้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเมื่อวาน ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ ข้ายังไม่อยากให้ใครมารบกวนนางในเวลานี้”“ถ้าเสวียนหนี่ได้ตรวจดูดวงชะตา หากพบว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับนางเราก็จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที อีกอย่างท่านพี่ก็อนุญาตแล้วเชิญฮูหยินถอยไปก่อนเถิด” เจียวเหมยตัดความรำคาญ“ไม่! ข้าไม่อนุญาต ซินแสผู้นี้เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด หากตรวจดูดวงชะตาให้เสวียนหนี่มั่วซั่วล่ะใครจะรับผิดชอบ เสวียนหนี่เป็นลูกสาวข