ประกาศจับกบฏ
ที่โรงเตี๊ยมในตลาด ถานถานพาเสวียนหนี่มาแล้วสั่งอาหารสามอย่าง มีเป็ดพะโล้ น้ำแกงซี่โครง ไก่ย่าง และที่ขาดไม่ได้เลยคือสุราหมัก ถานถานโลภมากจึงสั่งมาทีเดียวเลยห้าไห เขานั่งทานอย่างเอร็ดอร่อยราวกับว่าไม่เคยได้ลิ้มรสของดีเช่นนี้มาก่อนในชีวิต เสวียนหนี่ทานแค่พออิ่มจึงนั่งจิบชาต่อ เมื่ออิ่มแล้วถานถานได้แบมือออกมาตรงหน้านาง นางทำหน้ามึนงงสงสัยจึงถามกลับ
"อะไรหรือเจ้าคะ"
"ข้าไม่มีค่าอาหาร เจ้าเอากำไลหยกมาให้ข้า ข้าจะเอาไปขายให้"
"ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ"
"เอ้า เจ้าจะกินอิ่มโดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าอาหารหรืออย่างไร หรือจะให้ข้าเป็นคนจ่าย แค่ให้เจ้าติดตามมาและยังต้องช่วยตามหาครอบครัวเจ้าอีก เท่านี้ข้าก็เสียเวลามากแล้ว"
เสวียนหนี่เห็นว่าเป็นจริงดังที่เขาบอก หากเขาจะช่วยนางตามหาครอบครัวจริง นั่นเท่ากับว่าเขาได้เสียเวลาโดยใช่เรื่อง นางถอดกำไลออกมาแล้วยื่นให้เขา ตาแก่ถานยิ้มเต็มใบหน้าก่อนจะยื่นมือออกมารับกำไลไป ทว่าอีกฝ่ายยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อยง่าย ๆ
"มีอะไรอีกเล่า"
"ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าท่านจะไม่เอากำไลข้าไปแล้วหนีหาย"
"เหอะ ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร สุราข้ายังวางอยู่ที่นี่ตั้ง 3 ไห อย่างไรข้าก็ต้องกลับมาเอาสิ"
"...เช่นนั้นเอาขวานที่เหน็บอยู่เอววางไว้ตรงนี้"
"หา เจ้า!"
"ขวานที่ทำจากโลหะเหล็กกับกำไลหยกของข้าราคาน่าจะสูสีกัน หากท่านไม่มีเจตนาชวดเงินค่ากำไลข้าก็จงเอาขวานของท่านมาเป็นประกัน ทำเช่นนั้นข้าก็จะแน่ใจได้ว่าท่านจะกลับมารับข้าจริง ๆ"
...หึ ข้าไม่ใช่หมูหรอกนะ ตาแก่ขี้เถ้า
โลหะเหล็กในยุคโบราณเป็นของหายาก ราคาสูงกว่ากำไลหยกของนางเสียด้วยซ้ำ เสวียนหนี่พอมีความรู้เรื่องนี้มาบ้าง แร่โลหะเป็นสิ่งที่หายากมากในยุคโบราณ นอกจากกองทัพหรือในวังหลวง ชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางได้มาครอบครองง่าย ๆ การได้มาของถานถานเสวียนหนี่ไม่สนใจว่าเขาจะได้มาอย่างไร แต่ดูจากนิสัยที่เขามักจะพกเอาขวานเล่มนี้ติดตัวไปไหนต่อไหนด้วยเสมอหมายความว่าสิ่งนี้คือของรักของเขา ฉะนั้นแล้ว หากเขาวางขวานเป็นประกัน อย่างไรเสียถานถานก็ต้องกลับมารับนางอย่างแน่นอน
"เออ ๆ ก็ได้ เจ้ารออยู่ตรงนี้เดี๋ยวข้าจะเอาไปขายแถว ๆ นี้แหละ"
เจี่ยนถานถานพูดจบก็เดินออกไปนอกโรงเตี๊ยม เมื่อเขาเดินออกไปแล้วเสวียนหนี่จึงยกชามาจิบต่อรอเขาอย่างใจเย็น ในระหว่างนั้นเสียงพูดคุยของเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ดังขึ้น สร้างความสนใจให้นางเป็นอย่างมาก จึงตั้งใจเงี่ยหูฟังเงียบ ๆ
"เถ้าแก่ ท่านได้ข่าวหรือไม่ เมื่อวานนี้ซีฮันอ๋องถูกกำจัดแล้วนะ ใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกฆ่าล้างตระกูลหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ"
"รู้สิ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เมื่อวานมีทหารมาติดประกาศจับคนที่หลบหนีด้วย"
"หืม ยังมีคนหลบหนีได้อีกหรือ"
"ใช่ นางเป็นลูกสาวของฉู่มู่เฉิน เป็นประกาศบรรยายลักษณะไม่มีรูปติดหรอกนะ ได้ข่าวว่านางถูกส่งไปอารามเขาต้าซานตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าใบหน้านางเป็นเช่นไร...นางชื่อว่าอะไรนะ เอ...ฉู่ ฉู่เสวียนหนี่ ใช่ ๆ ฉู่เสวียนหนี่"
เสวียนหนี่ตะลึงค้างหลังจากได้รู้ว่าตนเองเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างลูกทรราชที่กำลังหนีตาย มิหนำซ้ำนางกับเจ้าของร่างนี้ยังมีชื่อแซ่เหมือนกันเสียด้วย ยังนับว่าโชคดีที่ไม่มีใครรู้จักรูปร่างหน้าตาของเจ้าของร่าง มิน่าล่ะ...ตั้งแต่เดินเข้ามาในตลาดนางถึงยังไม่ถูกแจ้งทางการให้มาจับตัวไป
...เดี๋ยวก่อนนะ...จะไม่มีคนรู้จักใบหน้าเจ้าของร่างได้อย่างไร แล้วคนที่อารามล่ะ?
"น่าแปลกที่ไม่มีใครรู้จักใบหน้านาง แม่ชีที่อารามต้าซานไม่ยอมให้ข้อมูลอะไรแก่ทางการเลยหรือ"
"เฮ้อ พูดไปแล้วก็น่าสงสารกันหมด พวกนางก็คงรักและเอ็นดูแม่นางเสวียนหนี่ผู้นั้น เพราะเลี้ยงกันมาตั้งแต่เด็ก จึงห่วงใยไม่ต่างจากลูกหลาน"
"หมายความว่าอย่างไรขอรับเถ้าแก่"
"ก่อนทหารจะเข้าไปคุมตัว บรรดาแม่ชีที่บนเขาตัดสินใจดื่มยาพิษเลือกที่จะปิดปากฆ่าตัวตายก่อนนะซี"
หลังจากฟังจนจบเสวียนหนี่น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับความทรงจำของเจ้าของร่างที่ไหลบ่าเข้ามาไม่หยุดหย่อน เริ่มตั้งแต่วัยเด็กจนถึงบัดนี้ ทุกวาจาที่มารดาและพี่ชายได้สั่งเสีย เหตุการณ์ตอนเด็กที่นำพาความอาภัพมาให้ รวมไปถึงเรื่องพู่หยกสีนิลที่ถูกขโมยไป
อนิจจา เหตุใดสตรีตัวเล็ก ๆ ถึงได้มีโชคชะตาอาภัพถึงเพียงนี้ ทั้งมารดาและแม่ชีต่างเสียสละให้นางมีชีวิตอยู่ต่อ
…แต่แล้วเจ้าของร่างก็สิ้นใจตายกลางป่าโดดเดี่ยวลำพังสุดแสนเวทนา
เกล็ดน้ำตาใส ๆ ร่วงหล่นลงในจอกชา เมื่อนั้นเสวียน
หนี่จึงได้สติคืนมา ถึงแม้เจ้าของร่างจะโชคร้ายเพียงใด นางผู้เข้ามาอาศัยร่างนี้ก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อให้ได้ การถูกฆ่าตายด้วยวิธีโบราณมันตายอนาถเกินไป หากไม่สามารถกลับไปในโลกปัจจุบันได้แล้ว นางก็จะสานต่อความประสงค์สุดท้ายของเจ้าของร่างให้ลุล่วง นั่นคือการเดินทางไปหุบเขาอูยาแล้วมีชีวิตยืนยาวดั่งเช่นมารดาของเจ้าของร่างปรารถนาเสวียนหนี่ปาดน้ำตาออกจากแก้มนวลเนียนจนแห้งสนิทแล้วทำตัวให้เป็นปกติที่สุด นางชะเง้อมองออกไปด้านนอกยังไม่เห็นถานถานกลับมา ใจของนางเริ่มเป็นกังวลจนทำอะไรไม่ถูก กลัวเหลือเกินว่าเขาจะเห็นประกาศแล้วเดาความออกว่านางคือใคร หลังจากนั้นเขาก็คงพาทหารมาจับตัวนางไปเพื่อเอาเงินรางวัลค่าหัวเป็นการตอบแทน ในขณะที่เสวียนหนี่กำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้นได้มองขวานที่วางอยู่บนโต๊ะพลันเกิดความคิดบางอย่าง ถ้านางเอาขวานนี่หนีไปก่อนที่ถานถานจะกลับมา ก็คงจะพอขายกินดำเนินชีวิตต่อไปได้อยู่หลายวัน ยังดีกว่าเสี่ยงดวงนั่งรอเขากลับคืนมาเพื่อเปิดโปง
คิดได้ดังนั้นเสวียนหนี่จึงหยิบเอาขวานแล้วลุกขึ้นยืน ทว่าเมื่อกำลังจะก้าวเดินเสี่ยวเอ้อร์ที่มองเห็นท่าทางแปลก ๆ ของนางได้รีบเข้ามาขวางทางไว้ก่อน
"แม่นาง เจ้ายังไม่ได้จ่ายค่าอาหาร"
"อะ อ๋อ คือว่า...ข้าแค่จะเดินไปดูภาพวาดตรงนั้นไม่ได้ตั้งใจจะหนีแน่นอน ข้าจะรอท่านตาของข้าในโรงเตี๊ยมนี่แหละ ข้าจะไปก่อนท่านตาได้อย่างไร"
เสวียนหนี่แก้ตัวแล้วหัวเราะแก้เก้อ รีบเดินไปแหงนหน้ามองภาพวาดทิวทัศน์ธรรมชาติที่แขวนเอาไว้ประดับข้างฝา ในหัวก็เอาแต่คิดว่าจะหนีออกจากโรงเตี๊ยมนี่ได้อย่างไร เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งได้หันกลับมามองเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ พบว่าทั้งคู่กำลังจ้องเขม็งมองมาที่นางอยู่เช่นกัน
...ให้ตายเถอะ ข้าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรละเนี่ย จับตามองข้าเสียขนาดนี้
ฉู่เสวียนหนี่เอ๋ย...ทะลุมิติมาทั้งที แทนที่จะได้เป็นคุณหนูฮูหยินเสวยสุข ไฉนตัวข้านั้นดันโผล่มาเป็นลูกทรราชหนีตาย
นางได้แต่ตัดพ้อทอดถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเมื่อหนีออกไปจากโรงเตี๊ยมนี่ไม่ได้ ทางรอดทางเดียวของนางก็คือภาวนาให้ถานถานไม่เจอประกาศจับ ถึงจะเจอก็ขอให้เขาไม่ฉลาดพอจนเดาถูกว่านางคือลูกสาวฉู่มู่เฉิน
...แต่จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ในเมื่อตาแก่ถานผู้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายจะตายไป
หลังจากถานถานนำกำไลหยกไปขายแล้วได้เงินมาจำนวนหนึ่ง เขาเห็นกลุ่มคนที่กำลังมุงดูประกาศจับผู้ร้ายจึงเดินเข้าไปดูอีกคน ด้วยความที่เป็นคนจรไม่รู้หนังสือจึงได้ไถ่ถามบุรุษลักษณะดูมีการศึกษาผู้หนึ่งว่า
“คุณชายท่านนี้ ข้าขอถามหน่อยเถิด ในประกาศของทางการว่าอย่างไร”
“ประกาศจับกบฏที่ร่วมกับซีฮันอ๋อง ลูกสาวกบฏฉู่มู่เฉินหนีไปได้ นางมีนามว่าฉู่เสวียนหนี่ ใครพบเห็นหญิงสาวลักษณะท่าทางดูมีพิรุธให้รีบแจ้งทางการ มีรางวัลนำจับห้าตำลึง”
"ห้าตำลึง!”
ถานถานอุทานแล้วปลีกตัวออกมาจากชาวบ้านที่กำลังมุงดูประกาศจับ เมื่อเดินห่างผู้คนออกมาไกลแล้วเขาจึงหยุดครุ่นคิดบางสิ่งแล้วพึมพำ
“นางคือลูกสาวทรราชที่กำลังหลบหนี ไม่ใช่ลูกคุณหนูหลงป่า หากข้านำตัวนางส่งให้ทางการข้าก็จะได้ห้าตำลึงเงิน รวมกับค่ากำไลหยกที่ขายไปก็เป็นสิบตำลึงเงินพอดี ฮ่า ๆ ๆ”
เขาส่งเสียงหัวเราะอย่างเบิกบาน คิดเอาไว้ว่าต้องรีบดำเนินตามแผนก่อนที่จะมีคนรู้เรื่องราวของนางแล้วแจ้งทางการจับนางไปตัดหน้าเขา ชายแก่รีบสาวเท้าเดินมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมด้วยความรวดเร็ว เมื่อมองเข้าไปยังเห็นเสวียนหนี่อยู่ด้านในจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เงินที่ได้จากการขายกำไลเขาเอาไปจ่ายค่าอาหารห้าร้อยอิแปะ ที่เหลืออยู่คือสี่ตำลึงเงินกับอีกห้าร้อยอิแปะ เขาเก็บเอากับไว้ตนเองอย่างดีไม่มีเจตนาจะคืนให้นางแต่อย่างใด ส่วนเสวียนหนี่ก็เอาแต่คิดแต่เรื่องที่ตนเองทะลุมิติมาเข้าร่างลูกสาวทรราชจนลืมถามไปว่าเขาขายกำไลหยกได้มามากน้อยเพียงใด จึงยังไม่ได้ทวงเงินคืนเสียเดี๋ยวนั้น
“ไปกันเถอะ”
นางเดินตามเขาไปเงียบ ๆ เห็นท่าทางปกติดีของถานถานวางใจครึ่งไม่วางใจครึ่ง เขาพานางเดินไปตามตรอกของตลาด เมื่อทั้งสองเดินมาไกลได้ระยะหนึ่งเสวียนหนี่จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
“ท่านตา ข้าว่าข้าเริ่มจะจำอะไรได้บ้างแล้ว บ้านของข้าอยู่ไม่ไกล ไม่ต้องลำบากท่านตาให้ไปส่งแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าคงกำลังรอข้า เช่นนั้นเราสองคนแยกกันตรงนี้เลยก็ได้เจ้าค่ะ”
“เกรงใจไปไย ให้ข้าไปส่งน่ะดีแล้ว”
“ไม่ ไม่ต้องเจ้าค่ะ ข้าคงรบกวนท่านแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณในความหวังดีที่เอื้อเฟื้อแก่ข้า ข้าไปล่ะ”
“เดี๋ยวสิ”
ถานถานรั้งนางไว้ก่อนแล้วมองไปเบื้องหน้า นั่นคือจวนตระกูลฉู่ที่ถูกเผาไหม้เหลือเพียงซากปรักหักพัง และฝั่งขวามือยังมีทหารอยู่จำนวนหนึ่งที่กำลังตรวจค้นหากบฏต้องสงสัยกันอย่างเข้มข้น
“ฉู่เสวียนหนี่”
เมื่อเขาเรียกชื่อนาง นางขนลุกอย่างหวาดหวั่น แต่ก็ยังรวบรวมความกล้าเชิดหน้ายกยิ้มอย่างมั่นใจตอบกลับไป
“ว่าอย่างไรเจี่ยนถานถาน”
ใบหน้าที่เคยใสซื่อปรากฏรอยยิ้มร้ายราวกับว่านางคือคนละคนกับเมื่อครู่ สิ่งที่นางแสดงออกมานั้นพลอยทำให้ถานถานมึนงงเดาทางไม่ออก เท่าที่เห็น ณ ตอนนี้สีหน้าและน้ำเสียงของนางนั้นผิดไปถนัดตาจากคนเดิม
“ท่านน่ะ จะพาข้าไปมอบให้ทางการสินะ...ตาแก่ถาน”
“...”
จดหมายจากทางไกล (จบ)“ฮูหยินเจ้าคะเมื่อเช้านี้คนเฝ้าประตูหุบเขานำจดหมายและของมาฝากให้ฮูหยินเจ้าค่ะ บอกว่าได้มาจากขบวนพ่อค้าผ่านทาง”สาวใช้วางจดหมายไว้บนโต๊ะแล้วก็เดินออกจากห้องไปเงียบ ๆ ข้างจดหมายนั้นยังมีกล่องไม้ขนาดไม่ใหญ่มากเสวียนหนี่เปิดกล่องไม้ดูข้างในพบว่าเป็นผ้าบุหนาพันห่อบางสิ่งไว้อย่างดี สัมผัสยังชุ่มชื้นคล้ายกับว่ามีการพรมน้ำไว้ตลอดเวลา เมื่อนางเปิดผ้าห่อออกเห็นว่าสิ่งของข้างในคือกิ่งพันธุ์ของพืชชนิดหนึ่งจึงรีบคลี่จดหมายออกดู เนื้อความข้างในจดหมายได้เขียนบรรยายไว้ว่า…ข้าถึงแคว้นฉินอย่างปลอดภัยแล้วระหว่างทางมาแคว้นฉินข้าได้รู้จักกับพ่อค้าผู้หนึ่ง เขามีโรงย้อมอยู่ในเขตอำเภอเล็ก ๆ และได้รับข้าเข้าทำงานที่โรงย้อม หวังว่าจากนี้ชีวิตของข้าจะพบกับความสงบสุขอย่างที่เจ้าเคยกล่าวไว้ สิ่งที่ข้าฝากมาในกล่องคือกิ่งพันธุ์ฝูเถาพืชชนิดนี้ที่แคว้นฉินมีราคาแพงมาก เจ้าชอบเพาะปลูก ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะพึงพอใจข้าซื้อกิ
ปรารถนาให้ดอกไม้งามได้ผลิบาน“ข้าหวังเพียงว่าจากนี้ไปเจ้าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างดีและมีความสุข ไม่ใช่แค่เจ้าที่คิดว่าข้าเป็นเหมือนคนในครอบครัวแต่ข้าเองก็คิดอย่างนั้น…ข้าอยากเห็นเจ้ามีความสุข”คำพูดคำจาของถานถานฟังแล้วต่างจากเดิมมาก เขาไม่ใช่ตาแก่ไร้สาระของนางอีกต่อไปแล้วเขาพูดสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่นก็เป็นเช่นกันแต่น้อยครั้งนักที่ถานถานจะเอ่ยวาจาได้ตรงกับใจอย่างนี้ส่วนมากเขามักจะเฉไฉและวางท่าคิดอย่างไรก็ไม่เคยแสดงออกอย่างเปิดเผย"แล้วเจ้าเด็กวุ่นวายนั่น""หมายถึงเพียนเพียนน่ะหรือเจ้าคะ อย่าห่วงเลย ตอนนี้ได้คุณหนูฟางจิงดูแลคุณหนูทั้งสอนหนังสือและเรื่องต่าง ๆ ให้นางอย่างดี เพียนเพียนจะต้องเติบโตได้ดีแน่เอาไว้ว่าง ๆ ข้าจะพานางไปเยี่ยมเยือนท่านที่ไร่นะเจ้าคะ" "อืมงั้นข้าไปละนะ ข้างในนี้ต้องเป็นของดีแน่ ๆ คิดแล้วน้ำลายไหล"เขาชูถุงผ้าขึ้นพลางหัวเราะร่า
คำขอร้องของหลีเหว่ยไม่จำเป็นต้องหลบหลังพุ่มไม้อีกต่อไปแล้วครั้งนี้เขาเดินอย่างองอาจเข้าไปในเรือน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าฟางจิงจึงได้หันกลับมามองยังต้นเสียงเห็นว่าคนที่มาคือหลีเหว่ยนางก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากวันสำคัญเช่นนี้เขาควรจะเฉลิมฉลองอยู่ที่เรือนหลักกับคนอื่น ๆ นานแล้วที่นางและเขาไม่ได้เจอกันเลย ครั้งล่าสุดเห็นจะเป็นตอนที่ปิดล้อมจับห่าวอู๋ แต่ก็แค่เห็นผ่านตาเพียงเท่านั้นไม่ได้มีการพูดคุยกันสักครึ่งคำก่อนที่ฟางจิงจะถูกรถม้าทับเขาและนางมีความสนิทสนมกันที่สุดแทบจะเรียกได้ว่าสนิมเทียบเท่าผู้เป็นพี่ชายแท้ ๆหลังจากที่อี้เฉินถูกส่งให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาตี้จิวแล้วหลีเหว่ยก็ติดตามไปเป็นสหายร่วมเรียนฟางจิงและเขาก็ค่อย ๆ ห่างเหินกันไปตามกาลเวลาพอสำเร็จการศึกษาหวนคืนหุบเขานางก็ตีตัวออกหากเขาไปเรื่อย ๆไม่สนิทสนมอย่างเดิมแล้วจนปัจจุบันเหมือนคนเคยคุ้นที่อาศัยร่วมจวนเดียวกัน“นานมาแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน วัน
คำตอบของอี้เฉิน“ไปหาเจี่ยนถานถานมาเป็นอย่างไรบ้าง" อี้เฉินถามคำพูดของพ่อค้าสองคนนั้นยังก้องอยู่ในหู เสวียนหนี่จึงยังไม่ทันได้ฟังที่เขาพูด นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นบะหมี่วนอยู่ในชาม พอเห็นว่าอีกคนไม่ตอบคำถามเขาจึงเรียกชื่อนางซ้ำให้ดังขึ้น“เสวียนหนี่”“เจ้าคะ”หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเงยหน้ามองบุรุษที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน“ไม่หิวหรือ"“อ๋อข้ายังไม่หิวเจ้าค่ะ”“อย่างนี้นี่เองเช่นนั้นเรากลับจวนกันเถอะ”กลับถึงจวนตระกูลหงก็ใกล้ตะวันตกดิน ที่ศาลาเห็นหลีเหว่ยและโม่โฉวกำลังนั่งเล่นหมากล้อม พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนมองมาทางเสวียนหนี่และอี้เฉินด้วยแววตาสงสัยคาดไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้เห็นทั้งคู่เดินเคียงกันมา"กลับมาแล้วหรือขอรับ"หลีเหว่ยทักทาย ประมุขหนุ่มมองตอบเพียงเท่านั้นแล้วเดินตรงเข้าไปในเรือน“เจ้ายังไม่กลับเรือนกุ้ยเ
เกิดอะไรกับห่าวอู๋สีหน้าของฟางจิงดูสลดลงโม่โฉวบอกกับอี้เฉินว่าความพิการทางร่างกายของนางไม่ได้หนักหนา สิ่งที่ทำให้นางยังไม่สามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้นั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจไม่ว่าพี่ชายจะเสาะแสวงหาแพทย์ที่เก่งกาจเพียงใดมารักษาก็ไม่เป็นผลฟางจิงไม่ให้ความร่วมมือนางหวาดกลัวที่จะลุกขึ้นเดินอีกครั้งเสียงเย้ยหยันของผู้คนในอดีตที่ผ่านมาทำให้นางไม่กล้าลุกขึ้นสู้นางกลัวความผิดพลาดกลัวว่าหากลุกขึ้นมาใหม่แล้วต้องล้มลงไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะต้องอับอาย"รักษาเถิดกลัวไปไยพี่จะคอยอยู่ข้าง ๆ เจ้าเอง""...ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ก็พอใจดีอยู่แล้ววันนี้ข้ารู้สึกเวียนหัวขอตัวพักเอาแรงสักงีบ"ทุกครั้งที่พูดเรื่องบำบัดรักษาฟางจิงก็มักจะเลี่ยงตลอดอี้เฉินเองก็อ่อนใจเต็มทีเขามองตามร่างของน้องสาวที่เคลื่อนรถเข็นเข้าไปในเรือนแล้วถอนหายใจกลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าในระหว่างที่เขามองตามฟางจิงอยู่นั้นเสวียนหนี่เดินมาทางด้านหลังเขาตั
ส่งซูหนี่“พี่สาวเจ้ามาลาข้าแล้ว”เมื่อวานนี้ซูหนี่ได้เข้ามาหาเขา แล้วก็แสดงเจตนาว่าอยากออกจากหุบเขา ดังนั้นอี้เฉินจึงพูดขึ้นเพื่ออยากรู้ว่าเสวียนหนี่ทราบเรื่องนี้แล้วหรือยัง พอได้ฟังนางแสดงสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที“ข้าไม่ได้ไล่นางไปนะเจ้าคะ แล้วก็ไม่ได้ตีนางด้วย”“ข้าก็ไม่ได้บอกว่าเจ้าไล่หรือตีนางเสียหน่อย”ท่าทางรีบร้อนแก้ต่างให้ตนเองของนางทำให้ดูลุกลนจนเกินไปอี้เฉินทำหน้าเหมือนผู้ใหญ่กำลังดุเด็กแล้วพูดต่อ“แต่ถึงเจ้าไม่ไล่ข้าก็ไล่นางออกไปอยู่ดี”หญิงสาวพูดไม่ออกเดิมทีอี้เฉินก็ไม่ไว้หน้าผู้ใดอยู่แล้วยิ่งเป็นซูหนี่ที่เคยอยู่ฝ่ายเดียวกันกับห่าวอู๋มาก่อนก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเขาจะไว้ไมตรีด้วยความที่ชายหนุ่มมองคนขาดตั้งแต่แรกเริ่มจึงไม่ได้ให้ความเชื่ออกเชื่อใจใครโดยง่ายหากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวังเขาเชื่ออย่างนั้นเป็นมิตรได้วันหนึ่งก็อาจเปลี่ยนไปเป็นศัตรู หรือบางรายเป็นศ