หลังจากที่ได้รับโอกาสจากคุณธนวินท์ให้เป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบภายในให้กับโครงการโรงแรมแห่งใหม่ ชีวิตของฉันก็ดูมีสีสันและท้าทายมากขึ้น ฉันรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะได้ทำตามความฝันที่เคยทิ้งไปในวันแรกของการทำงานที่บริษัทของคุณธนวินท์ ฉันตื่นแต่เช้าเป็นพิเศษ เลือกชุดทำงานที่ดูสุภาพแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ ฉันลงมาทานอาหารเช้าพร้อมกับภูผาและน้องไทม์ ใบหน้าของฉันเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างที่ภูผาก็สังเกตเห็น“ดูเธอมีความสุขนะวันนี้” ภูผาเอ่ยขึ้นเบา ๆฉันยิ้มให้เขา “ค่ะ ฉันดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่รักอีกครั้ง”ภูผาพยักหน้าเล็กน้อย “ตั้งใจทำงานนะ”คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นในใจ ฉันรู้ว่าเขาสนับสนุนฉัน แม้จะไม่ได้พูดอะไรมากนักหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ภูผาขับรถไปส่งฉันที่บริษัทของคุณธนวินท์ ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารสูงใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อมาถึง ฉันก้าวลงจากรถด้วยความรู้สึกตื่นเต้นระคนประหม่าเลขาของคุณธนวินท์มารอต้อนรับฉันอยู่หน้าลิฟต์ เธอพาฉันขึ้นไปยังชั้นที่ตั้งของสำนักงานออกแบบภายใน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทันสมัยและสวยงาม“สวัสดีค่ะคุณลินิน ดิฉันชื่อกานดาค่ะ ยินดีต้อนรับสู่บริษัทของเรานะคะ” เลขากาน
ความสุขเล็ก ๆ ในแต่ละวันที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของภูผา ทำให้หัวใจของฉันเบ่งบานอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ฉันเริ่มเชื่อแล้วว่าความรักสามารถก่อตัวขึ้นได้ในรูปแบบที่ไม่คาดคิด และความผูกพันที่เราสามคนมีให้กันนั้น งดงามไม่แพ้ครอบครัวอื่น ๆ เลยในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังดูแลน้องไทม์อยู่ในห้องนั่งเล่น เสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น เมื่อมองดูหน้าจอ ฉันเห็นว่าเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย“สวัสดีค่ะ” ฉันรับสาย“คุณลินินใช่ไหมคะ” ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ฟังดูเป็นทางการ“ใช่ค่ะ”“ดิฉันชื่อกานดา เป็นเลขาของคุณธนวินท์ค่ะ”ฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ‘คุณธนวินท์? เจ้าของโรงแรมที่ภูผาเคยแนะนำให้รู้จักในงานเลี้ยง?’“มีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” ฉันถามออกไปอย่างสุภาพ“คือคุณธนวินท์ต้องการจะขอเรียนเชิญคุณลินินไปเป็นที่ปรึกษาด้านการออกแบบภายในให้กับโครงการโรงแรมแห่งใหม่ของท่านค่ะ” เลขาของคุณธนวินท์บอกฉันถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะมีโอกาสแบบนี้เข้ามาในชีวิต “ที่ปรึกษาด้านการออกแบบภายในอย่างนั้นหรือคะ”“ใช่ค่ะ คุณธนวินท์ได้เห็นผลงานการจัดดอกไม้ของคุณลินินในงานเลี้ยงเมื่อวันก่อน และท่านชื่นชมในรสนิยมและคว
หลังจากคืนนั้นที่ภูผาเผยความอ่อนแอและความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง กำแพงน้ำแข็งที่เคยขวางกั้นระหว่างเราได้ทลายลงไปเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงความเข้าใจและความผูกพันที่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวันภูผาไม่ได้กลับบ้านดึกดื่นเหมือนเมื่อก่อน เขามักจะใช้เวลาช่วงเย็นอยู่กับฉันและน้องไทม์ เราสามคนกลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบในแบบของเราเอง แม้จะไม่ได้เริ่มต้นจากความรักแบบคู่รัก แต่ความผูกพันที่เกิดขึ้นก็งดงามไม่แพ้กันในตอนเช้า ภูผามักจะลงมาทานอาหารเช้าพร้อมกับฉันและน้องไทม์เสมอ เขามักจะแกล้งน้องไทม์เบา ๆ ทำให้น้องไทม์หัวเราะคิกคัก และบางครั้งเขาก็จะเหลือบมามองฉันด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ที่ทำให้หัวใจของฉันเต้นระรัวฉันยังคงทำงานที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ แห่งนั้น เพราะฉันรู้สึกว่าการได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอก การได้พบปะผู้คน ทำให้ฉันรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง และได้พิสูจน์ให้ภูผาเห็นว่าฉันไม่ได้ต้องการพึ่งพาเขาไปเสียทุกอย่างในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังกลับจากทำงานที่ร้านกาแฟ ฉันเห็นภูผาและน้องไทม์กำลังเล่นฟุตบอลกันอยู่ในสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์ น้องไทม์วิ่งไล่เตะลูกฟุตบอลอย่างสนุกสนาน ส่วนภูผาก็วิ่งต
หลังจากวันที่ภูผาป่วยและฉันได้ดูแลเขา ความสัมพันธ์ของเราก็ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ความเย็นชาที่เคยมีระหว่างเราค่อย ๆ สลายไป แทนที่ด้วยความเข้าใจและความห่วงใยที่มากขึ้น ภูผาไม่ได้เก็บตัวอยู่ในห้องทำงานตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน แต่เขามักจะมาใช้เวลาอยู่ในห้องนั่งเล่น หรือห้องสมุดที่ฉันอยู่ด้วยในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุด ภูผาเดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารกองโต เขาเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานเล็ก ๆ มุมห้อง และเริ่มทำงานอย่างเงียบ ๆฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งคราว สังเกตเห็นว่าวันนี้ภูผาดูเคร่งเครียดกว่าปกติ ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวเล็กน้อย และเขามักจะนวดขมับอยู่บ่อยครั้งฉันตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปหาเขาช้า ๆ “คุณดูเหนื่อย ๆ นะคะ มีอะไรรึเปล่าคะ”ภูผาเงยหน้าขึ้นมองฉัน ดวงตาของเขามีความเหนื่อยล้าปรากฏอยู่ “ก็แค่… เรื่องงานนิดหน่อย” เขาตอบเสียงแผ่ว“คุณควรพักผ่อนบ้างนะคะ” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเป็นห่วง “อย่าหักโหมมากเกินไป”ภูผาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ “ฉันรู้” เขาพูดต่อ “แต่บางครั้งมันก็เลี่ยงไม่ได้”ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ ฉันรู้ดีว่าเขาทุ่มเทให้กับงานมากแค่ไหน โดยเฉพาะหลังจากที่บริษัทข
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันอยู่เฝ้าไข้ภูผาทั้งคืน คอยเช็ดตัวและเปลี่ยนผ้าชุบน้ำเย็นบนหน้าผากให้เขาเป็นระยะ ไข้ของเขาลดลงเล็กน้อยในช่วงเช้าตรู่ แต่เขาก็ยังคงหลับไม่สนิท และมีอาการกระสับกระส่ายเป็นบางครั้งเมื่อแสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้อง ภูผาเริ่มลืมตาขึ้นช้า ๆ ดวงตาของเขายังคงดูอ่อนเพลีย แต่ก็มีความรู้สึกบางอย่างที่ฉันไม่อาจเข้าใจปรากฏอยู่“ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ” ฉันถามเบา ๆภูผาพยักหน้าเล็กน้อย “อืม” เขาตอบเสียงแผ่ว “ขอบคุณนะลินิน”คำพูดของเขาทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นในใจ ฉันยิ้มให้เขาเล็กน้อย“คุณพักผ่อนอีกหน่อยนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมอาหารเช้าอ่อน ๆ มาให้” ฉันบอกเขาภูผาพยักหน้ารับคำ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ฉันเดินออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบ ๆ เพื่อไปเตรียมอาหารเช้าให้เขาหลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็กลับเข้ามาในห้องนอนพร้อมกับข้าวต้มร้อน ๆ และน้ำส้มหนึ่งแก้ว ภูผานั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย“กินก่อนนะคะ” ฉันยื่นถ้วยข้าวต้มให้เขาภูผารับถ้วยข้าวต้มมาถือไว้ แต่เขาก็ยังคงมองฉันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม“ทำไมเธอถึงอยู่ดูแลฉัน” ภูผาถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ท
หลังจากงานเลี้ยงที่ทำให้ฉันได้พบกับเพื่อนเก่า และคำพูดของภูผาที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น ความสัมพันธ์ของเราดูเหมือนจะก้าวไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างช้า ๆ ภูผาอาจจะไม่ได้พูดคำหวาน แต่การกระทำของเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นในใจมากขึ้นทุกวันในวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังเตรียมตัวจะออกไปทำงานที่ร้านกาแฟ ฉันเห็นภูผาเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น ใบหน้าของเขาดูซีดเซียว และมีเหงื่อซึมที่หน้าผาก“คุณภูผาคะ ไม่สบายหรือเปล่าคะ” ฉันถามด้วยความรู้สึกเป็นห่วงภูผาส่ายหน้าเล็กน้อย “นิดหน่อย” เขาตอบเสียงแผ่ว “แค่รู้สึกมึน ๆ”ฉันเดินเข้าไปใกล้เขา สัมผัสหน้าผากของเขาเบา ๆ “ตัวร้อนจี๋เลยค่ะ คุณเป็นไข้แน่ ๆ”“ไม่เป็นไรหรอก” เขาพยายามจะปฏิเสธ “เดี๋ยวก็หาย”“ไม่ได้นะคะ คุณควรไปหาหมอ หรือไม่ก็พักผ่อนก่อน” ฉันยืนกราน “ฉันจะโทรบอกเลขาคุณให้เลื่อนนัดประชุมออกไปก่อนดีไหมคะ”ภูผาถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ “ไม่จำเป็นหรอก” เขากำลังจะเดินจากไป แต่จู่ ๆ เขาก็เซเล็กน้อย ตัวเขาโอนเอนจนเกือบจะล้มลงฉันรีบเข้าไปประคองเขาไว้ทันที “คุณภูผา!”ใบหน้าของภูผาซีดเผือดลงกว่าเดิม ดวงตาของเขาดูโรยรา เขาพยายามจะยืนให้ตรง แต่ร่างกา