LOGINในชั่วขณะที่ความเจ็บปวดที่ฉีกกระชากร่างทำให้นางเผลอหลุดเสียงครวญออกมา มันคือเสียงที่แตกพร่า เป็นการสูญสิ้นพรหมจรรย์ การสูญสิ้นความเป็นองค์หญิงรัชทายาท และการสูญสิ้นตัวตนสุดท้ายที่นางเคยมี น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินออกจากหางตาอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่หยาดน้ำตาแห่งความเสียใจ...
มันคือหยาดน้ำตาแห่งความแค้นที่เดือดพล่านจนกลั่นตัวออกมา!
ในครู่ยามที่เขาพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนาง ความเจ็บปวดทางกายก็ได้ถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความอัปยศ มันกลายเป็นเหล็กในที่ลุกโชน จารึกลงไปในส่วนที่ลึกที่สุดของดวงวิญญาณ นางไม่ได้แตกสลาย แต่นางกำลังถูกตีตรา ถูกหลอมขึ้นมาใหม่
ราตรีนั้นยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุด
พยัคฆ์ร้ายปรนเปรอความปรารถนาของตนบนร่างของนางครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทุกการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยพละกำลังอันดิบเถื่อน ทุกสัมผัสคือการตอกย้ำถึงอำนาจและความเป็นเจ้าของ
นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา คือปีศาจร้ายที่เขาจองจำไว้ในส่วนลึกของจิตใจมานานนับสิบปี ปีศาจร้ายที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยความรู้สึกผิดและความล้มเหลวในอดีต บัดนี้มันได้ถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว
หลี่เฉียงต้องการจะลบเลือนความเป็นองค์หญิงมู่ตานให้สิ้นซาก แต่ยิ่งกว่านั้นเขาต้องการจะทำลายแววตาที่ทระนงองอาจ ทำลายความแข็งแกร่งที่ไม่ยอมก้มหัว ทำลายทุกสิ่งที่ทำให้นางแตกต่าง ทำลายภาพสะท้อนของความล้มเหลวที่เขากำลังมองเห็น!
ในชั่วลมหายใจที่พายุอารมณ์ของเขาขึ้นสู่จุดสูงสุด เขาก้มลงมองใบหน้าของนาง เขาคาดหวังจะเห็นความแตกสลาย ความว่างเปล่า การยอมจำนน...
แต่สิ่งที่เขากลับเห็นผ่านม่านน้ำตาของนางคือแววตาที่ยังคงลุกโชนด้วยไฟแค้น แววตาที่ร้าวลึกแต่ก็ยังคงจ้องตอบเขากลับอย่างท้าทายและทระนง
ความจริงอันน่าโมโหนี้เสียดแทงเข้าสู่ใจกลางความคิดของหลี่เฉียง เขาไม่ได้ชนะ เขาไม่ได้ทำลายนาง การกระทำที่ควรจะเป็นการปลดปล่อย บัดนี้กลับกลายเป็นการตอกย้ำถึงความล้มเหลวและความไร้อำนาจของเขา!
“อ๊ากกกกกกกกก!!!”
เสียงคำรามกึกก้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและโทสะที่ไร้ที่ระบาย ความปรารถนาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง เขากระแทกกระทั้นร่างของนางรุนแรงยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพื่อความสุขสม แต่เพื่อลบเลือน เพื่อลงโทษ...ลงโทษนางที่บังอาจไม่ยอมแพ้ต่อเขา!
จนกระทั่งรุ่งสางใกล้เข้ามา เมื่อพายุอารมณ์ของเขาสงบลง หลี่เฉียงก็ถอนกายออกไป ความรู้สึกรังเกียจตนเองและความสับสนถาโถมเข้าใส่ ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมามองผลงานของตนเอง
ร่างของนางเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำจากการบีบเคล้นและรอยกัดจาง ๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง และมีคราบน้ำตาแห้งกรังอยู่ที่หางตา เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นความแตกสลายและยอมจำนนโดยสิ้นเชิง
แต่เขากลับคิดผิด...
มู่ตานค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้ าๆ นางหันใบหน้าที่ซีดเซียวมาสบตากับเขาโดยตรง แทนที่จะพบกับความว่างเปล่าที่เขารอคอย สิ่งที่จ้องตอบกลับมากลับเป็นดั่งน้ำแข็งที่ลุกเป็นไฟ
มันคือความเหนื่อยล้าทางกายที่ไม่อาจปิดบัง แต่กลับถูกครอบงำไว้ด้วยความเกลียดชังอันล้ำลึกที่แผ่พุ่งออกมาอย่างไม่อาจระงับ
มันไม่ใช่แววตาของเหยื่อที่แตกสลาย แต่มันคือแววตาของนักล่าที่กำลังจดจำใบหน้าของศัตรูคู่อาฆาตเพื่อรอวันที่จะเอาคืน
ความรู้สึกหงุดหงิดแล่นกลับเข้ามาในใจของหลี่เฉียงอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนตนเองเพิ่งเสร็จศึกใหญ่ แต่กลับไม่ได้รับชัยชนะที่แท้จริง เขาชนะเพียงร่างกาย แต่นางยังคงกุมชัยชนะทางจิตวิญญาณไว้ได้อย่างน่าโมโห
เขาผุดลุกขึ้นนั่งอย่างแรง ไม่แม้แต่จะหาผ้ามาคลุมร่างเปลือยเปล่าของตน
“จงนอนอยู่ที่นี่เยี่ยงเชลยที่ไร้ค่าต่อไปเถิด พรุ่งนี้เจ้าจะได้เรียนรู้ว่าบทบาทของเจ้าที่แท้จริงในจวนแห่งนี้คืออะไร” เขากล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา
พูดจบ เขาก็ลุกจากเตียงแล้วเดินหายเข้าไปในห้องด้านใน ทิ้งให้นางนอนจมอยู่กับความเจ็บปวดรวดร้าวเพียงลำพังบนเตียงกว้าง
มู่ตานค่อย ๆ ขยับตัวอย่างยากลำบาก ทุกส่วนของร่างกายกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นางดึงผ้าห่มขนสัตว์ที่หยาบกระด้างขึ้นมาคลุมร่างที่สั่นเทาของตนเองไว้ แล้วขดตัวงอราวกับลูกสัตว์ที่บาดเจ็บ
แต่ในความมืดมิดและหนาวเหน็บนั้น นางไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไปแล้ว นางเพียงแต่นอนนิ่ง ๆ ทบทวนทุกความอัปยศที่ได้รับมาในคืนนี้อย่างช้า ๆ
ข้าจะจำทุกความเจ็บปวดในวันนี้ มันคือหนี้แค้นที่ท่านจะต้องชดใช้ในวันหน้า หลี่เฉียง...ข้าขอสาบานด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ของข้า
เขาช้อนร่างเปลือยเปล่าของนางขึ้นสู่อ้อมแขน แล้ววางลงบนตั่งเตียงกว้างอย่างทะนุถนอมราวกับนางเป็นเครื่องกระเบื้องล้ำค่าที่เปราะบางที่สุด เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับเบาะแพรหนานุ่ม มู่ตานก็ปลดเปลื้องความแข็งกร้าวทิ้งไป เหลือไว้เพียงจริตมารยาที่นางจงใจปรุงแต่งขึ้นมาลวงล่อ นางปรือตาขึ้นมองพญาอินทรีย์ด้วยแววตาที่ฉ่ำหวานระคนหวาดหวั่น ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นเล็กน้อย ปล่อยให้ลมหายใจสั่นพร่ายามที่อิงเฟิงโน้มกายลงมาทาบทับ “ท่านช่างงดงามจนข้ามิอาจละสายตา” เสียงกระซิบของเขาพร่าเลือนชิดใบหู ก่อนที่ริมฝีปากอุ่นชื้นจะเริ่มประทับตราลงบนซอกคอขาวผ่อง มันมิใช่การขบกัดที่ดุดัน แต่เป็นการดูดดึงและเล็มเลียอย่างอ้อยอิ่ง ลิ้นของเขาตวัดไล้ไปตามชีพจรที่เต้นตุบ ๆ ของนาง ลากไล้ต่ำลงมายังเนินอกอวบอิ่ม “อื้อ...ท่านอิงเฟ
พวกเขาเดินหมากกันไปอย่างเงียบเชียบ ผ่านไปหลายสิบตามีเพียงเสียงหมากกระทบกระดานไม้ดังขึ้นเป็นจังหวะ บรรยากาศตึงเครียดประหนึ่งแม่ทัพสองนายกำลังบัญชาการรบอยู่ในกระโจมกลางสมรภูมิ จนกระทั่งมู่ตานเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อน นางวางหมากดำเม็ดหนึ่งลงไปในตำแหน่งที่ดูประหนึ่งการฆ่าตัวตาย เป็นการเดินหมากที่บุกทะลวงเข้าไปในใจกลางวงล้อมศัตรูอย่างหุนหันพลันแล่น แววตาของอิงเฟิงทอประกายวูบหนึ่ง “เป็นการเดินหมากที่กล้าหาญยิ่งนัก แต่ก็อันตรายยิ่งเช่นกัน การบุกทะลวงเข้าไปในแดนศัตรูโดยไร้ทัพหนุนเปรียบเสมือนการส่งทหารไปตายโดยเปล่าประโยชน์” “บางครา...” มู่ตานตอบกลับเสียงเรียบ สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่กระดาน “การสร้างความปั่นป่วนในใจกลางทัพของศัตรู แม้จักต้องสูญเสียไพร่พลไปบ้าง ก็อาจจะสามารถเปิดช่องทางรอดใหม่ที่เรามิเคยคาดคิดมาก่อนได้”&n
ความมืดมิดและความเงียบงันภายในเรือนไผ่เร้นนั้นหนักอึ้งดุจผืนผ้ากำมะหยี่สีนิลที่กดทับลงมาบนร่างระหง แสงเทียนไขบนโต๊ะเตี้ยสั่นไหววูบวาบทุกคราที่สายลมหนาวเล็ดลอดผ่านหน้าต่างฉลุลายเข้ามา ส่งผลให้เงาของนางที่นั่งสงบนิ่งอยู่บนตั่งไม้ทอดยาวบิดเบี้ยวไปบนผนัง ราวกับเป็นเงาของภูตพรายที่กำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่ง มู่ตานนั่งอยู่ในท่วงท่านี้มานานนับชั่วยามแล้ว นานจนร่างกายเริ่มชาหนึบ ทว่าสติสัมปชัญญะกลับตื่นตัวและเฉียบคมถึงขีดสุด ในห้วงความคิด นางกำลังซ้อมรบในสมรภูมิแห่งวาจา ทบทวนแผนการซ้ำแล้วซ้ำเล่า จินตนาการถึงทุกหมากที่พญาเหยี่ยวอาจจะเดิน เตรียมถ้อยคำโต้ตอบสำหรับทุกคำถามที่เขาอาจจะเอ่ย และตอกย้ำปณิธานของตนให้แข็งแกร่งดุจกำแพงเมืองที่หล่อหลอมจากเหล็กกล้า นางจักมิยอมให้มายาภาพจากราตรีก่อนกลับมาบดบังสติปัญญาได้อีก นางรู้แจ้งแก่ใจว่าความอ่อนโยนนั้นเป็นเพ
จุดอ่อนของเขายังไม่ปรากฏแน่ชัด เป้าหมายของเขาคือสิ่งใดกันแน่ เขาต้องการเพียงเอาชนะพี่ชาย หรือเขามีความรู้สึกเสน่หาต่อนางจริง ๆ หรือทั้งหมดนี้เป็นเพียงกลลวงซ้อนกลเพื่อเป้าหมายอื่นที่นางยังมองไม่เห็น ความไม่รู้นี้เปรียบเสมือนการเดินปิดตาอยู่ริมหน้าผา ‘ต้องระวังตัวให้ถึงที่สุด...’ นางย้ำเตือนตนเอง ‘ต้องไม่เผยความรู้สึกที่แท้จริง ต้องเป็นดั่งกระจกเงาที่สะท้อนเล่ห์เหลี่ยมของเขากลับไป ต้องเร่งค้นหาเจตจำนงที่แท้จริงของเขาให้พบ และที่สำคัญที่สุด ต้องก่อกำแพงปกป้องสติของตนให้แข็งแกร่ง อย่าได้หลงกลไปกับความสะดวกสบายและความอ่อนโยนจอมปลอมที่เขาหยิบยื่นให้ จงตระหนักเสมอว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นคือยาพิษรสหวาน ที่มุ่งหมายจะกัดกร่อนเขี้ยวเล็บและความระแวดระวังของนางให้ทื่อลงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นอาจเป็นคมดาบที่สังหารนางได้เลือดเย็นกว่าพละกำลังของหลี่เฉียงเสียอีก’ และท้ายที่สุด หมากสีขาวเพียงหนึ่งเดียวที่วางอย
การเดินทางกลับจากเรือนของหลี่เฉียงในรุ่งอรุณครั้งนี้ช่างแตกต่างจากครั้งแรกโดยสิ้นเชิง แม้ร่างกายทุกส่วนจะยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระบมไม่ต่างกัน แต่จิตใจของนางนั้นกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มู่ตานก้าวเดินไปตามทางเดินหินที่เย็นเฉียบด้วยท่วงท่าที่มั่นคงและสงบนิ่ง นางไม่ได้ก้มหน้าหลบสายตาผู้คนอีกต่อไป แต่กลับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่หวั่นไหว สายลมยามเช้าที่พัดมาปะทะร่างทำให้ชายแขนเสื้อที่กว้างของนางปลิวไสวไปด้านหลัง เผยให้เห็นรอยแดงจาง ๆ ที่ข้อมือ ร่องรอยแห่งการต่อสู้ที่บัดนี้นางมองมันไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์ของความอัปยศ แต่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความแค้นที่ต้องชำระ นางสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมขึ้นอย่างน่าประหลาด นางเห็นสายตาของทหารยามที่ยืนประจำการณ์อยู่ไกล ๆ ที่มองมายังนางเปลี่ยนไป ความเหยียดหยามในวันแรก ๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ด้วยความระแวดระวังและอาจจะมีความ
ทว่าเนิ่นนานไปขณะที่เขายังคงครอบครองเรือนร่างอันอ่อนระทวยนั้น โทสะที่เคยลุกโชนก็ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยสิ่งอื่น ความอยากเอาชนะเริ่มจางหาย เหลือเพียงความปรารถนาอันดิบเถื่อนที่มืดมิดและลึกซึ้งกว่าเดิม เขากำลังดำดิ่งโดยไม่รู้ตัว สติสัมปชัญญะของแม่ทัพผู้ต้องการเอาชนะกำลังถูกกลืนกินโดยสัญชาตญาณของบุรุษ เขาลืมเลือนการต่อสู้ ลืมเลือนกำแพงที่นางสร้าง รับรู้เพียงความนุ่มลื่นของผิวเนื้อภายใต้ฝ่ามือ กลิ่นหอมจาง ๆ ของนางที่ผสมกับกลิ่นสุรา และร่างกายที่ตอบสนองเขาอย่างไม่เต็มใจ จังหวะของเขาเริ่มเปลี่ยนไป จากการลงทัณฑ์ที่เกรี้ยวกราดกลายเป็นการแสวงหาที่ลึกซึ้งและไม่รู้จักพอ มู่ตานผู้ซึ่งบัดนี้เป้าหมายได้เปลี่ยนไปแล้วไม่ได้พยายามจะหลีกหนีอีกต่อไป แต่นางกำลังเฝ้ารอ อดทนรอคอยให้พายุลูกนี้พัดผ่านไป&n







