ทว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงล้อรถม้าที่บดกับดินและหิน ดังมาจากทางเข้าหมู่บ้าน เสียงกีบเท้าม้าหนักหน่วงกระทบพื้นเป็นจังหวะมั่นคงวิ่งตรงเข้ามาในหมู่บ้านอย่างช้าๆ
ผู้คนในหมู่บ้านที่พึ่งเตรียมตัวออกไปไร่นาต่างพากันแง้มหน้าต่าง เปิดประตูเหลือบมองด้วยความสงสัย
“รถม้านั่น...ของผู้ใดกัน”
ชาวบ้านต่างมายืนรวมตัวกันมองไปยังเส้นทางที่รถม้าคันนั้นวิ่งตรงไป และท้ายที่สุดรถม้าคันงามก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่หน้าเรือนตระกูลหลี่
ขณะนั้น คนในบ้านกลับไม่ได้มีใครทันสังเกตเห็นรถม้าหรูหราคันนั้นเลยสักคน เพราะภายในลานด้านข้างเรือน...กำลังเกิดความชุลมุนเล็ก ๆ อยู่
เซี่ยชิงหลีในชุดผ้าธรรมดากำลังนั่งบดสมุนไพรด้วยหินกลม เตรียมวัตถุดิบสำหรับทำยาสีฟัน สมุนไพรหลายชนิดถูกบดคละเคล้ากันจนกลิ่นหอมเย็นลอยฟุ้งในอากาศ
ข้างตัวนางคือเซี่ยจื่ออี้ พี่ชายผู้เงียบขรึมทว่าขยันขันแข็ง เขากำลังนั่งเลือกสมุนไพรให้น้องสาวด้วยความระมัดระวัง
แววตาชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ ด้านซ้ายของนางคือเซี่ยชิงเป่า น้องสาวตัวแสบที่เอาแต่นั่งพัดไล่กลิ่นแรงของผงยาด้วยสีหน้าเหยเก พลางบ่นเสียงอู้อี้
“กลิ่นสมุนไพรของท่านช่างแรงเหมือนใส่ทั้งป่าลงไป...พี่รองท่านแน่ใจหรือว่าเจ้าสิ่งนี้กินได้ เอ้ย! แปรงได้”
และข้างหลังสุดคืออาเหิง สามีผู้ไม่ต่างจากตัวป่วนเหมือนน้องสาวคนเล็ก ขณะนี้เขากำลังนั่งสับใบสะระแหน่ด้วยสีหน้าไม่ต่างจากเซี่ยชิงเป่า
“ภรรยา...อาเหิงก็ไม่ชอบกลิ่นเจ้านี่เหมือนกัน”
เสียงหัวเราะคิกคักของเซี่ยชิงเป่ากับเสียงบ่นของอาเหิงดังสลับกันไปมาราวเสียงพื้นหลัง ในขณะที่เซี่ยชิงหลียังคงบดผงยาด้วยสีหน้าใจเย็นและตั้งใจ
“หยุดบ่นเถอะ หลังจากทำเสร็จแล้ว กลิ่นมันจะหอมแบบเย็นๆ ไม่ใช่ฉุนๆ อย่างที่เจ้า....”
ทันใดนั้นเอง เสียงประตูหน้าเรือนก็ถูกเคาะส่งสัญญาณจากด้านนอก ทุกคนในลานเงียบไปชั่วอึดใจ เซี่ยจื่ออี้หันไปสบตากับน้องสาว สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย อาเหิงชะงักมือก่อนส่งเสียงงึมงำ
“อาเหิงจะไปเปิดประตู”
เซี่ยชิงหลีเช็ดมือลวกๆ ลุกขึ้นยืน ดวงตานิ่งสงบแต่ลึกในแววตากลับมีเงาแห่งความระแวดระวังผุดขึ้นช้าๆ หรือว่าเซี่ยจิ่งเฉิงจะพาคนมาก่อกวน
“เจ้าไม่ต้อง ข้าจะออกไปดูเอง”
ทันทีที่ประตูบานใหญ่ถูกผลักให้เปิดออก ร่างของชายชราผู้หนึ่งกำลังก้าวลงจากรถม้าอย่างมั่นคง แม้จะดูเรียบง่ายทว่ากิริยากลับเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีที่ไม่อาจมองข้าม
เซี่ยชิงหลีชะงักเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลง...ก่อนจะเบิกกว้าง
ชายผู้นั้น...คือบุคคลเดียวกับที่นางเคยช่วยเอาไว้ที่โรงหมอจินสุ่ยถังเมื่อหลายวันก่อน ข้างกายของชายชรามีชายหนุ่มชุดดำสองคนเดินตามอย่างสงบ แม้จะเปลี่ยนมาแต่งด้วยชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไป ทว่ากลิ่นอายของทั้งสองนั้นกลับไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย
“แม่นาง เจ้าจำข้าได้หรือไม่”
ชายชราเอ่ยถามราวกับรู้ถึงตัวตนของนางอยู่แล้ว เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับอย่างชาวบ้านทั่วไป ร่างน้อมต่ำแต่ไม่อ่อนน้อมจนเกินควร
“จำได้เจ้าค่ะ ท่านมาที่นี่มีธุระกับข้าหรือ”
เซี่ยชิงหลีถามออกไปตามตรงโดยไม่อ้อมค้อม ท่าทางของนางยามเมื่อเผชิญหน้ากับชายชรากลับไม่มีท่าทีหวั่นเกรงแม้เพียงนิด ไท่ซ่างหวงรู้สึกชมชอบในนิสัยผ่าเผยของนางไม่น้อย
หญิงสาวแอบประเมินคนทั้งสามอยู่ลับๆ นางไม่รู้เจตนาที่แท้จริงของชายชรา แต่ด้วยรถม้าและองครักษ์เช่นนี้...คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
ชายชรายกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนหัวเราะเบาๆ
“ข้ามิได้มาด้วยธุระอื่นใด...แค่จะกล่าวคำขอบคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ในยามที่แม้แต่หมอทั้งเมืองก็พากันส่ายหน้า”
ชายชราหันไปพยักหน้าให้ผู้ติดตาม
“นี่เป็นเพียงน้ำใจเล็กน้อยจากคนแก่ที่เป็นหนี้ชีวิตเจ้า”
ทันใดนั้น หีบไม้มากมายถูกยกลำเลียงมาวางตรงหน้าหญิงสาว และยังมีหีบไม้เล็กๆ สามใบสุดท้ายมันช่างงดงาม เรียบหรู และมีกลิ่นหอมของไม้หอมจันทร์ลอยคลุ้ง แม้เพียงเห็นภายนอกก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งของภายในต้องมีมูลค่าไม่น้อย
“สิ่งของเหล่านี้ข้ามิอาจรับไว้ได้...ข้าเพียงทำตามหน้าที่ของหมอ ท่านไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้”
เซี่ยชิงหลีมองสิ่งของที่ชายชรานำมาด้วยแววตานิ่งเฉย ไร้ความโลภ ไม่แสดงถึงความต้องการออกมาทางสีหน้า การกระทำของนางยิ่งทำให้ชายชราชื่นชม
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายกำลังประเมินซึ่งกันและกัน เงาทอดหนึ่งก็พุ่งตรงมาที่ประตูเรือน ร่างสูงโปร่งในชุดเปื้อนผงสมุนไพรวิ่งมาอย่างร่าเริง ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มมอมแมมเต็มไปด้วยคราบเหงื่อและเศษยาสมุนไพร
“ภรรยา! เจ้าคุยกับใครอยู่หรืออาเหิงทำงานเสร็จแล้ว!”
เสียงเรียกใสซื่อดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสา ราวกับเสียงของเด็กน้อยที่เพิ่งวิ่งมาหาแม่หลังจากทำผลงานชิ้นใหญ่สำเร็จ เซี่ยชิงหลียกยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นอาเหิงอวดความสามารถของตน
ทว่ากลับกัน...ชายชราเมื่อเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน รอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไปในพริบตา ไท่ซ่างหวงชะงัก...นิ่งค้าง ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นั่นมัน...
ใบหน้าที่แสนคุ้นเคย ใบหน้าที่ตนเคยเห็นมาตั้งแต่วัยเยาว์ คนผู้นั้น…หลานชายที่หายตัวไปของตนเมื่อหลายเดือนก่อน ทว่า...ตอนนี้เขามิใช่ชายหนุ่มที่สุขุม มั่นคง และเฉลียวฉลาดอีกต่อไป
สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าคือชายหนุ่มที่มีดวงตาเปื้อนความว่างเปล่า ยิ้มเหมือนเด็กห้าขวบ เสียงสดใสไร้ความเป็นตัวเขาในอดีต
“ภรรยา~ อาเหิงช่วยทำงานเสร็จแล้วน้า ดูสิ~ สมุนไพรติดหน้าอาเหิงเต็มเลย ฮิ ฮิ”
เมื่ออาเหิงก้าวเข้ามา เซี่ยชิงหลีจึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของแขกผู้มาเยือน นางยกยิ้มอ่อนโยนก้าวเข้าไปใกล้ชายหนุ่ม ก่อนจะยกมือแตะเบาๆ ที่แก้มของเขา
“มอมแมมไปหมดเลย ดูเจ้าสิ…สมกับเป็นมือขวาของข้าจริงๆ”
นางพูดพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบยาที่ติดอยู่บนใบหน้าของสามีอย่างเบามือ ชายชรามองภาพตรงหน้าด้วยแววตาสับสน หัวใจที่นิ่งสงบมาตลอดสั่นสะเทือนอย่างมิอาจห้ามได้ เขาไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เด็กชายผู้ที่เขาเคยโอบไว้ในอ้อมอกกลับมายืนตรงหน้าในสภาพที่ไม่ควรจะเป็น...
“เขา… เสียงของชายชราเอ่ยแผ่วเบา…คือ...ใคร...หรือ”
หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้กับชายชรา เรื่องของนางกับอาเหิงไม่ใช่ความลับ ทว่าก็ยากจะเอ่ยออกไป
“เขาคือคนที่ข้าดูแลอยู่เจ้าค่ะ”
ใบหน้างามสุกปลั่งแดงเรื่อเมื่อยามต้องเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง
“ไม่ใช่นะ! อาเหิงคือสามี ส่วนหลีเอ๋อคือภรรยา”
ท่าทางแง่งอนของชายหนุ่มดูแล้วช่างน่ารัก หญิงสาวอดที่จะเอื้อมไปหยิกแก้มของอาเหิงอย่างมันเขี้ยวมิได้
“ได้ๆ ทำตามที่อาเหิงต้องการ”
“ภรรยาดีที่สุด อาเหิงรักเจ้า”
คำบอกรักของชายหนุ่มที่เอ่ยออกมาโต้งๆ ทำให้หญิงสาวแทบทำตัวไม่ถูก หากไม่มีผู้อื่นอยู่ที่นี่นางคงจะลากเจ้าคนฉวยโอกาสเข้าห้องจัดการสำเร็จโทษให้สมกับคำพูดน่ารักของเขา
คำพูดหวานหยดและสายตาของทั้งสองที่สื่อกัน ชายชราแน่ในใจว่าหญิงสาวตรงหน้ายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหลานชาย ทว่าแม้เขาจะกลายเป็นคนสติไม่ดีแต่นางกลับไม่นึกรังเกียจ และตนเองมั่นใจว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นคนที่ตนสามารถฝากฝังหลานชายเอาไว้ได้
“แม่นาง เจ้ามีสามีที่ดี”
เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหลีได้ยินใครบางคนเอ่ยถึงอาเหิงในทางที่ดี เพราะนอกจากคนในครอบครัวแล้ว คนอื่นต่างมองอาเหิงเป็นตัวภาระของนาง ว่าร้ายรังแกเขาเพราะเห็นว่าชายหนุ่มสติไม่ดี
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าเขาดีกว่าใครๆ”
ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียวภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น
เซี่ยชิงหลีนั่งลงบนม้านั่งไม้ริมหน้าต่าง แขนขวาของนางมีรอยแดงช้ำตรงปลายข้อศอกถลอกเล็กน้อยจากแรงปะทะ มู่หรงหนานเฟิงนั่งตรงข้าม มือของเขาถือผ้าผืนเล็กกับน้ำสะอาดเตรียมล้างแผลให้ตนเองแววตาของเขาในตอนนี้…ว่างเปล่าเสียจนชวนให้นางรู้สึกหนักอึ้งในอก เขากำลังคิดอะไรอยู่…ไม่ต้องเดาก็รู้ดวงตาคู่นั้นไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไฟ ไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้น มันคือแววตาของคนที่หมดแรงเดินต่อแม้จะยังยืนอยู่ เซี่ยชิงหลีมองเขาเงียบๆ ปล่อยให้เสียงเช็ดแผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นภาพชายหนุ่มตรงหน้าแตกต่างจากตอนที่นางพบเขาครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาคือเจ้าของหอสุราที่สง่างาม สุขุม และแฝงแรงใจเข้มแข็งในแววตา ทว่าวันนี้…เขาไม่ต่างจากคนที่ถูกบีบจนไม่เหลือทางเดิน“มีบ้านก็กลับไม่ได้ มีตระกูลแต่ไร้ที่ยืน”หากเขายังจมอยู่กับความสิ้นหวังเช่นนี้...เขาอาจจะไม่ใช่คู่ค้าที่นางพึ่งพาได้ในวันหน้า“คุณชายมู่หรง”เซี่ยชิงหลีเอ่ยเสียงเบา“ข้าไม่ใช่คนดีมากพอจะให้คำปลอบใจอันเลิศหรู แต่ในโลกแห่งการค้า หากเจ้าหยุดเดินเพียงเพราะเส้นทางข้างหน้ามีคนขวาง…เจ้าจะไม่มีวันไปถึงจุดที่เขาไม่กล้าตามไปเหยียบ”มู่หรงหนานเฟิงเงยหน
อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีแบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยต
ณ ตอนนี้ เซี่ยชิงหลีกำลังยืนอยู่หน้าหม้อต้มสมุนไพรใบใหญ่ กลิ่นใบมะกรูดแห้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกบัวที่กำลังเคี่ยวเข้ากันลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วลานด้านหลังเรือนมือเรียวของหญิงสาวคนไปอย่างต่อเนื่องด้วยไม้พาย ในขณะที่เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอย่างไม่อาจเลี่ยงผ่านไปแล้วหลายวัน...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางทดลองผสมอัตราส่วนใหม่ ลองอุณหภูมิที่ต่างกัน ทดลองการตาก การกวน การแยกชั้นของน้ำมันกับสมุนไพรทุกครั้งที่ล้มเหลว สบู่จับตัวไม่ขึ้นหรือแชมพูกลายเป็นน้ำเหนียวข้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนางก็ต้องเริ่มใหม่...ตั้งแต่ต้นยามตะวันบ่ายคล้อย สายลมเอื่อยพัดชายแขนเสื้อที่เลอะเปื้อนของนางอย่างแผ่วเบา เซี่ยชิงหลีค่อยๆ วางไม้พายลงพลางถอนหายใจเงียบๆ และทรุดตัวนั่งพิงข้างถังน้ำอย่างเหนื่อยล้าสายตาของนางทอดมองสบู่ก้อนเล็กๆ ที่พอใช้การได้ก้อนแรกในรอบหลายวัน กลิ่นหอมของมันยังอ่อนนัก รูปทรงไม่สวย เนื้อไม่เนียนแต่มัน...สามารถชำระล้างได้จริง“ทำไมกันนะ…”ร่างบางพึมพำกับตนเองเบาๆ เสียงนั้นแฝงไว้ทั้งความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย“คนอื่นพอเกิดใหม่ก็มีกระบี่เทพติดมือ มีพลังปราณฟ้าฟาด ฝึกแค่ไม่กี่วันก็กวาดล้างทั้งตระกูลศัตรู…
คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยัง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีมองชายชราในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเพราะเขาเอ่ยปากชมสามีของนาง“ท่านจะเข้ามาดื่มชาในเรือนก่อนหรือไม่”“ไม่เป็นไรข้ายังมีธุระต่อ ที่มาวันนี้เพียงต้องการมาขอบคุณเจ้าอย่างจริงใจสักครั้งเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับสิ่งของเหล่านี้จากข้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งของเจ้าสองคน”คำพูดนั้นราวกับมีระเบิดถูกปามาที่นาง เสียงบึ้มดังขึ้นในหัวพลันใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชรามองหลานสะใภ้ตัวน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ นานแล้วที่ตนไม่ได้เอ่ยเล่นหัวกับลูกหลานหากวันหน้าหลานชายผู้นี้ไม่มีทางหายดี แต่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ดีเช่นนั้นตนก็วางใจ เซี่ยชิงหลีมองหีบไม้มากมายตรงหน้า นางตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ“เช่นนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”“ท่านอันใดกัน ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่เมิ่งก็พอ”ชายชรากลับขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าอิ่มเอม ในที่สุดภาระที่เคยหนักอึ้งในหลายเดือนนี้ก็ได้ถูกวางลงแล้วต่อไปก็จัดการตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้น ชายชราตัดสินใจกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับคนที่เป็นสาเหตุให้หลานชายของตนต้องกลายเป็นค