-ดาริน-
นี่ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ชีวิตของฉันสงบอย่างบอกไม่ถูก สงบจนน่ากลัวเลยล่ะ...แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดีแล้วล่ะ…ฉันอยากจะอยู่เงียบ ๆ แบบนี้มานานมาก ๆ แต่อีกใจก็กลัวเหลือเกิน เวลาที่ทะเลนิ่ง ๆ แบบนี้ น่ากลัวจะตาย เพราะมันกำลังจะสื่อว่า สึนามิกำลังจะมายังไงล่ะ
“ริน ๆ พรุ่งนี้สอบแล้ว ไปหอสมุดกัน”
ฉันหันไปมองยัยนกที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาฉัน หอสมุดอีกแล้วเหรอเนี่ย…
“อื้ม ไปสิ”
ฉันไม่ได้ปฏิเสธอะไร เพราะไม่รู้จะฏิเสธไปทำไมด้วย ฉันกับยัยนกกำลังจะเดินไปหอสมุดก็ตองชะงักทันทีที่เจอหมิวกำลังดักรอเราอยู่ อะไรอีกล่ะเนี่ยจะไม่ให้ฉันพักเลยรึไงนะ เรื่องนี้จบเรื่องนั้นมา จะเป็นบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย
“หึ!หน้าระรื่นมาเลยนะมึง”
ฉันมองหน้าหมิวนิ่ง ๆ อย่างเบื่อหน่าย จะอะไรกับฉันนักหนาเนี่ย แค่ผู้ชายทิ้งต้องหาที่ลงขนาดนี้เลยหรือไงกัน
“มีอะไรอีกล่ะ”
ฉันถามออกไปอย่างเอือมระอา คนแบบหมิวน่ะ พูดดีด้วยก็ไม่เป็นผลหรอก
“หึ ถามได้โง่มาก แต่ยังหน้าด้านเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยสินะ”
ฉันส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะหันไปพูดกับยัยนกที่ตอนนี้หน้าพร้อมบวกมาก
“ไปกันเถอะนก”
ฉันพูดแล้วดึงมือนกเดินเลี่งไปอีกทาง แต่หมิวก็ยังมาขวาง ไม่ยอมหยุดง่าย ๆ ฉันชักจะไม่อยากทนแล้วนะ
“อะไรของมึงวะอีหมิว นี่มึงจะหาเรื่องให้ได้เลยใช่ปะ!”
ยัยนกที่เหมือนจะทนไม่ไหวตะโกนขึ้นอย่างหมดความอดทนที่จะเล่นสงครามประสาทกับหมิวแล้ว
“ทำไม! มึงเองก็อย่ามาเสือกให้มันมาก ไม่ใช่เรื่องของมึง! พวกมึงมาเอาอีนี่ออกไป!”
หมิวพูดแล้วสั่งให้เพื่อนเธออีกสองคนเอานกออกไป เพราะตอนนี้นกยืนประจันหน้ากับหมิวบังหน้าฉันอยู่
“ปล่อยนะเว้ย! อีหมิวมึงมาตบกับกูนี่มา อีเหี้ย!”
ยัยนกเริ่มตะโกนโวยวาย เพราะเพื่อนของหมิวดึงตัวเธอไปให้ห่างจากฉันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ปล่อยนกเดี๋ยวนี้นะหมิว ครั้งที่แล้วมันยังไม่สะใจเธออีกหรือไง ฮ่ะ!”
ฉันถามอย่างหมดความอดทนเหมือนกัน เพราะฉันไม่ไหวกับหมิวแล้ว คอยหาเรื่องฉันอยู่นั่น มันทั้งน่ารำคาญและน่าเบื่อ ชีวิตฉันมีแค่พี่วินคอยรังควานก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว!
“เหอะ! มึงอยากให้กูเลิกยุ่งกับมึงใช่มั้ย?”
ฉันมองหน้ายัยหมิวด้วยความสงสัย เมื่อหมิวพูดจบนี่มันง่ายเกินไป ฉันว่ายัยนี่ต้องคิดอะไรแผลง ๆ แน่
“มึงก็ตบอีนกสิ กูหมั้นไส้มันมานานละ ปากดีชิบหาย”
ฉันว่าแล้ว ว่ายัยนี่ต้องคิดจะทำอะไรที่มันแผลง ๆ ยัยนี่ท่าจะบ้าขั้นสุดแล้ว
“มันเกินไปแล้วนะหมิว! นี่มันเรื่องระหว่างฉันกับเธอนะ ทำไมต้องลากนกมาเกี่ยวด้วย! นี่ถ้าป่วยก็ไปหาหมดเถอะ!”
ฉันโพล่งออกไปอย่างหมดความอดทน คนแบบนี้พูดดีด้วยคงจะไม่ได้แล้วจริง ๆ
“อีนี่! กล้าด่ากูเหรอ! หึดี! งั้น..มึงก็ตบตัวเองแทนแล้วกัน ตบตรงนี้ เดี๋ยวนี้! จนกว่าเลือดมึงจะออก! ทำได้มั้ยล่ะ!”
ฉัยมองนกที่ส่ายหน้าให้ฉันเป็นเชิงบอกว่าอย่าทำ แต่ฉันก็คงม่มีวันตบนกเช่นกัน หากทางเลือกมีแค่สองทาง ฉันยอมตบตัวเองดีกว่า เพราะต่อให้สู้หมิวไปก็ไม่ต่างจากตบตัวเองหรอก
“แต่ถ้ามึงไม่กล้า...”
เพี๊ยะ!
ไม่รอให้หมิวได้พูดต่อ ฉันก็ตบหน้าตัวเองเต็มแรง
“ริน! หยุดนะ! ริน!!”
เสียงนกตะโกนห้ามฉันด้วยน้ำเสียงตกใจ ฉันไม่สนใจคำพูดของนกหรอก ยอมเจ็บตัวเองแบบนี่แหละ ดีที่สุดแล้ว!
เพี๊ยะ!
“ริน! ฉันบอกให้หยุดไง! แกมาตบฉันเถอะ ริน!”
ฉันยังคงตบตัวเองไปเรื่อย ๆ นกเองก็ตะโกนห้ามฉันอย่างไม่ลดละ
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือของฉันยังคงฟาดลงมาบนใบหน้าอยู่อย่างนั้น ตอนนี้นกเองก็เริ่มเงียบไปแล้ว กลายเป็นเสียงสะอื้นแทน
เพี๊ยะ!
และครั้งนี้ ฉันได้กลิ่นคาวเลือดและสัมผัสได้กับรสชาติของความคาวฉันจึงหยุดแล้วมองหน้าหมิว สีหน้าของหมิวถึงจะดูพอใจแต่ก็แฝงไปด้วยความตกใจเช่นกัน คงไม่คิดว่าฉันจะเลือกตบตัวเอง
“ดี ใจถึงดี ก็ตามนั้นกูจะไม่ยุ่งกับมึงอีก...”
“อย่ากลืนน้ำลายตัวเองแล้วกัน ปล่อยนกเดี๋ยวนี้”
ฉันพูดแล้วมองไปทางนก ที่ตอนนี้น้ำตาไหลเต็มสองแก้มแล้ว
“หึ ปล่อยมัน เราไปเดินห้างกันดีกว่า วันนี้ฉันอารมณ์ดี โคตร ๆ ”
ยัยหมิวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะอารมณ์ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอยัยพวกนั้นปล่อยยัยนก ยัยนกก็รีบวิ่งมาหาฉันทันที
“ริน ฮึก! แกเจ็บมากหรือเปล่าไหนขอฉันดูหน่อยนะ”
ยัยนกพูดไปสะอื้นไป ก่อนจะจับฉันหันไปมาเพื่อดูรอยมือของฉันเองและริมฝีปากที่คาดว่าน่าจะมีเลือดซึมออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก แกไปห้องสมุดเถอะ เดี๋ยวฉันกลับห้องก่อนนะ สภาพนี้ไม่น่าไปเจอใครได้”
ฉันพูดแล้วก้มลงเก็บสมุดเลคเชอร์ขึ้นมาจากพื้นที่ฉันทำตกก่อนหน้า หน้าฉันชาจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลยตอนนี้ และรู้สึกเหมือนจะเริ่มบวมแล้วด้วย
“แกไปหาหมอดีมั้ยริน ฉันเป็นห่วงแกนะ”
ฉันส่ายหน้าเบา ๆ ไปให้ยัยนก ก่อนจะพูดปฏิเสธ
“ไม่ล่ะ แกไปห้องสมุดเถอะ เดี๋ยวฉันค่อยมาอ่านวันหลัง ไปนะ”
ฉันพูดจบก็เดินออกมาทันที ฉันไม่อยากให้ยัยนกมาเดือดร้อนเพราะฉันเลย ไม่อยากเลยจริง ๆ ฉันว่าฉันควรห่างจากยัยนกสักพักแล้วล่ะไม่งั้นสักวันยัยนกได้เจ็บตัวเพราะฉันจริง ๆ แน่
ถ้ายัยหมิวไม่ยอมหยุดจริง ๆ ฉันก็จะไม่ทนอีกต่อไปแล้วเฟมือนกัน ฉันว่ามันเริ่มเกินไปแล้ว ฉันไม่ใช่คนยอมคนหรอกนะแต่ที่ยอมเพราะไม่อยากมีปัญหากับใครเพิ่มแล้ว แถมเรื่องนี้ฉันไม่ได้ผิดสักนิดเลยด้วยซ้ำ ฉันไม่ยอมแน่ถ้ายังไม่เลิกยุ่งกับฉันหรือยัยนกสักที!
วันนี้ฉันสอบเป็นวันสุดท้ายแล้ว…ดีหน่อยที่พอมีเวลาอ่านหนังสืออยู่บ้าง ดี...ที่พี่วินเค้าหายไปเลย...แต่ทำไมฉันถึงหงอยได้ขนาดนี้กันนะ…ก็ปกติเขาจะมารังควานฉันตลอดนี่ พอเขาหายไปแบบนี้ก็อดห่วงไม่ได้ แถมวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้ หรือบางทีเขาอาจจะถูกทำร้ายหรือเปล่านะ…
ปริ๊น!
ฉันที่กำลังเหม่อ คิดอะไรไปเรื่อย ก็ต้องสดุ้งหันกลับไปทางต้นเสียงของรถที่บีบแตรใส่ฉัน
“พี่...เอต้า?”
ฉันตกใจที่อยู่ ๆ พี่เอต้าก็โผล่มาที่มหาวิทยาลัย อ้อลืมบอกไปพวกพี่ ๆ เขาจบกันแล้วล่ะ ก็พวกเขาปีสี่กันแล้วนี่เนอะ ได้ยินว่าเพิ่งรับปริญญาไปเมื่อสองวันก่อน นั่นคงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาหายไป...มั้งนะ
“พี่มีอะไรกับรินเหรอคะ?”
ฉันถามขึ้นทันทีที่เผลอไปคิดเรื่องอื่นแทนที่จะสนใจเขา
“มาขึ้นรถสิ พี่มีอะไรจะให้ดู...”
พี่เอต้าพูดแล้วเดินกลับขึ้นรถไป...อะไรกัน...ถึงจะไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรมาให้ดู แต่ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป ได้แต่เดินไปขึ้นรถตามที่เขาบอก ที่ยอมทำตามเขาง่าย ๆ ก็เพราะฉันรู้ว่าเขาไม่มีทางทำร้ายฉันไปได้มากกว่าพี่วินทัพอีกแล้วล่ะ
ปึก!
“พี่จะให้รินดูอะไรเหรอคะ?”
ฉันถามขึ้นทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถเสร็จ เพราะไม่อยากยืดเยื้อหรืออยู่กับเขานาน ๆ เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องพวกเขาก็มองฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแถมฉันไม่รู้อีกด้วยว่าเขาคิดจะทำอะไร เพราะต่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ทำร้ายฉันแต่ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร
“ก็จะพาไปดูสิ่งที่เธอทำไว้ไงดาริน”
จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนโทนเสียงที่ตอนแรกดูน่าไว้ใจกลายเป็นน้ำเสียงเย็นชาจนน่าขนลุก คิดถูกมั้ยนะที่ขึ้นรถมากับเขาแบบนี้ ต่อให้คิดผิดฉันก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ…
“ไงพร้อมไปหรือยังล่ะ..?”
ฉันหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงของบุคคนที่สามดังขึ้น พอหันไปที่เบาะหลังก็เจอกับผู้ชายอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน พวกเขาคือเพื่อนของพี่วิน…
“พี่แม็ค? พี่กันต์? พวกพี่…?”
ฉันเรียกชื่อพวกเขาเสียงเบาหวิว เดี๋ยวนะ จู่ ๆ พวกเขารวมตัวมาหาฉันทำไมกัน? พวกเขาเรียนจบกันไปแล้วนี่นายังจะมามหาลัยอีกทำไมกัน? ถ้าถามว่ารู้จักพวกเขาได้ยังไง ก็เพราะเมื่อก่อนเราทุกคนสนิทกันดียังไงล่ะ ฉันสนิทกับพวกเขามาก จนเกิดเหตุการณ์วันนั้น มันเลยทำให้พวกเขาทุกคน เกลียดฉัน…
“พวกพี่…มาหารินทำไมคะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือพี่วินเป็นอะไรหรือเปล่าคะ!?”
ฉันพ่นคำถามออกไปรัว ๆ เพราะการที่พวกเขารวมตัวกันมาแบบนี้ มันต้องไม่ใช่เรื่องปกติเลย หรือปกติแต่ฉันไม่รู้นะ?
“โอ้ย เธอนี่พูดมากเหมือนเดิมจริง ๆ ไอ้วินมันไม่ได้เป็นอะไรหรอกน่า แล้วที่พวกฉันมาวันนี้เธอก็คิดดูสิว่าเธอเคยทำอะไรไว้”
พี่กันต์พูดดุฉันอย่างกับฉันเป็นเด็กห้าขวบที่พูดจ้อ ก็ฉันเป็นห่วง…เขานี่ ทำไมต้องไม่พอใจกันด้วยล่ะ เล่นมาหากันเกือบครบแบบนี้ใครมันจะไม่คิดล่ะ อีกอย่างฉันไม่เคยทำอะไรไว้สักหน่อย…เว้นก็แต่เรื่องที่พวกเขา ‘คิดไปเอง’ ว่าฉันเป็นคนทำน่ะ
“ที่เงียบไปนี่คือ? หรือเธอจะปฏิเสธว่า..เธอไม่ได้ทำ?”
พี่แม็คถามย้ำเพราะเห็นว่าฉันเงียบไป ให้ตายสิ...พูดออกไปเลยดาริน! พูดออกไปเลยว่าคืนนั้นเธอไปทำอะไรที่นั่น! พูดออกไปเลยสิ! ว่าไม่ได้ทำ ไม่ได้บงการอะไรทั้งนั้นน่ะ! แต่…แล้วยังไงล่ะ…เพราะต่อให้พูดออกไป...แล้วพวกเขาเลือกที่จะไม่เชื่อมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ มันจะไม่ยิ่งทำให้ฉันดูแย่หรือไง ที่ตอบปฏิเสธออกมาน่ะ… ฉันเลือกอะไรได้บ้างถามหน่อยเถอะ! ไม่ใช่ว่าไม่เคยพูดสักหน่อย พูดไปก็ไม่มีใครฟังอยู่ดี
ฉันยังคงนั่งนิ่งค้างอยู่อย่างงั้นไม่ตอบหรือขยับไปไหนไม่ปฏิเสธแล้วก็ไม่ยอมรับ...เพราะฉันเองก็มีส่วนผิด ผิดที่ฉันช่วยผู้หญิงคนนั้นไม่ได้…ไม่รู้หรอกว่าผิดจริงหรือไม่ เพราะเขาเอาแต่กรอกหูฉันอยู่ทุกวัน พี่วินทัพ…น่ะ
“นี่! เงียบทำไมล่ะ ทำไมเธอไม่พูดออกมาล่ะ ว่าเธอไม่ได้ทำน่ะ ฮ่ะ!”
พี่กันต์ที่ยังเห็นฉันเงียบก็เลยเอื้อมมือมาจับไหล่ฉันแล้วเขย่าอย่างคาดคั้น เหมือนต้องการกดดันให้ฉันพูดออกมา พวกเขาจะมากดดันฉันทำไมตอนนี้ เธอคนนั้นก็เสียไปแล้วไม่ใช่หรอไง จะมาอะไรกับฉันอีก! หรือจริง ๆ ฉันควรจะพูดออกไปได้แล้ว! ฉันไม่ควรถูกมองแบบนี้สิ! ฉันไม่อยากกลายเป็นคนผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ!
“ใช่! รินไม่ได้ทำ! พี่ ๆ ได้ยินมั้ย ว่ารินไม่ได้ทำ!"
เมื่อถูกกดดันเข้ามาก ๆ ฉันก็อดทนต่อไปไม่ไหว ฉันเลยตะโกนออกไปใส่หน้าพวกเขาอย่างเหลืออด น้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมาเพราะเจ็บปวดกับสิ่งที่พวกเขายัดเหยียดมันมาให้ฉัน มอบให้ฉันเป็นคนผิดอยู่อย่างนั้น!
“เธอนี่มัน!…หน้าด้านจริง ๆ!”
พี่แม็คพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวและเย็นชา เห็นไหมเค้าไม่เชื่อฉันหรอก ไม่เคยเชื่อฉันเลย พวกเขาน่ะ ดีแต่พูดว่าฉัน ไม่เคยสืบหาความจริงอะไรสักอย่าง…แล้วมาบังคับฉันให้พูดทำไมกัน
“สุดท้าย...”
ฉันพูดขึ้นในขณะที่ทั้งรถเงียบลง ขณะเดียวกันฉันก็ก้มหน้าลงเพ็งสายตาที่เริ่มมองมือของตัวเองที่กุมกันแน่นด้วยความเบลอเพราะน้ำตาที่รื้นขึ้นมาบดบังทรรศนียภาพการมองเห็นไปแล้ว
“พวกพี่...ก็ไม่เชื่ออยู่ดี...รินพูดออกไปแล้วยังไง? จะกดดันให้รินพูดทำไมถ้าพวกพี่ไม่คิดจะเชื่อตั้งแต่แรกน่ะ...เพื่อนของพวกพี่ก็ทำชีวิตรินพังไม่เป็นท่าล่ะนี่ไง...ทำไมยังไม่พอใจกันอีก พวกพี่จะมารื้อฟื้นทำไมอีก! ต้องการอะไรจากรินกันแน่…”
ฉันพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดเมื่อนึกถึงสิ่งที่เพื่อนของพวกเขาทำกับฉัน ฉันไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของพวกเขาตอนนี้เป็นยังไงแต่ตอนนี้ฉันมองหน้าพวกเขาไม่ได้จริง ๆ ...ไม่ได้เลยสักนิด
น้ำตาที่เอ่อทะลักออกจากดวงตาของฉันก็ไหลลงอาบแก้มราวกับถูกกักเก็บมานานจนดวงตารับไว้ไม่ไหว ฉันถามพวกเขาออกไปเพราะไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกเขาต้องการอะไรจากฉันกันแน่ หรือต้องการให้ฉันทรมานจนตายไปเลยหรือไง เหมือนที่เพื่อนของพวกเขาต้องการ
“หึ! ไม่เคยมีใครยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำหรอก...ยิ่งเป็นสิ่งชั่ว ๆ ยิ่งแล้วใหญ่”
พี่เอต้าที่นั่งฟังอยู่นานพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเดิม แข็งกร้าวและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ฉันนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่งอย่างไม่คิดจะตอบโต้อะไรกลับไปอีก ในเมื่อพูดไปมันไม่ได้ช่วยให้ฉันถูกเกลียดน้อยลงก็ควรจะหยุดเสียที
“สักวัน...พี่ ๆ จะต้องเสียใจ...”
ฉันพูดเบาราวกระซิบ…ฉันรู้ว่าถึงจะเบาขนาดไหน...แต่ในรถแบบนี้พวกเขาต้องได้ยินแน่นอน และฉันมั่นใจว่ามันจะเป็นอย่างที่ฉันพูดแน่นอน ไม่ช้าก็เร็วน่ะแหละ
หากใครชอบฝาก กดใจ+คอมเม้นท์เพื่อเป็นกำลังใจให้นักเขียนด้วยนะคะ
ส่วนใครที่อยากได้รับการแจ้งเตือนอัพสามารถกดเพิ่มเข้าหนังสือด้วยนะคะ><~