Home / LGBTQ+ / เพรงพ่าย / เยื่อใย

Share

เยื่อใย

Author: ลลนล
last update Huling Na-update: 2025-11-04 23:12:18

เดชะบุญฟิล์มดำของเธอทำให้อีกฝ่ายคงไม่มีทางเห็นหน้าเจื่อนๆ ของกันได้ เฝือกอ่อนที่ดามคออยู่ของกิดากานต์ทำให้ความเป็นห่วงที่พยายามกลบมันไว้ กลับเผยตัวตนออกมาจนรู้สึกหมั่นไส้ตัวเอง

เมื่อไรเธอจะควบคุมตัวเองได้เสียที เธอเกลียดเลือดลมฟุ้งซ่านนี้เต็มทน เกลียดที่ใบหน้าสวยๆ นั้นยังทำให้ใจเต้นแรงได้เสมอ

ให้ตายเหอะ เธอลืมรักที่ผ่านมาทั้งเจ็ดคนไปได้อย่างไร พวกหล่อนๆ ทั้งหลาย เธอจำได้แค่ชื่อ ไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่ยังหมุนตัวมองกันมาจนรถเข้าจอดที่โรงจอดรถ

“ป้ายทะเบียนกรุงเทพนี่”

“อ๋อใช่ หมอปริญญ์เคยบอกว่าเคยทำงานกับหมออูนมาก่อนนี่นา”

ได้ยินอย่างนั้น กิดากานต์ก็ถึงกับกัดฟันแน่น หลับตาปิดลงเพื่อควบคุมสติ เพียงชั่วขณะก็ลืมตาขึ้นมาถามกันชัดๆ ว่า

“ปริญญ์ พุทธพัลลภ?”

“ใช่ครับ”

“....................”

หญิงสาวทำเพียงแสยะยิ้ม อารมณ์ใดๆ ไม่หลงเหลือ ตัวมันชา ขามันสั่น ใจเต้นรัว เหมือนเกลียดกลัวอะไรสักสิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะหมุนตัวกลับ หากแต่ยังอยากยืนตั้งรับรออยู่ตรงนี้

หญิงวัยสามสิบแปด เธอผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร เลยไม่คิดจะหนี อยากอยู่ตรงนี้ รออยู่ตรงนี้ รักครั้งนั้นเธอไม่ได้ผิด คนที่ควรจะไปจากที่นี่ไม่ใช่เธอ แต่เป็นคนที่เพิ่งจะโผล่มาใหม่ต่างหาก

และการโผล่ออกมาจากรถ พร้อมกับแว่นกันแดดสีดำ มันช่วยปกปิดแววตากันได้ดีทีเดียว แต่เมื่อการประจันหน้าครั้งแรกได้เริ่มขึ้น แม้จะมีระยะที่ห่างกันหลายสิบเมตร

แต่ความซีดเจื่อนของใบหน้าปริญญ์ที่เห็นมาแต่ไกล ก็ส่งผลให้เกิดความน่าสงสารโผล่แว้บขึ้นมาในใจคนมองได้แค่ชั่ววินาที ก่อนที่เธอจะจัดการมันอย่างสิ้นซาก เพราะเจ้าวายร้ายหน้าหยกคนนั้น ควรจะอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดทั้งชีวิต หรือถ้ายังไม่รู้สึก เธอเองก็จะเป็นผู้หยิบยื่นให้เสียเอง

“สวัสดีค่ะลุงอู๊ด สวัสดีค่ะพี่อูน”  ปริญญ์เอ่ยทักทายอย่างนอบน้อม หากมองผาดๆ คงดูไม่ออกว่า เธอกำลังฝืนกับตัวตนภายในของตัวเองมากขนาดไหน

แต่กิดากานต์มองออก...

ดังนั้นเธอจึงหยิบยื่นรอยยิ้มเย็นชา แสร้งทำว่ายังป่วยอยู่ส่งไปให้ เล่นเอาคนใส่แว่นดำถึงกับเก็บสีหน้าซีดสลดตัวเองเอาไว้ไม่ไหว

“พลายจุมพลเค้าเป็นอะไรล่ะ” กิดากานต์เข้าเรื่องไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ทำได้แค่แช่ดีเกลือรอขาลดบวมก่อนค่ะ วันนี้น่าจะเอกซเรย์ได้”

“แล้วแผลคุณยายสร้อยล่ะ” กิดากานต์ถามถึงช้างพังอายุเจ็ดสิบปีที่ชื่อสร้อยสังวาล ซึ่งป่วยมาด้วยอาการแผลฝีที่ขาซ้าย

“เริ่มตื้นขึ้นแล้วค่ะ”

เมื่อสองสาวเริ่มรับส่งงานกัน ลุงอู๊ดก็พาตัวห่างออกไปจนไม่อยู่ในบริเวณเดียวกันเสียแล้ว

“มีรับเคสใหม่เข้ามามั้ย”

“มีค่ะ ข้อมูลถูกบันทึกประจำวันไว้แล้วค่ะ พี่หมอตรวจเช็คดูได้เลยค่ะ”

“ได้ เดี๋ยวไปดูที่ห้องเดี๋ยวนี้แหละ” กิดากานต์ว่าหน้าเฉยเมย แสดงชัดว่าไม่ได้ยินดียินร้าย อ่านอารมณ์ใดๆ ภายใต้แววตาเย็นชานั้นไม่ออกเลย

และเมื่อปริญญ์ทำท่าจะเดินตาม คนที่มีเฝือกดามคอ ก็หมุนตัวกลับมาหาทั้งตัว

“ไม่ต้องตามมา”

“อย่าหันบ่อยสิ”

“................”

กิดากานต์เกลียดน้ำเสียงที่แฝงความห่วงใยแบบไม่คิดปกปิดนั้นเข้าใส้ เธอทำได้เพียงเหยียดยิ้มน้อยๆ พอให้คนมองรู้สึกหงุดหงิด

“ระวังบ้าง อย่าให้มันกำเริบ”

กระดูกคอบาดเจ็บ...อุบัติเหตุทางรถยนต์ของพวกเธอทั้งสองคน มันยังคงเป็นความทรงจำที่ยากจะลืม คราวนั้นทั้งคู่นั่งจับมือ สวมเฝือกคอคนละอัน แม้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัวอย่างสุดๆ แต่พวกเธอกลับรู้สึกว่าอบอุ่นที่ยังมีกันและกัน และรอดมาจากอุบัติเหตุครั้งนั้นได้อย่างหวุดหวิด

“.................”

กิดากานต์ไม่เปล่งเสียง และเดินหน้าจากไปได้อย่างไม่แยแส...ห่วงกันงั้นหรือ ปริญญ์ก็แสดงออกอย่างนี้เหมือนกันกับทุกๆ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งนั้นแหละ อย่าได้ใจอ่อนเป็นอันขาด!

เจ้าของร่างผอมบางเดินเข้าห้องส่วนตัว เพื่อที่จะเปิดคอมพิวเตอร์ เพื่ออ่านบันทึกการรักษา เครื่องปรับอากาศถูกเปิด เสียบปลั๊กกาน้ำร้อน ม่านมูลี่ถูกปรับให้เห็นบรรยากาศเบื้องนอกผ่านหน้าต่างกระจก หญิงสาวยืนกอดอก แล้วเพ่งมองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่รกครึ้ม

ยังรักกันอยู่หรือเปล่า หรือความโกรธมันทำลายคำนั้นไปจนไม่เหลือหรอแล้ว เธอถึงได้รู้สึกครึ่งๆ กลางๆ แต่เอียงไปหาความหงุดหงิด จนไม่ได้ยินเสียงหวีดกาน้ำร้อนที่บอกว่าเดือดพร้อมมากแล้ว แต่ดันกลับมาสะดุ้งเอากับแค่เสียงเคาะประตูหน้าห้อง

“เชิญค่ะ” กิดากานต์บอกออกไปอย่างคนใจลอย แล้วเดินไวๆ ไปหากาต้มน้ำที่ยังหวีดเสียงเตือน และมันก็เงียบลงหลังจากที่อีกคนเข้ามายืนในห้อง พร้อมถุงผ้าที่หิ้วมาด้วย

“อะไรอีก?”

เจ้าของห้องหันกลับไปถาม หัวคิ้วกดแน่นเข้าหากันอย่างไม่คิดปกปิดความรู้สึก เพราะตอนนี้ไม่มีใครแล้วนี่ เธอไม่จำเป็นจะต้องเกรงใจใคร

“เปลี่ยนใช้อันนี้ดีกว่าค่ะ” ปริญญ์พูดแบบไม่สบตา แล้วค่อยๆ วางถุงผ้าสีเทานั้นลงบนโต๊ะทำงานของอีกฝ่าย

“อะไร?”

“.................”

ปริญญ์ไม่ตอบ แต่ยังเลือกที่จะเมินหลบตาพลางทำท่าชี้นิ้วลงที่ลำคอ ซึ่งเธอกำลังหมายถึงเฝือกอ่อนดามคอที่อีกคนกำลังสวมอยู่

“ไม่เป็นไร ไม่จำเป็น”

“พี่เคยบอกว่าแบบนี้ดีกว่า แบบใช้รอกดึงไง”

“ฉันรู้”

“ถ้าจะรังเกียจ มันก็ของที่พี่ซื้อให้นั่นแหละ เอาคืนไป มันไม่จำเป็นกับคีย์แล้ว”

“ก็ดี งั้นก็กลับออกไปซะ”

“จะคุยกันดีๆ ไม่ได้เหรอคะ อายคนเค้านะ พี่จะทำให้คนอื่นสงสัยเอานะว่าเราเคยมีเรื่องอะไรกันมา”

“ในห้องนี้ไม่มีใคร ฉันไม่ได้ซุกใครเอาไว้ จะต้องอายใครมิทราบ”

คนที่ยังสวมแว่นดำถึงกับแหงนมองเพดาอย่างระอา ต่อคำแซะแดกดันนั้นแบบร้อนวูบไปทั้งตัว

“หมายถึงเวลาต่อหน้าคนอื่นค่ะ”

“ฉันก็ไม่อยากให้ใครรู้จักช่วงชีวิตที่เลวร้ายของฉันเหมือนกันนั่นแหละ”

“โอเคค่ะ งั้นก็สบายใจหน่อย โตๆ กันแล้ว”

“งั้นก็ออกไปได้แล้ว จะทำงาน” พูดจบก็หันหลังให้ ทั้งภาษาพูด ภาษากาย คงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม คนรักเก่าที่กำลังแสบๆ คันๆ ต่อท่าทีดังกล่าวเลยหมุนตัวจะเดินออกประตู แต่ก็ต้องชะงักเท้า เมื่ออยู่ๆ เจ้าของห้องก็พูดขึ้นว่า “แว่นนั่น...ก็ถอดคืนกันมาด้วยสิ”

“ไม่ได้ค่ะ อันนี้มันยังจำเป็นกับคีย์อยู่”

บอกออกไปแล้ว กว่าอีกคนจะหมุนทั้งตัวกลับมาหาด้วยความไม่พอใจ ก็มีเพียงบานประตูที่ถูกปิดงับลงไปอย่างเบามือ

แว่นกันแดดอันนี้ มันยังจำเป็นต่อปริญญ์ ผู้ที่ยังอยากจะปกปิดดวงตา ที่อาจจะฟ้องความรู้สึกที่ไม่มั่นคงออกไปให้อีกคนได้ค้นพบ

และมันน่าจะเป็น...เยื่อใยสุดท้าย ที่อาจจะไม่ท้ายสุด ในเมื่อชะตาเหวี่ยงให้ต้องกลับมาเจอคนที่ทั้งรักทั้งเกลียด

ยังมีชิ้นอื่นเหลืออีกหรือเปล่านะ?

หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่หลังจากเลิกกับกิดากานต์ พอเลิกกับคนต่อๆ มา เธอก็จะมาแค่ตัว ไม่เอาอะไรออกมาเลย เพราะกลัวว่ามันจะเป็นเยื่อใยที่เหนียวแน่นเช่นนี้หรือเปล่า

เฮ้อ...พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกที่เพิ่งตกผลึกก็เริ่มชัด ชัดจนกลัวใจตัวเองเลยล่ะ

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เพรงพ่าย   คุณหมอรถแห่

    เสียดายที่กิดากานต์สะบัดหน้าหนีไม่ได้เหมือนทุกครั้ง คนคอแข็งทื่อที่หมดอารมณ์จะต่อกรกันเป็นเด็กๆ ก็หมุนตัวไปอีกทาง เพื่อที่จะเริ่มงานในเช้าวันใหม่ได้อย่างขมุกขมัวปล่อยทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความรู้สึกห่วงใยมากขึ้นไปอีก...จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ที่เลิกกัน ปริญญ์ก็ค่อยๆ คายความเป็นตัวตน แล้วกลืนเอาความหลากหลายของกิดากานต์มาเป็นตัวเองเธอเริ่มฟังเพลงลูกทุ่งได้เพราะขึ้นมานานหลายปีแล้ว และเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าหลงคิดว่าพวกเพลงเหล่านั้นคือสิ่งที่เข้ามาทดแทนคนรักเก่าและที่สำคัญที่สุด คือมันไม่ใช่เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เราเลิกกัน...นับจากนี้ ไม่ว่ากิดากานต์จะจิกกัดกันเรื่องเก่าๆ มากขนาดไหน เธอก็จะพยายามไม่ใส่ใจ เพราะสิ่งที่เธอห่วงใยจนต้องรีบรับปากบ๊อบบี้ในทันที ก็เพราะสิ่งที่กิดากานต์ชื่นชอบ มันล้อมรอบไปด้วยหนุ่มๆ ทั้งหนุ่มแตกสาว และหนุ่มฉกรรจ์ พวกเขาให้เหตุผลว่าเพื่อไปคุ้มครอง คุณหมอรถแห่ ฉายาที่ไม่ใกล้กับบุคลิกที่คนทั่วไปพบเห็นแต่นั่นคือตัวตนที่กิดากานต์ไม่กล้าเปิดเผยกับปริญญ์มาก่อน อยู่ที่นี่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ชอบ คุณหมอรถแห่คงมีความสุขมากสินะ แล้วใครจะกล้าทำลายความสดใสนั้นลงคอล่ะไม่คิดว่าการกล

  • เพรงพ่าย   เปลี่ยนแผน

    ทำเหมือนห่วง ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่ากิดากานต์นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลมาตั้งสามวัน เขาเรียกว่าห่วงประสาอะไร ไม่เห็นโผล่หัวไปเยี่ยมสักวัน!ผิดหวังอยู่ลึกๆ แล้วถุงผ้าสีเทาก็ถูกจับโยนเข้าไปในตู้เอกสารข้างผนังไปอย่างไม่ใยดี...อารมณ์ของเธอขุ่นมัวตั้งแต่เช้า กาแฟดำยามเช้าน่าจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้...เกล็ดกาแฟสำเร็จรูปถูกตักออกจากขวดด้วยใจจดจ่อ ทีละช้อนอย่างเชื่องช้า แล้วตามด้วยน้ำร้อนจัด ไอขาวพวยพุ่งลอยขึ้นเหนือแก้วกาแฟอย่างอ้อยอิ่งเสียงโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อดังขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำลายอารมณ์ที่กำลังจะดีขึ้นให้หม่นลง เพราะปลายสายคือผู้ช่วยที่รู้ใจ“มีอะไรบ๊อบบี้โทรมาแต่เช้า”“อาทิตย์นี้ บ้านดอนย่านาง คุณแม่ว่างมั้ยคะ” สาวสองผมทองผิวเป็นสีขาวจัด กรอกเสียงผ่านมือถือมาอย่างรู้ใจและทุกครั้งคำตอบที่ผู้ช่วยคิดว่าจะได้ก็คือ...กี่โมง?กิดากานต์ไม่มีทางปฏิเสธกิจกรรมที่แสนชื่นชอบเหล่านี้ไปได้!“คิดดูก่อน”มีคนผิดหวังในคำตอบไปแล้วหนึ่ง แต่เขาก็ยังจะกรีดเสียงตามออกมาอีกว่า “ไม่ได้นะแม่ รอบนี้เค้าจัดเต็ม ลุงอู๊ดก็รับปากแล้วด้วย คุณแม่จะมาชิ่งอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”“ก็บอกว่าคิดดูก่อน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่นี่

  • เพรงพ่าย   เยื่อใย

    เดชะบุญฟิล์มดำของเธอทำให้อีกฝ่ายคงไม่มีทางเห็นหน้าเจื่อนๆ ของกันได้ เฝือกอ่อนที่ดามคออยู่ของกิดากานต์ทำให้ความเป็นห่วงที่พยายามกลบมันไว้ กลับเผยตัวตนออกมาจนรู้สึกหมั่นไส้ตัวเองเมื่อไรเธอจะควบคุมตัวเองได้เสียที เธอเกลียดเลือดลมฟุ้งซ่านนี้เต็มทน เกลียดที่ใบหน้าสวยๆ นั้นยังทำให้ใจเต้นแรงได้เสมอให้ตายเหอะ เธอลืมรักที่ผ่านมาทั้งเจ็ดคนไปได้อย่างไร พวกหล่อนๆ ทั้งหลาย เธอจำได้แค่ชื่อ ไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่ยังหมุนตัวมองกันมาจนรถเข้าจอดที่โรงจอดรถ“ป้ายทะเบียนกรุงเทพนี่”“อ๋อใช่ หมอปริญญ์เคยบอกว่าเคยทำงานกับหมออูนมาก่อนนี่นา”ได้ยินอย่างนั้น กิดากานต์ก็ถึงกับกัดฟันแน่น หลับตาปิดลงเพื่อควบคุมสติ เพียงชั่วขณะก็ลืมตาขึ้นมาถามกันชัดๆ ว่า“ปริญญ์ พุทธพัลลภ?”“ใช่ครับ”“....................”หญิงสาวทำเพียงแสยะยิ้ม อารมณ์ใดๆ ไม่หลงเหลือ ตัวมันชา ขามันสั่น ใจเต้นรัว เหมือนเกลียดกลัวอะไรสักสิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะหมุนตัวกลับ หากแต่ยังอยากยืนตั้งรับรออยู่ตรงนี้หญิงวัยสามสิบแปด เธอผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร เลยไม่คิดจะหนี อยากอยู่ตรงนี้ รออยู่ตรงนี้ รักครั้งนั้นเธอไม่ได้ผิด คนที่ควรจะไปจากที่นี่ไม

  • เพรงพ่าย   กลิ่นถ่านไฟเก่า

    แต่ขออภัยเถอะ เธอโกรธกันจนไม่อยากจะให้อีกฝ่ายมีความสุขแม้สักวินาทีเดียว“ก็ไม่มีอะไรนะคะ คือที่ถามน่ะ ถามเผื่อพี่ชายที่เพิ่งอกหักค่ะ เผื่อจะได้เป็นแม่สื่อแม่ชักอะไรประมาณนั้น”ปริญญ์หาทางลงด้วยเหตุผลที่ฟังเข้าท่าจนอีกคนเชื่อสนิท และเธอก็ผูกมิตรกับลุงอู๊ดได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็ต้องสารภาพเลยว่า ตลอดเวลาที่ตรวจเช็คร่างกายพลายจุมพล เธอไม่มีสมาธิเท่าใดนัก ในหัวมันมีแต่เรื่องของกิดากานต์ มีทั้งเรื่องที่ทำให้สุขและเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาสรุปแล้วเคสนี้ เธอก็ตัดสินใจบอกกับครวญช้างเจ้าของพลายจุมพลว่าให้เอาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ทำการเอกซเรย์หาจุดแตกหักของกระดูกทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปอย่างง่ายดาย จนกระทั่งกลับมานั่งบนรถ เพื่อเตรียมตัวกลับ คนที่เคยถามมาตลอดทาง ก็เอาแต่นั่งนิ่งคล้ายมีความคิดวิ่งวนอยู่ในสมองตลอดเวลา“ผมจะไปส่งหมอปริญญ์ไว้ที่โรงพยาบาลเลยนะครับ”“อ๋อ...ค่ะ”“ส่งแล้วก็จะออกไปดูหมออูนที่โรงพยาบาลสักหน่อย วันนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว”“................”ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากใจสั่นๆ ขณะนี้หมอปริญญ์ไม่หลงเหลือความเป็นตัวเองมายาวนานหลายชั่วโมงเหลือเกิน มีแต่แววตาสองจิตสอง

  • เพรงพ่าย   เกลียด

    แต่พอเดินตามกันออกมานอกห้อง ผอ. ก็ไม่ลืมที่จะผายมือไปยังทิศทางหน้าอาคารอำนวยการ ว่าให้ยืนรอคนขับรถมารับที่ตรงนั้นเมื่อผู้อำนวยการขับรถจากไป หมอปริญญ์ก็กลับมาอยู่เพียงลำพัง ที่อาคารพยาบาลไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีแม้ช้างสักเชือก ซึ่งอันนี้พอเข้าใจได้ว่า อาจจะไม่มีช้างที่ดูแลต่อเนื่องค้างคืน แต่ถึงจะมีก็อาจจะอยู่ในคอกที่เตรียมไว้ให้ต่างหากมันเกิดขึ้นได้ แต่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็คือ ขนาดเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่มีสักคน สิ่งมีชีวิตที่มีตัวๆ พอมองเห็นได้ ก็น่าจะมีแค่เธอ และนกเกาะกิ่งไม้อีกสองตัวเท่านั้นไม่มีปัญหาๆคำๆ นี้ของผู้อำนวยการทำให้เธอถึงกับส่ายหน้ายิ้มขันใครเชื่อก็บ้าแล้ว!หญิงสาวยืนรออยู่ที่เดิมได้เกือบสิบนาที ก็ค่อยๆ สืบเท้ากลับเข้าสู่ตัวอาคารบอร์ดแผนงาน และบอร์ดจิปาถะ ถูกตกแต่งด้วยกระดาษหลากสีแบบฝีมือเด็กประถม ซึ่งมันเคยเหวี่ยงตัวออกจากความน่าสนใจมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เพราะเวลานี้ ไม่มีสิ่งไหนที่น่าสนใจแม้แต่นิด มันเลยดูมีคุณค่าขึ้นมาทีละนิด ขณะที่คนคิ้วยับย่นเซ็งจัด กำลังขยับเท้าเป็นปู ขนานไปกับบอร์ดติดผนัง เพื่อเดินดูรูปถ่ายการทำงานของคนที่นี่ แต่แล้วหนึ่งในภาพนั้น มันก็ถ่ายติดสัตวแพทย

  • เพรงพ่าย   หมอปริญญ์

    “มาไม่สาย แต่กลับเร็ว เข็มนาฬิกาตรงเป๊ะ ก็ชิ่งเลยครับ”“ถือว่าไม่ผิด แล้วพักที่ไหนอ่ะ ทำไมไม่พักด้วยกันที่นี่”“บ้านนั้นหลังคารั่วยังเข้าไม่ได้ครับ” เขาพูดถึงบ้านพักอีกหลังที่ไม่มีคนอยู่มานานมากแล้ว“อยู่ด้วยกันก็ได้ ดีซะอีก หมอจะได้มีเพื่อน”“หมอปริญญ์รอมาคุยกับหมออูนก่อนครับว่าจะอนุญาตให้อยู่ด้วยรึเปล่า”นอกจากคอจะแข็งเพราะเฝือกแล้ว ดวงตาของคุณหมอกิดากานต์ยังจะขยันกระตุกถี่ๆ คล้ายจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่างปริน มันคือปรินแบบไหน ปริญ ปริน ปริณ ปิน ปริญญ์ไม่หรอกน่า มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น...ถ้าอย่างนั้น ก็ขอถามอีกสักคำถามแล้วกัน“คนขอนแก่นเหรอ”“ไม่นะครับ เพราะตอนนี้พักกับเพื่อนในตัวเมือง ไปกลับหกสิบกิโล เลยอยากพักอยู่ที่นี่”“คนที่ไหน”เอาซี้...หากตอบมาว่าเป็นคนกรุงเทพฯ กิดากานต์สาบานกับตัวเองเลยว่า จะขอกรี๊ดให้มันดังๆ เอาให้สุดเสียงตอนนี้ ตรงนี้เลย พับผ่าสิ!“อันนี้ผมไม่ทราบ”หญิงสาวพ่นลมหายใจฟืดยาวออกมาไม่รู้ตัว หลังจากลุ้นจนตัวโก่ง แต่แล้วก็ต้องรีบหันไปทางเข้าโรงพยาบาล เมื่อลุงคนขับรถชี้บอกว่า“นั่นไง หมอมาแล้ว”เก๋งสีดำ ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ตัวอักษรในป้ายตามระยะสายตาของห

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status