Masukในความมืดมิดที่ปกคลุมห้องบูชาลับใต้ดิน แสงอักษรสีเขียวหม่นยังคงเรืองรองจากอักขระบนผนังลามไล้ลงพื้นหินราวงูเปลือยพิษ ผิวของเจ้าหญิงฮาเชียร่าเต็มไปด้วยอักษรดำที่ไหลย้อนขึ้นจากเลือด มันซึมเข้าในรูขุมขน แทรกซึมเข้าในเส้นเลือดแดงทุกเส้นเหมือนหมึกของข้อตกลงที่ไม่มีวันลบ สะท้อนใบหน้าบ้าคลั่งของเจ้าหญิง และนักพรตเฒ่าสองคน เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ เบาลง จนเหลือเพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ทว่าคำสาปที่ถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่แล้วนั้น มิใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอ
พรหมจรรย์ของผู้ร้องขอ ซึ่งเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องถูกพรากไปเพื่อบูชาเทพีแห่งความมืด
นักพรตเฒ่าคนแรก ผู้ที่มีผิวซีดเหมือนขี้เถ้าและตาลึกดำสนิท ก้มลงกระซิบใกล้หูของนางด้วยเสียงแหบพร่าเหมือนเสียงจากขุมนรก
“คำสาปสมปรารถนาแล้ว... แต่เจ้าก็ต้องจ่ายราคา ร่างกายของเจ้าจะเป็นภาชนะของเทพีอามนี เคฟี เรธทู จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกผ่าครึ่งเพื่อเลี้ยงปีศาจในสุสานโบราณ”
นักพรตเฒ่าอีกคน ผู้ที่ผิวเหี่ยวย่นและมือสั่นเทา ยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย ขณะที่เขาเอื้อมมือจับชายชุดคลุมดำปักทองของนาง แล้วดึงมันออกอย่างหยาบกระด้าง เผยให้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของเจ้าหญิง ผิวของนางเป็นสีน้ำผึ้งเข้ม หน้าอกอวบอิ่มที่สั่นไหวตามลมหายใจ หัวนมสีน้ำตาลแดงชูชันจากความหนาวเย็นของห้อง และเนินเนื้อระหว่างขา ที่ยังไม่เคยถูกแตะต้องจากผู้ใด
“เพื่อบูชาทวยเทพ... เจ้าต้องยอมพลีร่าง” นักพรตเฒ่าคนแรกพูดพลางผลักนางลงนอนบนแท่นหินดำข้างๆ พิธีกรรม ตุ๊กตามัมมี่ทั้งสองยังคงนอนนิ่งเปื้อนเลือด ขณะที่นักพรตทั้งสองปีนขึ้นตาม กลิ่นคาวเลือดและกำยานผสมกลิ่นเหงื่อชราเหม็นคลุ้ง นักพรตเฒ่าคนแรกคุกเข่าคร่อมร่างนางจากด้านหน้า มือหยาบกร้านของเขาจับขานางแยกกว้าง เผยให้เห็นกลีบเนื้อชุ่มฉ่ำจากความตื่นเต้นบ้าคลั่งของนางเอง
เขายกก้นนางขึ้นเล็กน้อย แล้วถอดเสื้อคลุมตัวเองออก เผยให้เห็นท่อนเนื้อแก่ชราที่แข็งชัน สีม่วงคล้ำปกคลุมด้วยเส้นเลือดปูดโปน หัวบานแดงก่ำ
ไม่รอช้า เขาจับท่อนเนื้อนั้นถูไถกับกลีบเนื้อของนาง ปล่อยให้หัวบานเบียดแยกกลีบออกช้าๆ น้ำเมือกใสจากร่องเนื้อของนางไหลเยิ้มออกมาเคลือบมันวาววับ
“อ๊ะ... อ๊า...” เจ้าหญิงครางเบาๆ ดวงตายังคงวาวด้วยความริษยาและบ้าคลั่ง แต่ร่างกายตอบสนองอย่างไม่อาจควบคุม นักพรตเฒ่ากดสะโพกดันท่อนเนื้อเข้าไปทีเดียวมิดด้าม เสียงเนื้อฉีกขาดดังแฉะ
เลือดพรหมจรรย์สีแดงสดไหลย้อยออกมาจากร่องเนื้อที่ถูกยืดขยายจนตึงเปรี๊ยะ “กรี๊ดดด!” นางแผดร้องด้วยความเจ็บปวดผสมความเสียวซ่าน จิตวิญญาณของนางรู้สึกเหมือนถูกผ่าครึ่ง ครึ่งหนึ่งถูกปีศาจในสุสานดูดกลืน ขณะที่ร่างกายกลายเป็นภาชนะของเทพี รู้สึกถึงพลังมืดไหลทะลักเข้าทุกอณู
นักพรตเฒ่าคนที่สองไม่ยอมรอ เขาคุกเข่าคร่อมใบหน้าของนางจากด้านหัว จับท่อนเนื้อของตนเอง สั้นกว่าอีกคนแต่หนาใหญ่ราวกำปั้นเด็ก สีน้ำตาลเข้ม ยัดเข้าร่องปากของนางอย่างหยาบคาย
“ดูดมันซะ... เพื่อเลี้ยงปีศาจด้วยปากของเจ้า”
เขาสั่งเสียงแหบ นางอ้าปากรับโดยไม่ขัดขืน ลิ้นของนางเลียวนรอบหัวบาน ขณะที่นักพรตทั้งสองเริ่มโยกสะโพกกระแทกอย่างบ้าคลั่ง เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังพลั่กๆ แฉะๆ สลับกับเสียงครางหอบและคำสาปโบราณที่พวกเขาท่องวนซ้ำ
นักพรตคนแรกกระแทกแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่อนเนื้อของเขาถูไถผนังร่องเนื้อแน่นฟิตของนาง จนเลือดพรหมจรรย์ผสมน้ำเมือกไหลย้อยลงพื้นหินปลุกอักษรโบราณให้เรืองแสงแรงขึ้น
“อ๊า... เทพีเอ๋ย... รับเลือดบริสุทธิ์นี้!”
เขาร้องพลางบีบหน้าอกนางแรงจนหัวนมช้ำแดง ขณะที่นักพรตคนที่สองจับหัวนางกดลง ยัดท่อนเนื้อลึกจนถึงคอหอย น้ำลายของนางไหลย้อยออกมุมปาก ขณะที่เขากระแทกปากนางราวกับร่องเนื้ออีกแห่ง
“กลืนมันซะ... จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกเลี้ยงให้ปีศาจ!”
ร่างกายของเจ้าหญิงฮาเชียร่าสั่นสะท้านจากความเจ็บปวดและความเสียวที่ถาโถม นางรู้สึกถึงพลังเทพีไหลทะลักเข้าทุกส่วน หน้าอกของนางบวมใหญ่ขึ้น หัวนมพ่นน้ำนมสีดำเหนียวข้นออกมาเคลือบมือของนักพรต ขณะที่ร่องเนื้อของนางหดเกร็งรัดท่อนเนื้อแน่นจนเขาครางดัง ร่างกายนางกลายเป็นภาชนะศักดิ์สิทธิ์ของเทพีอย่างแท้จริง จิตวิญญาณที่ถูกผ่าครึ่งครึ่งหนึ่งถูกปีศาจกลืนกิน ทำให้ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ไร้แววมนุษย์
ทั้งสามโยกตัวกันอย่างบ้าคลั่งบนแท่นหิน ข้างๆ ตุ๊กตามัมมี่ที่ยังคงมีเลือดไหล เสียงครางและเสียงกระแทกดังก้องห้องใต้ดิน นักพรตทั้งสองพ่นน้ำกามร้อนผ่าวออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
คนแรกฉีดพุ่งลึกเข้าไปในร่องเนื้อของนาง จนท้องน้อยของนางป่องนูนจากของเหลวเหนียวข้น คนที่สองพ่นใส่ปากและใบหน้าของนาง จนน้ำกามสีขาวขุ่นไหลย้อยลงคอและหน้าอก นางกลืนมันลงไปโดยไม่ลังเล หัวเราะเบาๆ ท่ามกลางความมืด
“ราคานี้... ข้ายอมจ่าย... เพื่อให้คำสาปสมบูรณ์!”
ในความมืดอันหนาวเยือกของห้องบูชาลับใต้ดิน เจ้าหญิงฮาเชียร่านอนนิ่งอยู่บนแท่นหินดำ ร่างกายเปลือยเปล่าที่เปื้อนคราบเลือดพรหมจรรย์และน้ำกามเหนียวข้นของนักพรตเฒ่าสองคนยังคงสั่นระริกจากพลังของเทพีที่ไหลทะลักเข้ามาในทุกอณูของนาง
ดวงตาสีดำสนิทไร้แววมนุษย์จ้องมองไปในความว่างเปล่า แต่ภายในจิตใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสะใจอันร้อนแรงราวเปลวไฟแห่งนรก ความรู้สึกที่พุ่งพล่านเมื่อนึกถึงเนทาเรีย ผู้หญิงที่กล้าชิงรักจากราเมเซสของนาง ต้องแตกสลายด้วยคำสาปอันทรงพลังนี้
ทุกหยดเลือดที่ไหลจากร่องเนื้อของนาง ทุกความเจ็บปวดจากการถูกฉีกพรหมจรรย์โดยนักพรตทั้งสอง ทุกหยาดน้ำกามที่เปรอะปากและใบหน้า ล้วนเป็นราคาที่นางยินยอมจ่ายอย่างเต็มใจ ความเจ็บปวดทางกายนั้นมิอาจเทียบได้กับความสุขอันวิปริตที่บังเกิดในใจเมื่อนางจินตนาการถึงเนทาเรียกรีดร้องทรมาน ขาดใจตายด้วยคำสาปที่ผนึกด้วยเลือดและจิตวิญญาณของนางเอง
“สมน้ำหน้าเจ้า... สารเลว!” นางกระซิบในใจ เสียงหัวเราะแหบแห้งดังออกจากลำคอขณะที่ร่างกายยังคงสั่นจากผลกระทบของพิธี
“เจ้ากล้าชิงราเมเนเซสจากข้า?
เจ้าจะต้องจมสู่ความมืดนิรันดร์!”
ห้องบูชาสั่นสะเทือนอีกครั้ง เงาของเทพีบนผนังคลานออกมาจริงๆ ดวงตาทองแดงจ้องมองการบูชายัญนี้ด้วยความพอใจ คำสาปถูกผนึกด้วยเลือดพรหมจรรย์และน้ำกาม
เจ้าหญิงฮาเชียร่าก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง เสียงหัวเราะนั้นดังก้องในห้องใต้ดิน ดังผสานกับเสียงลมหายใจของนักพรตเฒ่าและกลิ่นคาวเลือดที่อบอวล นางรู้สึกถึงพลังของคำสาปที่ผูกมัดราเมเนเซสไว้กับนางตลอดไป และความรู้สึกนั้น
ความสะใจ ความริษยา ความแค้น และความสุขอันวิปริต กลายเป็นเชื้อไฟที่เผาไหม้จิตใจของนางให้มอดไหม้ในความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุด
เสียงหัวเราะนั้นดังต่อเนื่องดังจนคบเพลิงดับหมดเหลือเพียงความมืดและแสงอักษรสีเขียวหม่นส่องใบหน้าบ้าคลั่งของนางและสองนักพรตเฒ่าในห้องใต้ดินที่คำสาปถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่เป็นครั้งแรกในรอบพันปี…
เสียงหัวเราะบ้าคลั่งของเจ้าหญิงฮาเชียร่า…เสียงกรีดร้องสิ้นใจของราชินีผู้ไม่สมหวังในรัก…และเสียงคำสาปโบราณที่ดังก้องไม่สิ้นสุด
มันประสานกันเป็นเสียงแห่งหายนะ ที่ไม่มีผู้ใดลบล้างได้ก้องสะท้อนอยู่ในห้องบูชาที่แสงเทียนมอดดับในความมืดมิด เงาของเทพีบิดเบี้ยวไต่เลื้อยบนผนังดวงตาทองแดงของวิญญาณนับพันจ้องมองลงมา
ราวกับยืนยันว่าโศกนาฏกรรมนี้ได้จารึกไว้แล้วเลือดที่หยดลงบนพื้นหินไม่ซึมหาย แต่คงอยู่เหมือนรอยสลัก
กลายเป็นเส้นทางแห่งโชคชะตาที่ไม่อาจย้อนคืนและเหนือซากหัวใจของหญิงสาวผู้ยอมสละตนเองเพื่อรักคือเสียงสาปที่ยังไม่ดับสิ้น“เมื่อรักแท้บรรจบ… ความตายจักบังเกิด…”
ถ้อยคำโบราณนั้นแทรกซึมไปในผืนดิน ผ่านหินผา และทรายสีทองฝังลึกลงไปในกาลเวลา ไม่ว่าผู้ใดจะหลับใหลหรือฟื้นคืน มันยังคงรอ… รอจนกว่าดวงวิญญาณจะหวนกลับมาอีกครั้ง
แล้วทุกสิ่งก็ค่อย ๆ ถูกกลืนหาย
เสียงคำสาปโบราณที่สะท้อนในความมืด
ทุกสิ่งจางหายไปราวถูกกลืนเข้าสู่ห้วงกาลเวลา
เสียงของเขา... ทั้งนุ่ม ทั้งต่ำ ทั้งหยาบโลนเสียจนขาเธออ่อนวูบ และยังไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธอะไร เขาก็ก้าวเข้ามาเขาจับคางเธอไว้แน่นนิ่งแล้วจูบ ไม่ใช่จูบของคนแปลกหน้า แต่จูบของผู้ครอบครอง จูบของผู้ที่รู้ว่าริมฝีปากเธอชอบสัมผัสแบบไหน รุนแรงแค่ไหนถึงจะทำให้เธอครางเธอพยายามผลักเขาออก แต่ไม่มีแรงเลยแม้แต่นิด ในฝันนี้เขา เหนือกว่า เธอในทุกด้านทั้งกาย ทั้งใจทั้งความต้องการที่เหมือนเขาอ่านเธอออกหมดมือของเขาเลื่อนไปยังต้นคอ ไล่ลงมาตามแนวไหล่ ก่อนจะกระชากชุดนอนบางเบาออกเหมือนไม่มีค่าอะไร แค่ผ้าผืนนั้นร่วงลงพื้น เสียงก็ดังเหมือนโซ่ตรวนหลุดออกจากข้อมือเธอ แต่ไม่ใช่อิสระ ตรงกันข้ามมันคือการถูกจับตรึงไว้กับโชคชะตาอันเร่าร้อนที่หลีกไม่พ้น“ร่างกายของเจ้า... สร้างมาเพื่อให้ข้าสัมผัสเท่านั้น”เขากระซิบข้างหู ขณะที่ร่างของเขาเบียดแนบชิด มือของเขาไล้ไปตามเอวเธอ ทุกจุดที่นิ้วเขาผ่านไป เหมือนมีเปลวไฟแตะลงบนผิวเธอกัดริมฝีปากแน่น ฝืนไม่คราง แต่แล้วเขาก็ก้มลงดูดกลืนยอดอกที่เริ่มแข็งตั้ง"อ๊า—!"เสียงครางแรกหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว เขายิ้ม ยิ้มของผู้ชนะ ยิ้มข
กาลเวลาหมุนผ่านนับพันปีทรายแห่งทะเลทรายไหลรินกลบซากวิหารและสุสานทีละชั้นเสียงพิณแห่งงานวิวาห์วันนั้นเงียบดับ กลายเป็นเพียงเสียงลมพัดก้องในซอกหินรอยเลือดที่รดลงบนพื้นหินแห้งกรัง ถูกกลบด้วยฝุ่นทรายและเถ้าถ่านเหลือไว้เพียงเงาคำสาปที่ฝังลึกลงในแผ่นดินวิญญาณที่เคยโหยหาและกรีดร้องถูกกาลเวลาโอบปิด แต่ถ้อยคำโบราณยังคงก้องสะท้อนในชั้นหิน “เมื่อรักแท้บรรจบ ความตายจักบังเกิด”พันปีแล้วพันปีเล่า…อาณาจักรล่มสลาย จักรวรรดิใหม่ ผงาดขึ้นและดับไปแม่น้ำไนล์ยังคงไหลเรื่อยไม่รู้จักสิ้น ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเดินผ่านผืนทราย โดยไม่รู้เลยว่าใต้เท้าของพวกเขายังมีความลับ รอการปลุกให้ตื่นลมทะเลทรายพัดแรงกว่าปกติ ดั่งเสียงกระซิบของวิญญาณโบราณที่ถูกจองจำมาเนิ่นนาน ประกายดวงจิตหนึ่งค่อย ๆ ฉีกม่านกาลเวลา ล่องลอยผ่านสายลม…จากร่างหญิงสาวผู้ถูกสาปพันธนาการเมื่อพันปีที่แล้ว สู่อีกเรือนกายหนึ่งในยุคปัจจุบันแสงไฟสีขาวจากเพดานสนามบินไคโรสะท้อนกับพื้นกระเบื้องหินอ่อน ผู้คนขวักไขว่ เสียงประกาศเที่ยวบินดังเป็นระยะท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงลากกระเป๋าเดินทาง รถเข็นสัมภาระ และผู้โดยสารหลายเชื้อชา
ในความมืดมิดที่ปกคลุมห้องบูชาลับใต้ดิน แสงอักษรสีเขียวหม่นยังคงเรืองรองจากอักขระบนผนังลามไล้ลงพื้นหินราวงูเปลือยพิษ ผิวของเจ้าหญิงฮาเชียร่าเต็มไปด้วยอักษรดำที่ไหลย้อนขึ้นจากเลือด มันซึมเข้าในรูขุมขน แทรกซึมเข้าในเส้นเลือดแดงทุกเส้นเหมือนหมึกของข้อตกลงที่ไม่มีวันลบ สะท้อนใบหน้าบ้าคลั่งของเจ้าหญิง และนักพรตเฒ่าสองคน เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ เบาลง จนเหลือเพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ทว่าคำสาปที่ถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่แล้วนั้น มิใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอพรหมจรรย์ของผู้ร้องขอ ซึ่งเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องถูกพรากไปเพื่อบูชาเทพีแห่งความมืดนักพรตเฒ่าคนแรก ผู้ที่มีผิวซีดเหมือนขี้เถ้าและตาลึกดำสนิท ก้มลงกระซิบใกล้หูของนางด้วยเสียงแหบพร่าเหมือนเสียงจากขุมนรก“คำสาปสมปรารถนาแล้ว... แต่เจ้าก็ต้องจ่ายราคา ร่างกายของเจ้าจะเป็นภาชนะของเทพีอามนี เคฟี เรธทู จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกผ่าครึ่งเพื่อเลี้ยงปีศาจในสุสานโบราณ”นักพรตเฒ่าอีกคน ผู้ที่ผิวเหี่ยวย่นและมือสั่นเทา ยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย ขณะที่เขาเอื้อมมือจับชายชุดคลุมดำปักทองของนาง แล้วดึงมันออกอย่างหยาบกระด้
ณ ห้องบูชาลับใต้ดิน กลิ่นกำยานผสมกลิ่นไหม้ของสมุนไพรเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว ผนังหินสลักอักขระโบราณเรืองแสงสีดำปนเทาและกลิ่นคาวเลือด แสงไฟจากคบเพลิงส่องให้เห็นเงาดำของรูปเทพีอันบิดเบี้ยวเจ้าหญิงฮาเชียร่าในชุดคลุมดำปักทอง ยืนสง่างามราวหญิงสาวจากขุมนรก ในเงามืดริมฝีปากแดงจัดกำลังขยับท่องคาถาเสียงต่ำข้างหน้าแท่นหินดำวางตุ๊กตามัมมี่สองตัว ขดพันด้วยผ้าลินินเก่าเปื้อนคราบเลือดสดใหม่นักพรตเฒ่าผิวเหี่ยวย่น ยืนอยู่ด้านหลัง โบกธูปที่ปล่อยควันหนาทึบเสียงเขาแหบพร่าดังก้อง“อามนีนูบีซุส… โอบาคา นีตาทู…ซีตีเทคานิคเซียรู”โอ้ มารดาแห่งความตาย… คำแห่งความมืด…จงสาปแช่งนางผู้ชิงรักไปเจ้าหญิงฮาเชียร่าหัวเราะเบา ๆ ดวงตาคมวาวด้วยเปลวริษยาเธอยกมีดสั้นด้ามทอง ปลายมีดแกะสลักลายอังค์กลับแสงไฟสะท้อนวาววับ“เมื่อข้าไม่ได้… เจ้าก็ไม่มีวันได้!”เธอปักมีดลงไปกลางอกตุ๊กตามัมมี่เพศหญิงอย่างแรง เสียงแผดร้องของเนทาเรียดังสะท้อนขึ้นทันทีราวข้ามมิติ เลือดสดหยดออกมาจากผ้าลินินเหมือนตุ๊กตานั้
“อานูบิส คา-เมเรต เนเฟรู-เรต”(เทพแห่งความตาย จงผูกมัดวิญญาณนี้ด้วยบ่วงรักอันสาปแช่ง)เนทาเรียกุมศีรษะทั้งสองมือเส้นเลือดนูนขึ้นตรงขมับ ร่างบางสั่นสะท้านจากดวงตาที่เคยอ่อนหวานปรากฏประกายทองวาววับ ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาสวมวิญญาณเธอเงาดำรูปร่างคล้ายสตรีในชุดคลุมโบราณคืบคลานออกมาจากผืนผ้าโปร่งเสียงสตรีนั้นแหบพร่าราวพัดทะเลทราย“หากเจ้ามอบรักแท้ให้ฟาโรห์… เลือดของผู้เป็นที่รักจักกลายเป็นบรรณาการ…”หญิงสาวกรีดร้องทันทีที่ประโยคนั้นจบเส้นอักขระเรืองแสงสีดำแดงลอยปรากฏบนผิวเธอทีละเส้น ราวกับมีใครสลักจารึกโบราณลงบนร่างกายพระองค์เอื้อมมือคว้าแขนเธอ แต่เมื่อสัมผัส กลับเหมือนถูกแรงสายฟ้าดันกระเด็นออกไปเสียงกระซิบดังพร้อมกันนับร้อย“เมริต… เคต… เจดู…!”(รัก… เลือด… ความตาย…)ร่างบางทรุดคุกเข่า ร่างสั่นสะท้านเหมือนถูกบางสิ่งฉีกจากภายในน้ำตาสีเลือดไหลจากหางตา เธอแหงนหน้ามองเขา ดวงตาทองแปรเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม“ราเมเซส… ยิ่งข้ารักท่าน… คำสาปยิ่งแรง…หากดวงใจเราตรงกัน ความตายจักบังเกิด!”เสียงนั้นไม
เขาก้มลงจูบริมฝีปากนางอีกครั้งแล้ว ดันเข้าไปอีกนิดเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวลำเขาแน่นร้อนและฝังเข้าไปในโพรงนุ่มแคบที่กำลังขมิบรับเขาอย่างตื่นเต้นสั่นไหว“ถึงเพียงครึ่ง… แต่เจ้าตอดรัดเหลือเกิน…”“เจ้ารู้ไหม… ข้าแทบจะไม่ไหว…”เขาหยุดตรงนั้นไม่ดันเข้าไปอีก แต่เธอก็แน่นเสียจนเขาต้องกัดฟัน ความร้อนของร่างเธอกำลังกลืนเขาทีละช้า ๆ อย่างมีชีวิตเธอกระชับสะโพกแน่นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น แต่มือเขากดเอวเธอไว้แผ่วเบาห้ามปรามอย่างรักใคร่“พอแล้ว… แค่นี้ก่อน…”“ข้าจะไม่เร่ง…เพราะข้าอยากให้เจ้าจำ ‘ครั้งแรก’ นี้ ว่ามันเริ่มด้วยความรัก ไม่ใช่เพียงตัณหา…”เขานิ่งสะโพกแนบสะโพก หายใจร้อนรินกลีบของเธอตอดเขาเบา ๆ ทุกจังหวะหัวใจและทั้งคู่นอนกอดกันแน่น โดยที่เขายังอยู่ ในตัวเธอ...คบเพลิงรอบห้องหอวูบไหวแรงขึ้นโดยไม่มีลมพัด กลิ่นกำยานหอมหวานกลายเป็นกลิ่นคาวโลหิตจาง ๆ คลออยู่ในอากาศ ใต้ร่างของหญิงสาวรอยอักษรไฮเออโรกลึกลับที่สลักไว้บนแท่นบรรทมทองเริ่มเรืองแสงเป็นเงาดำล้อมรอบจาง ๆ ทุกจังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนถูกใครตีกลองเรียกวิญญาณราเมเซสยังคงโอบกอดราชินีของเขาไว้แน่น ท่อนร้อนของเขาอยู่ในโพรงนุ่มเพียงครึ่ง







