Masukกาลเวลาหมุนผ่านนับพันปีทรายแห่งทะเลทรายไหลรินกลบซากวิหารและสุสานทีละชั้นเสียงพิณแห่งงานวิวาห์วันนั้นเงียบดับ กลายเป็นเพียงเสียงลมพัดก้องในซอกหินรอยเลือดที่รดลงบนพื้นหินแห้งกรัง ถูกกลบด้วยฝุ่นทรายและเถ้าถ่านเหลือไว้เพียงเงาคำสาปที่ฝังลึกลงในแผ่นดิน
วิญญาณที่เคยโหยหาและกรีดร้องถูกกาลเวลาโอบปิด แต่ถ้อยคำโบราณยังคงก้องสะท้อนในชั้นหิน “เมื่อรักแท้บรรจบ ความตายจักบังเกิด”
พันปีแล้วพันปีเล่า…อาณาจักรล่มสลาย จักรวรรดิใหม่ ผงาดขึ้นและดับไปแม่น้ำไนล์ยังคงไหลเรื่อยไม่รู้จักสิ้น ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเดินผ่านผืนทราย โดยไม่รู้เลยว่าใต้เท้าของพวกเขายังมีความลับ รอการปลุกให้ตื่น
ลมทะเลทรายพัดแรงกว่าปกติ ดั่งเสียงกระซิบของวิญญาณโบราณที่ถูกจองจำมาเนิ่นนาน ประกายดวงจิตหนึ่งค่อย ๆ ฉีกม่านกาลเวลา ล่องลอยผ่านสายลม…จากร่างหญิงสาวผู้ถูกสาปพันธนาการเมื่อพันปีที่แล้ว สู่อีกเรือนกายหนึ่งในยุคปัจจุบัน
แสงไฟสีขาวจากเพดานสนามบินไคโรสะท้อนกับพื้นกระเบื้องหินอ่อน ผู้คนขวักไขว่ เสียงประกาศเที่ยวบินดังเป็นระยะท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงลากกระเป๋าเดินทาง รถเข็นสัมภาระ และผู้โดยสารหลายเชื้อชาติที่รีบร้อนเธอ “อาริสา” ในร่างใหม่ ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ดวงตาสีฟ้าอมเขียววับวาว ราวกับสะท้อนแสงจากอดีตอันไกลโพ้น
หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนพลุกพล่าน แต่กลับให้ความรู้สึกไม่เหมือนใคร เส้นผมสีน้ำตาลสะท้อนแสงไฟนวลอุ่นของสนามบิน ลมหายใจแรกในแผ่นดินไคโรทำให้หัวใจเธอสั่นไหว… บางสิ่งบางอย่างในห้วงวิญญาณกำลังถูกปลุกตื่น
หลังจากผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองยาวเหยียด ทีมสำรวจโบราณคดีถูกนำด้วยรถลีมูซีนสีดำยาวไปยังโรงแรมหรูใจกลางไคโรโรงแรมโอเอซิส ที่ชีคคาลิด เจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งได้จัดเตรียมไว้ให้โดยเฉพาะ
อาริสาแทบจะทิ้งตัวลงบนเบาะรถด้วยความเหนื่อยล้า ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอแทบไม่ได้นอนเต็มตาทั้งต้องช่วย จอร์ท เคเบน เพื่อนสนิทและนักวิจัยสายเอกสารโบราณ รวบรวมข้อมูลเบื้องต้น คืนสุดท้ายยิ่งโกลาหลเธอแทบจะพลาดเที่ยวบิน เพราะต้องเร่งสรุปข้อมูลชุดสุดท้าย โชคดีที่ทันเวลา และก็เพราะคาร่าสาวผมบลอนด์สวยจัดประจำทีม ที่ช่วยแพ็กกระเป๋าเตรียมอุปกรณ์แทนเธอในนาทีสุดท้าย
เมื่อถึงโรงแรม ทีมงานต่างแยกย้ายกันเข้าห้องพัก อาริสาเดินเข้าไปในห้องสวีทชั้นสูงสุด กลิ่นดอกกุหลาบและกำยานหอมอ่อน ๆ ลอยมากับแอร์เย็นเตียงขนาดคิงส์ไซส์ปูผ้าสีขาวสะอาดสะอ้าน พร้อมระเบียงที่มองออกไปเห็นวิวแม่น้ำไนล์ยามค่ำคืน
หญิงสาวถอดเสื้อผ้าออกแล้วเดินเข้าห้องน้ำ สายน้ำอุ่นจากฝักบัวไหลรินลงบนเรือนร่างงามได้สัดส่วน ล้างคราบเหงื่อ ความเหนื่อย และความง่วงที่กดทับมาตลอดหลายวันเธอปิดตา สูดหายใจลึกราวกับให้ทุกหยดน้ำชำระทั้งร่างกายและความคิด
เมื่อออกมา เธอสวมเพียงเสื้อคลุมบาง ๆ เส้นผมเปียกชื้นไหลตามแผ่นหลังนวลเนียนเธอทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง หัวแทบไม่ทันแตะหมอน ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลก็ปิดลงช้า ๆ
ภายในความมืดของห้องพักหรู…เสียงลมทะเลทรายเหมือนกระซิบลอดเข้ามาตามช่องหน้าต่างบางครั้งคล้ายเสียงผู้หญิงแผ่วเบา
แต่เธอเหนื่อยเกินกว่าจะรู้ตัวร่างกายที่อ่อนล้าถูกกล่อมให้หลับลึกลงไปในอ้อมกอดของค่ำคืนในอียิปต์ คืนนี้เป็นคืนเดือนดับ ไร้แม้แต่แสงดาวบนท้องฟ้าท้องฟ้ามืดสนิท ราวกับถูกปิดม่านดำทึบแต่ในห้องพักของอาริสา กลับเต็มไปด้วยแสงเร้นลับสีหม่นที่ไม่อาจอธิบายได้แสงนั้นไม่ใช่ของโคมไฟ ไม่ใช่เงาสะท้อนจากเมืองใหญ่แต่เป็นแสงที่ลอยมาจากที่ใดที่หนึ่งไกลเกินกว่ามนุษย์จะรู้
กลิ่นกำยานหอมจาง ๆ ลอยอบอวลอยู่ในอากาศไม่รู้ว่ามาจากไหน ทั้งที่เธอจำได้ชัดว่าไม่ได้จุดอะไรไว้เลยอากาศในห้องนิ่งสนิท เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองและความรู้สึกแปลกประหลาดก็พุ่งวาบเข้ามาในอกทันที
มันคือความรู้สึก…ว่าเธอ “ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง”
เธอนอนนิ่ง แต่ขนลุกซู่ไปทั้งร่างสายตาในความฝันเหมือนถูกบังคับให้ลืมตาขึ้น เบื้องหน้าปรากฏเงาดำสูงสง่า รูปร่างคล้ายชายหนุ่ม ผู้ชายในชุดโบราณเส้นสายเครื่องทรงประดับทองพร่างพราว แต่ไร้แสงอาทิตย์สะท้อนดวงตาของเขามืดลึก แต่แฝงแรงดึงดูดจนเธอไม่อาจละสายตาได้
เสียงพิณโบราณบรรเลงเบา ๆ ลอยมากับสายลมทว่าทุกถ้อยทำนองแฝงความโหยหวนและเศร้าลึกเสียงนั้นผสานกับเสียงกระซิบในเงามืด…
“เนธาเลีย…ยอดรัก”
อาริสา ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตาเอ่อรินโดยไม่ทันรู้ตัว หัวใจเต้นแรงจนเจ็บแปลบ ความว่างเปล่าในอกเหมือนถูกใครบางคนกระชากให้รำลึกสิ่งที่ลืมเลือนไปนานแสนนาน
ในความฝันนั้น เธอพยายามจะก้าวถอยหนีแต่เท้ากลับเหมือนถูกตรึงกับพื้นเงามืดนั้นก้าวเข้ามาใกล้ช้า ๆ กลิ่นกำยานเข้มข้นขึ้นทุกขณะจนรอบห้องกลายเป็นหมอกสีทองและขาวสลับกัน
แล้วเสียงกระซิบอีกครั้งก็ดังขึ้น คราวนี้แผ่วในโสตประสาทเธอ
ไม่ใช่เพียงเรียกชื่อ แต่เป็นถ้อยคำโบราณที่สั่นสะเทือนในอกและเงานั้นปรากฏขึ้น ภาพในหัวชัดเสียยิ่งกว่าความจริง เธอยืนอยู่ในวิหารโบราณ เสาหินสูงเรียงราย แสงคบเพลิงวูบไหวสะท้อนผนังเป็นเงาเต้นเร้ากลิ่นเครื่องหอม กลิ่นหนังสัตว์แห้ง และกลิ่นเนื้อหนังที่เพิ่งแตะไฟ... สัมผัสเธอทุกประสาทสัมผัสเสียงฝีเท้าหนักและมั่นคงดังก้องเข้ามาใกล้
เธอหันไปและเขาก็อยู่ตรงนั้น
ชายผู้มีนัยน์ตาสีทองแววไฟ กานแต่งกายทรงเครื่องเหมือนฟาโรห์ แต่ไม่ใช่คนที่เคยมีอยู่ในตำราใดร่างสูงสง่า ผิวเข้มเรียบตึงเหมือนรูปเคารพที่แกะจากหินเฮมาไทต์ เส้นผมยาวเป็นลอนระต้นคอ ประดับด้วยทองคำแท้สายตาเขากระชากเธอจากโลกเดิมในพริบตาเดียว...
"เจ้า... เป็นของข้าแล้ว"
เสียงของเขา... ทั้งนุ่ม ทั้งต่ำ ทั้งหยาบโลนเสียจนขาเธออ่อนวูบ และยังไม่ทันได้เอ่ยปฏิเสธอะไร เขาก็ก้าวเข้ามาเขาจับคางเธอไว้แน่นนิ่งแล้วจูบ ไม่ใช่จูบของคนแปลกหน้า แต่จูบของผู้ครอบครอง จูบของผู้ที่รู้ว่าริมฝีปากเธอชอบสัมผัสแบบไหน รุนแรงแค่ไหนถึงจะทำให้เธอครางเธอพยายามผลักเขาออก แต่ไม่มีแรงเลยแม้แต่นิด ในฝันนี้เขา เหนือกว่า เธอในทุกด้านทั้งกาย ทั้งใจทั้งความต้องการที่เหมือนเขาอ่านเธอออกหมดมือของเขาเลื่อนไปยังต้นคอ ไล่ลงมาตามแนวไหล่ ก่อนจะกระชากชุดนอนบางเบาออกเหมือนไม่มีค่าอะไร แค่ผ้าผืนนั้นร่วงลงพื้น เสียงก็ดังเหมือนโซ่ตรวนหลุดออกจากข้อมือเธอ แต่ไม่ใช่อิสระ ตรงกันข้ามมันคือการถูกจับตรึงไว้กับโชคชะตาอันเร่าร้อนที่หลีกไม่พ้น“ร่างกายของเจ้า... สร้างมาเพื่อให้ข้าสัมผัสเท่านั้น”เขากระซิบข้างหู ขณะที่ร่างของเขาเบียดแนบชิด มือของเขาไล้ไปตามเอวเธอ ทุกจุดที่นิ้วเขาผ่านไป เหมือนมีเปลวไฟแตะลงบนผิวเธอกัดริมฝีปากแน่น ฝืนไม่คราง แต่แล้วเขาก็ก้มลงดูดกลืนยอดอกที่เริ่มแข็งตั้ง"อ๊า—!"เสียงครางแรกหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัว เขายิ้ม ยิ้มของผู้ชนะ ยิ้มข
กาลเวลาหมุนผ่านนับพันปีทรายแห่งทะเลทรายไหลรินกลบซากวิหารและสุสานทีละชั้นเสียงพิณแห่งงานวิวาห์วันนั้นเงียบดับ กลายเป็นเพียงเสียงลมพัดก้องในซอกหินรอยเลือดที่รดลงบนพื้นหินแห้งกรัง ถูกกลบด้วยฝุ่นทรายและเถ้าถ่านเหลือไว้เพียงเงาคำสาปที่ฝังลึกลงในแผ่นดินวิญญาณที่เคยโหยหาและกรีดร้องถูกกาลเวลาโอบปิด แต่ถ้อยคำโบราณยังคงก้องสะท้อนในชั้นหิน “เมื่อรักแท้บรรจบ ความตายจักบังเกิด”พันปีแล้วพันปีเล่า…อาณาจักรล่มสลาย จักรวรรดิใหม่ ผงาดขึ้นและดับไปแม่น้ำไนล์ยังคงไหลเรื่อยไม่รู้จักสิ้น ผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเดินผ่านผืนทราย โดยไม่รู้เลยว่าใต้เท้าของพวกเขายังมีความลับ รอการปลุกให้ตื่นลมทะเลทรายพัดแรงกว่าปกติ ดั่งเสียงกระซิบของวิญญาณโบราณที่ถูกจองจำมาเนิ่นนาน ประกายดวงจิตหนึ่งค่อย ๆ ฉีกม่านกาลเวลา ล่องลอยผ่านสายลม…จากร่างหญิงสาวผู้ถูกสาปพันธนาการเมื่อพันปีที่แล้ว สู่อีกเรือนกายหนึ่งในยุคปัจจุบันแสงไฟสีขาวจากเพดานสนามบินไคโรสะท้อนกับพื้นกระเบื้องหินอ่อน ผู้คนขวักไขว่ เสียงประกาศเที่ยวบินดังเป็นระยะท่ามกลางความวุ่นวาย เสียงลากกระเป๋าเดินทาง รถเข็นสัมภาระ และผู้โดยสารหลายเชื้อชา
ในความมืดมิดที่ปกคลุมห้องบูชาลับใต้ดิน แสงอักษรสีเขียวหม่นยังคงเรืองรองจากอักขระบนผนังลามไล้ลงพื้นหินราวงูเปลือยพิษ ผิวของเจ้าหญิงฮาเชียร่าเต็มไปด้วยอักษรดำที่ไหลย้อนขึ้นจากเลือด มันซึมเข้าในรูขุมขน แทรกซึมเข้าในเส้นเลือดแดงทุกเส้นเหมือนหมึกของข้อตกลงที่ไม่มีวันลบ สะท้อนใบหน้าบ้าคลั่งของเจ้าหญิง และนักพรตเฒ่าสองคน เสียงหัวเราะของนางค่อยๆ เบาลง จนเหลือเพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา ทว่าคำสาปที่ถูกปลุกให้ตื่นเต็มที่แล้วนั้น มิใช่สิ่งที่ได้มาฟรีๆ มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอพรหมจรรย์ของผู้ร้องขอ ซึ่งเป็นเลือดบริสุทธิ์ที่ต้องถูกพรากไปเพื่อบูชาเทพีแห่งความมืดนักพรตเฒ่าคนแรก ผู้ที่มีผิวซีดเหมือนขี้เถ้าและตาลึกดำสนิท ก้มลงกระซิบใกล้หูของนางด้วยเสียงแหบพร่าเหมือนเสียงจากขุมนรก“คำสาปสมปรารถนาแล้ว... แต่เจ้าก็ต้องจ่ายราคา ร่างกายของเจ้าจะเป็นภาชนะของเทพีอามนี เคฟี เรธทู จิตวิญญาณของเจ้าจะถูกผ่าครึ่งเพื่อเลี้ยงปีศาจในสุสานโบราณ”นักพรตเฒ่าอีกคน ผู้ที่ผิวเหี่ยวย่นและมือสั่นเทา ยิ้มแสยะอย่างชั่วร้าย ขณะที่เขาเอื้อมมือจับชายชุดคลุมดำปักทองของนาง แล้วดึงมันออกอย่างหยาบกระด้
ณ ห้องบูชาลับใต้ดิน กลิ่นกำยานผสมกลิ่นไหม้ของสมุนไพรเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว ผนังหินสลักอักขระโบราณเรืองแสงสีดำปนเทาและกลิ่นคาวเลือด แสงไฟจากคบเพลิงส่องให้เห็นเงาดำของรูปเทพีอันบิดเบี้ยวเจ้าหญิงฮาเชียร่าในชุดคลุมดำปักทอง ยืนสง่างามราวหญิงสาวจากขุมนรก ในเงามืดริมฝีปากแดงจัดกำลังขยับท่องคาถาเสียงต่ำข้างหน้าแท่นหินดำวางตุ๊กตามัมมี่สองตัว ขดพันด้วยผ้าลินินเก่าเปื้อนคราบเลือดสดใหม่นักพรตเฒ่าผิวเหี่ยวย่น ยืนอยู่ด้านหลัง โบกธูปที่ปล่อยควันหนาทึบเสียงเขาแหบพร่าดังก้อง“อามนีนูบีซุส… โอบาคา นีตาทู…ซีตีเทคานิคเซียรู”โอ้ มารดาแห่งความตาย… คำแห่งความมืด…จงสาปแช่งนางผู้ชิงรักไปเจ้าหญิงฮาเชียร่าหัวเราะเบา ๆ ดวงตาคมวาวด้วยเปลวริษยาเธอยกมีดสั้นด้ามทอง ปลายมีดแกะสลักลายอังค์กลับแสงไฟสะท้อนวาววับ“เมื่อข้าไม่ได้… เจ้าก็ไม่มีวันได้!”เธอปักมีดลงไปกลางอกตุ๊กตามัมมี่เพศหญิงอย่างแรง เสียงแผดร้องของเนทาเรียดังสะท้อนขึ้นทันทีราวข้ามมิติ เลือดสดหยดออกมาจากผ้าลินินเหมือนตุ๊กตานั้
“อานูบิส คา-เมเรต เนเฟรู-เรต”(เทพแห่งความตาย จงผูกมัดวิญญาณนี้ด้วยบ่วงรักอันสาปแช่ง)เนทาเรียกุมศีรษะทั้งสองมือเส้นเลือดนูนขึ้นตรงขมับ ร่างบางสั่นสะท้านจากดวงตาที่เคยอ่อนหวานปรากฏประกายทองวาววับ ราวกับเทพเจ้าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาสวมวิญญาณเธอเงาดำรูปร่างคล้ายสตรีในชุดคลุมโบราณคืบคลานออกมาจากผืนผ้าโปร่งเสียงสตรีนั้นแหบพร่าราวพัดทะเลทราย“หากเจ้ามอบรักแท้ให้ฟาโรห์… เลือดของผู้เป็นที่รักจักกลายเป็นบรรณาการ…”หญิงสาวกรีดร้องทันทีที่ประโยคนั้นจบเส้นอักขระเรืองแสงสีดำแดงลอยปรากฏบนผิวเธอทีละเส้น ราวกับมีใครสลักจารึกโบราณลงบนร่างกายพระองค์เอื้อมมือคว้าแขนเธอ แต่เมื่อสัมผัส กลับเหมือนถูกแรงสายฟ้าดันกระเด็นออกไปเสียงกระซิบดังพร้อมกันนับร้อย“เมริต… เคต… เจดู…!”(รัก… เลือด… ความตาย…)ร่างบางทรุดคุกเข่า ร่างสั่นสะท้านเหมือนถูกบางสิ่งฉีกจากภายในน้ำตาสีเลือดไหลจากหางตา เธอแหงนหน้ามองเขา ดวงตาทองแปรเปลี่ยนเป็นแดงเข้ม“ราเมเซส… ยิ่งข้ารักท่าน… คำสาปยิ่งแรง…หากดวงใจเราตรงกัน ความตายจักบังเกิด!”เสียงนั้นไม
เขาก้มลงจูบริมฝีปากนางอีกครั้งแล้ว ดันเข้าไปอีกนิดเพียงครึ่งหนึ่งของความยาวลำเขาแน่นร้อนและฝังเข้าไปในโพรงนุ่มแคบที่กำลังขมิบรับเขาอย่างตื่นเต้นสั่นไหว“ถึงเพียงครึ่ง… แต่เจ้าตอดรัดเหลือเกิน…”“เจ้ารู้ไหม… ข้าแทบจะไม่ไหว…”เขาหยุดตรงนั้นไม่ดันเข้าไปอีก แต่เธอก็แน่นเสียจนเขาต้องกัดฟัน ความร้อนของร่างเธอกำลังกลืนเขาทีละช้า ๆ อย่างมีชีวิตเธอกระชับสะโพกแน่นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น แต่มือเขากดเอวเธอไว้แผ่วเบาห้ามปรามอย่างรักใคร่“พอแล้ว… แค่นี้ก่อน…”“ข้าจะไม่เร่ง…เพราะข้าอยากให้เจ้าจำ ‘ครั้งแรก’ นี้ ว่ามันเริ่มด้วยความรัก ไม่ใช่เพียงตัณหา…”เขานิ่งสะโพกแนบสะโพก หายใจร้อนรินกลีบของเธอตอดเขาเบา ๆ ทุกจังหวะหัวใจและทั้งคู่นอนกอดกันแน่น โดยที่เขายังอยู่ ในตัวเธอ...คบเพลิงรอบห้องหอวูบไหวแรงขึ้นโดยไม่มีลมพัด กลิ่นกำยานหอมหวานกลายเป็นกลิ่นคาวโลหิตจาง ๆ คลออยู่ในอากาศ ใต้ร่างของหญิงสาวรอยอักษรไฮเออโรกลึกลับที่สลักไว้บนแท่นบรรทมทองเริ่มเรืองแสงเป็นเงาดำล้อมรอบจาง ๆ ทุกจังหวะหัวใจของเธอเต้นแรงเหมือนถูกใครตีกลองเรียกวิญญาณราเมเซสยังคงโอบกอดราชินีของเขาไว้แน่น ท่อนร้อนของเขาอยู่ในโพรงนุ่มเพียงครึ่ง







