LOGINเฉินเจียวเหมยเงียบงันพลันครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ภายในใจ เอาอย่างไรดี?
“หยุดคิดที่จะหนีข้าได้แล้ว” จ้าวจิ่นหลงคำรามเสียงดังอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้า
เฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งตกใจ
“พูดดีๆ ก็ได้” หญิงสาวตะคอกกลับเสียงดัง
“เจ้าคุยไม่รู้เรื่อง”
“ท่านนั่นล่ะคุยไม่รู้เรื่อง”
“เจ้านั่นล่ะ”
“ท่านนั่นล่ะ”
“ฮึ!”
“หึ!”
ทั้งสองสะบัดหน้าหนีออกจากกันคนละทิศละทางแม้ว่ากายงามจะยังคงแนบชิด
พวกเขายังคงนั่งซ้อนกันอยู่บนหลังม้า
อึดใจต่อมา จ้าวจิ่นหลงจึงทำท่าจะควบตะบึงม้าให้ออกตัวเดินทางอีกครา โดยที่มือข้างหนึ่งของเขายังคงรัดรึงโอบกอดร่างของเฉินเจียวเหมยที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คุมบังเหียนม้าเพื่อบังคับให้ไปตามทาง
เฉินเจียวเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบเอื้อมมือของตนขึ้นจับมือของจ้าวจิ่นหลงที่กำลังจับบังเหียนม้าอยู่อย่างรวดเร็ว
เมื่อมือเล็กจับกุมมือใหญ่ ชายหนุ่มจึงชะงักไป
“หยุดเลย!” เฉินเจียวเหมยยังคงเสียงดัง
“อันใด!”
“ท่านจะพาข้าไปที่ใด”
“พาเจ้ากลับแคว้นจ้าว”
“ข้าไม่ไป”
“ทำไม”
“ไม่ไปก็คือไม่ไป ท่านนี่ พูดไม่รู้เรื่อง” เฉินเจียวเหมยเริ่มหงุดหงิดเหลือประมาณ
“...”
จ้าวจิ่นหลงถึงกับเงียบงัน เขารู้สึกเข่นเขี้ยวนางเสียจริง
เฉินเจียวเหมยหันหน้ามาหาจ้าวจิ่นหลงพร้อมด้วยสายตาฟาดฟันอย่างไม่ยินยอม
จ้าวจิ่นหลงเพียงก้มหน้าลงมองสตรีในอ้อมแขนอย่างไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน
“เจ้าเป็นของข้า เป็นเมียข้า” จ้าวจิ่นหลงเอ่ยเสียงลอดไรฟัน
อันที่จริงนางเป็นของเขามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ปีนั้น ปีที่เขาเดินทางมารับนางตามสัญญาสงบศึกนั่น
เห็นได้ชัดว่า เขาขาดทุนมาตั้งนานแล้ว
โดยเฉพาะยามนี้ นางได้เขาแล้วเมื่อคืนนั้น ฮึ!
เฉินเจียวเหมยได้ยินคำว่าเมีย จึงยิ่งเพิ่มความคมวาบในแววตาเพื่อฟาดฟันบุรุษแปลกหน้าผู้นี้อย่างเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
อย่าย้ำได้หรือไม่ หยาบคายยิ่งนัก! หึ!
หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดอีกครา นางไม่มีอันใดจะเถียง
จ้าวจิ่นหลงเห็นสตรีในอ้อมกอดเงียบไปจึงไม่คิดที่จะต่อคำอันใดอีกเช่นเดียวกัน เขาเพียงแค่กระชับวงแขนของตนที่กำลังกอบกุมเอวบางให้แนบแน่นมากยิ่งขึ้นก่อนจะบังคับม้าให้ไปตามทางอย่างที่ตั้งใจ
“ข้าไม่ต้องการ” เสียงหวานใสแฝงความขัดใจของเฉินเจียวเหมยพลันดังขึ้น “มันเร็วเกินไป” นางยังคงมีจุดยืนของนาง
“อะไรเร็วเกินไป” จ้าวจิ่นหลงถามขึ้นอย่างขัดใจไม่ต่างกันพลางบังคับม้าให้หยุดอยู่กับที่
“เรื่องของเรา” เฉินเจียวเหมยเลือกที่จะเอ่ยออกมาตามตรง “มันเร็วเกินไป”
“ฮึ!” จ้าวจิ่นหลงส่งเสียงในลำคอ “ไม่เลย”
“หือ” เฉินเจียวเหมยถึงกับหันหน้ากลับไปมอง
“เรื่องของเรามันไม่ได้เร็วเกินไป” เขาคำรามใส่ใบหน้างามที่หันหลังมามองเขา “มันออกจะช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ”
“อะไรของท่าน” เฉินเจียวเหมยไม่เข้าใจ
“ไม่ต้องพูดมาก” เขาดุใส่หน้า
“...”
นางนิ่งอึ้งไป
“ข้าจะพาเจ้าไปแต่งงาน”
“ไม่เอา ไม่แต่ง”
“ต้องแต่ง”
“ไม่”
“เจ้า!”
“เราไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกัน จะแต่งงานกันได้อย่างไร”
“เจ้าเป็นเมียข้า”
“...”
“เจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า”
“...”
“เจ้าต้องชดใช้”
“...”
ความเงียบงันเข้ามาโรยตัวระหว่างพวกเขาทั้งสองอีกครั้ง
อึดใจต่อมา เฉินเจียวเหมยจึงเริ่มต้นเอ่ยก่อนอย่างไม่คิดที่จะยินยอมหรือพ่ายแพ้ให้กับความผิดพลาดในครั้งนี้แต่อย่างใด “ท่านลืมมันไปไม่ได้หรือไร”
“ไม่ลืม” จ้าวจิ่นหลงยังคงดุดัน
เขาไม่มีทางลืมความอับอายในความเป็นชายที่เสียเชิงให้นาง ไม่มีทาง!
“ดื้อด้าน!” เฉินเจียวเหมยเริ่มเสียงดังอีกครั้ง
“เจ้านั่นล่ะดื้อด้าน”
“ท่านนั่นล่ะ”
“เจ้านั่นล่ะ”
“หึ!”
“ฮึ!”
แล้วทั้งสองก็สะบัดหน้าใส่กันอีกครั้ง
และแล้วการเดินทางของคนทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้นมาอีกครา
แต่ทว่า...เพียงม้าก้าวเท้าเดิน เสียงถกเถียงกันก็ยังคงเริ่มต้นขึ้นมาอีกครั้งและก็ยังคงเป็นไปอย่างนั้นอยู่จนตลอดการเดินทาง
แต่ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น จ้าวจิ่นหลงก็หาได้ปล่อยวงแขนแข็งแกร่งของเขาออกจากเอวบอบบางของเฉินเจียวเหมยไม่
การเดินทางครั้งนี้ของจ้าวจิ่นหลงและเฉินเจียวเหมยนั้น จะว่าเร็วก็เร็ว จะว่าช้าก็ไม่ผิดนัก
เพราะว่าพวกเขาเพียงเริ่มต้นการเดินทางด้วยความผิดพลาดเพียงชั่วข้ามคืน
แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เรื่องราวของพวกเขากลับเริ่มต้นเอาไว้
เมื่อนานมาแล้ว...
เขาเป็นองค์ชายที่มีตำแหน่งพ่วงท้ายเป็นรัชทายาทแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเช่นนี้ เขาไม่แปลกใจ“อาเหมย...” จ้าวจิ่นหลงตัดสินใจปลุกสตรีในอ้อมกอดให้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่นางกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ภายในอ้อมอกของเขา“หืม...” เฉินเจียวเหมยจึงงัวเงียตื่นขึ้นมาจากนิทรารมย์ฝันหวานที่นางไม่รู้เลยว่ามันมิใช่แค่เพียงความฝัน“ตื่นขึ้นมาก่อน ยามนี้อันตราย” จ้าวจิ่นหลงยังเอ่ยคำไม่ทันจบ รอบด้านของเขาพลันปรากฏเงาร่างของชายชุดดำหลายคนกำลังคืบคลานพรางตัววูบไหวใกล้เข้ามา“อันใด” เฉินเจียวเหมยพลันได้สติตื่นเต็มตาด้วยสัญชาตญาณจ้าวจิ่นหลงไม่เสียเวลาอธิบาย เขารีบจับยกร่างของเฉินเจียวเหมยขึ้นอุ้มแล้วนำนางไปวางเอาไว้บนหลังม้าในทันที“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่ ขี่ม้าหนีไป ข้าจะอยู่ทางนี้เอง” ชายหนุ่มรีบเอ่ย“ท่านขึ้นมา” เฉินเจียวเหมยตอบแค่นั้นพลางจับสาบเสื้อช่วงไหล่ของจ้าวจิ่นหลงแล้วย้ำ “ขึ้นมา!”จ้าวจิ่นหลงจึงรีบขึ้นหลังม้าซ้อนกับร่างของเฉินเจียวเหมยในทันทีก่อนจะเอื้อมมือไปจับดาบที่อยู่ตรงข้างลำตัวของม้าแล้วดึงออกจากฝักอย่างไม่เสียเวลาคิดอันใดเนื่องจากชายชุดดำได้เข้ามาจนถึงตัวของพวกเขาแล้วในยามนี้“ไป!” เสียงคำรามของจ้าวจิ่
ภายใต้ร่มไม้ร่มรื่นของป่าใหญ่หนาทึบ จ้าวจิ่นหลงเพียงบังคับม้าให้เดินเท้าอยู่เพียงเบาๆ มิได้เร่งรีบเหมือนดั่งเช่นในคราแรกเนื่องจากว่าในยามนี้ มีสตรีผู้หนึ่งผู้ซึ่งนั่งอยู่ภายในอ้อมแขนของเขาบนหลังม้าตัวเดียวกันนี้ นางกำลังนั่งสัปหงกคอพับคออ่อนอยู่ตรงแผงอกของเขานางคงใช้เรี่ยวแรงในการวิ่งหนีเขาเมื่อก่อนหน้านี้มากจนเกินไป หนีแล้วหนีอีกอยู่นั่น วิ่งไปทั่วหมู่บ้านอยู่อย่างนั้น มิรู้ได้ว่าจะหนีทำไมกันนักกันหนา หนีอยู่ได้ น่าขย้ำนัก!จ้าวจิ่นหลงนึกเข่นเขี้ยวอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเพียงก้มหน้ามองเฉินเจียวเหมยที่กำลังนั่งหลับอยู่ตรงด้านหน้าของเขาในยามนี้ เขาจึงเอื้อมมือที่จับกุมเอวของนางขึ้นมาแล้วจับเอาศีรษะของนางกดเอาไว้ให้แนบกับแผงอกของเขา ให้นางได้หลับสบายอยู่ตรงแผงอกของเขา เขาเกรงว่านางจะสัปหงกจนตกม้าไป แล้วคอหักตายไปเสียก่อนที่จะได้เข้าพิธีแต่งงานกับเขามีสตรีมากมายที่ต้องการจะแต่งงานเป็นชายาของเขาแต่ละนางหาเรื่องเข้ามาหาเขาในวังไม่เว้นในแต่ละวัน จนเขานึกรำคาญก็เลยแอบปลอมตัวออกท่องเที่ยวไปถ้วนทั่วแผ่นดินจนมาถึงแคว้นเฉินแห่งนี้ แต่นาง...นางหนีเขา…นางทำการอุกอาจเพื่อที่จะ
เฉินเจียวเหมยเงียบงันพลันครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ภายในใจ เอาอย่างไรดี?“หยุดคิดที่จะหนีข้าได้แล้ว” จ้าวจิ่นหลงคำรามเสียงดังอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้าเฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งตกใจ“พูดดีๆ ก็ได้” หญิงสาวตะคอกกลับเสียงดัง“เจ้าคุยไม่รู้เรื่อง”“ท่านนั่นล่ะคุยไม่รู้เรื่อง”“เจ้านั่นล่ะ”“ท่านนั่นล่ะ”“ฮึ!”“หึ!”ทั้งสองสะบัดหน้าหนีออกจากกันคนละทิศละทางแม้ว่ากายงามจะยังคงแนบชิดพวกเขายังคงนั่งซ้อนกันอยู่บนหลังม้าอึดใจต่อมา จ้าวจิ่นหลงจึงทำท่าจะควบตะบึงม้าให้ออกตัวเดินทางอีกครา โดยที่มือข้างหนึ่งของเขายังคงรัดรึงโอบกอดร่างของเฉินเจียวเหมยที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คุมบังเหียนม้าเพื่อบังคับให้ไปตามทางเฉินเจียวเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบเอื้อมมือของตนขึ้นจับมือของจ้าวจิ่นหลงที่กำลังจับบังเหียนม้าอยู่อย่างรวดเร็วเมื่อมือเล็กจับกุมมือใหญ่ ชายหนุ่มจึงชะงักไป“หยุดเลย!” เฉินเจียวเหมยยังคงเสียงดัง“อันใด!”“ท่านจะพาข้าไปที่ใด”“พาเจ้ากลับแคว้นจ้าว”“ข้าไม่ไป”“ทำไม”“ไม่ไปก็คือไม่ไป ท่านนี่ พูดไม่รู้เรื่อง” เฉินเจียวเหมยเริ่มหงุดหงิดเหลือประมาณ“...”จ้าวจิ่นหลงถึงกับเงียบงัน เข
เฉินเจียวเหมยเพียงใช้หางตาแอบมองใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กันอย่างระแวงอยู่ตลอดเวลา เขากำลังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยมาดของบุรุษที่มีเสน่ห์น่าแทรกกายเข้าหานางติดใจเขาเสียแล้ว นางเป็นสตรีอย่างนี้ได้อย่างไร อา...นางต้องอยู่ให้ไกลจากเรือนร่างอันยั่วยวนของเขา นางต้องหนีเขาไปให้ไกล ก่อนที่นางจะรู้สึกคลั่งเขาไปมากกว่านี้เรื่องอย่างนี้จะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับบุรุษน่าตายผู้นี้ นางจะต้องเก็บข่มมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด ไม่ได้ ไม่ได้นางจะเสียชื่อหมอหญิงผู้เก่งกาจทุกสถานการณ์อย่างนี้...ไม่ได้! จะเสียท่าให้กับยาปลุกกำหนัดของตัวเองอย่างนี้...ไม่ได้! จะตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างนี้...ไม่ได้! จะ....หือ!และแล้วความคิดที่ต้องการจะหนีใครบางคนด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงของเฉินเจียวเหมยพลันตกไป ด้วยเพราะว่าใครบางคนนั้นพลันอุ้มนางลงจากรถม้าแล้วพานางมาขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนจะควบตะบึงม้าพานางออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดและเพียงอึดใจ เสียงควบตะบึงม้าพลันดังขึ้นมาในโสตประสาทของเฉินเจียวเหมยและทำให้นางได้เข้าใจไม่...เฉินเจียวเหมยได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเวลาผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเฉินเจียวเหมยยังคงถูกบุรุษแป
เขาทำท่าทางดุดันน่าเกรงขามข่มคำรามใส่นาง ในขณะที่จับกดนางไม่ยอมปล่อยนางรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดที่ทำให้เขาไม่อาจถอนร่างกายของเขาออกจากร่างกายของนางเพราะว่านางเองก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกันนางโอบกอดกระหวัดรัดรึงเขาเอาไว้อย่างแนบแน่นในขณะที่เขาก็ถาโถมเข้าใส่นางอย่างหนักหน่วง เราสองสอดประสานกันอย่างเหนียวแน่นเกินห้ามใจเกินยับยั้งแต่ทว่า...เขามิได้รักนาง เขามิได้ต้องการนางแต่อย่างใดนางเองก็เช่นเดียวกันนางมิได้ต้องการเขา ไม่ได้รักเขานางจะรักเขาได้อย่างไร เขาเป็นใครนางยังไม่รู้เลยที่สอดประสานกับจนเนื้อนวลเกือบจะแหลกเหลวนั่น ก็เพราะยาสูตรพิเศษของนางล้วนๆนางกับเขาไม่ควรเจอกัน นางไม่ควรเจอกับเขาอีก นางอยากจะลืมลืมความอับอาย ลืมความอัปยศดอดสูนี่ นางควรหนี นางจะต้องหนีเขา นางต้องหนีเขาเท่านั้น นางควรหนีเขาไปที่ใดดีเมื่อเฉินเจียวเหมยคิดได้อย่างนั้นจึงทำท่าจะกระโจนตัวหนีจ้าวจิ่นหลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ นอกจากฝ่ามือใหญ่หนาของเขาที่จับกระชากนางให้นั่งอยู่กับที่นิ่งๆ แล้ว ใบหน้าของจ้าวจิ่นหลงพลันแนบชิดเข้ามา แล้วกดจูบนางอย่างเร่าร้อน“อื้อ...อื้อ” เฉินเจียวเหมยถึงกับตกใจอุทานอยู่
เขาเป็นบุรุษน่าตายที่สุดในชีวิตของนางนางควรทำอย่างไรดี ทำตัวน่ารังเกียจไปเลยดีหรือไม่ จะอย่างไรเสีย นางก็น่ารังเกียจอยู่แล้วในยามนี้ นางเป็นสตรีน่ารังเกียจไปหมดแล้วตั้งแต่ค่ำคืนของคืนนั้นจ้าวจิ่นหลงที่ได้ถือโอกาสเข้ามาภายในรถม้าคันนี้เป็นผลสำเร็จเมื่อจูหยวนจางอุ้มภรรยาลงจากรถม้าไปเพื่อที่จะได้ไปนั่งชื่นชมทิวทัศน์พร้อมกับแนบชิดคลอเคลียไปมาอยู่กับภรรยาที่ริมลำธารนั่น เขาจึงเข้ามาเพื่อที่ต้องการจะคุยกับสตรีน่าตายผู้นี้ให้รู้เรื่อง เมื่อเขาเข้ามานั่งในรถม้าคันเดียวกันกับนางแล้ว เขาเพียงนั่งจ้องมองนางนิ่งๆ เพื่อหยั่งเชิงนาง เพื่อดูว่านางจะหนีเขาไปที่ใดได้อีกเมื่อเขาเห็นนางไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปที่ใดแล้ว เขาจึงเริ่มต้นบทสนทนาแนะนำตัวและทำความรู้จักกับนางใช่! เขากับนางควรทำความรู้จักกันด้วยการเสวนากันดีๆ แบบปกติของบุรุษและสตรีทั่วไปถึงแม้ว่า เขากับนางจะทำความรู้จักกันด้วยเรือนร่างทุกสัดส่วน ด้วยลีลาเร่าร้อนหลายกระบวนท่าไปแล้วก็ตาม แต่ทว่า...นอกจากนางจะไม่หนีเขาแล้ว นางยังทำหน้าตาน่าจับกดอีกนางนั่งเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ แล้วซักพักนางก็หันหน้ามามองใบหน้าของเขาเพียงอึดใจนางก็ใช้สายตาของนา







