LOGINส่วนคนที่ยังอยู่จะอย่างไรก็ไม่อาจเปิดเผยสัมพันธ์ลับให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลสกุลบ้านเดิม นางจึงยกขบวนสินสอดเดินทางไปสู่ขอจางจิ่วเม่ยอย่างชอบธรรมทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังเรือนมิอาจว่างเปล่า แต่จนใจที่บุตรชายเป็นม่ายภรรยาตาย สกุลเกาจะหาสะใภ้จากที่ใดได้ คงต้องร้องขอให้สกุลจางเห็นใจแล้ว
ในวันที่ขบวนสู่ขอเดินทางมาถึง ในเรือนของจางจิ่วเม่ย เกาหมิงยืนอยู่ตรงหน้านางนิ่งๆ ขณะที่สาวน้อยผินดวงหน้าผุดผาดคลี่ยิ้มสดใสแฝงความงดงามหยาดเยิ้มถามเสียงอ่อนหวานว่า “ในที่สุด ข้ากับท่านจะได้รักกันแล้วใช่ไหม?”
เกาหมิงพยักหน้า คลี่ยิ้มบาง เขาเอ่ยเสียงอ่อน “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องหลบซ่อนมาโดยตลอด”
“ไม่โทษท่าน แค่วันนี้ได้รักท่าน ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”
ชายหนุ่มโอบกอดนางไว้แนบอกอย่างซาบซึ้ง ทว่าก้นบึ้งของแววตากลับรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นต่อสตรีอีกคน
ขณะที่สาวน้อยซึ่งบัดนี้เติบโตเพื่อเขามีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ยามแนบใบหน้ากับแผงอกอบอุ่นที่ถวิลหานางช่างสุขใจหาใดเทียม
และแล้วเราสองก็ได้แต่งงานกัน นางได้เป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องเหมาะสม
รัก...ที่แค่ฝังใจ จึงถึงคราวเปิดเผยสู่ธารกำนัลอย่างสง่างาม
พิธีแต่งงานระหว่างเกาหมิงกับจางจิ่วเม่ยผ่านไปอย่างราบรื่น วันชื่นคืนสุขผ่านไปวันแล้ววันเล่า พร้อมกับการปกปิดความจริงและลืมเลือนหลินซูซิน
จางจิ่วเม่ยให้รู้สึกหลุดพ้นจากเส้นทางรักอันขรุขระเสียที นางที่อดทนมองชายอันเป็นที่รักอยู่กับหญิงอื่น อดทนกับหลินซูซินที่เป็นนางมารขวางทางรักทุกวัน กล้ำกลืนมองความรักที่มีอุปสรรคมานานหลายปี ยามนี้นางไม่จำเป็นต้องทนทรมานอีกแล้ว
สาวน้อยกลายเป็นสตรีเต็มวัยที่สมหวังดังใจทุกประการ
หากเป็นตัวเอกในนิทาน นั่นคือนางที่มีความสุขในตอนจบ
ส่วนเกาหมิงแม้ยังคงรักฝังใจกับหลินซูซินมิเสื่อมคลาย ทั้งรู้สึกผิดอย่างท่วมท้น ทว่าคนต้องเดินหน้าต่อหาใช่จมกับอดีตไม่
แค่มิได้รักสตรีข้างกายมากมายเท่าอดีตภรรยา
เสน่หาบนเตียงล้วนทำไปตามหน้าที่อันพึงมีพึงปฏิบัติ บุรุษผู้หนึ่งแม้เบื้องหน้ามีรอยยิ้มประดับ ทว่าในใจใครจะรู้เล่าว่าโศกเศร้าปานใด นี่คือตราบาป คือกรรมที่เขาควรได้รับใช่หรือไม่ ทว่าการจมปลักฝังใจรักกับสตรีอีกคน แต่ใช้ชีวิตร่วมกับสตรีอีกคน ย่อมมิใช่ปัญหาใหญ่อันใดสำหรับปุถุชนคนหนึ่ง
และด้วยความเป็นสุภาพชน เขาจึงยังคงเป็นสามีแสนดี แม้ต้องเปลี่ยนภรรยาอย่างจำยอมด้วยจำนนต่อความจริง
ฮูหยินคนใหม่จึงแทนที่ฮูหยินคนเก่าโดยสมบูรณ์
เพียงแต่ความสมบูรณ์นั้น กลับทำให้คนผู้หนึ่งรู้สึกแหว่งเว้าในหัวใจอยู่ทุกวัน
คนผู้นั้นอยู่ในห้องหรูโออ่าบนหอสูงของหุบเขาผนึกมาร แววตาคมดำของเขาลึกล้ำเกินหยั่ง ไม่มีใครอ่านความรู้สึกออก
จ้าวเฟิงฉีไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงรู้สึกเช่นนี้
เดิมทีหลินซูซินผู้นั้นไม่ควรอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของเขา
นางที่เอาแต่วิ่งหนีทุกคราเมื่อเจอหน้า เขาไม่ควรรู้สึกอันใด ตอนนางมีชีวิตอยู่ทำให้เขาโมโหโกรธเคืองปานใดล้วนจำได้ดี และยิ่งเกลียดชังทุกครั้งที่นึกถึงตอนที่นางพยักหน้ารับว่าที่สามีเป็นชายอื่น สตรีโง่งมเช่นนั้น เขาไม่ใส่ใจสักนิดว่านางจะแต่งงานเป็นภรรยาของใครที่ไหน
แล้วเหตุใดตอนนางตาย เขาถึงทำใจไม่ได้เช่นนี้เล่า?
ชายหนุ่มปรายตามองลงไปยังเบื้องล่างจากหอสูงที่เขาอยู่ ห่างออกไปไกลหลายลี้จากตรงนี้คือตัวเมืองผิงโจว
จวนสกุลเกาตั้งตระหง่านอยู่ในนั้น
แววตาคมของจ้าวเฟิงฉีฉายแววอำมหิต ทั้งเย็นชาไร้ปรานี ย่อมหมดเวลาแห่งความสงบราบรื่นของคนที่ทำให้หลินซูซินตาย สกุลเกาไม่สมควรเสวยสุขเหนือความทุกข์ตรมของคนสกุลหลิน
นิสัยของจ้าวเฟิงฉีค่อนข้างแข็งกร้าว แววตาที่ดุดันนั้นค่อยๆ แผ่กำจายความคิดอันโหดเหี้ยมออกมาอย่างท่วมท้น
ที่มุมมืดหลังฉากกั้น เงาร่างอรชรค่อยๆ ปรากฏกายออกมาอย่างช้าๆ แลดูงดงามชวนหวาดหวั่นพรั่นพรึงแปลกประหลาด นางคือ เสี่ยวเหยา สุดยอดหญิงคณิกาอันดับหนึ่งของหอบุปผา หนึ่งในกิจการของสำนักยวี้จู๋
จ้าวเฟิ่งฉียังคงยืนนิ่งขรึมหันหน้าออกไปทางนอกหน้าต่างยามเอ่ยปากสั่งการเสียงเย็นชา
“ไปจัดการจุดไฟเผาหลังเรือนสกุลเกาให้วอดวาย”
ความหมายคือยึดครองเกาหมิง อย่าให้จางจิ่วเม่ยผู้นั้นได้อยู่อย่างผาสุก ยิ่งร้อนรุ่มดุจมีไฟสุมทรวงเท่าไรยิ่งดี
เขามีดวงหน้าหล่อเหลากับแววตาสุขุมลุ่มลึกเปี่ยมเสน่ห์เฉพาะบุรุษ แม้ในเวลาหลับยังแฝงความงดงามให้คนประทับใจ เพียงแต่ดวงหน้าราวรูปสลักของเขายามนี้ ถูกภาพจำในชาติที่แล้วกดทับความวิจิตรไปเสียสิ้นเสื้อตัวยาวสีขาวสะอาดตาเพียงทำให้เขาดูสง่าและภูมิฐานเช่นบุรุษคนหนึ่งเท่านั้นไหนเลยจะยังคงมีความน่าเคารพชวนนับถือเหลืออยู่อีกหลินซูซินหยุดความคิด “พี่เกาหมิง” นางแย้มยิ้มทักทายตามมารยาท“เจ้ามาคนเดียวกระมัง ให้ข้าพาเดินนะ จะได้ช่วยถือของ” เกาหมิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้างามสง่าตลอดเวลานางเอียงหน้ากะพริบตาช้าๆ เพียรกักแววตากังขายามลอบพิจารณาอย่างมิให้เขาสงสัยภายใต้ความกระจ่างใสในรอยยิ้มอ่อนหวานหลินซูซินเพียรแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยนและรักษาระยะห่างไว้พอดี มิได้แสดงความสนิทสนมมากเกินไปหรือห่างเหินจนดูไม่งาม“เป็นการรบกวนท่านหรือไม่?”“เจ้าอย่าได้เกรงใจ”หลังจากทักทายนางหลายประโยคสายตาของเขาก็บังเอิญเห็นจางจิ่วเม่ยยืนอยู่อีกฝั่ง จึงเอ่ยปากทักทายกันตามมารยาท“อ่า...นั่นน้องจิ่วเม่ยมิใช่หรือ?”แววตาสีหน้าอันอ่อนโยนนั้นคือเพิ่งบังเอิญเจอจริงๆจางจิ่วเม่ยเองก็แนบเนียนยิ่ง “ช่างเหมาะเจาะเสียจริง
หลังจากผ่านพ้นภาวะฝันร้ายเสมือนจริงอันยาวนานหลินซูซินก็ตื่นขึ้นมาอย่างตะลึงลาน นางอึ้งงันอยู่เป็นนานครั้นได้สติก็รีบลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัวออกจากห้องส่วนตัวในเรือนหลัก เดินลงบันไดตรงไปในเรือนของโรงครัวทันทีเมื่อมาถึงจึงเห็นมารดากำลังนั่งรับลมตรงหน้าเรือนเล็กและคัดเลือดยอดใบชา เป็นภาพอันเรียบง่ายที่ฉายความสุขสงบฉับพลันนั้นภาพหนึ่งพลันปรากฏในห้วงคะนึงของหลินซูซิน เป็นภาพยามที่มารดานั่งซบหน้าร้องไห้ในพิธีศพของนางทั้งบิดามารดาร้องไห้ปานขาดใจจนน้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด กระทั่งล้มป่วยนอนซม สภาพไม่ต่างจากตายทั้งเป็นพวกท่านไม่อาจยืนหยัดลุกขึ้นมาทำอาหารจัดขนมในแบบที่ตนรักเท่าชีวิตได้อีกเลยจวนสกุลหลินคล้ายตกอยู่ในขุมนรกทั้งที่ไร้ความผิด บิดามารดาที่ทำดีมาตลอดทั้งชีวิตกลับตกอยู่ในสภาพน่าอดสูหลินซูซินนิ่งขึง ปล่อยความคิดชั่วแล่นนั้นลามไปทั่วสรรพางค์กาย กระแทกไปทั้งหัวใจหญิงสาวไม่ทันคิดอันใดก็พลันวิ่งเข้าไปหามารดาทันทีหลินซูซินสวมกอดมารดาแน่นทั้งรักทั้งหวงแหนแสนห่วงใย นางเพิ่งผ่านฝันร้ายอันยาวนานมา ในฝัน บิดามารดาที่เพิ่งพบหน้าต้องจากกันไกลแสนไกลชั่วนิรันดร์อย่างไม่น่าให้อภั
แน่นอนว่างานเยี่ยงนี้เสี่ยวเหยาถนัดยิ่ง นางเหยียดยิ้ม “เจ้าค่ะนายน้อย”เงาร่างอ้อนแอ้นหายไป เงาร่างสูงเพรียวคนใหม่ก้าวเข้ามาเขาคือ อี้หาน เป็นชาวยุทธ์ที่ทำงานให้ราชสำนักมาช้านานจ้าวเฟิ่งฉีสั่งการโดยไม่หันมองอีกครา “รอเวลาที่เหมาะสม ค่อยจัดการค้นจวนยึดทรัพย์ลากคนเข้าคุกรับโทษทัณฑ์”“ขอรับนายน้อย...”สกุลเกาที่สงบสุขราบรื่นเพราะลืมเลือนสตรีผู้หนึ่งไปสิ้นค่อยๆ เกิดพายุร้ายโหมกระพือภายในเรือน เปลวเพลิงแห่งชีวิตค่อยๆ แผ่ลามไปทั่วทั้งจวนภายในเวลาเพียงไม่นานเรียกว่ากรรมตามทันได้อย่างรวดเร็วไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเดิมทีเกาหมิงที่รักหลินซูซินจากใจจริงแต่กลับนอกใจ ล้วนเป็นเพราะจางจิ่วเม่ยน่ารักซุกซน เป็นสตรีสดใสแปลกใหม่แบบที่ตนไม่ค่อยได้สัมผัสความร่าเริงของสาวน้อยซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสตรีเรียบร้อยอ่อนหวานอยู่ในกรอบจารีตที่เจออยู่ทุกวันเช่นหลินซูซิน ย่อมทำให้บุรุษโลเลผู้หนึ่งหวั่นไหวสั่นคลอนครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเกาหมิงได้เจอเสี่ยวเหยา หญิงสาวที่เอาศาสตร์สตรีอันล้ำเลิศทุกแขนงมาไว้กับตัวดุจธรรมชาติสรรสร้างความสะสวยไม่ต้องพูดถึง ความหยาดเยิ้มยิ่งไม่ต้องกล่าวอ้างสตรีสะคราญโฉม
ส่วนคนที่ยังอยู่จะอย่างไรก็ไม่อาจเปิดเผยสัมพันธ์ลับให้เสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลสกุลบ้านเดิม นางจึงยกขบวนสินสอดเดินทางไปสู่ขอจางจิ่วเม่ยอย่างชอบธรรมทันที ด้วยเหตุผลที่ว่า หลังเรือนมิอาจว่างเปล่า แต่จนใจที่บุตรชายเป็นม่ายภรรยาตาย สกุลเกาจะหาสะใภ้จากที่ใดได้ คงต้องร้องขอให้สกุลจางเห็นใจแล้วในวันที่ขบวนสู่ขอเดินทางมาถึง ในเรือนของจางจิ่วเม่ย เกาหมิงยืนอยู่ตรงหน้านางนิ่งๆ ขณะที่สาวน้อยผินดวงหน้าผุดผาดคลี่ยิ้มสดใสแฝงความงดงามหยาดเยิ้มถามเสียงอ่อนหวานว่า “ในที่สุด ข้ากับท่านจะได้รักกันแล้วใช่ไหม?”เกาหมิงพยักหน้า คลี่ยิ้มบาง เขาเอ่ยเสียงอ่อน “ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องหลบซ่อนมาโดยตลอด”“ไม่โทษท่าน แค่วันนี้ได้รักท่าน ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”ชายหนุ่มโอบกอดนางไว้แนบอกอย่างซาบซึ้ง ทว่าก้นบึ้งของแววตากลับรู้สึกผิดอย่างท่วมท้นต่อสตรีอีกคนขณะที่สาวน้อยซึ่งบัดนี้เติบโตเพื่อเขามีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ยามแนบใบหน้ากับแผงอกอบอุ่นที่ถวิลหานางช่างสุขใจหาใดเทียมและแล้วเราสองก็ได้แต่งงานกัน นางได้เป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมรัก...ที่แค่ฝังใจ จึงถึงคราวเปิดเผยสู่ธารกำนัลอย่างสง่างามพ
ชายหนุ่มไม่เอ่ยปากทักทายแขกเหรื่อหรือญาติสนิทคนใด เพียงคุกเข่าสงบนิ่ง จับจองความเงียบงันอยู่คนเดียวจางจิ่วเม่ยที่มีดวงตาแดงก่ำสีหน้าเสียใจลึกล้ำเดินเข้ามา คุกเข่าลงนั่งเคียงข้างกับเขา วันนี้นางมาในฐานะญาติฝั่งมารดาของเกาหมิง ส่วนอีกฐานะ มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้ ผู้อื่นหาได้เคลือบแคลงหรือสงสัยแม้แต่น้อยไม่“พี่หมิง” เสียงของนางแหบพร่าปนสะอื้น เมื่อครู่หญิงสาวร่ำไห้มาพักใหญ่ก่อนเดินเข้ามา “ท่านคุกเข่าอยู่ตรงนี้มาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วนะเจ้าคะ หากทำเช่นนี้ต่อไปจะเสียสุขภาพเอาได้”เกาหมิงเอียงหน้ามองสตรีข้างกาย “เม่ยเอ๋อร์ นางตั้งครรภ์ ข้ารอมาตั้งสามปีในที่สุดภรรยาก็ตั้งครรภ์ แล้วเหตุใดนางต้องตาย”จางจิ่วเม่ยได้ฟังพลันมีสีหน้าดำคล้ำ แววตาทะมึนลง นางเองก็ตั้งครรภ์ได้ ขอเพียงได้แต่งกับเขาอย่างถูกต้องเสียทีนางพอแล้ว ความทุกข์ตรมที่ต้องข่มกลั้นซี่งได้รับนานนับปีจากการแอบรักฝังใจกับบุรุษที่มีสตรีอื่นข้างกาย พอที!ในขณะที่จางจิ่วเม่ยคิดการณ์อันชั่วช้าเช่นนั้น เกาหมิงกลับยิ่งรู้สึกย่ำแย่ไปทั้งใจ ยิ่งมองจางจิ่วเม่ย เกาหมิงก็ยิ่งรู้สึกผิดทบทวี เดิมทีเขาปฏิเสธจางจิ่วเม่ยแล้ว ทว
ด้วยฐานะมิได้ร่ำรวยมั่งคั่ง บ่าวไพร่ในเรือนจึงค่อนข้างน้อย หน้าประตูจวนมีเพียงยามเฝ้าหนึ่งคน ตลอดทางเดินเข้าเรือนชั้นใน หลินซูซินจึงไม่พบบ่าวไพร่เดินขวักไขว่สักคนหญิงสาวเดินมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวังจนถึงเรือนหลัก คิดในใจว่าพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย ค่อยทำอาหารรสเลิศรอสามีกลับมาจากทำงาน แล้วบอกข่าวดีให้เขารับรู้ท่ามกลางอาหารโอชาทว่าเหมือนฟ้าผ่าแสกหน้า เมื่อหลินซูซินเปิดประตูเข้าห้อง เดินเข้ามาเพียงหนึ่งก้าว ภาพที่เห็นทำให้นางแทบล้มทั้งยืน สามีของนางกำลังกอดกระหวัดรัดรึงอยู่กับสตรีผู้หนึ่งบนเตียงนอน กลิ่นอายวสันต์อันกรุ่นร้อนแผ่ซ่านกำจายไปทั่วห้องนอนของเราภายใต้ผ้าโปร่งพลิ้วไหว เสื้อผ้าชายหญิงกระจัดกระจาย ผ้าห่มยับย้วย ไม่บอกก็รู้ว่าพวกเขาเคี่ยวกรำอย่างร้อนแรงปานใด“กรี๊ด...”ไม่ใช่เสียงกรีดร้องของหลินซูซิน แต่เป็นของหญิงแพศยาในอ้อมกอดสามีนาง“ซูซิน” เกาหมิงมองหลินซูซินอย่างตื่นตกใจด้วยมิคาดว่าภรรยาจะกลับมากะทันหันหลินซูซินยืนชะงักค้างนิ่งงัน นางพูดไม่ออกสักคำขณะมองชายโฉดหญิงชั่วเร่งรีบลุกขึ้นจากเตียงมาสวมเสื้อผ้าอย่างทุลักทุเลแล้วเดินมาทางนางอย่างขอลุแก่โทษสีหน้าท่าทางของพวก







