เรนนี่เดินเข้ามาในสำนักงานที่ตัวเองคุ้นเคย เธอติดต่อประชาสัมพันธ์ของบริษัทเพื่อขอพบชลิตา เรนนี่คิดว่าต่อให้เกลียดกันมากแค่ไหน คนอย่างวินดี้คงยังไม่กล้าทำอะไรเธอแน่นอนเพราะถ้าคิดจะทำร้ายจริง ๆ คงไม่รอให้เธอเดินมาหาเองหรอก
พอบอกว่าเรนนี่ขอเข้าพบ วินดี้ที่ตอนนี้กำลังมีปัญหาภายในบริษัทอยู่ก็ล้มเลิกความตั้งใจเรื่องอื่นไปเลยเพราะเธอเองก็ยังไม่คิดว่าเรนนี่จะกล้ากลับมาหากันได้ ทั้งที่ถูกกระทำไปหลายอย่างแบบนั้น
การเผชิญหน้าในรอบ 6 เดือน เรนนี่ยังส่งยิ้มให้พี่สาวแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องที่ตัวเองมาหาในวันนี้
“สบายดีใช่ไหมคะพี่สาว”
“แหม หายหน้าไปตั้งนานกลับมาแล้วก็ดีแล้วนะ พี่อยากได้คนช่วยอยู่เลย”
“แล้วที่ผ่านมาให้ใครช่วยเหรอคะ”
“ก็ทำเองบ้างแหละ มันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้น”
“วิธีการของพี่มันเลวเกินไปมั้งคะ จะดีขึ้นได้ไงล่ะ”
“เรนนี่ มันจะมากไปแล้วนะใครสั่งสอนให้เธอด่าฉันแบบนี้”
“ประสบการณ์ไงคะ เอาล่ะเรนขี้เกียจจะคุยกับพี่แล้ว ขอเอกสารของเรนทั้งหมดมาค่ะ”
“จะเอาไปทำไม”
“จะกลับอเมริกา และคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะไม่ต้องห่วงนะคะ พี่จะอยู่ที่นี่กับสามีอย่างมีความสุขแน่นอน”
“แล้วเธอจะไม่เอาเรื่องพี่ใช่ไหม”
“กลัวด้วยเหรอคะ ไม่หรอกเพราะเรนรักพี่สาวของเรนเสมอค่ะ แต่จากนี้ไปถ้าเรนไม่ได้รับความปลอดภัยจนกลับบ้านได้ล่ะก็ คงไม่ต้องคุยกันอีกแล้วนะคะ”
เรนนี่เอาจริง เธอจะไม่ปล่อยให้คนร้ายกาจอย่างวินดี้ได้อยู่สบาย ๆ แน่ แต่ถ้าเธอไม่คิดจะทำร้ายกันอีก คงจะต้องปล่อยเขาไปให้เผชิญชะตากรรมเอาเองเพราะสิ่งที่กระทำไว้นั้นคงกลับมาตอบแทนเธอในไม่ช้าอย่างแน่นอน
เมื่อเอกสารพร้อมรอแค่เธอจะไปซื้อตั๋วเครื่องบินทิ้งความรัก และความโชคร้ายทั้งหมดไว้ที่นี่แล้วจากไปโดยจะไม่หันกลับมาอีก กรินทร์เองก็ไม่ได้สนใจเธอเลยตั้งแต่วันที่เธอบอกกับเขาว่ารู้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร และเขาก็ไม่ได้ถามเอาความจริงอะไรด้วย
เรนนี่ติดต่อไปที่บ้านแล้วว่าจะกลับไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรนนี่จะต้องลาจากคนที่ตัวเองหลงรักทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยมองเห็นเธอเลยด้วยซ้ำไป
“คุณกรินทร์กาแฟค่ะ” เธอวางแก้วกาแฟไว้บนโต๊ะทำงานของเขา
“ขอบใจนะ” เพียงแค่นั้นแล้วเขาก็ทำงานต่อไป
ฝนกำลังจะออกไปแต่เขาเหมือนจะเพิ่งนึกออก จึงเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังบางของแม่บ้านของเขาที่กำลังเดินห่างออกไป มันทำให้ภายในใจมันหวิวแปลก ๆ เหมือนเธอกำลังจะหายไปจากชีวิตเขาจริง ๆ
“ฝน วันนี้ฉันว่างไปทานข้าวเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
ฝนที่เดินห่างออกไปแล้ว แต่ได้ยินที่เขาเรียกและหันมาเจอกับเขาที่เหมือนพยายามรวบรวมความกล้าที่จะให้เธอไปกับเขาในวันนี้
“ได้ค่ะ” เธอหันกลับมาและตอบรับโดยที่ไม่ต้องคิดอะไร
ถึงแม้ว่าต้องนั่งรอเขานานนิดหน่อย ก็ไม่ทำให้ฝนรู้สึกเบื่อหน่ายเลย เขาพาเธอนั่งรถพาไปในสถานที่แห่งหนึ่ง มันไม่ดูหรูหราอะไรเลยแต่เพราะอาหารอร่อยมาก กรินทร์ชอบมาที่นี่และอยากให้คนที่เขารู้สึกดีด้วยมาเหมือนกัน
“อันนี้ชอบทานไหม”
“อะไรก็ได้หมดเลยค่ะ ถ้าคุณบอกว่าที่นี่อาหารอร่อย”
เมื่อสั่งอาหารไปแล้ว สองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงได้แต่มองใบหน้าของแต่ละคน ภายในใจคิดต่างกัน ฝนคิดว่าเธอจะบอกลาอย่างไรดี ส่วนอีกคนจะพูดเรื่องของตัวเองออกไปจะดีไหม
“เอ่อ...”
“เอ่อ...”
สองคนพูดออกมาพร้อมกัน ฝนจึงพูดบอกให้เขาเริ่มก่อนได้เลย
“คุณก่อนเลยค่ะ”
“คือจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้จะพูดอะไรมากหรอก แต่แค่ช่วงนี้ดูเธอจะยุ่งอยู่ฉันเลยไม่ได้ถามเรื่องที่เธอหายดีแล้ว จำอะไรได้บ้างพอจะบอกกันได้ไหม”
ฝนรู้สึกยินดีที่เขาอยากรู้เรื่องของเธอขึ้นมาบ้าง คิดว่าคงจะได้บอกเพราะว่าอีกไม่นานเธอก็จะไปแล้ว
“ได้ค่ะ มันมีเรื่องแปลกที่จะบอกด้วยว่าฉันชื่อเรนนี่ค่ะ เป็นลูกครึ่งไทย อเมริกัน ภาษาไทยแข็งแรงเพราะคุณแม่สอนมาตั้งแต่เด็กแล้ว ฉันได้เอกสารทุกอย่างที่เป็นของตัวเองคืนมาทั้งหมดแล้วนะคะและคงจะต้องกลับบ้านเพราะฉันแค่ตามพี่สาวมาเพราะเขามาทำธุรกิจกับแฟนที่เป็นคนไทยที่นี่”
“บังเอิญมากที่ผมเรียกคุณว่าฝนชื่อคุณจริงๆ ก็เป็นเรนนี่”
“ใช่ค่ะ ฉันเกิดช่วงเวลาฝนตกหนักพอดี แม่ก็ได้ตั้งชื่อให้แบบนี้ส่วนพี่สาวชื่อวินดี้ค่ะ”
“คุณเจอพี่สาวคุณแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ เขาทำงานไม่ไกลจากที่นี่นักเป็นบริษัทโฆษณาเหมือนของคุณ”
“ผมคงจะต้องรู้จักสินะ”
“น่าจะใช่นะคะ วินดี้แอนด์เรนนี่ คอปค่ะ”
กรินทร์นึกชื่ออยู่แต่เขายังคิดไม่ออก เลยได้แต่นั่งมองใบหน้าสวยนั่นจนอาหารพากันมาเสิร์ฟ เขาจึงละสายตาไปได้บ้าง ไม่แปลกที่ฝนจะสวยได้ขนาดนี้เมื่อรู้เรื่องราวของเธอแล้ว
อาหารเย็นนี้มันเหมือนมีความเศร้าแฝงอยู่เนื่องจากฝนเองที่รู้สึกส่วนกรินทร์นั้นเขายังคงรู้สึกมากมายที่ยังเรียบเรียงมันออกมายังไม่ได้
ข้าวมื้อนี้เขาตั้งใจจะเลี้ยงฝนเพราะว่า 6 เดือนที่อยู่ด้วยกันมามันเกิดเรื่องวุ่นวายตลอดเวลา เขาไม่มีเวลาจะพูดคุยด้วยเพราะงานที่เขาเองก็ทิ้งไปไม่ได้ด้วย ทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างมันยังถูกเก็บเอาไว้
“คุณกรินทร์คะ ฝนมีเรื่องจะต้องบอก”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“ฝนต้องกลับอเมริกานะคะ อาจจะต้องลาออกจากงานเพื่อเตรียมตัวก่อนสักเดือนหรือสองเดือน”
เขารู้สึกใจหายวูบ คนตรงหน้าจะไปจากเขาแล้วจริง ๆ
“ฝน คุณจะกลับแล้วเหรอ”
“ใช่ค่ะ เพราะว่ารบกวนคุณนานเกินไปแล้ว และสักวันเราอาจจะได้เจอกันอีกถ้ามีโอกาสนะคะ”
“คือผมว่าคุณจะอยู่ต่ออีกได้นะ ผมเองก็ไม่ได้บอกนี่ว่าไม่อยากดูแลคุณ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ เกรงใจมากแล้วค่ะ อีกอย่างฉันอยู่ที่นี่เกรงว่าจะไม่โชคดีเป็นครั้งที่สอง”
“หมายความว่าอะไรเหรอ”
“เรื่องราวมันซับซ้อน เอาไว้ทำใจได้เมื่อไหร่แล้วจะบอกคุณนะคะ ส่วนนี้ขอบคุณทุก ๆ อย่างที่ให้กันมาทั้งหมด ในวันหนึ่งคิดว่าจะได้ตอบแทนอะไรคืนได้บ้าง”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำก็ทดแทนที่ผมทำให้คุณความจำเสื่อมไปหลายเดือนแทนที่คุณจะได้อยู่กับครอบครัว”
“มันดีแล้วค่ะ เชื่อฉันเถอะ”
กรินทร์คิดแล้วว่าคนตรงหน้าคงไม่ได้คิดตรงกันจึงไม่กล้าจะพูดอะไรออกไป ได้แค่บอกว่าให้เธอโชคดีกับการเดินทางกลับบ้าน
ฝนกำลังรอคอยแค่คำว่ารักจากเขา แต่มันไม่เคยจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เธอยังอาศัยอยู่ในที่นั้น ทำงานให้อย่างเคย เจอกันในทุกวันแต่บางสิ่งที่อยู่ในใจของทั้งคู่ก็ไม่เคยเผยมันออกไป เธอคิดเอาเองว่าเพราะเขาไม่ได้คิดว่าเธอเป็นคนสำคัญมากพอเองนั่นแหละ
“คุณกรินทร์ พรุ่งนี้ฉันจะไม่ได้มาแล้วนะคะ”
กรินทร์ที่ทำงานเสียจนลืมวันลืมคืน เพราะเขายังมีฝนอยู่รอบตัวตลอดเวลาในช่วงเวลานี้ พอมันจะจบลงแล้ว ความเป็นสุภาพบุรุษของเขาก็เริ่มสั่นคลอนเสียแล้ว เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
“ฝน ผม...”
“มีอะไรเหรอคะ”
“ถ้าอยากให้อยู่ด้วยกันก่อนจะได้ไหม”
“ทำไมเหรอคะ” ฝนเริ่มจะยิ้มกับสิ่งที่เขาพูด
“ผมคิดว่าอยากจะเรียนรู้กันอีกสักหน่อย”
“แล้วทำไมไม่บอกมาก่อนหน้านี้ล่ะคะ”
“ผมไม่กล้าเองนั่นแหละกลัวว่าคุณจะไม่ได้คิดเหมือนกัน”
“แล้วทำไมวันนี้บอกล่ะคะ”
“มันวันสุดท้ายที่เราจะได้เจอกันแล้ว ผมคิดว่าถ้าพลาดไปแล้วคงจะไม่มีวันได้เจอกันอีก”
“เสียดายนะคะ ถ้ามันออกมาก่อนหน้านี้สักหน่อยฉันอาจจะเลื่อนกำหนดการได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ยังไงเราลองศึกษากันทางไกลไปก่อนนะคะ”
เขามองเธอด้วยแววตาเป็นประกายแห่งความหวังเพราะรู้สึกว่าฝนเองก็อยากจะลองศึกษาเขาอยู่เหมือนกัน
ทั้งสองคนเดินเข้ามาหากัน เขาโอบกอดเธอเอาไว้ ไม่อยากให้วันนี้จบลงเลยเพราะเขาจะไม่ได้พบเธออีก เขายังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอมากพอเลย
สองคนมานั่งลงบนโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว สองคนนั่งมองกันมากกว่าจะได้ทานอาหารในมื้อพิเศษนี้ 2 ปีแล้วที่พวกเขาคบกันแบบห่าง ๆ มาตลอด แต่วันนี้จะกลายเป็นการคบหาแบบใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะตามที่กรินทร์คาดการณ์เอาไว้แล้วว่า แฟนสาวของเขาจะต้องย้ายมาทำงานที่นี่อย่างแน่นอน“คุณได้มาจริง ๆ ด้วย ผมกำลังจะถามคุณอยู่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“เดาเก่งจังนะคะ”“ไม่ต้องเดาเลยครับ คุณเป็นคนที่น่าจะถูกเลือกอยู่แล้วเพราะว่าเคยมาที่นี่ อีกอย่างก็เคยชินกับภาษาอยู่แล้ว”“ก็ใช่นั่นแหละค่ะ อีกอย่างก็คือฉันอยากมาอยู่ที่นี่ด้วย”“อันนี้ก็ไม่เกินความคาดเดาของผม แค่ไม่คิดว่าจะเร็วกว่าที่คิด”“เร็วไปเหรอคะ อืมงั้นกลับไปคิดใหม่อีกรอบดีกว่า”“ไม่ต้องแล้วล่ะครับเพราะว่า ผมเองก็ตัดสินใจเร็วมากเหมือนกัน”“เรื่องอะไรเหรอ”ในกระเป๋าเสื้อมีกล่องกำมะหยี่สีแดงขนาดเล็กกล่องหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วยื่นไปให้คนที่อยู่ตรงข้ามกัน แหวนเพชรที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่มันน่ารักและน่าจะเหมาะสมกับคนตรงหน้า“แต่งงานกันเถอะ ผมไม่อยากจะรออะไรอีกแล้ว”“เร็วเกินไปหรือเปล่าคะ มั่นใจแล้วเหรอว่าจะเลือกฉัน”“มั่นใจนะ ระหว่างเราคงไม่ต้องเรียนรู้อะไร
เรนนี่ได้แต่ยิ้ม เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแค่หยิบขนมที่เตรียมมาเข้าปากไปเท่านั้น เขาพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้เธอเสมอเพราะมั่นใจว่าทั้งสองคนรู้จักกันมามากพอแล้ว เหลือแค่เมื่อไหร่จะถึงเวลาให้ได้มาอยู่ด้วยกันจริง ๆ เท่านั้นสองคนคุยกันไปหลาย ๆ เรื่องวางแผนอนาคตไว้นิดหน่อยเพราะว่าถ้าเกรซแข็งแรงดีแล้ว และหลานชายแข็งแรงมากพอ ก็พากันกลับไปบ้านที่เมืองไทยครอบครัวของพวกเขาที่รอดูหลานชายก็พร้อมเตรียมรับกลับบ้านแล้ว รอเวลาอีกสักหน่อย พวกเขาโทรศัพท์อัพเดทกันอยู่โดยตลอด จากเด็กอ่อนเพิ่งคลอดได้เติบโตขึ้นจนสามารถเดินทางข้ามประเทศได้ พวกเขาได้เดินทางกลับไปแล้วเรนนี่ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตามกลับมาด้วยเพราะว่าหน้าที่การงานของเธอยังต้องทำต่อไปกรินทร์กลับมาทำงานของตัวเอง และบริษัทของพ่อด้วยมันสร้างความลำบากให้เขามากแต่ก็ต้องทำเพราะว่าพ่อไม่สามารถกลับมารับหน้าที่ได้อีกแล้ว ส่วนเรื่องแฟนตอนนี้ก็แค่ห่างกัน แต่ก็สามารถพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์กันได้ตามปกติ แต่เวลาต่างกัน 12 ชม.เท่านั้น“วันนี้เป็นไงบ้างค่ะ” รอยยิ้มสวย ๆ ปรากฏหน้าจอ“วันนี้ก็เหนื่อยอีกแล้วครับ” เขาทำหน้าตาอ่อนล้าเพื่ออ้อนคนรักที่อยู่อีกซี
หลังจากนั้น เรนนี่ออกจากประเทศไทยกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวของเธออย่างแท้จริง อยู่กับคนที่หวังดีกับเรา อย่างไรมันก็ดีกว่าอย่างแน่นอน เธอเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องราวเลวร้ายอะไรให้พ่อและแม่ฟัง เธออยากได้แค่ความสงบสุข วินดี้เลือกที่จะอยู่กับสามีของเธอแล้ว และคงจะไม่กลับมาอีกเรื่องราวของพี่สาวจบลงแค่ตรงนี้ เรนนี่ไม่อยากรับรู้เรื่องราวของเธออีก เพราะรู้สึกเสียใจและผิดหวังกับพี่สาวคนนี้มากเมื่อกลับมา เธอก็หางานทำและได้เป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งงานมันก็เป็นงานออฟฟิศ เลิกงานกลับมาบ้าน ตื่นเช้าไปทำงานด้วยรถไฟฟ้า ทำทุกอย่างเหมือนเดิมซ้ำ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เธอมีแรงที่จะทำอะไรเดิม ๆ ในทุก ๆ วันคือการวีดีโอคอลจากคนที่อยู่อีกฝั่งของโลก เขาเฝ้ารอในทุก ๆ วันเพียงแค่นี้พวกเขาก็พอใจแล้ว ขอแค่มีเวลาให้มากพอจะได้เจอกันในสักวันหนึ่งเวลาที่ผ่านมานานแล้ว กรินทร์ได้เวลาจะต้องเดินทางออกต่างประเทศเพราะเขามีเรื่องที่จะต้องจัดการที่ตั้งใจเอาไว้นานแล้ว และมันเป็นโอกาสที่จะได้พบกับคนรักของเขาอีกด้วยสนามบิน“ฝนเหรอพี่กรินทร์” หญิงสาวที่ตอนนี้ท้องโตขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ตอนนี้อายุครรภ์น่าจะ
เรนนี่เดินเข้ามาในสำนักงานที่ตัวเองคุ้นเคย เธอติดต่อประชาสัมพันธ์ของบริษัทเพื่อขอพบชลิตา เรนนี่คิดว่าต่อให้เกลียดกันมากแค่ไหน คนอย่างวินดี้คงยังไม่กล้าทำอะไรเธอแน่นอนเพราะถ้าคิดจะทำร้ายจริง ๆ คงไม่รอให้เธอเดินมาหาเองหรอกพอบอกว่าเรนนี่ขอเข้าพบ วินดี้ที่ตอนนี้กำลังมีปัญหาภายในบริษัทอยู่ก็ล้มเลิกความตั้งใจเรื่องอื่นไปเลยเพราะเธอเองก็ยังไม่คิดว่าเรนนี่จะกล้ากลับมาหากันได้ ทั้งที่ถูกกระทำไปหลายอย่างแบบนั้นการเผชิญหน้าในรอบ 6 เดือน เรนนี่ยังส่งยิ้มให้พี่สาวแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องที่ตัวเองมาหาในวันนี้“สบายดีใช่ไหมคะพี่สาว”“แหม หายหน้าไปตั้งนานกลับมาแล้วก็ดีแล้วนะ พี่อยากได้คนช่วยอยู่เลย”“แล้วที่ผ่านมาให้ใครช่วยเหรอคะ”“ก็ทำเองบ้างแหละ มันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้น”“วิธีการของพี่มันเลวเกินไปมั้งคะ จะดีขึ้นได้ไงล่ะ”“เรนนี่ มันจะมากไปแล้วนะใครสั่งสอนให้เธอด่าฉันแบบนี้”“ประสบการณ์ไงคะ เอาล่ะเรนขี้เกียจจะคุยกับพี่แล้ว ขอเอกสารของเรนทั้งหมดมาค่ะ”“จะเอาไปทำไม”“จะกลับอเมริกา และคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะไม่ต้องห่วงนะคะ พี่จะอยู่ที่นี่กับสามีอย่างมีความสุขแน่นอน”“แล้วเธอจะไม่เอาเรื่องพี่ใช่ไหม”
เมื่อกลับมาถึงห้อง ฝนนั่งกินข้าวที่ตัวเองซื้อมา ในหัวก็คอยคิดถึงรถคันนั้นอย่างสงสัยมันคุ้นตาแปลก ๆ เอ...หรือว่าเธอกำลังจะคิดอะไรออกอาทิตย์หน้าต้องไปหาหมอพอดี อาจจะพอมีเรื่องเล่าให้หมอฟังบ้างแล้ว แต่...ทำไมรถยี่ห้อหรูขนาดนั้นถึงคุ้นตาเธอฝนยังคงคิดอะไรไม่ออกมากไปกว่านี้ เรื่องรถและใบหน้าหญิงสาวคนนั้นที่ดูเหมือนตกใจกับเธอ หรือเรามีอะไรผิดปกติไปคืนนั้นฝนฝันถึงอะไรมากมาย แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไรชลิตากลับมาที่คอนโดของตัวเอง มองไปรอบ ๆ ห้องที่เคยมีน้องสาวเดินไปเดินมาอยู่ในเมื่อก่อน ตอนนี้เธอหายไปกว่า 6 เดือนแล้ว เธอพยายามปกปิดเรื่องนี้กับพ่อแม่ ปกติแล้วน้องสาวไม่ใช่คนที่ติดครอบครัวจนต้องรายงานตัวทุกวัน ทำให้เป็นช่องทางให้ชลิตาแก้ตัวว่าน้องเหนื่อยกับงานจึงไม่อยากพูดคุยกับใคร“ทำไมมันยังอยู่” เธอคิดได้อย่างนั้นจึงรีบโทรหาคนที่เคยดีลเอาไว้เรื่องนี้ว่าเรื่องวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่รู้แค่ว่ามันหนีไป ตามหาไม่เจอซึ่งคำตอบยังคงเดิม ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปตอนไหนทั้งที่เมายาขนาดนั้น ไม่น่าจะหนีรอดไปไหนได้นอกจากตายเท่านั้น ซึ่งทำให้วินดี้รู้สึกสบายใจไปบ้าง แต่ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงหน้าเหมื
เมื่อพ่อแม่รู้เรื่องก็ตกใจกันเป็นการใหญ่ว่าลูกชายถูกใครซ้อมอาการหนัก กระดูกซี่โครงร้าว ปากแตก คิ้วแตกยับไปหมด พอถามก็ไม่ได้ความอะไรบอกเพียงแค่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากเอาเรื่องกับใคร ซึ่งเจ้าตัวยืนยันจึงไม่มีใครหาความอีกกรินทร์ก็รออยู่เหมือนกันว่าพี่ชายจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรกลับมาหาเขาเลย จึงไม่สนใจเขาอีก เตรียมตัวจะกลับไปอยู่คอนโดเหมือนเดิม แล้วให้น้องสาวพยายามทำตัวให้เหมือนเดิม อยู่บ้านแล้วลงไปทานข้าวกับพ่อแม่บ้าง ทานยาให้ครบไปพบแพทย์ตามนัด พอใกล้ถึงเวลาของเด็กในท้อง เขาจะจัดการให้เองไม่กี่วันฝนและกรินทร์ก็ออกจากบ้านไปเพราะกรินทร์บอกกับที่บ้านว่าที่บริษัทไม่มีแม่บ้านประจำอยากให้ฝนไปทำงานให้พอเรื่องราวเริ่มคลี่คลายได้แล้วฝนก็สบายใจ ได้ย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นใกล้ ๆ กับเขาด้วยมีคีย์การ์ดเข้าออกก็ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง และเขายังอยู่ใกล้ ๆ ด้วย เพียงแค่นี้คนแอบรักอย่างฝนก็รู้สึกดีในทุกวันแล้วกรินทร์ทำงานจนเสร็จแล้วได้เวลาต้องไปพรีเซนต์งานพร้อมทีมของตัวเองให้บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เขากำลังจะเดินไปที่ลิฟต์บังเอิญว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งที่ถือแฟ้มเดินเข้ามาเหมือนกับรีบมาก