ภายในห้องนอน
อารดาทิ้งกายลงปลายเตียง เสียดายน้ำหอมก็เสียดาย แต่ก็เท่านั้นแหละ ต่อให้ไม่มีศรัณมาช่วยเร่งเร้า อย่างไรเสียคืนนี้น้ำหอมขวดนั้นก็ต้องไปอยู่ในมือของอรุณฉายอยู่ดี กำลังใจในการสู้คนมันหมดลงตั้งนานแล้ว หมดลงตั้งแต่วันที่บิดาเลิกกอดลูกสาวคนโตกระมัง
หมับ!
อยู่ๆ แขนแข็งแรงของสามีก็สวมกอดเข้ามาแนบแน่น มันอบอุ่นและสื่อให้รู้ถึงการปกป้องคุ้มภัย เธออยากผลักไส อยากด่าสักนิด แต่ตอนที่มีแขนเขาโอบรัดร่างอยู่ มันก็อุ่นดีเหมือนกัน
“พรุ่งนี้หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนี้นะ”
“เป็นยังไง” เธอย้อนทันควัน
“เป็นคนที่ยอมทุกอย่างยังไงล่ะ”
อารดาแกะแขนเขาออก เจ้าเด็กคนนี้ชอบบงการเสียจริง
“บางครั้งมันก็เรื่องเล็กน้อย ช่วยได้ก็ช่วยไป คนในบ้านก็ไม่ใช่คนอื่น ครอบครัวแท้ๆ”
“แต่เหมือนว่าทุกคนไม่ได้เห็นคุณเป็นครอบครัวเลย พร้อมที่จะเบียดเบียน รังแก และสร้างความกดดันต่างๆ นานาให้แก่คุณ”
อารดาไม่ชอบเลยที่เขาพูดอย่างนั้น มันแทงใจดำจนเธอเจ็บแปลบเหลือเกิน
“ถ้าคุณไม่สู้ สักวันหนึ่งแม้แต่ผมที่เป็นสามี คุณก็คงยกให้คนอื่นไป”
“ศรัณไม่ใช่ของฉัน ฉันจะไปยกให้ใครได้ล่ะ”
เขาหรี่ตามองคนตรงหน้า จับมือหล่อนมาวางทาบที่แผ่นอกหนาของตัวเอง
“ผมเป็นของคุณอุ่นตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอหน้าแล้วนะ จริงๆ” บอกหล่อนตาปริบๆ ท่าทางนั้นช่างน่าเอ็นดู
“ปากหวานอยู่เรื่อย”
“อย่างอื่นหวานกว่านี้น่า มาชิมทีเถอะ มันจะไม่ไหวแล้ว...”
มิเพียงแค่เอื้อนเอ่ย แต่ยังพามือของอารดาเลื่อนลงไปเรื่อยๆ ผ่านปลายถันอันหดแข็ง ผ่านลอนกล้ามแข็งแรง ผ่านแอ่งสะดือที่มีขนบางๆ ผุดขึ้นมารำไร เขาอยากพามือหล่อนเลื่อนลงไปต่ำกว่านั้น แต่หล่อน...ดันรู้ทัน
“พะ...พอ...พอเถอะ ขอ...เวลากันบ้าง มันเร็วเกินไป ฉัน...”
“คุณกลัวผมเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วทำไม?”
“ฉะ...ฉัน...ฉันยัง...ไม่เคย...”
“โอ...คุณล้อผมเล่นแน่ๆ นี่มันยุคไหนแล้ว ยังมีผู้หญิงอย่างนี้อยู่อีกเหรอ”
“มีสิ ฉันไง”
“แต่คุณย่าบอกว่าก่อนหน้านี้คุณมีแฟน”
“เราแค่รักกัน แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้น”
“กับสามีของคนชื่อรุ้งใช่ไหม”
“รู้ได้ยังไง?”
“ผมได้ยินพวกเธอคุยกัน”
“แล้วไง...อึดอัดเหรอ”
“เปล่าหรอก ผมแค่...เจ็บปวดน่ะ”
อารดามองเขานิ่งนาน เขาจะมาเจ็บปวดอะไรกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญกันเล่า
แล้วคำถามในใจก็ถูกเฉลยให้รู้แจ้ง ศรัณแตะแก้มข้างหนึ่งของเธอ เกลี่ยลูบมันด้วยปลายนิ้วอย่างทะนุถนอม
“คงเจ็บปวดและทรมานมากใช่ไหม คนใกล้ชิดแท้ๆ ที่มาแย่งแฟนไป แถมแฟนตัวดียังเลือกทางโน้นไม่ได้เลือกคุณ หัวใจคุณทานทนมันได้ยังไงกันนะ ต้องแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงสามารถหยัดยืนอยู่ตรงนั้นได้ ในวันที่พวกเขาแต่งงาน คุณ...คงต้องไปร่วมงานแต่งในฐานะญาติเจ้าสาว พวกเขาสองคน...ใจร้ายที่สุดเลย มาทำร้ายคุณอุ่นของผมได้ยังไงกัน”
“ศรัณ...”
อารดาครางชื่อสามี หัวใจที่เหน็บหนาวคล้ายว่าถูกวาจาเขาห่มคลุมลงมา มันอบอุ่นและนุ่มหวาน จนเธอไม่อาจต้านทานเมื่อเขาดึงร่างเธอเข้าไปกอด
“ต่อไปไม่ต้องกลัวแล้วนะ ถึงผมจะเด็กแต่กล้ามผมใหญ่ ตัวผมโต แถมปากร้ายอีก ผมจะปกป้องคุณเอง ไม่ว่าใครหน้าไหน ถ้ากล้ามารังแกคุณละก็ ผมจะซัดไม่เลี้ยงเลย คอยดู...”
อารดาอยากโต้คืนว่าเขาช่างเอ่ยเกินจริง แต่เธอเลือกจะเงียบเสีย คล้ายๆ ว่ายอมรับความจริงในสิ่งที่เขาพูดมา เธอไม่มั่นใจแล้วว่าเขาจะทำมันไม่ได้ เพราะเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่มีเขาอยู่ข้างกาย เธอรู้สึกได้ชัดเจนถึงการถูกปกป้องและคุ้มภัย
“นอนเถอะศรัณ อย่าทำอย่างอื่นเลยนะ”
“จูบผมสิ จูบปลอบใจผมสักที แล้วผมจะหยุดทุกอย่างเลย”
อารดาสองจิตสองใจ การจูบกับคนแปลกหน้าช่างฝืนใจเหลือเกิน แต่ว่า...อันที่จริง เขาก็มิใช่คนแปลกเสียทีเดียว เขาคือสามี สามีที่เธอต้องยอมรับอย่างยินยอมพร้อมใจ เธอเลื่อนมือวางบนแผ่นอกเขา ยืดกายขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่ริมฝีปากจะสามารถจุมพิตเขาได้พอดิบพอดี และเมื่อปากของพวกเธอประกบกัน ฝ่ามือใหญ่ก็เลื่อนขึ้นมาที่ท้ายทอยของเธอ กดศีรษะเธอเข้าหา ให้เขาได้บดจูบลงมาอย่างดูดดื่มชื่นทรวง
“อืม...จูบของเมียหวานที่สุดเลย”
ศรัณชมเปาะในขณะที่อารดาเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตา เขายอมปล่อยหล่อนแต่โดยดี หล่อนเลิกผ้านวมขึ้นแล้วซ่อนกายอยู่ใต้มัน เขาปิดไฟในห้องเสีย ก่อนจะสอดกายเข้าใต้ผ้านวมผืนเดียวกับอารดา
“คืนแรกของการแต่งงาน ผมคงจำไปจนวันสุดท้ายของชีวิต ผมทำได้แค่นอนฟังเสียงหายใจเข้าออกของเมียตัวเอง”
อารดาได้ยินวาจาคล้ายตัดพ้อ คิดไปคิดมาเลยขยับไปหาเขา วางแขนข้างหนึ่งบนแผ่นอกหนาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ศรัณรู้ความนัก พอเธอทำอย่างนั้นก็ได้ขยับกายเข้ามาหาเธอเช่นกัน เขาดึงเธอไปแนบชิด ให้เธอนอนหนุนท่อนแขนแข็งแรง
“ผมไม่รู้ว่าเราจะไปกันรอดไหม แต่ผมดีใจที่คุณเข้าหาผมบ้าง ผมเป็นสามีที่เด็กเหลือเกินสำหรับคุณ แต่ผมไม่กลัวคนว่า ไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี คนอื่นจะเป็นยังไง ผมไม่สน ขอแค่คุณอุ่นเข้าใจผมบ้างก็พอ แค่นั้นจริงๆ”
อารดาได้ยินแล้วชุ่มชื่นในหัวใจ ราวกับว่าหัวใจที่แห้งแล้งความสุขกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เธอนึกขอบคุณเขา หาญกล้าเงยหน้าขึ้นไปเพื่อจุมพิตปลายคางของสามี แน่นอนว่าได้ยินเสียงครางอย่างสมใจของศรัณดังตามมา
“โอ...จุ๊บก่อนนอนที่ไม่ได้ร้องขอนี่ชื่นใจดีจัง ขออีกทีได้ไหมครับ”
“ได้คืบจะเอาศอก”
“ไม่เอาแค่ศอกหรอกคนดี ถ้าเป็นไปได้ก็อยาก เอา อย่างอื่นด้วย”
“ไหนว่าจะหยุดไง ยังหื่นกามไม่เลิกอีก”
“ครับ ผมหื่นมากจริงๆ ผมยังเด็กอ่า แค่ได้กอดคุณอุ่นเนื้อตัวก็ร้อนรุ่มไปหมดแล้ว”
“เฮ้อ...เพราะฉันแปลกใหม่ เลยไม่ชินมือละมั้ง”
“งั้นช่วยทำให้ผมชินทีสิ”
“โอย...รัณ...เลิกพูดให้ฉันเขินได้ไหม แก้มฉันร้อนไปหมดแล้ว”
อารดาโอดครวญ แตะสองมือกับสองแก้มก็ได้รู้ว่ามันร้อนจริงๆ สามีวัยละอ่อนทำไมขยันอ่อยนักนะ อ่อยด้วยวาจานี่อย่างไร
“โอเคๆ ไม่กวนก็ได้ เต๊าะไม่สำเร็จ เดี๋ยวพรุ่งนี้เต๊าะใหม่ เต๊าะบ่อยๆ เข้าเดี๋ยวก็ได้เอง”
“รัณ!”
“ครับผม”
“นอนได้แล้ว ฉันง่วงจริงๆ”
“คร้าบ...นอนเดี๋ยวนี้เลยครับคุณอุ่นคนดี”
ศรัณขานรับคำเมีย สองแขนเอื้อมมาโอบกอดอารดา ความรู้สึกหวงแหนอึงอลในหัวใจอย่างประหลาด มันผุดขึ้นมาเองโดยที่เขามิรู้ที่มา เขามั่นใจว่าไม่เคยเจออารดา ไม่เคยเห็นหน้า แต่ทำไมหัวใจจึงคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบเจอ เสียงหล่อนเหมือนกุญแจเล็กๆ ที่ค่อยๆ ไขประตูบานหนึ่งในหัวใจเขา ประตูที่เขาเองยังไม่รู้ว่ามี เหมือนว่าประตูบานนั้นจะอยู่ลึกสุดในใจ
หล่อนเป็นใครกันนะ ผู้หญิงตัวอุ่นที่แววตาแสนเศร้า ทำไมทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ได้กอดหล่อนอย่างนี้แล้วรู้สึกดีแปลกๆ สมองโล่งไปหมด เหมือนว่าได้ผ่อนคลาย มันน่าตกใจที่รู้สึกเป็นเอามากขนาดนี้ สักวันหนึ่งข้างหน้า เขาคงได้พบเจอคำตอบที่ใคร่รู้กระมัง
อารดาถูกลากมาขึ้นรถ ก่อนที่ศรัณจะขับออกมาอย่างรวดเร็ว เขาใส่หูฟังแล้วต่อสายคุยธุระไม่หยุด เขาโทรไปบอกพี่พุดซ้อน สั่งการหลายเรื่อง ทั้งน้ำหอมที่เธอวางทิ้งไว้ ทั้งเรื่องเสื้อผ้าของเธอ ก่อนจะโทรหาคนที่บ้านเขา ให้จัดที่ทางสำหรับการกักตัวไว้ให้ เธอมองแนวคางด้านข้างของสามี ในเวลาที่เธอคิดอะไรไม่ออกอย่างนี้ ดีจริงที่เขาอยู่ด้วย“เราจะไปไหนกัน”“กระท่อมท้ายสวนน่ะ มันร้อนสักหน่อยเพราะอยู่ในสวนกล้วย ผมให้น้าชุนกับน้ามาลาเตรียมของจำเป็นไว้รอแล้ว”“น้าชุนกับน้ามาลา?”เขาหันไปมองแวบหนึ่ง แล้วยิ้มให้ภรรยา“คนสนิทของพ่อที่ผมเล่าให้ฟังไง ตอนนี้พวกเขากลายเป็นครอบครัวผมแล้ว”“เหมือนญาติผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอ”“อืม...”อารดานิ่งงันเพื่อคิดบางอย่าง ผู้ใหญ่ฝ่ายเขาจะเป็นยังไงนะ จะเป็นอย่างที่พ่อและญาติๆ ของเธอปฏิบัติต่อเขาหรือเปล่า“พวกเขาจะชอบฉันไหม” ถามอย่างไม่มั่นใจ ศรัณยกยิ้มที่มุมปาก“ดีจังที่คุณรู้สึกอย่างนี้ เหมือนว่าผมเป็นสามีของคุณจริงๆ เสี
“มีอะไรกันแน่รุ้ง ท่าทีถึงเป็นอย่างนี้”อารดาถามไถ่อย่างใจเย็น ไม่ใช่ไม่โกรธหรอกนะ แต่อย่างที่รู้ โกรธหรือไม่โกรธอย่างไร สุดท้ายคนที่เจ็บแล้วต้องเงียบก็คงเป็นเธออยู่ดี“ลูกค้าแกน่ะสิ”“อะไร ลูกค้าฉันทำไม”“เขาโทรมาหาพี่ธีเมื่อเช้า เขาติดเชื้อ โควิด” เธอหมายถึงโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่งซึ่งกำลังระบาดอยู่ในช่วงนี้ มันสามารถติดกันได้ง่ายๆ ทางสารคัดหลั่งเมื่อคนที่มีเชื้อไอหรือจาม“หา!?” อารดาอ้าปากค้างอย่างตื่นตระหนก“แต่คุณก็ไม่ควรมาทำร้ายคุณอุ่นอย่างนี้” ศรัณตำหนิ แต่รสิกาเชิดหน้าใส่“ขอโทษที มันชินมือน่ะ” รสิกาว่าแล้วยิ้มเย้ยศรัณกำหมัดแน่นหนึบ อารดาคว้ามือเขามากุมไว้ ปรามเบาๆ ไม่ให้เขาใจร้อนเกินไปอรุณฉายมองภาพนั้นแล้วแอบเบะปากใส่ เธอถอยหลังเข้าใกล้หน้าต่างอีกนิด ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงมาปิดปากปิดจมูกไว้ กันโรคภัยไว้ก่อน“คนไหนล่ะ เมื่อวานลูกค้าก็มีพอสมควรนะ”“คนสุด
[4]ไม่ทันตั้งตัว__________อารดายังไม่เห็นศรัณเลยตั้งแต่ตื่นนอน เธออาบน้ำแต่งตัวแล้วเดินลงมาข้างล่างเพราะวันนี้วันเสาร์ ไม่ต้องไปทำงาน เธออยากคุยกับศรัณอีกสักนิดเรื่องความเป็นมาของเขา อย่างน้อยเผื่อคนที่บ้านถามไถ่เรื่องสามี จะได้ตอบถูกเธอไม่ต้องตามหาอะไรมากมาย เขาอยู่ในห้องรับแขกกับพี่พุดซ้อนที่กำลังแกะกล่องอะไรสักอย่างอยู่ มีอรุณฉายยืนเหล่มองทั้งคู่อยู่ใกล้บานหน้าต่าง“ทำอะไรอยู่คะ”พุดซ้อนหันมองเจ้านาย ยิ้มให้เจ้าหล่อนก่อนจะแกะห่อต่อ ศรัณเดินไปหาภรรยา โอบบ่าแล้วพาเดินเร็วๆ ไปยังโต๊ะที่พี่พุดซ้อนกำลังจัดการกับลังกระดาษใบหนาแล้วอารดาก็ได้ตาเบิกโต เมื่อเห็นกล่องสี่เหลี่ยมเรียบหรูเรียงอยู่ในลังถึงหกใบด้วยกัน ถ้าไม่รู้จักแพ็กเกจมาก่อน คงเข้าใจว่าในกล่องคือเครื่องเพชร“พอไหม หามาได้แค่หกขวดเอง”อารดายังงงอยู่ พี่พุดซ้อนเปิดกล่องให้ดูก็เห็นขวดน้ำหอมอยู่ในนั้น ขวดแก้วสีสวยมีฝาปิดรูปมงกุฎที่ทำจากทองคำแท้ยี่สิบสี่กะรัต ใช่แล้วล่ะ มันคือน้ำหอม CLIVE CHRIS
ภายในห้องนอนอารดาทิ้งกายลงปลายเตียง เสียดายน้ำหอมก็เสียดาย แต่ก็เท่านั้นแหละ ต่อให้ไม่มีศรัณมาช่วยเร่งเร้า อย่างไรเสียคืนนี้น้ำหอมขวดนั้นก็ต้องไปอยู่ในมือของอรุณฉายอยู่ดี กำลังใจในการสู้คนมันหมดลงตั้งนานแล้ว หมดลงตั้งแต่วันที่บิดาเลิกกอดลูกสาวคนโตกระมังหมับ!อยู่ๆ แขนแข็งแรงของสามีก็สวมกอดเข้ามาแนบแน่น มันอบอุ่นและสื่อให้รู้ถึงการปกป้องคุ้มภัย เธออยากผลักไส อยากด่าสักนิด แต่ตอนที่มีแขนเขาโอบรัดร่างอยู่ มันก็อุ่นดีเหมือนกัน“พรุ่งนี้หวังว่าจะไม่เป็นอย่างนี้นะ”“เป็นยังไง” เธอย้อนทันควัน“เป็นคนที่ยอมทุกอย่างยังไงล่ะ”อารดาแกะแขนเขาออก เจ้าเด็กคนนี้ชอบบงการเสียจริง“บางครั้งมันก็เรื่องเล็กน้อย ช่วยได้ก็ช่วยไป คนในบ้านก็ไม่ใช่คนอื่น ครอบครัวแท้ๆ”“แต่เหมือนว่าทุกคนไม่ได้เห็นคุณเป็นครอบครัวเลย พร้อมที่จะเบียดเบียน รังแก และสร้างความกดดันต่างๆ นานาให้แก่คุณ”อารดาไม่ชอบเลยที่เขาพูดอย่างนั้น มันแทงใจดำจนเธอเจ็บแปลบเหลือเกิน“ถ้าคุณไ
ศรัณส่งสายตายั่วเย้าเฝ้ามองเธอ แผ่นอกหนั่นแน่นของเขาลอยอยู่เบื้องบน เธออธิบายเป็นคำพูดไม่พูด รู้แต่ว่าในวินาทีที่เขาพามือเธอไปลูบไล้ลอนกล้ามแน่นๆ เหล่านั้น หัวใจในอกก็ได้สั่นรัวๆ ให้ตายเถอะ ไม่ว่าจะกล้ามเขา ใบหน้าเขา หรือเสียงเขา เธอตอบรวมๆ ได้แค่ว่ามันละลานตาไปหมด!ก๊อกๆๆเสียงเคาะประตูยุติบทรักในตอนเริ่ม อารดาได้ยินมันก่อนและพยายามบอกให้ศรัณรู้ เขาเองก็ได้ยิน แต่เลือกที่จะเมินเฉย ผิวเนื้อตรงซอกคอของอารดาน่าชื่นชมกว่าเสียงเคาะนั่นนักก๊อกๆๆเสียงเคาะดังขึ้นอีกตามด้วยเสียงของคนที่อยู่ด้านนอก อารดาจำต้องผลักศรัณออก หัวหูยุ่งเหยิง พวงแก้มเห่อร้อน ต้องรีบลุกมาจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้ไว ก่อนจะตรงดิ่งไปที่ประตูแอ๊ด...บานประตูเปิดอ้าพร้อมหน้ายุ่งๆ ของอรุณฉาย“ทำอะไรอยู่ฮะ เรียกตั้งนานก็ไม่ขานรับ”อรุณฉายถามพี่สาวแต่ตานั้นมองไกลเข้าไปถึงเตียงนอน แลเห็นผู้ชายตัวใหญ่กำลังสอดกายเข้าใต้ผ้านวม เธอเห็นบ่าเขาแวบๆ คล้ายว่าเขาจะไม่ได้สวมเสื้อ หรือว่าสองคนนี้กำลัง...“มีอะไรหรือเปล่า” อารดาถามน้อง“ก็...เปล่า คือ...จำได้ว่าพี่มีน้ำหอมยี่ห้อเดียวกันกับฉันน่ะ ของฉันหมดพอดี ขอยืมใช้สักวันสองวันสิ”อารดา
“ถ้ามันไม่สนุกแล้วคุณอยู่ในนั้นทำไม ผมเป็นพวกขี้ร้อนด้วย ผมไม่เข้าไปอยู่ในลิ้นชักกับคุณหรอก แต่ผม...จะดึงคุณออกมา เชื่อสิ...โลกของผมสนุกกว่าโลกของคุณเยอะเลย”อารดามองเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอก้าวออกจากโลกแคบๆ ในลิ้นชัก เขาคงต้องใช้เวลาอีกนาน และเขาอาจทำสำเร็จหากไม่ท้อถอยเสียก่อน“กลับไปได้แล้ว ฉันจะนอน”เธอบอกแต่เขาไม่ลุกจากเตียง แถมยังทิ้งกายลงบนฟูกนุ่มของเธอ“ไม่กลับ จะนอนนี่ ห้องผมร้อนจะตาย นอนนี่เย็นดี”เขาว่าแล้วยิ้ม ไม่สนไม่แคร์ อารดาได้แต่มุ่นคิ้ว“ให้เวลากันบ้างสิ อย่างน้อยฉันควรได้เวลาทำใจที่ต้องมีสามีอายุน้อยกว่า”“ไม่ต้องคิดมากเรื่องนั้นหรอกน่า ทีคุณอายุมากกว่าผมยังไม่คิดมากเลย”“ศรัณ!”“ครับโผ้มมม...” เขาขานรับด้วยเสียงที่โอเว่อร์เกินจริงอารดาส่ายหัวระอา เมื่อกี้ฟังคำพูดคำจาแล้วช่างน่าฟังนัก แต่เพียงพริบตาดูเหมือนว่าเขาจะกลับมาป่วนประสาทกันอีกแล้ว“ฉันไม่ชิน เรารู้จักกันยังไม่ถึงยี่สิบ