Ep.15
เช้าวันถัดมา บ้านไพศาลทรัพย์เงียบงันกว่าทุกวัน ไม่มีเสียงเครื่องปิ้งขนมปัง ไม่มีเสียงคนเดินไปมาบนพื้นไม้ ไม่มีแม้แต่เสียงเปิดโทรทัศน์ที่เคยมีเป็นประจำตอนเช้า อัยวาตื่นเช้าเช่นเคย แต่เธอไม่ลงไปที่ห้องอาหารเหมือนปกติ วันนี้เธอเลือกนั่งอยู่ที่ระเบียงชั้นบน ห่มผ้าบาง ๆ มองท้องฟ้าที่ค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยหัวใจที่เหมือนยังจมอยู่ในความมืด เธอไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเท่าเดิมอีกแล้ว มันชาชินจนเหมือนตายด้าน ทุกคำพูดของกรณ์ยังวนเวียนอยู่ในหัว แต่เธอกลับไม่มีน้ำตาจะไหลอีก ความรู้สึกของการถูกมองว่าโกหก ถูกกล่าวหาว่ามีเจตนาไม่ดี ทั้งที่เธอเพียงแค่อยากปกป้องความรู้สึกของเขา มันฝังรากลึกจนไม่มีอะไรมาเยียวยาได้ในตอนนี้ ป้าอ่อนเคาะประตูเบา ๆ ก่อนจะโผล่หน้าเข้ามา “คุณอัยวาคะ วันนี้ไม่ลงไปทานข้าวเหรอคะ?” “ไม่หิวค่ะป้า” เธอตอบเรียบ ๆ ป้าลังเล ก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ เธออย่างช้า ๆ “คุณกรณ์ออกไปแต่เช้า ไม่ได้พูดอะไรกับป้าเลยนะคะ แววตาดูเครียด ๆ ด้วย” “ค่ะ” อัยวาพยักหน้าช้า ๆ “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ?” อัยวาหันไปมองป้าอ่อน ก่อนจะยิ้มจาง ๆ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คนสองคนที่ไว้ใจกันไม่ได้” ป้าอ่อนนิ่งไป หญิงวัยกลางคนเพียงแต่มองหน้าเธอด้วยสายตาอ่อนโยนเหมือนแม่ที่รู้ว่าลูกกำลังเจ็บ แต่ไม่อาจพูดปลอบอะไรได้อีก “ถ้าเจ็บมากนัก ก็อย่าเก็บไว้คนเดียวเลยนะคะ” ป้าพูดเบา ๆ แล้วลุกขึ้นจากระเบียง ทิ้งให้เธออยู่กับความเงียบของเช้า อัยวาเงยหน้ามองท้องฟ้า สูดหายใจเข้าลึก เธอรู้ว่าเธอคงหวังอะไรจากกรณ์ไม่ได้อีกแล้ว แต่เธอยังต้องใช้ชีวิตต่อ และวันนี้...เธอจะเริ่มวางใจตัวเอง มากกว่ารอให้ใครมาเข้าใจ มหาลัย “อัยวา! รอด้วยสิ” เสียงนิ้งดังขึ้นขณะอัยวาเดินเข้าคณะ เธอหันไปเห็นเพื่อนใหม่วิ่งมาตามพร้อมกล่องข้าวในมือ “นี่ ฉันทำข้าวกล่องมาเผื่อด้วย วันนี้แม่มีอารมณ์ดีเลยทำให้เยอะหน่อย” อัยวายิ้มบาง ๆ “ขอบใจนะ นิ้งใจดีจัง” “ก็เธอเป็นเพื่อนคนแรกของฉันที่นี่” นิ้งยักไหล่ ทั้งสองเดินไปด้วยกันเหมือนทุกวัน แต่วันนี้อัยวาเริ่มรู้สึกถึงสายตาจากเพื่อนร่วมคณะที่เปลี่ยนไป บางคนแอบซุบซิบ บางคนหัวเราะคิกคักเวลาเดินผ่าน “นิ้ง...เธอรู้สึกแปลก ๆ มั้ย?” “หมายถึงอะไรเหรอ?” “เหมือนมีคนมอง...” “อ๋อ เรื่องนั้น...” นิ้งชะงักไปนิด ก่อนจะหันมากระซิบเบา ๆ “เมื่อวานมีคนเอารูปเธอกับวายุที่นั่งด้วยกันลงในกลุ่มของคณะน่ะ” อัยวาชะงัก “ใคร...เอาไปลง?” “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในแคปชั่นก็มีพูดจาไม่ดี...” นิ้งเสียงเบาลง “ว่าเธอพยายามแย่งผู้ชาย” อัยวาหัวเราะเบา ๆ ไม่รู้ควรโกรธหรือควรรู้สึกอะไรดี เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด “ขอโทษนะอัย ฉันไม่รู้ว่าใครกล้าทำแบบนั้น แต่ถ้าฉันรู้ ฉันไม่ปล่อยไว้แน่” “ไม่เป็นไรนิ้ง บางที...คนที่อยากให้ฉันดูแย่ในสายตาคนอื่น อาจไม่ใช่แค่ในคณะหรอก” เธอไม่พูดชื่อ แต่ในใจเธอกำลังคิดถึงเบล ตอนเย็นหลังเลิกคลาส อัยวาเลือกไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุด เธอไม่อยากกลับบ้านเร็ว ไม่อยากเจอหน้าคนที่มองเธอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป “นั่งตรงนี้ได้ไหมครับ?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง เธอเงยหน้าขึ้น เห็นวายุยืนถือแฟ้มเอกสารอยู่ ใบหน้าที่ยิ้มแผ่วเหมือนรู้ว่าเธอกำลังเผชิญกับอะไร “ได้นะคะ” เขานั่งลงฝั่งตรงข้าม “วันนี้เหนื่อยเหรอ?” อัยวาไม่ตอบทันที เธอค่อย ๆ พยักหน้า “คนบางคน...พยายามจะลากฉันลงให้ต่ำ โดยไม่คิดว่าฉันก็มีหัวใจ” วายุถอนหายใจเบา ๆ “ผมรู้ว่าเธอไม่ใช่แบบที่เขาพูด และวันหนึ่งคนอื่นก็จะเห็น” “แต่วันนั้นจะมาถึงไหมล่ะคะ?” เธอพูดพลางฝืนยิ้ม “ฉันเหนื่อย...และไม่รู้ว่าควรไว้ใจใครอีก” “ถ้ายังไม่อยากไว้ใจใคร ก็ไม่เป็นไร แต่ขอแค่รู้ไว้...ว่าคุณมีผมอยู่ข้าง ๆ เสมอ” วายุพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจที่ทำให้อัยวารู้สึกอุ่นใจ แม้แววตาเธอยังไม่กล้าตอบรับ แต่ในใจลึก ๆ เธอเริ่มเห็นความหมายของคำว่า "อยู่ข้างกันโดยไม่คาดหวัง" ในห้องแต่งตัวของคลับหรูใจกลางเมือง เบลกำลังนั่งอยู่หน้ากระจก แต่งหน้าอย่างประณีต ข้างกายมีมือถือเปิดหน้าแชตสนทนาขึ้นมา รูปอัยวากับวายุถูกส่งต่อไปในหลายกลุ่ม “คนดูจะเริ่มเชื่อแล้วว่าเธอไม่ใสซื่ออย่างที่แสดงออก” เบลยิ้มเจ้าเล่ห์กับตัวเอง “คุณกรณ์คะ” เธอกดโทรศัพท์หาเขา “วันนี้พอจะว่างไหมคะ เบลอยากเจอ...คิดถึงจังเลย” กรณ์อยู่ในรถขณะรับสาย เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเรียบ ๆ “วันนี้ผมไม่ว่าง” เบลกัดริมฝีปากแน่น เสียงหวานเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันทีที่วางสาย “งั้นเหรอ...งั้นฉันจะทำให้คุณว่างจนต้องรีบมาหาฉันเอง” เธอกดโทรศัพท์หาลูกชายอธิการบดีอีกคนหนึ่ง แววตาของเธอเต็มไปด้วยแผนการ “พี่วินคะ เบลขอเจอหน่อยได้ไหมคะ วันนี้คิดถึงพี่เป็นพิเศษเลย” เธอจะไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะต้องทำให้ใครเจ็บอีกกี่คนก็ตาม เพราะสิ่งที่เธออยากได้...คือชื่อเสียงและสถานะ ไม่ใช่ความรัก คืนนั้นอัยวากลับถึงบ้านช้าอีกครั้ง เธอเดินขึ้นห้องโดยไม่เปิดไฟห้องรับแขก แต่เธอไม่รู้เลยว่า กรณ์ยังคงนั่งอยู่ในความมืด เมื่อเธอเดินผ่าน กรณ์จึงพูดขึ้นโดยไม่ลุกจากโซฟา “หลบหน้าฉันไปทั้งวันเลยนะ” อัยวาสะดุ้ง หันกลับมาเห็นแววตาเขาในเงามืด “ฉันไม่ได้หลบ ฉันแค่ไม่อยากรบกวน” “หรือเพราะเธอกำลังมีคนอื่นให้ไปหามากกว่า?” น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าว สายตานั้นเต็มไปด้วยความระแวงอีกครั้ง “คุณจะกล่าวหาฉันเรื่องอะไรอีกคะ?” อัยวาถามเสียงนิ่ง “วายุ มันอยู่กับเธอทุกวัน แสดงตัวชัดเจนว่าอยากได้เธอ แล้วเธอล่ะ? ตอบมันไปว่ายังไง?” “คุณไม่มีสิทธิ์ถาม ถ้าคุณยังมองฉันว่าเป็นคนใส่ร้ายผู้หญิงที่คุณรัก” คำพูดของเธอเหมือนตบหน้าเขาเบา ๆ กรณ์นิ่งไปครู่ ก่อนลุกขึ้นยืน มองเธอตรง ๆ “เธอเปลี่ยนไปมากนะอัยวา” “เพราะฉันเริ่มรักตัวเองมากขึ้นไงคะ” และเธอเดินผ่านเขาไป โดยไม่หันกลับมามองอีกเลย... หลังจากที่อัยวาเดินขึ้นห้อง ทิ้งกรณ์ไว้กับความรู้สึกบางอย่างที่เขาอธิบายไม่ได้ เขายืนอยู่นานในความมืดนั้น ความเงียบเหมือนจะตอกย้ำสิ่งที่เขากำลังสูญเสียไปโดยไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่าทำไม แค่เพียงเห็นอัยวาอยู่กับวายุ เห็นเธอยิ้มให้ผู้ชายอีกคน มันเหมือนจะเจ็บ ทั้งที่ก่อนหน้านี้...เขาไม่เคยสนว่าเธอจะอยู่กับใคร ไม่เคยคิดว่าคนที่ต้องอยู่ในหัวใจของเขา ควรจะเป็นเธอด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ กรณ์กลับรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียบางอย่างที่สำคัญที่สุดไป และเขาไม่แน่ใจว่าควรยอมให้มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ หรือเปล่า รุ่งเช้าวันใหม่ ป้าอ่อนยื่นซองเอกสารให้กรณ์ขณะเขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเพียงลำพัง “มีคนฝากไว้ให้คุณกรณ์ค่ะ ทนายวายุเป็นคนเอามาเมื่อเช้า” กรณ์รับมาโดยไม่พูดอะไร เปิดอ่านอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่เห็นเนื้อความ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนทันที ในซองคือสำเนารูปถ่าย ภาพของเบลกับลูกชายอธิการบดีที่วายุได้มาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่แค่การยืนคุยธรรมดา แต่เป็นการกอด หัวเราะ และเดินจูงมือกันในที่สาธารณะ พร้อมแนบจดหมายเพียงบรรทัดเดียว “ก่อนคุณจะตัดสินใคร...ควรแน่ใจว่าเชื่อใจถูกคน” กรณ์วางเอกสารลงบนโต๊ะ ลมหายใจสั่นเล็กน้อย เขาจ้องภาพพวกนั้นนานหลายนาที ก่อนจะหลับตาลงด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในอก เขาไม่อยากยอมรับว่าผิด แต่ในใจลึก ๆ เขาเริ่มรู้แล้วว่า...เขาอาจเชื่อใจคนผิดจริง ๆ ตอนเย็น อัยวากลับถึงบ้านช้าอีกเช่นเคย เธอคิดว่ากรณ์คงไม่อยู่แล้ว แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาในบ้าน กลับพบว่าเขานั่งอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดียวกับเมื่อคืน เพียงแต่ในมือมีแฟ้มเอกสารหนึ่งเล่มวางอยู่บนโต๊ะ “กลับมาแล้วเหรอ” เสียงเขาเรียบ ๆ แต่ไม่มีความแข็งกระด้างอย่างทุกครั้ง อัยวาหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ค่ะ” “มานั่งก่อนสิ” เขาบอกโดยไม่ลุกขึ้น แต่เสียงนั้นคล้ายกับเชิญอย่างสุภาพ อัยวาลังเล แต่ก็เดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา เธอสังเกตเห็นแฟ้มเอกสารและกระดาษที่มีรูปภาพหลายใบ เธอไม่กล้ามองตรง ๆ “ฉัน...อาจจะตัดสินเธอเร็วไป” กรณ์พูดขึ้นก่อนที่เธอจะเอ่ยอะไร “อาจจะ?” เธอย้อนถามด้วยเสียงเย็นชา “ฉันรู้ว่ามันไม่พอที่จะลบทุกอย่าง แต่ขอแค่ให้รู้ไว้ ว่าตอนนี้ฉันเริ่มเห็นเธอชัดขึ้น...มากกว่าที่เคยเห็นมาตลอด” อัยวาเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูด “คุณเคยรู้ไหมคะ ว่าการที่ฉันเงียบ ไม่ได้แปลว่าฉันยอมให้คุณเหยียบ...แต่เพราะฉันรักเกียรติของตัวเองมากพอ ที่จะไม่ขอร้องให้ใครเชื่อใจฉัน” กรณ์พยักหน้าเบา ๆ “แล้วถ้าตอนนี้...ฉันอยากจะเชื่อเธอ อยากจะลองฟังเธอบ้าง...มันยังทันไหม?” อัยวายิ้มจาง ๆ ก่อนจะตอบว่า “ทันหรือไม่...ไม่สำคัญหรอกค่ะ เพราะสิ่งที่ฉันต้องการตอนนี้ไม่ใช่ให้คุณเชื่อฉัน แต่เป็นการที่ฉันจะเชื่อในตัวเองให้มากพอ ว่าฉัน...ไม่จำเป็นต้องร้องไห้เพื่อให้ใครเข้าใจ” คำพูดนั้นทำให้กรณ์เงียบไป เขาไม่เถียง ไม่แก้ตัว เพราะเขารู้แล้วว่า...วันนี้เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงคนนั้นอีกต่อไปและเขาเอง...ก็ไม่แน่ใจว่าเขายังมีสิทธิ์อยู่ในหัวใจเธอหรือเปล่า.....ตอนที่ 60 ตอนจบวันเปิดตัวกิจการใหม่ของอัยวาและกรณ์มาถึงอย่างสง่างาม ภายใต้ชื่อแบรนด์ “ร่มไม้ by ไพศาลทรัพย์” ที่ไม่ใช่แค่คาเฟ่หรือร้านงานฝีมือ แต่เป็นโมเดลธุรกิจเพื่อชุมชน ที่รวมความอบอุ่นของบ้านเข้าไว้กับโอกาสของคนตัวเล็ก ๆทแขกเหรื่อทยอยเข้ามาจนแน่นสวนหน้าร้านมีทั้งนักข่าว ทายาทนักธุรกิจ และผู้คนในชุมชน เบลส่งดอกไม้มาจากต่างประเทศ แนบการ์ดเขียนมือว่า “ร่มไม้...ที่ช่วยให้ใครหลายคนพ้นพายุ”นิ้งและวายุยืนอยู่ข้างกันในชุดเรียบหรู ยิ้มให้กันเหมือนคนที่เคยผ่านพายุด้วยกัน และเลือกจะจับมือไว้แน่นขึ้นในวันที่ท้องฟ้าเปิด เมฆในชุดสูทสีเทาเข้ม ขึ้นกล่าวเปิดงานแทนทั้งคู่“พ่อเคยคิดว่าความสำเร็จต้องใหญ่ ต้องแข็งแรง ต้องเร่งรีบ แต่ลูกของพ่อสองคนสอนว่าความสำเร็จที่แท้จริง มาจากหัวใจที่กล้ารัก และกล้ายืนหยัดในสิ่งที่เชื่อ”เมื่อเสียงปรบมือจางลง กรณ์ก้าวขึ้นเวทีเล็ก ๆ หน้าร้านที่ตกแต่งด้วยผ้าขาวและไม้ไผ่ เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมาช้า ๆ สบตาอัยวาที่ยืนอยู่ริมเวที แล้วเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“มีคนเคยถามผมว่า ผู้หญิงเปลี่ยนผู้ชายได้ไหม วันนี้ผมตอบได้ว่า ได้ครับ แต่ไม่ใช่เพราะเธอพยายามเปลี่ยนผม”เขาหยุด
ตอนที่ 59ค่ำวันหนึ่งหลังจากฝนตกหนักเมื่อไม่กี่วันก่อน อากาศกลับมาเย็นสบาย ลมพัดเบา ๆ ผ่านร่มไม้ในสวนหลังบ้าน กลิ่นหอมของปีบและมะลิยังคงลอยอวลอยู่ในอากาศกรณ์เดินออกจากครัวด้วยถาดไม้เล็ก ๆ ที่มีขนมปังอบใหม่และชาอุ่นกลิ่นกุหลาบ เขาวางมันลงตรงโต๊ะไม้เตี้ยกลางห้อง ก่อนจะหันกลับไปจุดเทียนบนเชิงเทียนทองเหลืองที่อยู่ใกล้กันอัยวานั่งอยู่ตรงมุมพรม อ่านหนังสือเกี่ยวกับศิลปะเด็กในห้องเรียน เธอสวมเสื้อยืดเนื้อนิ่มกับกางเกงผ้าสีอ่อน ดูเรียบง่ายจนเกือบธรรมดา แต่ในสายตาของเขาเธอคือความสวยงามที่สุด“พี่จะจ้องหนูนานแค่ไหนคะ” เธอเงยหน้าขึ้นยิ้มล้อ ขณะที่เขานั่งลงข้างเธอกรณ์ยิ้มไม่ตอบ เขาหยิบแก้วชาขึ้นมาส่งให้เธอ ก่อนจะนั่งชิดเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด“คืนนี้พี่ไม่ได้อยากให้มันเป็นคืนพิเศษอะไรหรอกนะ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม “แต่พี่แค่อยากให้มันเป็นของเราแค่ของเราสองคน”อัยวานิ่งไป ดวงตาคู่นั้นวาววับในแสงเทียน เธอวางหนังสือลง แล้วยื่นมือไปแตะแก้มเขา“พี่รู้ไหมหนูไม่เคยรู้สึกปลอดภัยขนาดนี้เลยค่ะ”“กับพี่หนูไม่ต้องฝืน ไม่ต้องแข็งแรง ไม่ต้องสวย ไม่ต้องฉลาด หนูแค่เป็นหนู”กรณ์กุมมือเธอไว้ แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้“และพี
ตอนที่ 58เสียงฟ้าร้องแรกของค่ำคืนดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ลมฝนพัดแรงจนใบปีบปลิวกระจัดกระจาย อัยวารีบเดินไปปิดหน้าต่างทุกบานในร้าน ‘ร่มไม้’ ขณะที่กรณ์วางแก้วกาแฟลงแล้วลุกขึ้นช่วยเธอทันที ไม่นานนัก ฝนก็เริ่มโปรยลงมาอย่างต่อเนื่อง จังหวะตกกระทบหลังคาไม้สังกะสีทำให้ความทรงจำเก่า ๆ ถูกปลุกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อัยวายืนอยู่ริมประตู มองออกไปยังสายฝน แล้วหลุดพูดขึ้นเบา ๆ“คืนนั้นฝนตกครั้งแรกที่หนูเข้ามาอยู่บ้านพี่ จำได้ไหมคะ”กรณ์หันไปมองเธอ ยิ้มจาง ๆ“พี่จำได้หนูเปียกทั้งตัว หน้าก็ซีดเหมือนจะร้องไห้”“แต่สุดท้ายก็ไม่ร้องเพราะหนูไม่รู้ว่าตัวเองควรเสียใจหรือควรดีใจที่หนีจากบ้านเก่าได้”กรณ์เดินเข้ามาใกล้ วางมือบนไหล่เธอ“ตอนนั้นพี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าคนที่ยืนตรงหน้าคือผู้หญิงที่จะเปลี่ยนโลกของพี่”อัยวายิ้มบาง ๆดวงตาฉ่ำแสงฝนและความทรงจำ“คืนแรกที่ฝนตกหนูเคยเกลียดพี่” เธอพูดอย่างกล้า“เพราะพี่เป็นคนเดียวที่หนูต้องเชื่อฟัง ทั้งที่หัวใจหนูไม่อยากเชื่อใครอีกแล้ว”กรณ์พยักหน้าเบา ๆ“พี่เองก็ไม่เชื่อในความรักเพราะพี่คิดว่ามันเปลี่ยนคนไม่ได้”“แต่หนูเปลี่ยนพี่โดยที่หนูไม่เคยพยายามเลย”ทั้งสองยืนเงี
ตอนที่ 57อัยวาเดินตรวจมุมอ่านหนังสือของร้าน ‘ร่มไม้’ ในตอนสาย ขณะที่แสงแดดลอดผ่านช่องไม้ของหลังคาเป็นลำเส้นเล็ก ๆ เธอจัดหนังสือเด็กเล่มใหม่ลงบนชั้น แล้วลูบปกอย่างเบามือก่อนจะถอนหายใจเงียบ ๆบางครั้งความเงียบสงบก็ทำให้เสียงจากอดีตกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง เธอจึงหยิบขึ้นมาดูหมายเลขไม่คุ้น แต่ขึ้นต้นด้วยรหัสประเทศที่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่จากใครอื่นเธอลังเลเพียงอึดใจ ก่อนจะกดรับสาย“สวัสดีค่ะ” เสียงเธอเบาลงจนเกือบเป็นกระซิบ“แกจำฉันได้ใช่ไหม อัยวา”เสียงนั้นเย็นชา แต่ยังคงความคุ้นเคยจนเธอขนลุกวาบ“แม่...”ปลายสายเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึก“ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์โทรมาแต่ตอนนี้ธุรกิจแม่กำลังจะล้มละลายจริง ๆ แกช่วยอะไรแม่ไม่ได้เลยเหรอ”อัยวากำโทรศัพท์แน่น ดวงตาเธอสั่นไหว“แม่ต้องการอะไรจากหนูอีกคะ”“แค่ให้พ่อของผัวแกช่วยพูดกับธนาคารให้หน่อย ฉันรู้ว่าเขามีอิทธิพลอยู่บ้าง”“หนูไม่ได้เป็นใครในสายตาแม่เลย แต่วันนี้แม่โทรมาเพราะหนูเป็นเมียของลูกชายบ้านไพศาลทรัพย์ใช่ไหมคะ”ปลายสายเงียบกริบ ก่อนจะตอบกลับ“ก็เพราะฉันรู้ว่าแกมันไม่เ
ตอนที่ 56แสงแดดอ่อนของเช้าวันจันทร์ส่องลอดผ่านช่องใบไม้ของต้นปีบสูงใหญ่กลางสวน บ้านไม้หลังเล็กถูกปรับปรุงใหม่เรียบร้อยด้วยโครงสร้างเดิม เสริมด้วยความรักและความตั้งใจของเจ้าของบ้านคู่ใหม่“ร้าน 'ร่มไม้' พร้อมเปิดพรุ่งนี้แล้วนะคะ” อัยวาพูดขึ้นขณะยืนอยู่ตรงหน้าร้านที่เพิ่งตกแต่งเสร็จเธอสวมผ้ากันเปื้อนสีเบจ มีลายปักคำว่า ‘ร่มไม้’ ที่เธอเย็บด้วยมือลงบนกระเป๋าเสื้อด้านหน้า กรณ์เดินออกมาจากมุมกาแฟของร้านที่เขาทำเองกับมือ สวมเสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงผ้าสีเข้ม เขายิ้มแล้วเดินมาโอบเอวเธอ“เราเปิดร้านแต่พี่รู้สึกเหมือนเปิดบ้านเลยนะ”“เพราะมันคือบ้านของเราจริง ๆไงคะ”ทั้งคู่หันไปมองต้นปีบที่ออกดอกบานสะพรั่งเหนือหลังคาไม้ ร้าน 'ร่มไม้' มีมุมอ่านหนังสือสำหรับเด็ก ห้องเล็กสำหรับสอนงานฝีมือ และโต๊ะกาแฟกลางสวน และตรงกลางของทั้งหมดนั้นคือความรักที่เติบโตอย่างเงียบงามเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขัดจังหวะความสงบชั่วขณะ อัยวาหยิบขึ้นมา ดวงตาสว่างไสวเมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอ“นิ้งโทรมาค่ะพี่”กรณ์พยักหน้า “โอเค เดี๋ยวพี่ไปจัดชั้นหนังสือก่อน”อัยวากดรับสายทันที “ว่าไงมึง คิดถึงอะ”เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังจากปลาย
ตอนที่ 55เช้าวันอาทิตย์ อากาศในสวนหลังบ้านไพศาลทรัพย์อบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกปีบที่ผลิบานตามฤดูกาล เสียงนกร้องและแสงแดดอ่อน ๆ ที่ลอดผ่านช่องใบไม้ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบและ เหมาะจะเป็นวันพิเศษแม้จะไม่มีใครเอ่ยออกมาตรง ๆกรณ์ยืนอยู่ริมระเบียง สวมเชิ้ตสีขาวสะอาด ปลายแขนเสื้อถูกพับขึ้นจนถึงข้อศอก เขาเงยหน้ารับแสงแดดบางเบา สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นปีบ อัยวาสวมเดรสลินินสีครีม ผมยาวถูกรวบครึ่งไว้เรียบร้อย มือของเธอกำลังถักพวงมาลัยดอกมะลิเล็ก ๆ อย่างตั้งใจ เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา แล้วส่งยิ้มบาง ๆ ให้"หนูรู้ไหม ว่าวันนี้มันพิเศษแค่ไหน” เขานั่งลงข้างเธอ เอื้อมมือไปรับพวงมาลัยจากมือเธอ“สำหรับหนูทุกวันที่พี่อยู่ข้างหนู มันพิเศษหมดเลยค่ะ”กรณ์หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะวางพวงมาลัยลงบนตักเธอ แล้วล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ กล่องกำมะหยี่เล็ก ๆ สีขาวไข่มุก วางอยู่บนฝ่ามือของเขา อัยวาชะงักไป ดวงตากะพริบถี่ราวกับไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้าคือเรื่องจริง“พี่เคยแต่งงานกับหนูแต่ตอนนั้น หนูไม่ได้เลือก และพี่เองก็ยังไม่เข้าใจความรักดีพอ”กรณ์เปิดกล่องอ