ผ้าม่านถูกเปิดกว้าง ทำให้แสงสว่างสาดเข้ามาได้เต็มที่โดยไม่ต้องอาศัยหลอดไฟ เทพทัตนั่งรอสามสาวอย่างสบายใจ เขายกน้ำมะตูมขึ้นดื่ม และพบว่ารสของมันหวานอมขม เขาเป็นพวกพลังไม่เข้มแข็งเช่นกัน แต่อยู่ในจุดที่ไม่ต้องออกแรงเอง จึงไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนใจ
ปุยฝ้ายเปิดประตูผัวะเข้ามาโดยไม่เคาะ เทพทัตตกใจจนสำลักน้ำมะตูม ไอจนหน้าแดงแล้วกลับมาวางมาดนิ่งตามปกติ ชูครีมมองสำรวจหัวหน้านักเรียนแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร เธอเองก็เกรงใจเขาเช่นกัน
"เคาะประตูก่อนสิ ปุยฝ้าย" มนสิชาเป็นคนตำหนิเธอ
"แหะๆ ขอโทษทีค่ะ หวังว่าคุณเทพทัตจะไม่เป็นอะไรนะคะ" ปุยฝ้ายยิ้มฝืดฝืน หน้าตาเกร็งไปหมด
"ไม่เป็นไรครับ เชิญเด็กๆ เอ๊ย พวกคุณนั่งกันก่อนเลย" เทพทัตผายมือให้นั่ง
ไม่มีใครเอ่ยอะไรเป็นเวลานาน ดูเหมือนเทพทัตจะมีเรื่องบางอย่างในใจ ทำให้เขาไม่พูดอะไรเลย
"คุณเทพทัตค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" มนสิชาตัดสินใจถาม
"ครับ ขอโทษที ผมมีเรื่องอะไรต้องคิดเยอะ ปัญหาไม่ใช่น้อยๆเลย" เขาทำท่าเหมือนอยากระบาย แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ "ผมคิดว่าเบาะแสที่ขอผ่านการประชุมไปคงจะได้อะไรไม่มากนัก ผมอยากได้แขนขาไปทำงานสืบว่าโรงเรียนทิศไหนที่เป็นคนส่งนกเหยี่ยวมาหาเรา"
"และคนที่เหมาะที่สุดที่จะไปสืบก็คือพวกเราทั้งสามคน" ปุยฝ้ายเป็นคนเอ่ยจนจบ
บรรยากาศเริ่มอึดอัด เมื่อเทพทัตเสนองานใหญ่ให้พวกเธอ ไม่มีใครคิดว่าจะทำเรื่องที่สำคัญขนาดนั้น
"ผมไม่คิดจะให้พวกคุณทำงานนี่ฟรีๆ แน่นอนครับ ผมจะให้สิ่งที่คุณขอ บ้าน ไม่สิ คฤหาสน์ ตำแหน่ง หรืออำนาจที่พวกคุณอยากได้"
ปุยฝ้าย ชูครีม และมนสิชามองหน้ากัน พวกเธอใช้เวลาสุมหัวเพื่อคุยกัน จากนั้นหันมาให้คำตอบแก่เทพทัต
"เราอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้สร้างและเรื่องเกี่ยวกับคนที่ตื่นขึ้นจากฝันค่ะ ถ้าคุณเทพทัตสัญญาว่าจะให้ข้อมูลกับพวกเรา เราก็สัญญาว่าจะหาหลักฐานมาให้ได้" ปุยฝ้ายบอก เทพทัตแปลกใจกับคำขอนั้น
"คุณไม่ได้ขอให้เจอชีวิตที่ดีกว่าปัจจุบัน แต่ขอออกจากเมืองนิทราสินะครับ" เทพทัตประสานมือ พิงพนักเก้าอี้อย่างชั่งใจ "ตกลงครับ ผมจะให้ตามที่ขอ คำพูดของผมจะเป็นคำรับประกันชั้นหนึ่งสำหรับพวกคุณในอนาคต"
ทั้งสามคนเดินออกจากห้องประชุมอย่างเหม่อลอย พวกเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาลงเอยที่เกมการเมือง แต่มันเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สามารถออกจากฝันได้ พวกเธอไม่มีทางเลือก
โรงเรียนแรกที่พวกเธอไปคือโรงเรียนทิศใต้ ทางเดินไปโรงเรียนทิศใต้นั้นไม่ได้ต่างกับทิศเหนือมากนัก มีต้นไม้ มีเนินเขา และแทบไม่มีคนเดินผ่าน แต่เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นคน ถ้าจะพูดให้ถูกคือนักเรียนที่นี่หน้าตาดูจริงจัง ส่วนใหญ่กำลังอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถไหนก็ตาม
"โรงเรียนทิศเหนือน่ะเหมาะกับพวกเราที่สุดแล้วค่ะ" ชูครีมพูด "เรียนกลางๆ ทำกิจกรรมกลางๆ แล้วก็ให้อิสระกับ การใช้ชีวิต"
มีเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสือหน้าเครียดอยู่ที่ม้านั่ง มนสิชาเดินเข้าไปอย่างเกรงใจ เสียงเดินไม่ทำให้เธอละสายตาออกมาจากหนังสือได้เลย
"ขอโทษนะคะ เราอยากย้ายมาเรียนที่นี่น่ะค่ะ ไม่ทราบว่าต้องทำยังไงบ้าง" มนสิชาถาม นักเรียนหญิงขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมา บอกได้เลยว่าเธอไม่สบอารมณ์เอามากๆ
"ตามหาอาจารย์ดูนะคะ" เธอตอบแค่นั้นแล้วก้มหน้าต่อ มนสิชากำลังจะต่อว่าเธอที่ไม่มีมารยาทเอาซะเลย แต่ชูครีมจับแขนเธอไว้แล้วส่ายหน้าจนหัวแทบหลุด มนสิชาจึงยอมถอยออกมาโดยดี
เดินต่อมาอีกห้านาทีพวกเธอก็เห็นป้ายโรงเรียนทิศใต้ขนาดใหญ่ ตึกเรียนใหญ่กว่าทิศเหนือสองเท่า แต่สนามฟุตบอลนั้นเล็กกว่ามาก มีโรงยิมที่ดูไม่แข็งแรงอีกหนึ่งหลัง ข้างนอกเขตโรงเรียนเป็นเมืองที่มีแต่ตึกสูงใหญ่ซึ่งเป็นหอพัก ไม่มีบ้านหรือร้านค้าให้เห็นเหมือนโรงเรียนทิศเหนือ พวกเธอเข้าไปในโรงเรียนเวลาเช้าตรู่จึงยังไม่ค่อยเจอใครมากนัก ตรงชั้นหนึ่งมีป้ายแขวนว่าห้องพักครู พวกเธอจึงเดินเข้าไป มนสิชารู้สึกว่าครูทั้งห้องหันมามองด้วยแววตาเย็นชา เธอส่ายหัวเพื่อไล่อคติออกไป คนเจอกันครั้งแรกจะให้ไปมีความรู้สึกรักใคร่ก็คงแปลกไปสักหน่อย
"มีธุระอะไรครับนักเรียน" เด็กหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวอ่อนถามขึ้น
"พวกเราอยากย้ายมาเรียนที่นี่คะ เราได้ยินมาว่าทิศใต้เป็นที่ที่รับเด็กเรียนอย่างพวกเรา เราไปอยู่ทิศเหนือมาตั้งนาน รู้สึกอึดอัดมากเลยค่ะ" ปุยฝ้ายเป็นคนกุเรื่องขึ้น มนสิชาเลิกคิ้วสูงเพราะสงสัยว่าต้องโกหกด้วยหรือ
"ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่รีบบอก" ครูหนุ่มทำหน้าภูมิใจ "ตั้งแต่ผมสอนหนังสือมา นักเรียนโรงเรียนนี้แหละเป็นที่แรกที่ทำให้ผมไม่ผิดหวัง มาๆๆ คุณมาทำแบบทดสอบแยกห้องก่อน แล้วเราจะได้เริ่มเรียนกัน"
"อะ..เดี๋ยวก่อนค่ะ" ชูครีมยกมือขึ้นห้าม ครูหนุ่มทำหน้าสงสัย "หนูเป็นอัศวินชั้นหนึ่ง ส่วนเพื่อนคนนี้เป็นอัศวินชั้นสอง ไม่ทราบว่ามีห้องเรียนแยกพิเศษสำหรับอัศวินด้วยหรือเปล่าคะ"
"อ้าว แบบนี้ก็ทิ้งกันน่ะสิ" ปุยฝ้ายเอ่ยโดยไม่ขยับปาก ชูครีมยิ้มแห้งๆส่งไปให้
"มีสิ ห้องเอสนะ อยู่ชั้นสามเข้าไปแนะนำตัวได้เลย" ครูหนุ่มตอบอย่างเย็นชา ก่อนหันมาทางปุยฝ้าย "ส่วนเธอเป็นเด็กเรียนใช่ไหม เดี๋ยวเราจะมาวัดกันว่าอันดับต้นๆของทิศเหนือจะเป็นอันดับเท่าไหร่ในทิศใต้ ตามอาจารย์มาเลย"
ปุยฝ้ายถูกลากออกไปโดยไม่เต็มใจ ทั้งสองคนจึงต้องเดินไปชั้นสามตามคำแนะนำ เสียงออดเข้าเรียนดังพอดี พวกเขาจึงยืนอยู่หน้าห้องในขณะที่คนอื่นนั่งประจำที่หมดแล้ว
"มีอะไรคะนักเรียน" อาจารย์สาวถาม เธอทาปากแดงและสวมสูทรัดรูป นักเรียนชายมองตามเธอตาไม่กระพริบ
"พวกเราเพิ่งย้ายมาเรียนที่นี่น่ะคะ แล้วเราก็เคยเป็นอัศวินด้วย ครูท่านหนึ่งก็แนะนำให้มาห้องนี้"
"ครูคนไหนคะ" เธอหงุดหงิดเมื่อมีคนไม่ทำตามกระบวนการ สองสาวมองหน้ากันเพราะไม่ได้ถามชื่อ "ปกติแล้วเราต้องทดสอบสมรรถภาพก่อนถึงจะให้มาเรียนห้องนี้ได้"
"ถ้าอย่างนั้นวัดตรงนี้เลยก็ได้ค่ะ" มนสิชาเอ่ย ไม่พอใจคนในทิศนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ชูครีมจับแขนมนสิชา ไม่อยากให้เธอแสดงความก้าวร้าวออกมา
"งั้นเรียกสเลฟออกมาก็แล้วกัน แค่นั้นคงทำให้เราแยกแยะได้เยอะเลย" ครูปากแดงเอ่ย
"สเลฟจงออกมา" มนสิชาเรียกฟ้าลั่นออกมา ตอนนี้มันมีปีกออกมาด้วย จึงบินอยู่กลางอากาศ ทั้งห้องประทับใจสเลฟของเธอ ตบมือชื่นชมกันใหญ่
"ประมาณอัศวินชั้นสอง เธอเรียนห้องนี้ได้" ครูสาวเอ่ย
ทั้งห้องหันมามองชูครีมที่ทำสีหน้ากังวล เด็กสาวไม่ยอมเรียกสเลฟออกมาสักที
"เธอเรียกสเลฟไม่เป็นเหรอคะ ถ้าอย่างนั้นเริ่มจากเรียนห้องธรรมดาก่อนไหม" ครูสาวถามน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ทำอะไรอยู่ ชูครีม เรียกบลูฮาร์ทออกมาสิ" มนสิชาเร่ง
"ห้องเรียนเล็กเกินไปน่ะค่ะ หนูเกรงว่า..." ชูครีมอึดอัด
ทั้งห้องหัวเราะ คิดว่าคำพูดนั้นไร้สาระ
"เอาเถอะๆ ต่อให้เธอทำโต๊ะหรือเก้าอี้พัง ครูก็จะไม่โกรธนะ เรียกออกมาเถอะ"
"สเลฟจงออกมา" ชูครีมร้อง
บลูฮาร์ทที่ใหญ่กว่าคนห้าเท่าออกมา มันทับโต๊ะจนพังไปสองตัว และลมหายใจที่มีไฟก็ทำให้นักเรียนที่อยู่ใกล้ผมไหม้เกรียมไปด้วย ครูปากแดงทำท่าตกใจ เธอไม่เคยเห็นสเลฟใครที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
"ขะ..ขอบคุณที่แสดงให้เราดู กะ..เก็บสเลฟของเธอก่อน"
"สเลฟจงกลับไป"
ทั้งห้องมองชูครีมด้วยแววตาทึ่ง พวกเขาอยากเป็นเพื่อนกับเธอแทบจะในทันที ต่างก็แสดงที่นั่งว่างๆข้างตัวเองให้เธอเห็น เพื่อให้เธอมานั่งด้วยกัน
"เอ่อ อัศวินชั้นหนึ่ง เธอไปนั่งกับใบเฟิร์น ส่วนอัศวินชั้นสอง เธอไปนั่งกับดาวเหนือแล้วกัน"
ใบเฟิร์นเป็นอัศวินชั้นหนึ่งที่ท่าทางไม่มั่นใจเหมือนชูครีม หน้าตกกระและสวมแว่นตา เธอยิ้มให้ชูครีมอย่างเป็นมิตร ส่วนดาวเหนือเป็นเด็กหนุ่มร่างผอม เขาหลับฟุบบนโต๊ะเมื่อเห็นว่าครูสาวไม่ได้จ้องมาที่เขา หายใจยาวอย่างสม่ำเสมอ มนสิชารอให้เขาตื่นไม่ไหว จึงทำลายความเงียบขึ้น
"ช่วยแนะนำฉันด้วยนะ ดาวเหนือ"
"อืม" เขาตอบโดยไม่เงยหน้า
"สเลฟของนายเป็นตัวอะไรเหรอ" มนสิชาพยายามสร้างมิตร แต่เขาไม่สนใจ มนสิชาทนไม่ไหวจึงทุบโต๊ะ "นายน่ะ ตั้งใจเรียนบ้างหรือเปล่า นอนกลางวันแบบนี้มันเสียมารยาทต่อครูนะ"
ดาวเหนือเงยหน้าขึ้น มองมนสิชาอย่างประเมิน เธอไม่หลบสายตาเขา เด็กหนุ่มจึงถอนหายใจแล้วยอมจดสิ่งที่ครูสอนลงสมุด
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื