แชร์

บทที่ 6 งานเลี้ยง

ผู้เขียน: องค์หญิงโนเนม
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-05 15:36:46

ผ่านมาร่วมหลายวัน ที่จวนชินอ๋องก็มีงานใหญ่ นั่นก็คืองานวันเกิดของเซวียนชินอ๋อง เหล่าขุนนางในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่า เซวียนชินอ๋องผู้นี้ แม้จะดูเหมือนไม่เอาอันใด ทำสิ่งใดก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ซ้ำร้ายยังถูกพี่ชายที่เป็นฮ่องเต้ก่นด่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่อย่างไรก็ไม่อาจจะล่วงเกินเขาได้ เพราะเซวียนซานหลางบุตรชายของเขานั้นมีอำนาจทหารอยู่ในมือ อีกทั้งยังมีความดีความชอบนานับประการ พูดได้ว่าหากจวนชินอ๋องไม่มีเซวียนซานหลางที่เปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ค่อยหยัดรากลงดินค้ำจุนเอาไว้ ป่านนี้เซวียนชินอ๋องอ๋องก็ไม่นับเป็นตัวอะไร อีกทั้งเซวียนซานหลางผู้นั้นยังเป็นหลานสุดที่รักของฝ่าบาท ทางที่ดีอย่าไปล่วงเกินพวกเขาจะดีที่สุด

ก็เพราะเป็นเช่นนี้ในงานเลี้ยงวันเกิดทุกปีของเซวียนชินอ๋องเหล่าขุนนางจึงนำของขวัญชั้นดีมามอบให้เซวียนชินอ๋องอยู่เสมอ แม้จะไม่ชอบหน้าเขามากเพียงใดก็ตาม

แขนเสื้อยาวย่อมร่ายรำได้งดงาม คนเราแม้จะไม่เป็นที่รักใคร่แต่ขอเพียงมีเงินมีอำนาจย่อมทำสิ่งใดได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ

เซวียนชินอ๋องคนหน้าหนาไม่ได้รู้สึกอันใดทั้งสิ้น เขาคิดเพียงว่า เซวียนซานหลางมีหน้าที่กตัญญูต่อเขาที่เป็นบิดา การทำให้เขามีหน้ามีตาก็นับว่าเป็นความกตัญญูอย่างหนึ่ง

เซวียนซานหลางคร้านจะสนใจ ตราบใดที่บิดาผู้นี้ไม่ทำสิ่งใดที่มาล้ำเส้นเขา หรือไปรับสินบนจากเหล่าขุนนางและทำเรื่องชั่วช้าเขาเองก็คร้านจะคิดเล็กคิดน้อย

งานเลี้ยงในวันนี้ค่อนข้างคึกคัก ฮ่องเต้เซวียนจงส่งขันทีข้างกายตนมาเป็นตัวแทนนำของขวัญมามอบให้น้องชาย แม้จะไม่ชอบที่น้องชายทำตัวไม่เอาไหน แต่เพราะเห็นแก่เซวียนซานหลาง เขาจึงส่งคนนำของมามอบให้เพื่อรักษาหน้า

สวีเมิ่งเหยารีบตื่นขึ้นมาแต่งหน้าทำผมและแต่งกายอย่างงดงามตั้งแต่เช้าตรู่ งานเลี้ยงครั้งนี้นางจะต้องโดดเด่นที่สุด เซวียนซานหลางชายหนุ่มที่นางหลงรักจะต้องตกตะลึงในความงามของนาง ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่านางงามพร้อม สตรีคนใดก็ไม่อาจเทียบนางได้ นางคือคนที่คู่ควรกับเซวียนซานหลางมากที่สุด ตำแหน่งพระชายาของซื่อจื่อย่อมต้องตกเป็นของนางเพียงผู้เดียว!

แม้แต่มู่หลานเฟินก็ไม่อาจสู้นางได้ เป็นแค่บุตรสาวตระกูลคหบดีต่ำต้อยจะเอาอะไรมาเทียบเคียงบุตรสาวที่เกิดจากจวนราชครูเช่นนางกัน

สวีเมิ่งเหยาเดินทางมาพร้อมกับบิดาของตน ราชครูสวีเป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั้งเมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นถึงอาจารย์ขององค์รัชทายาทเซวียนจิ้น และเซวียนซานหลางเองก็ได้บิดาของนางคอยสั่งสอนความรู้ในวัยเยาว์เช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าครอบครัวของนางใกล้ชิดสนิทสนมกับเชื้อพระวงศ์เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเข้ามาในงานก็พบกับเซวียนซานหลางที่กำลังยืนสนทนากับเหล่าขุนนาง คนที่ยืนอยู่ข้างเขานั้นคือเซวียนเจ๋อคุณชายรองน้องชายของเขา บิดาของนางแยกไปพบปะพูดคุยกับเซวียนชินอ๋องและพระชายา ส่วนนางก็มารวมตัวกับเหล่าสตรีน้อยที่มาร่วมงาน ทุกคนต่างสนทนากับนางอย่างประจบประแจง และยังพูดอีกว่านางเหมาะสมกับเซวียนซื่อจื่อราวกิ่งทองใบหยก นั่นยิ่งทำให้นางเขินอายเข้าไปใหญ่

"พี่ใหญ่ เข้าจะไปดูหรานหร่านเสียหน่อย นางเพิ่งจะออกมาจากโรงครัว เพราะไปช่วยท่านแม่ดูแลเรื่องอาหาร ไม่รู้ว่าตอนนี้แต่งตัวเสร็จหรือยัง ข้าจะไปบอกนางให้รีบหน่อย ข้ารับรองว่าจะตามประกบนางไม่ห่าง ไม่ให้นางทำให้พี่ใหญ่โมโหแน่นอน"

เซวียนเจ๋อเอ่ยจบก็รีบไปหามู่หลานเฟินที่เรือนทันที เซวียนซานหลางมองตามแผ่นหลังน้องชายของตนไป ก่อนที่เขาจะหันมามองคนในงาน ดวงตาคมพลันสบประสานเข้ากับสายตาหวานล้ำของสวีเมิ่งเหยาเข้าพอดี

เขาเพียงยิ้มตอบนางไปตามมรรยาท แต่ดูเหมือนสวีเมิ่งเหยาจะเขินอายหนักถึงขนาดบิดตัวไปมา เซวียนซานหลางไม่ชอบสายตาที่เหล่าสตรีน้อยมองเขาเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำมันทำให้เขารู้สึกอึดอัด

ชั่วชีิวิตนี้เขาไม่เคยคิดอยากจะแต่งงาน หรือหากจะต้องแต่งจริงๆ เขาก็ยังคิดไม่ออกว่าสตรีแบบใดกันที่จะสามารถทำให้เขายอมฝากทั้งชีิวิตเอาไว้ด้วย

เขาเคยมีความคิดว่า ภรรยาในภายภาคหน้าจะต้องเหมือนกับท่านแม่ อ่อนโยนและแข็งแกร่งไม่หวั่นเกรงต่อเรื่องอันตรายใดใด ชั่วชีวิตของเขาที่ผ่านมาใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามรบ ผ่านเรื่องเลวร้ายมาไม่น้อย มีเรื่องให้ต้องขบคิดตลอดเวลา มีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ หากแต่งสตรีที่วันวันต้องการให้สามีเอาใจใส่คอยเคียงข้างกายตลอดเวลา คาดว่าชีวิตคู่คงจะไม่มีความสุข

ช่างเถิด นั่นก็เป็นเรื่องของภายภาคหน้าค่อยขบคิดก็ยังไม่สาย

เซวียนซานหลางละสายตาจากสวีเมิ่งเหยา ก่อนจะหันไปเห็นเซวียนเจ๋อและมู่หลานเฟินที่กำลังเดินมาพร้อมกันเข้าพอดี วันนี้มู๋หลานเฟินแต่งตัวงดงามไม่น้อย นางไม่ได้ประทินโฉมใบหน้าจัดจ้านเช่นแต่ก่อน ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกว่าการที่นางแต่งตัวเช่นนี้ออกจะเป็นผู้คนมากกว่าแต่ก่อนมากนัก

เพราะมู่หลานเฟินไม่มีสตรีในเมืองหลวงคบหาด้วยเท่าใดนัก นางจึงแยกตัวมานั่งใต้ต้นไม้คนเดียว เซวียนเจ๋อเองก็เอาแต่เที่ยวเล่น เดิมทีสหายที่สนิทก็มีไม่มากเช่นเดียวกัน ผู้คนต่างลอบนินทาเขาลับหลังว่ามารดาเขามาจากตระกูลพ่อค้า ต่ำต้อยไม่น่าคบหา จึงไม่อยากสนทนาพาทีกับเขา แม้จะเห็นแก่หน้าบิดาแต่ลับหลังกลับลอบดูแคลน เซวียนเจ๋อเองก็คร้านจะสนใจ ใครไม่คบเขาก็ไม่สน

ชายหนุ่มเดินมานั่งลงข้างๆมู่หลานเฟิน มู่หลานเฟินที่กำลังแทะเมล็ดแตงหันมามองเซวียนเจ๋อก่อนจะเอ่ย

"อันใด ท่านก็ไม่มีสหายคบหาหรือ"

เซวียนเจ๋อแย่งเมล็ดแตงในมือของมู่หลานเฟินไปแทะบ้าง

"พวกเขาชอบดูถูกว่าท่านแม่ข้ามีฐานะต่ำต้อยต่อหน้าไม่พูดอะไร แต่ลับหลังกลับนินทา หากเป็นเช่นนี้ไม่มีสหายดีกว่า ไม่มีสหายก็ไม่ตาย ข้ามีพี่ใหญ่ก็พอแล้ว อ้อ หรานหร่าน เจ้าก็ไม่มีคนคบเหมือนกันนี่ให้ตายเถอะ เราสองคนนี่น่าสงสารเหลือเกิน เหตุใดพวกเขาจึงไม่ชอบพวกเรากันนะ เจ้าเคยคิดไหม"

มู่หลานเฟินส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี

"ไม่คิดและไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ไม่มีสหายไม่ตายหรอก แต่การมีสหายไม่ดีนี่สิเราอาจจะตายได้ ใครไม่อยากคบก็ปล่อยเขาไป คนพวกนั้นก็ทำได้แค่นินทาลับหลัง ไม่กล้าทำอะไรท่านและข้าอยู่แล้ว พวกเรามีจวนชินอ๋องคอยหนุนหลัง จงใช้ชีวิตตามใจชอบ ปล่อยให้พวกเขาปวดหัวกับนิสัยของพวกเราไปเถอะ ก็พวกเราพอใจจะใช้ชีวิตเช่นนี้ ใครจะทำไม"

"มันจะดีหรือ"

"ดีสิ”

มู่หลานเฟินเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง นางมองไปโดยรอบก่อนจะยกข้อศอกตนกระทุ้งแขนของเซวียนเจ๋อเบาๆ

 “ท่านดูนั่น ว่าที่พี่สะใภ้ของท่าน สวีเมิ่งเหยามองพี่ชายท่านตาไม่กระพริบเลย"

เซวียนเจ๋อมองไปที่สวีเมิ่งเหยา ก่อนจะหันขวับกลับมามองมู่หลานเฟินอย่างลนลาน

"เจ้าห้ามก่อเรื่องนะ จำไว้ อดทน อย่าตบ หากเจ้าทนไม่ไหว ตบหน้าข้าแก้ขัดไปก่อน!"

มู่หลานเฟินรู้สึกขบขันไม่น้อยเลย ญาติผู้พี่ของนางคนนี้จะว่าไปก็น่ารักดี

"ไม่ตบหรอก ไร้สาระสิ้นดี ข้าตัดใจจากเขาแล้ว โอโห เซวียนซานหลางผู้นี้เสน่ห์ร้ายกาจไม่เบา ท่านดูสิ สตรีน้อยหลายนางมองเขาตาเป็นมันเลย"

"แน่นอนอยู่แล้ว พี่ใหญ่ข้าดูดีที่สุด"

มู่หลานเฟินลอบเบ้ปาก ในขณะที่นางกำลังกินขนมและพูดคุยกับเซวียนเจ๋อไปเรื่อยเปื่อย ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาหานาง

"น้องหรานหร่าน"

มู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อเงยหน้าขึ้นไปมองพร้อมกัน ก่อนจะพบว่าเป็นเสิ่นเหวยอัน หัวหน้าศาลต้าหลี่ผู้นั้นนั่นเอง

มู่หลานเฟินปัดเศษขนมในมือออกก่อนจะยิ้มให้เขา

"ใต้เท้าเสิ่น ท่านก็มาร่วมงานด้วยหรือ"

"แน่นอนอยู่แล้ว ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง ข้าขอเรียกเจ้าว่าน้องหรานหร่านก็แล้วกันนะ ส่วนเจ้าก็สามารถเรียกข้าว่า พี่เสิ่นได้"

มู่หลานเฟินไม่คิดว่าเขาจะมาสนิทสนมกับนางง่ายดายขนาดนี้ อีกทั้งรู้จักนามรองของนางอีกด้วย แต่นางไม่อยากเสียมรรยาทกับเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้า อย่างไรคนมีอำนาจเช่นเขาหากอยากรู้เรื่องของผู้ใดย่อมง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ

 เสิ่นเหวยอันหันไปพยักหน้าให้คนของตนที่ติดตามมา พวกเขารู้งานยิ่งรีบนำสุราไหหนึ่งมามอบให้มู่หลานเฟิน นางมองมันอย่างสนใจ ก่อนจะเอ่ยถามเขา

"สุราหรือ ให้ข้าหรือเจ้าคะ"

"ใช่แล้ว ครั้งก่อนเจ้าช่วยข้าจับคนร้ายได้สำเร็จ เดิมทีอยากจะขอความชอบให้เจ้า แต่ซื่อจื่อคงจะไม่ชอบใจ ข้าเองก็ไม่อยากล้ำเส้นผู้ใด จึงนำสุราดอกท้อไหนี้มามอบให้้เจ้าแทนการขอบคุณ หวังว่าน้องหรานหร่านจะไม่รังเกียจ"

มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินก็ยิ้มตาหยี รังเกียจอันใดกันเล่า นางน่ะชอบดื่มสุราเป็นที่สุดเลย

"ไม่รังเกียจเลยเจ้าค่ะ ไม่รังเกียจ พี่เสิ่น ขอบคุณท่านมาก สุราดอกท้อไหนี้ข้าจะค่อยๆดื่ม ไม่ทำให้ท่านเสียน้ำใจแน่นอน อ้อ ข้ามีนามเต็มว่ามู่หลานเฟิน"

"หลานเฟินที่แปลว่ากลิ่นหอมของดอกกล้วยไม้ใช่หรือไม่"

“เจ้าค่ะ”

“ชื่อนี้เหมาะกับเจ้า”

“พี่เสิ่นชมเกินไปแล้ว”

เหล่าสตรีน้อยที่เห็นว่าเสิ่นเหวยอันเข้าไปสนทนกับมู่หลานเฟินก็ไม่พอใจ เสิ่นเหวยอันเป็นใครกัน เขาคือหนึ่งในบุรุษเทพรูปงามของแคว้นต้าหลางเชียวนะ

แคว้นต้าหลางมีบุรุษที่รูปงามและโดนเด่นจนเป็นที่เลื่องลืออยู่สามคน คนแรกคือ เซวียนซานหลาง ซื่อจื่อจวนชินอ๋อง คนที่สองคือเสิ่นเหวยอัน หัวหน้าศาลต้าหลี่ที่แสนเจ้าสำราญ คนที่สามคือ ซูอวี้เฉิง หัวหน้าองค์รักษ์เสื้อแพร ได้ยินว่าเขาไปจัดการงานราชการที่นอกเมือง ครั้งนี้จึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยง เพียงส่งคนนำของขวัญมามอบให้เท่านั้น

แต่ยามนี้เสิ่นเหวยอันกลับไปสนทนาอยู่กับมู่หลานเฟินอย่างสนิทสนม นางจิ้งจอกนั่นจะเกินไปหน่อยแล้ว นี่คิดจะทำยั่วยวนให้บุรุษหลงใหลทุกคนเลยอย่างนั้นหรือ

เสิ่นเหวยอันมีหรือจะไม่รับรู้ถึงสายตาริษยาที่สตรีเหล่านั้นมองมา แต่เขาไม่สนใจ ชายหนุ่มมองมู่หลานเฟินที่ตอนนี้กำลังอุ้มไหสุราอย่างอารมณ์ดี ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

น่ารักน่าชังจริงๆ

เซวียนซานหลางที่เห็นอย่างนั้นก็เดินเข้ามาหาเสิ่นเหวยอัน

"ใต้เท้าเสิ่น เชิญท่านมานั่งตรงนี้เถอะ อาหารเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว สุราชั้นดีก็มีไม่น้อย ขอบคุณที่มาร่วมงานวันเกิดของท่านพ่อข้า"

เสิ่นเหวยอันหันมามองเซวียนซานหลาง ก่อนจะเอ่ย 

"ขอบคุณซื่อจื่อที่ให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ข้าเพียงเอาสุราดอกท้อมามอบให้้น้องหรานหร่านเท่านั้น อีกเดี๋ยวจะไปร่วมดื่มสุรากับท่านสักจอก"

น้องหรานหร่านหรือ?

เซวียนซานหลงหันมามองมู่หลานเฟินที่ในมืออุ้มไหสุรา ปากก็พูดคุยกับเซวียนเจ๋อไม่หยุดปาก เขาส่งเสียงเหอะออกมา ดีนักนี่ ถึงขนาดทำให้เสิ่นเหวยอันยอมพูดคุยด้วย นางมีความสามารถไม่น้อยเลย

มู่หลานเฟินที่เห็นว่าเซวียนซานหลางมองมาก็ลอบกลอกตาไปมาคราหนึ่ง เขาและนางอยู่ร่วมบ้านกันแน่นอนว่าย่อมหลีกเลี่ยงการไม่พบเจอคงไม่ได้ หญิงสาวคร้านจะสนใจเขา จึงเดินอุ้มไหสุราเอากลับไปเก็บที่เรือนด้วยตนเอง ลั่วเหมยจะเอาไปเก็บให้นางก็ไม่ยอมเพราะเกรงว่าลั่วเหมยจะทำไหสุราของนางแตก

 หลังจากจัดการเก็บไหสุราเรียบร้อยแล้ว นางก็เดินออกมาจากห้อง แต่กลับพบว่าตอนนี้เซวียนซานหลางกำลังยืนรอนางอยู่ที่หน้าลานเรือน มู่หลานเฟินสะดุ้งโหยง นางมองเขาราวกับเห็นผี หญิงสาวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขา

"ซื่อจื่อ ท่านมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าหรือไม่"

เซวียนซานหลางย่นหัวคิ้ว ทุกครายามที่พบเจอกันนางมักจะเรียกชื่อเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน แต่วันนี้กลับต่างออกไป

“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ"

"ซื่อจื่อ ต่อไปข้าจะเรียกท่านว่าซื่อจื่อ จะไม่ทำตัวสนิทสนมกับท่านแล้ว บอกตามตรง ข้าไม่อยากอายุสั้น ท่านมีสิ่งใดอยากพูดกับข้าหรือไม่ หากไม่มีเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน"

"ช้าก่อน"

"มีอันใดอีก"

"เจ้าไปฝึกฝนวรยุทธ์มาจากที่ใด"

มู่หลานเฟินชะงักไปเล็กน้อย นางเองรู้อยู่แก่ใจดีว่าเขาย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดายแน่นอน

"ตอนที่อยู่บ้านเดิมที่นอกเมืองหลวง ข้าได้ช่วยอาจารย์คนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บจากโจรป่าเอาไว้ คราแรกข้าไม่รู้หรอกว่าเขาคือใคร แต่พออาการเขาหายดีเขาก็ตอบแทนข้าด้วยการสอนวรยุทธ์อันน้อยนิดให้ แต่ข้าก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมาก ซื่อจื่อท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก เทียบกันแล้ว วรยุทธ์อ่อนหัดอย่างข้าหรือจะสู้เทพสงครามเช่นท่านได้"

เซวียนซานหลางจ้องมู่หลานเฟินอย่างไม่ละสายตา เขาต้องการมองหาพิรุธในสายตาของนางแต่กลับไม่พบอะไรเลยสักอย่าง มู่หลานเฟินในตอนนี้ทำให้เขาคาดเดาสิ่งใดจากนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ด้านมู่หลานเฟินที่โกหกตาใสก็ลอบยิ้มอ่อนในใจ

"ไม่มีสิ่งใดแล้วใช่หรือไม่ ข้าไปล่ะ"

"ข้าให้เจ้าไปได้แล้วหรือ"

มู่หลานเฟินเริ่มหมดความอดทนแล้ว นางหันมามองเขาด้วยสายตาที่เอือมระอาเต็มทน

"มีอะไรอีกเล่า รีบพูดมา"

"เสิ่นเหวยอันไม่ใช่คนที่เจ้าจะหว่านเสน่ห์ใส่ได้ นิสัยเขาไม่ได้ต่างไปจากข้า หากไม่อยากอายุสั้น ก็หัดทำตัวให้มันเงียบๆบ้าง"

มู่หลานเฟินเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็ส่งเสียงเหอะออกมา

"ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไร้หัวจิตหัวใจเช่นท่านหรอกนะ ข้ามองออกว่าเขาก็เป็นคนดี อ้อ ดีกว่าท่านเสียอีก แล้วที่สำคัญข้าก็ไม่ได้หว่านเสน่ห์ใส่เขา ตาท่านคงมีปัญหาแล้วกระมัง"

"มู่หลานเฟิน!"

"โอะ สวีเมิ่งเหยาว่าที่ภรรยาท่านเดินมาโน่นแล้ว!"

เซวียนซานหลางหันไปมองก่อนจะพบเพียงความว่างเปล่า เมื่อหันกลับมาก็พบว่ามู่หลานเฟินสตรีเจ้าเล่ห์ได้วิ่งหนีเขาไปไกลเสียแล้ว ที่สำคัญก่อนไปนางยังลอบยกข้อศอกกระแทกแผ่นหลังของเขาอย่างแรงอีกด้วย 

มันน่านัก!

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   ตอนจบ

    แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 46 สงคราม

    เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 45 จับคนร้าย

    วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 44 น้องสาวบุญธรรม

    เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 43 ยาพิษ

    เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที

  • เมื่อข้าทะลุมิติมาเป็นนางร้ายผู้ประสบภัย   บทที่ 42 ความจริง

    ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status