กลางดึกคืนนั้นจวนชินอ๋องค่อนข้างวุ่นวายเป็นอย่างมาก เพราะมู่หลานเฟินได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ท่านหมอที่ทำการรักษาได้ฝังเข็มและตรวจอาการของนางอย่างละเอียด อีกทั้งยังบอกอีกว่าเพราะร่างกายของนางบอบบาง แต่กลับฝืนใช้วรยุทธ์ทั้งที่ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ทำให้ได้รับผลกระทบลมปราณภายในแปรปรวน จึงกระอักโลหิตออกมา นับว่าโชคดีที่เป็นเช่นนี้ หากมู่หลานเฟินไม่กระอักโลหิตออกมา อาจจะทำให้ภายในเสียหาย และอาจล้มป่วยจนถึงแก่ชีวิตได้
หลังจากจัดเทียบยาเรียบร้อย ท่านหมอก็จากไป อวี้หลิงที่ได้ทราบเรื่องจากปากของเซวียนเจ๋อก็ถึงกับร้อนใจ มู่หลานเฟินหลานสาวตัวดีของนางไม่เห็นเคยบอกนางเลยว่ามีวรยุทธ์ หากรู้แต่แรกนางจะได้ไม่ต้องเสียเวลาให้มู่หลานเฟินยั่วยวนเซวียนซานหลาง แต่ให้ลงมือฆ่าเขาเสียเลย!
ด้านเซวียนซานหลางนั้น ตอนที่เห็นว่ามู่หลานเฟินจัดการนักฆ่า เขาก็มีความสงสัยอยู่ภายในใจเต็มไปหมด แม้จะรู้จักนางได้ไม่นาน แต่ภูมิหลังและความเป็นไปของนางเขาล้วนสืบมาอย่างละเอียด นางเป็นเพียงบุตรสาวของตระกูลคหบดี วันๆเอาแต่แต่งหน้าทาปากยั่วยวนบุรุษ แต่งตัวงดงามเดินเตร็ดเตร่เพียงเท่านั้น
แต่ที่เขาเห็นนั้นฝีมือของนางไม่ธรรมดาเลย คล้ายกับฝึกฝนมาตั้งแต่วัยเยาว์จนชำนาญ แต่ที่หมอหลวงบอก กลับขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง ร่างกายของมู่หลานเฟินบอบบาง แต่ยามที่นางเคลื่อนไหวกลับรวดเร็วยิ่งนัก ใบหน้าสวยหวานกลับนิ่งสงบไม่หวั่นเกรงยามประมือกับคนร้าย ราวกับการฆ่าคนนั้นนางทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หรือว่าตระกูลอวี้จะหาอาจารย์มาสอนวรยุทธ์นาง เรื่องนี้คงต้องสืบให้ละเอียดถี่ถ้วน
แต่สิ่งที่เขาต้องครุ่นคิดมากกว่าเดิมก็คือ ในเมื่อนางมีวรยุทธ์เช่นนั้นก็จะประมาทไม่ได้อีก
เซวียนซานหลางปรายตามองมู่หลานเฟินที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของนางซีดขาว นางไม่ใช่สตรีที่งดงามล่มเมือง กิริยาท่าทางก็ไม่ได้อ่อนช้อยงดงามเฉกเช่นคุณหนูในเมืองหลวง นิสัยรึก็ป่าเถื่อน สตรีเช่นนี้เขาไม่มีทางแต่งเป็นภรรยาเด็ดขาด
เรื่องราวก็ผ่านไปเช่นนี้ หลายวันต่อมาหลังจากที่ได้กินยาและนอนพักอย่างเพียงพอแล้ว มู่หลานเฟินก็ได้สติกลับคืนมา เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบกับอวี้หลิงป้ามหาภัยและเซวียนเจ๋อญาติผู้พี่ที่กำลังนั่งรอให้นางฟื้นอยู่ในห้อง เซวียนเจ๋อเมื่อเห็นว่าน้องสาวฟื้นแล้วก็รีบเข้ามาประคองและช่วยหาน้ำให้ดื่ม ส่วนอวี้หลิงกลับเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น
"หลานสาวตัวดี เจ้าไม่เห็นเคยบอกป้าอย่างข้าเลยว่าเจ้ามีวรยุทธ์ ให้ข้าส่งเจ้าไปยั่วยวนซานหลางอยู่ตั้งนานสองนาน หรานหร่านหลานรัก เจ้าหายดีแล้ว ไม่สู้ไปจัดการฆ่าเซวียนซานหลางเสีย แล้วจัดฉากว่าเขาป่วยตายหรือถูกศัตรูสังหารดีหรือไม่ ตำแหน่งซื่อจื่อจะได้ตกเป็นของเซวียนเจ๋อพี่ชายของเจ้า"
มู่หลานเฟินส่งเสียงไอคอกแค่ก นางรู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายดีขึ้นมากแต่ยังอ่อนเพลียอยู่ หญิงสาวไม่ได้เอ่ยอะไรเพียงส่ายหน้าไปมาให้กับความโลภมากของอวี้หลิง ส่วนเซวียนเจ๋อเมื่อได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองมารดาตนทันที
"ท่านแม่ ในหัวของท่านคิดเป็นแต่เรื่องนี้หรือ พี่ใหญ่ไปทำอันใดให้ท่านกัน ท่านถึงต้องฆ่าเขา โทษที่คิดจะฆ่าเชื้อพระวงศ์หนักหนานัก หากเสด็จลุงทรงทราบ ท่านคิดว่าตนเองจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้หรือ"
"เจ้า!"
อวี้หลิงที่ถูกเซวียนเจ๋อต่อว่าก็โมโหจนขาดสติ นางคว้าไม้มาตีที่กลางหลังของเซียวเจ๋ออย่างไม่พอใจ เซวียนเจ๋อไม่หลบซ้ำยังไม่ส่งเสียงร้อง ตั้งแต่เล็กจนโตจวบจนกระทั่งจำความได้ เขาจำได้ว่าท่านแม่แทบไม่เคยจะเลี้ยงดูเขา ทิ้งเขาเอาไว้กับแม่นม ส่วนตนเองกลับเอาแต่สู้รบปรบมือกับเหล่าอนุของท่านพ่อ คอยวางยาให้พวกนางแท้งบุตร ทำร้ายพวกนางถึงตาย แต่กลับไม่เคยสนใจเขา แทบจะนับครั้งได้ที่ท่านแม่กล่อมเขาเข้านอน
คนที่เขาอยู่ด้วยมากที่สุดคือแม่นมและพี่ใหญ่ เขาและพี่ใหญ่อายุห่างกันห้าปี ตอนนั้นเขาห้าขวบพี่ใหญ่สิบขวบ แต่กลับดูแลเขา หาข้าวให้เขากิน พาเขาไปเล่นสนุก สอนให้เขาอ่านหนังสือ พี่ใหญ่ดีกับเขามาก ห่วงใยเขายิ่งกว่ามารดาแท้ๆเสียอีก เขาไม่ได้อยากอกตัญญูแต่เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองผูกพันธ์กับท่านแม่แลยแม้แต่น้อย
ยิ่งได้รู้ว่าท่านแม่มีแผนการอะไรเขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจต่อพี่ใหญ่
"ท่านหยุดตีเขาเสียที เหตุใดต้องลงไม้ลงมือด้วย ท่านโทษแต่คนอื่น ท่านเคยมองดูตนเองบ้างหรือไม่!"
มู่หลานเฟินที่มองดูเหตุการณ์อยู่นานก็ทนไม่ไหว นางลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะยื่นมือไปแย่งไม้มาจากมือของอวี้หลิงและโยนมันทิ้งลงไปที่พื้น อวี้หลิงโมโหหนักชี้หน้าด่าเด็กทั้งสองอย่างไม่ไว้หน้า
"ดีนัก พวกเจ้าช่างดียิ่งนัก ที่ข้าทำทุกอย่างก็เพื่อพวกเจ้าสองคนทั้งนั้น!"
มู่หลานเฟินที่ได้ฟังก็ส่งเสียงเหอะออกมา
"พูดซะน่าฟัง ความจริงแล้วท่านกำลังทำเพื่อตัวท่านเองต่างหาก ท่านเคยถามเซวียนเจ๋อสักคำหรือไม่ว่าเขาต้องการสิ่งใด ไม่เคยเลย! ท่านเอาแต่ยัดเยียดในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ส่วนข้า ท่านก็ทวงบุญคุณไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก่อนเพราะข้าโลภมากจึงยอมทำตามที่ท่านสั่ง แต่ตอนนี้ข้าไม่ทำแล้ว ท่านป้า ข้าขอเตือนท่าน เซวียนซานหลางไม่ใช่คนที่ท่านคิดจะล่วงเกินได้ง่ายๆ เป็นศัตรูกับเขาก็เท่ากับเอาขาข้างหนึ่งเยียบลงไปในปรโลกแล้ว!"
"หุบปาก! วันนี้พวกเจ้าสองคนไม่ต้องกินข้าวเย็น!"
"ไม่กินก็ไม่กินสิ!"
อวี้หลิงโมโหมาก นางเดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่ออยู่ในห้องเพียงลำพังแล้ว นางก็มองมือสองข้างของตนเองที่ทุบตีเซวียนเจ๋อลงไป
เดิมทีนางแทบไม่เคยตีบุตรชายเลย นางทำเพื่อเขาทุกอย่าง แต่ครั้งนี้เซวียนเจ๋อยั่วโมโหนางจนนางเผลอลงไม้ลงมือกับเขา อวี้หลิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตน รู้สึกอับจนหนทางยิ่งนัก ความรู้สึกตอนนี้ทั้งโมโหทั้งเสียใจปะปนกันจนนางแยกไม่ออก
มู่หลานเฟินส่งเสียงไอออกมาเล็กน้อย คนป่วยแทบตายแทนที่จะถามไถ่ห่วงใยกัน กลับเอาแต่พร่ำเพ้อวางแผนว่าจะฆ่าเซวียนซานหลางไม่หยุดไม่พัก!
มู่หลานเฟินหันไปมองเซวียนเจ๋อที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาด้วยความสงสาร ถึงนางจะเพิ่งรู้จักเขาได้ไม่นาน แต่นางมองออกว่าเซวียนเจ๋อเป็นคนจิตใจดี ต่างจากมารดาของเขา อีกทั้งยังเป็นเพื่อนเล่นกับนางได้ แม้จะอายุห่างกันปีเดียวแต่กลับเข้ากันได้ดี เป็นญาติเพียงคนเดียวที่นับว่าดีกับนางไม่น้อย
"เซวียนเจ๋อ ท่านไม่ต้องไปสนใจนาง ตราบใดที่พวกเราไม่เข้าร่วมด้วยนางก็ทำอะไรไม่ได้หรอก"
"ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ถลำลึกไปมากกว่านี้ ที่สำคัญ ข้าไม่อยากเป็นซื่อจื่ออะไรนั่น ตำแหน่งชินอ๋องข้าก็ไม่ต้องการ"
"อืม ไม่เป็นไรนะ ท่านเจ็บหรือไม่"
"ไม่เจ็บหรอก ข้าหนังหนา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านแม่ดุด่าข้า"
"เหลวไหลสิ้นดี!"
มู่หลานเฟินหมดคำจะกล่าว นางสั่งให้ลั่วเหมยหายามาทาหลังให้เซวียนเจ๋อ สองพี่น้องอยู่สนทนากันอีกครู่หนึ่งก่อนที่เซวียนเจ๋อจะเดินกลับเรือนของตนไป
ที่เรือนของเซวียนซานหลางตอนนี้ชายหนุ่มกำลังมองดอกโบตั๋นที่ออกดอกผลิบานอยู่ด้านหลังเรือนด้วยแววตาที่เรียบเฉยพลางฟังเรื่องที่องค์รักษ์ลับนำกลับมารายงานอย่างเงียบๆ
เขาจำได้ดีว่าตอนท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่นางชื่นชอบดอกโบตั๋นเป็นอย่างมาก จวนชินอ๋องแทบจะรายล้อมไปด้วยดอกโบตั๋น แต่หลังจากที่อวี้หลิงแต่งเข้ามาดอกโบตั๋นที่ท่านแม่ของเขาปลูกเอาไว้ก็เริ่มตายไปทีละต้นเพราะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี หลังจากเขาเติบโตขึ้นจึงเริ่มหาดอกโบตั๋นที่แสนงดงามมาปลูกอีกครั้ง และยังทุ่มเทแรงกายแรงใจดูแลจนมันออกดอกงดงาม
ดอกโบตั๋นเหล่านี้เปรียบเสมือนตัวแทนของท่านแม่ ยามที่เขามองดอกโบตั๋นเหล่านี้ ก็เหมือนได้มองเห็นท่านแม่อีกครั้ง
"ซื่อจื่อ เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ขอรับ"
"อืม ออกไปเถอะ จับตาดูพวกเขาต่อไป"
"ขอรับ"
ชายหนุ่มละสายตาจากดอกโบตั๋นแสนงามตรงหน้า ก่อนจะครุ่นคิดในใจ
เขาส่งคนเข้าไปแฝงตัวดูความเป็นไปในเรือนของอวี้หลิงมาหลายปีแล้ว ย่อมรู้ทุกการกระทำและทุกสิ่งที่สตรีนางนั้นคิดจะทำทุกอย่าง เดิมทีเขาเห็นแก่เซวียนเจ๋อจึงไม่อยากจะถือสานาง เทียบกันแล้วตอนนี้นางไม่มีทางจะทำร้ายเขาได้ แต่วันนี้นางกลับคิดจะให้มู่หลานเฟินที่มีวรยุทธ์มาลอบสังหารเขา
หลายสิบปีมานี้อวี้หลิงไม่เคยละความพยายามในการทำให้เขาหายไปจากโลกใบนี้เลยสักวัน
แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั่นก็คือมู่หลานเฟิน ตั้งแต่นางตกน้ำก็ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางไม่เห็นด้วยกับความชั่วที่อวี้หลิงคิดจะทำ อีกทั้งยังไม่ให้ความร่วมมือ
กับเซวียนเจ๋อนั้นเขารู้นานแล้วว่าน้องชายไม่เคยมีใจคิดเป็นศัตรู แต่กลับมู่หลานเฟินเขากลับไม่อาจวางใจในตัวนางได้
จะโทษใครได้ เพราะพบเจอแต่คนชั่วคิดทำร้ายจึงทำให้เขากลายเป็นคนระแวดระวังและไม่ไว้ใจผู้ใดง่ายๆเช่นนี้
"อาต่งออกมา"
"มาแล้วขอรับซื่อจื่อ"
ไม่นานนักก็มีบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น เซวียนซานหลางหันไปมองอาต่ง องค์รักษ์ของตน ก่อนจะเอ่ย
"ไปบอกห้องครัวให้ทำอาหารสักสองสามอย่างส่งไปให้เซวียนเจ๋อ บอกว่าข้าเป็นคนส่งมาให้ บ่าวไพร่คนใดไม่ยอมทำตามคำสั่งให้โบยได้ทันที"
"ขอรับ"
"ช้าก่อน"
"มีอะไรอีกหรือขอรับ"
"เอาข้าวไปเพิ่มหน่อย เผื่อว่าจะมีคนร่วมโต๊ะกับเขา"
อาต่งพยักหน้ารับก่อนจะรีบไปจัดการตามที่เจ้านายสั่ง
เย็นวันนั้น มู่หลานเฟินและเซวียนเจ๋อไม่ได้มาร่วมมื้อเย็น เมื่อเซวียนซานอ๋องเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามอวี้หลิง นางจึงบอกว่าเด็กๆไม่ค่อยสบายและไม่อยากอาหารจึงพากันงดมื้อเย็น เซวียนชินอ๋องเมื่อได้ฟังก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก แต่เซวียนซานหลางกลับส่งเสียงหัวเราะในลำคอ จนเซวียนชินอ๋องต้องหันมาเอ่ยถามบุตรชาย
"เจ้าขบขันอันใดกัน คนป่วยไม่อยากอาหารเป็นเรื่องน่าขันนักหรือ"
เซวียนซานหลางเงยหน้ามาสบตาบิดาของตน ก่อนจะเอ่ยวาจากำกวม
"เด็กสองคนนั้นป่วยไม่อยากอาหารหรือว่าถูกบังคับให้งดอาหารกันแน่ แต่ไหนแต่ไรอาเจ๋อกินจุอย่างกับอะไรดี ท่านแม่ หรือว่าพวกเขาทำอันใดผิดท่านจึงสั่งงดมื้อเย็นพวกเขา"
อวี้หลิงเมื่อได้ยินก็หันมามองเซวียนซานหลาง ก่อนจะยิ้มให้เขา แต่ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไม่จริงใจเลยแม้แต่น้อย
"พวกเขาไม่หิวน่ะ ซานหลาง เจ้าสงสัยอันใดกัน มีแม่ที่ใดบ้างจะสั่งงดอาหารเย็นลูกหลานตนเอง"
"ไม่มีอันใด ลูกเพียงเอ่ยวาจาไปเรื่อยเปื่อย ท่านแม่จิตใจดีงาม สะอาดบริสุทธิ์ จะทำเรื่องเลวทรามเช่นการสั่งงดอาหารเย็นบุตรชายตนได้เช่นไรกัน"
อวี้หลิงพยักหน้าและยิ้มอย่างอ่อนโยนทั้งที่ในใจอยากจะลุกขึ้นอาละวาดเต็มทน เซวียนซานหลางหลอกด่านางชัดๆ!
ด้านเซวียนเจ๋อเมื่อเห็นว่าอาต่งเอาอาหารมาให้และยังบอกอีกว่าเซวียนซานหลางเป็นคนส่งมาให้ เขาก็ดีใจมาก เพราะตอนนี้รู้สึกหิวแทบตายแล้ว
ชายหนุ่มพลันคิดถึงญาติผู้น้องขึ้นมาได้ จึงรีบนำกล่องอาหารไปที่เรือนของมู่หลานเฟิน คนทั้งสองกินอาหารร่วมกันอย่างรีบร้อน เพราะเกรงว่าอวี้หลิงจะกลับมาเห็น
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เข้าห่ำหั่นกับศัตรูเพื่อปิดจบสงครามฉากนี้นี้ ก็ได้ยินเสียงเกือกเท้าม้าดังกึกก้อง คนทั้งสามหันมาสบตากันอีกครั้ง ในดวงตาฉายแววเคร่งเครียดหรือนี่จะเป็นกำลังเสริมของชนเผ่าทุ่งหญ้า?ยังไม่ทันได้คิดสิ่งใดให้มากความเซวียนซานหลางก็เห็นว่ากองทหารของแคว้นทุ่งหญ้าที่ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าแตกแถวออกเป็นวงกว้าง ศีรษะของแม่ทัพเผาทุ่งหญ้าร่วงกระเด็นตกลงบนพื้นดวงตาเบิกโพลงเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าตนจะถูกสังหาร"ฆ่าทิ้งให้หมด!"เซวียนซานหลางมองไปเบื้องหน้า ก่อนที่ดวงตาของเขาจะแดงก่ำตอนนี้มู่หลานเฟิรกำลังควบอยู่บนหลังม้าด้วยท่วงท่าองอาจ มือหนึ่งจับบังเหียน มือหนึ่งถือหอกเอาไว้ในมือ ปลายด้ามหอกอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงสด นางสวมชุดเกราะรวบผมขึ้นสูง ดวงตามั่นคงหนักแน่นไม่หวาดหวั่น ทุกทีที่นางควบม้าพาดผ่าน ล้วนมีทหารของชนเผ่าทุ่งหญ้าล้มตายราวกับใบไม้ร่วงเสิ่นเหวยอันและซูอวี้เฉิงเมื่อได้เห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกไม่น้อย เดิมทีพวกเขารู้ว่านางมีความสามารถ แต่ไม่คิดว่าจะองอาจเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ผู้เจนจัดสงครามในสนามรบเช่นนี้มู่หลานเฟินหันมามองบุรุษทั้งสามคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่องอาจ
เมื่อเรื่องราวคลี่คลายแล้ว ทุกคนจึงเกินทางกลับมาที่เมืองหลวง เมื่อกลับมาถึงก็ได้ทราบข่าวร้ายก่อนหน้านี้เซวียนชินอ๋องติดสุราจนเมามาย ทำให้สุขภาพไม่สู้ดีจนถึงขึ้นล้มป่วยลง อีกทั้งยังได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจเนื่องจากรู้ข่าวว่าอวี้หลิงปลิดชีพตนเองตายจากไป แม้ปากจะบอกว่าเกลียดชังนางย่ แต่เมื่อนางตายจากไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ สุดท้ายจึงดื่มเหล้าหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุขภาพทรุดหนักลงเรื่อยๆ จวบจนทนไม่ไหวและตรอมใจตายตามอวี้หลิงไปก่อนจากเขาไม่ได้สั่งเสียสิ่งใดกับบุตรชายทั้งสองคน เอาแต่เหม่อลอยเรียกหาอวี้หลิงและอดีตพระชายาซึ่งก็คือมารดาของเซวียนซานหลาง จวบจนวาระสุดท้ายท่านพ่อของพวกเขาสองคนก็คิดถึงแต่ตนเอง ไม่เคยคิดถึงบุตรชายเลยแม้แต่น้อยงานศพของเซวียนชินอ๋องถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเมื่อบิดาตายจากไป ตำแหน่งชินอ๋องย่อมตกเป็นของเซวียนซานหลางโดยชอบธรรม ส่วนเซวียนเจ๋อนั้นเขาไม่อยากจะรับตำแหน่งใดทั้งสิ้น เขาอยากเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่ได้ใช้ชีวิตตามใจของตนด้านวังหลวงเองก็ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ฮ่องเต้เซวียนจงอาการไม่สู้ดีขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังไม่ม่ีทายาทสืบทอด เหล่าขุนนางต่างหวาดหวั่นใจยิ่งน
วันคืนก็ผ่านไปเช่นนี้ จนกระทั่งสุขภาพของมู่หลานเฟินดีขึ้นมาก และเซวียนซานหลางก็สะสางธุระแล้วเสร็จและกลับมาเมืองหลวงพอดี นางจึงบอกเรื่องนี้กับเขาและตัดสินใจกลับบ้านเดิมสักครั้งจวนตระกูลอวี้เป็นตระกูลคหบดี พวกเขาเป็นคนเมืองจินหลิงซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกลเท่าใดนัก นับว่าเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจินหลิงแล้ว พวกเขาทำการค้าหลายอย่าง หลายปีมานี้กิจการก้าวหน้า เพราะมีน้าสาวและสามีของนางคอยดูแลวันแรกที่มู่หลานเฟินกลับไปถึง ก็พบว่าพวกเขามีท่าทีแปลกประหลาดจริงๆ เหมือนไม่อยากต้อนรับ ราวกับมีบางอย่างปิดบังนางอย่างไรอย่างนั้น แต่่เพราะมู่หลานเฟินต้องการสืบความจริง นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทีนั้นของพวกเขาและยังบอกอีกว่าอยากจะพักอยู่ที่นี่สักระยะเพราะมีเรื่องจะมาแจ้งทุกคน นางเดินทางมาครั้งนี้นำสมบัติมาด้วยหลายหีบบอกว่าเป็นของที่นางเก็บสะสมเอาไว้ แต่ตอนนี้ถูกไล่ออกจากจวนอ๋องแล้วไร้หนทางไปจึงต้องกลับมาบ้านเดิม อวี้หลันมองหลานสาวตนเองด้วยแววตาที่่อ่อนโย แต่ภายในใจกลับเย้ยหยัน ตอนนี้อวี้หลิงถูกขับออกจากจวนอ๋องไปอยู่ที่วัด นางเองไม่ได้สนใจพี่สาวเท่ามดนักเดิมทีพวกนางก็เป็นพี่น้อง
เรื่องราวสะเทือนขวัญทั้งหมดที่เกิดขึ้น สร้างคลื่นลมใหญ่หลวงให้กับราชสำนักเป็นอย่างมาก เหล่าราษฎรต่างหวาดหวั่น ต้องใช้เวลาร่วมหลายเดือนกว่าที่คราวจะเงียบหายไปหลังจากเกิดเรื่อง เซวียนชินอ๋องก็กลายเป็นคนเมามาย และวาดใส่คนอื่นไปทั่วทั้งจวน โดยเฉพาะกับมู่หลานเฟิน เขาเอาโทสะทั้งหมดไปลงที่นาง บอกว่านาและป้าของนางคือตัวซวย อีกทั้งยับขับไล่นางออกจากจวนอ๋อง เซวียนซานหลางและเซวียนเจ๋อเองก็ปวดหัวไม่น้อยแต่มู่หลานเฟินกลับไม่ได้โกธร นางเข้าใจเรื่องราวได้อย่างกระจ่างแจ้ง เมื่ออวี้หลิงสิ้นอำนาจแล้ว นางย่อมไม่อาจอยู่ที่จวนอ๋องได้อีก และนางเองก็ไม่อยากจะสร้างปัญหาให้เขาเพิ่ม จึงปรึกษากับเขาว่าจะไปหาซื้อบ้านใหม่อยู่ เปิดร้านขายอาหาร เพราะของมีค่าที่ได้รับพระราชทานมาก่อนหน้านี้ก็ยังมีเหลืออยู่ไม่น้อย แรกเริ่มเซวียนซานหลางไม่เห็นด้วย แต่ม่หลานเฟินกลับเอ่ยโน้มน้าวเขาอย่างใจเย็น เขาจึงยอมตามใจนางเซวียนซานหลางหาบ้านหลังหนึ่งได้ มันตั้งอยู่ในตลาดสามารถทำมาค้าขายได้ เซวียนเจ๋อเป็นห่วงน้องสาวอยากตามมาอยู่ด้วย แต่มู่หลานเฟินบอกว่านางอยู่ได้ชีวิตที่ยากกำบากไม่ใช่ว่านางไม่เคยพานพบ ใช้ชีวิตมาหลายชาติพบเจอความทุ
เซวียนซานหลางและมู่หลานเฟินรีบวิ่งมาที่เรือนของอวี้หลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงภาพตรงหน้าก็ทำให้พวกเขาถึงกับหน้าซีดเผือดตอนนี้เซวียนเจ๋อกำลังนอนอยู่บนเตียงเขากระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดจนน่าหวาดหวั่น ลมหายใจก็รวยรินราวกับจะขาดเสียให้ได้ เซวียนซานหลางที่เห็นสภาพน้องชายตนที่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็ตื่นตระหนกรีบสั่งให้คนไปตามหมอหลวงมาอย่างเร่งด่วน มู่หลานเฟินเข้าไปประคองญาติผู้พี่ของตนเอง ดวงตาของนางแดงกล่ำ ก่อนจะเอ่ย"เซวียนเจ๋อ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ท่านดื่มยาพิษเข้าไปได้อย่างไรกัน"เซวียนเจ๋อเงยหน้ามามองมู่หลานเฟินอย่างอ่อนแรง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบอันใด เพียงมองไปที่มารดาของตนด้วยแววตาที่เย็นชาห่างเหินก่อนหน้านี้ท่านแม่ดูผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง นางดูเหมือนครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เขาจึงจับตาดูนางและพบว่านางกำลังวางแผนจะสังหารพี่ใหญ่ของเขาอีกครั้งเซวียนเจ๋อรู้สึกผิดหวังในตัวมารดาเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าท่านแม่จะสามารถปล่อยวางความโลภในใจได้แล้ว แต่มันกลับไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ยังคงมีจิตใจริษยามักใหญ่ใฝ่สูงท่านแม่คิดอาศัยช่วงชุลมุนวางยาพิษพี่ใหญ่ เขาที
ด้านมู่หลานเฟินตอนนี้ก็ถูกโซ่ตรวนพันธนาการมือเท้าเอาไว้ นางได้กลิ่นสมุนไพรเข้มข้นสายหนึ่งที่ฉุนจนแทบแสบจมูก มันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้กลิ่นจากศพในรูปปั้นเทพธิดา อีกทั้งบนโต๊ะยังมียันต์หลายแผ่นวางเอาไว้"สวีเจี๋ย เราต้องรีบทำพิธีแล้ว ไม่อย่างนั้นจะเลยฤกษ์ยามดี หลังจากนางตายก็เอาร่างนางหล่อเป็นรูปปั้นของเทพธิดา มอบนางเป็นเครื่องบูชายัญให้เทพปีศาจ เอาล่ะ ข้าจะเร่งขอพร ท่านก็รีบสังหารนาง จากนั้นก็ผ่าท้องนางและเอายันต์ขอพรยัดใส่เข้าไปพร้อมสมุนไพร""ได้เลย"ราชครูสวีรับคำ ด้านเฉินฮองเฮาก็นั่งลงเบื้องหน้าแท่นบูชาที่ตั้งอยู่ในห้องลับ ก่อนจะเอ่ยขอพรอย่างตั้งใจ"ท่านเทพปีศาจ ข้าได้นำเทพธิดามาสังเวยให้ท่านแล้ว หวังว่าท่านจะพอใจ เมื่อท่านพอใจแล้วก็ได้โปรดอำนวยอวยพระให้เซวียนจิ้น บุตรชายของข้าแข็งแรงโดยเร็ว ให้เขาได้ครองราชย์ยอย่างราบรื่น ไร้กังวลด้วยเถิด"มู่หลานเฟินมองภาพเบื้องหน้าด้วยแววตาที่วูบไหว นางพอจะเข้าใจเรื่องราวได้แล้วราชครูสวีและเฉินฮองเฮาดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน หรือว่าองค์ชายน้อยผู้นั้นจะ...ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดสิ่งใดต่อ ก็พบกับสวีเมิ่งเหยาที่วิ่งเข้ามา ราชครูสวีและเ