LOGINเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าในที่สุดนางก็มาอาศัยอยู่ในตัวเมืองได้หนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว ร้านค้าของนางแรกเริ่มขายเพียงสุราและอาหารเท่านั้น ส่วนกระเบื้องเคลือบเหล่านี้นางยังคงเก็บสะสมเอาไว้บนชั้นวางเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าเท่านั้นยังไม่ได้เปิดขายจริงจังเสียที
เพราะงานในร้านที่มากมายจนในแต่ละวันแทบไม่มีเวลาพักทำเอานางลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท ปานรูปหัวใจในที่ลับของเหวินเซียวเย่!
กลางดึกคืนนั้นไป๋ฉางอวี้ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงตะกุกตะกักด้านล่างของร้านค้าแต่เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนกลับพบเพียงความว่างเปล่า
“ท่านพี่หายไปไหนนะ”
ไป๋ฉางอวี้ที่คิดว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่อาจเป็นเสียงของผู้เป็นสามีนางจึงลุกจากเตียงนอน แต่ทันใดนั้นอาการวิงเวียนหน้ามืดก็ตีตื้นขึ้นมารู้สึกได้ว่าห้องของนางหมุนได้อาการหน้ามืดเช่นนี้ไม่ใช่ว่านางจะเป็นบ่อยๆ หรือเพราะนางทำงานหนักเกินไปงั้นหรือ
ไป๋ฉางอวี้เลิกคิดฟุ้งซ่านก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากห้องนอนแล้วลงมาที่ชั้นล่างเมื่อมาถึงก็ต้องแปลกใจที่เครื่องเคลือบที่สั่งมาก่อนหน้านี้ถูกวางตั้งเอาไว้บนโต๊ะหลายหลายชิ้นที่สำคัญลวดลายเหล่านี้ไม่ใช่นางเป็นคนวาดขึ้นมา!
“นี่มันอะไรกันเนี่ย!”
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างที่ตกหล่นลงบนพื้นที่ปูไปด้วยพื้นไม้ ได้ยินเสียงที่คุ้นหูสบถออกมาอย่างแผ่วเบา หากว่าก่อนหน้านี้นางไม่ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงของตกหล่นล่ะก็นางคงจะไม่ได้ยินและไม่ได้เห็นภาพตรงหน้านี้อย่างแน่นอน ภาพตรงหน้าที่เห็นในเวลานี้นั้นทำเอาไป๋ฉางอวี้ตกตะลึงไปไม่น้อย
บุรุษที่กำลังนั่งวาดลวดลายดอกเหวยลงบนแจกันนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เขาคือ เหวินเซียวเย่ สามีของนางนั่นเอง
มากไปกว่านั้นคือคนที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาและคอยช่วยหยิบจับเครื่องไม้เครื่องมือและเปลี่ยนน้ำพู่กันให้เขาจนเป็นเหตุให้ของเหล่านั้นตกหล่นจนทำให้นางตกใจตื่นนั่นก็คือ เหวินเซียวหยวนลูกชายตัวดีของนางนั่นเอง
“ท่านพี่!”
เสียงเรียกที่คุ้นเคยนั้นทำเอาเหวินเซียวเย่และเหวินเซียวหยวนชะงักไปก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาจ้องมองนางด้วยแววตาที่ตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย
“ทะ ท่านแม่!”
“ฉางเอ๋อ”
“พวกท่านทำอะไรกันและที่สำคัญท่านวาดลายพวกนี้ลงบนเครื่องเคลือบได้อย่างไร ตาของท่านมองไม่เห็นไม่ใช่หรือ”
“คะ คือว่า”
“แล้วเจ้าล่ะอาหยวน เห็นพ่อของเจ้าทำงานได้โดยไม่แปลกใจเช่นนี้แสดงว่ารู้มานานแล้วใช่หรือไม่ว่าเขาหายดีแล้ว”
“คือว่าท่านแม่ข้าเพียงแค่…”
“พวกเจ้าสองคนถอยออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะกล้าโกหกข้าได้อย่างไรกัน”
แม้นางจะตวาดออกไปเสียงดังลั่นแต่กลับไม่ได้พูดเพราะความโกรธเคืองนั่นเพราะว่านางยังคงงุนงงและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั่นเอง
“เอาล่ะท่านบอกข้ามาว่ามองเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ก็”
“พูดความจริงไม่เช่นนั้นข้าจะโกรธมากกว่านี้”
“ก็ตั้งแต่ตอนที่พวกนั้นมาหาเรื่องพวกเราที่หมู่บ้านเฟิ่งหวงนั่นล่ะ”
“ท่านจะบอกว่าท่านหายตาบอดตั้งแต่ตอนที่เจ้าหนี้พวกนั้นมาหาเรื่องทำลายข้าวของในบ้านเนี่ยนะ”
“ชะ ใช่แล้ว”
“ไม่ได้สิถ้ามองเห็นตั้งแต่ตอนนั้นนั่นก็แสดงว่า”
เมื่อนางคิดบางสิ่งได้ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดบังหน้าอกของตนเองทันที
“นี่ท่านกล้าหลอกลวงข้างั้นหรือ มีสิ่งใดบ้างที่ปิดบังข้าเอาไว้อีก”
“ไม่มีแล้วฉางเอ๋อข้าไม่ได้ตั้งใจก็เพียงนึกว่าเจ้าจะรังเกียจและอยากที่จะไปใช้ชีวิตของเจ้าใหม่ ไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาดูแลข้าและลูกชายของเราอีกครั้ง”
นางตบหน้าผากของตนเองไปหนึ่งที
‘เหตุใดไม่เคยสังเกตอาการของเขาก่อนหน้านี้เลยนะ ทั้งท่าทีที่จ้องมองคุณชายเว่ยตาเขม็งทั้งๆ ที่ตาบอดแต่รู้ได้อย่างไรว่าเขายืนอยู่ตรงไหน ข้ามันโง่เง่าเสียจริง’
“แล้วเจ้าล่ะอาหยวนรู้ว่าท่านพ่อของเจ้าหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ก็ตั้งแต่คืนที่ย้ายมาในเมืองนี่ล่ะขอรับ”
“ฮ่าๆๆ เป็นข้าที่โง่เง่าไม่สังเกตสิ่งใดจริงๆ เลยสินะ”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจหลอกเจ้า”
“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจหลอกท่านแม่เช่นกันนะขอรับ”
ไป๋ฉางอวี้ที่อยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออกอยากจะร้องไห้ให้กับความอับอาบที่เคยเปลือยกายต่อหน้าเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่น้ำตาเจ้ากรรมดันไม่ยอมไหลออกมาเสียที
“ข้าอยากจะบ้าตาย”
“ฉางเอ๋อหากว่าเป็นเรื่องในคืนนั้น”
“คืนไหนขอรับ ท่านพ่อกับท่านแม่ทำอะไรงั้นหรือ”
“ไม่มีอะไร/ไม่มีอะไร”
ทั้งสองรีบเอ่ยออกมาท่ามกลางความสงสัยไม่รู้จบของเด็กชายตัวน้อย
“ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านหายดีก็พอแล้ว”
“เจ้าจะทิ้งข้าไปอย่างนั้นหรือ”
“ทิ้งงั้นหรือ อะไรที่ทำให้ท่านคิดเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเคยลั่นวาจาไว้ว่าจะทิ้งข้าไปเพราะข้านั้นไร้ความสามารถทำให้เจ้าต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้”
“งั้นหรือ ข้าเคยพูดเช่นนั้นหรือ”
“อืม”
“ท่านลืมมันไปเสียเถอะหากว่าข้าจะทอดทิ้งท่านล่ะก็คงทำไปนานแล้วล่ะ”
อยู่ๆ นางก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมากระทันหันอาการพะอืดพะอมอยากที่จะขย้อนเอาอาหารที่กินเข้าไปเมื่อหัวค่ำเริ่มตีตื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉางเอ๋อเจ้าเป็นอะไร”
เหวินเซียวเย่ที่สังเกตสีหน้าของผู้เป็นภรรยามาตลอดเริ่มเห็นว่านางมีสีหน้าที่ซีดเซียวมากขึ้นเรื่อยๆ เขารีบเข้าไปประคองตัวของนางเอาไว้ก่อนจะพาไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหันหลังไปสั่งให้ลูกชายนำยาหอมของผู้เป็นมารดามาให้โดยเร็ว
เด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองของร้านค้าเกือบจะสะดุดเข้ากับขอบบันไดกลิ้งลงพื้นเสียแล้ว
ไป๋ฉางอวี้รู้สึกได้ว่าเลือดลมของนางพลุ่งพล่านมากขึ้นยิ่งเหวินเซียวเย่ทำให้นางโมโหมากขึ้นเท่าใดนางก็รู้สึกอยากจะระบายความอึดอัดที่มีภายในทั้งหมดออกมา
‘เกิดอะไรขึ้นกับนางกันนะนางไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลถึงเพียงนั้นนี่นา’
“มาแล้วขอรับท่านพ่อ”
เด็กชายตัวน้อยทั้งวิ่งทั้งกระโดดดูแล้วน่าเอ็นดูยิ่งนักแต่หากไม่ใช่เพราะเวลานี้นางกำลังขุ่นเคืองใจอยู่คงได้หัวร่อให้กับท่าทางน่าเอ็นดูของเขาไปแล้ว
นางรับเอายาหอมที่นำออกมาจากระบบวิเศษก่อนหน้านี้มาสูดดมเข้าเต็มปอด
“ดีขึ้นหรือยัง”
“อืม”
“เป็นอะไรไป เจ้าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนะ”
“ก็เพราะท่านนั่นแหล่ะเจ้าค่ะ”
“ขะ ข้าขอโทษ”
เสียงที่อ่อนลงของผู้เป็นสามีทำเอาใจของนางอ่อนลงไปไม่น้อยแต่ก็ยังคงรู้สึกอับอายไม่หายเพราะคืนแรกที่นางมีสัมพันธ์กับเขา เป็นนางที่เป็นฝ่ายวาดลวดลายก่อนทั้งยังนำเขาก่อนเสียอีกน่าอายเสียจริง
“หากเจ้าไม่หายโกรธจะให้ข้าทำอะไรก็ได้”
“อะไรก็ได้งั้นหรือ”
เหวินเซียวเย่พยักหน้าทำตาปริบๆ มองนางด้วยแววตาที่ดูจะเีใจขึ้นมามากแต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของนางเขาก็รีบหลุบตาลงในทันใด
“ได้ เช่นนั้นก็…”
-เช้าวันถัดไป-
“เฮ้อ…ท่านพ่อนี่ท่านแม่ยังไม่หายโกรธพวกเราอีกหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
“เพราะท่านคนเดียวเลย”
“เป็นความผิดของข้าคนเดียวที่ไหนกันเจ้าเองก็ตกปากรับคำที่จะช่วยข้าปิดบังไม่ใช่หรือเหตุใดจึงโบ้ยความผิดนี้ให้ข้าเพียงคนเดียวกันเล่า”
“ช่างเถอะขอรับ เวลานี้พวกเราสองคนก็ถูกทำโทษด้วยกันอยู่นี่อย่างไรเล่า”
“เฮ้อ…”
เหวินเซียวเย่หันไปมองสตรีที่กำลังยืนต้อนรับลูกค้าเข้ามาในร้านด้วยแววตาเศร้าใจยิ่งนัก
พวกเขารับหน้าที่แจกใบปลิวที่นางสั่งให้พวกเขานั่งคัดลอกทั้งคืนตอนนี้ดวงตาของเขาและบุตรชายต่างก็ดำคล้ำคล้ายคนอดหลับอดนอนมาหลายคืนอย่างไรอย่างนั้น
“อ้าว คุณชายมาทำอะไรตรงนี้กันขอรับ”
เหวินเซียวเย่หันไปมองก็พบว่าเป็นเว่ยลั่วหยางนั่นเอง
“ท่านมาทำไม”
“ข้าก็เพียงแค่แวะมาหาอะไรกินก็เท่านั้นเองว่าแต่ท่านมองเห็นแล้วหรือ”
“ไม่ใช่เรื่องของท่าน”
“ท่านพี่พูดเช่นนั้นกับคุณชายเว่ยได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
ไป๋ฉางอวี้ที่ไม่รู้ว่าเดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังใช้สายตาตำหนิเขาอยู่จนเหวินเซียวเย่ถึงกับสลดลงไปไม่น้อย เขาไม่กล้าที่จะเถียงนางในเวลานี้ไม่เช่นนั้นคงได้เพิ่มความผิดไปอีกกระทงอย่างแน่นอน
“คุณชายเชิญด้านในดีกว่าเจ้าคะ”
“ไม่ล่ะข้าก็เพียงแค่แวะมาสั่งอาหารท่านแม่บอกว่าอยากกินฝีมือของเจ้าแต่วันนี้นางปวดขาจึงไม่สามารถมาด้วยตนเอง”
“จริงหรือเจ้าค่ะ ข้าจะจัดเตรียมให้ฮูหยินแล้วนำไปส่งนางเองนะเจ้าค่ะ”
“รบกวนเจ้าแล้ว”
ไป๋ฉางอวี้ยิ้มให้คุณชายเว่ยก่อนจะหันไปมองหน้าของสามีตัวดีที่กำลังจ้องมองคุณชายเว่ยเขม็ง
“ข้าก็บอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าโรงเตี๊ยมของข้าเหมาะสมกับการค้าของเจ้ามากกว่าทั้งยังใหญ่โตและรับรองลูกค้าได้ตั้งหลายคน มีห้องหับอีกตั้งหลายห้องกิจการของเจ้าต้องรุ่งเรืองมากขึ้นแน่ๆ”
“เริ่มต้นก็ทำเท่านี้ไปก่อนดีกว่าเจ้าค่ะคุณชาย”
“ตามใจเจ้าเถอะ”
“ไม่เข้าไปจริงๆ หรือเจ้าค่ะ”
“ไม่ล่ะข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก ข้าไปล่ะ”
“เจ้าค่ะ”
ไป๋ฉางอวี้ยืนส่งคุณชายเว่ยจนลับสายตาก่อนจะหันไปสบตากับผู้เป็นสามี ใบหน้าบูดบึ้งของเขาทำเอานางอดที่จะหัวเราะไม่ได้แต่เพราะความผิดที่เขากล้าโกหกนางและยังอยู่ในระหว่างรับโทษอยู่นั้นจึงต้องปั้นหน้ากลับดังเดิม
“ท่านกับอาหยวนแจกใบปลิวพวกนี้ให้หมดนะเจ้าค่ะค่อยไปกินข้าว”
“แต่ว่า”
“อะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร เจ้าค่อยๆ เดินนะ”
-สองวันถัดไป-
ร้านอาหารของไป๋ฉางอวี้เลื่องชื่อด้วยรสชาติที่กลมกล่อมและอาหารที่แปลกตาทำให้ทั้งเมืองต่างก็มาอุดหนุนนางไม่เว้นวัน
สองวันที่แล้วไป๋ฉางอวี้นำอาหารไปส่งที่จวนสกุลเว่ยด้วยตนเองพร้อมกับข่าวที่น่ายินดียิ่ง มาวันนี้ฮูหยินเว่ยจึงมาที่ร้านของนางด้วยตนเองตั้งแต่เช้า
“ฮูหยินมาแล้วหรือเจ้าคะ เชิญด้านในเลยเจ้าค่ะ”
“ขอบใจนะ”
ฮูหยินเว่ยยิ้มรับก่อนจะหันมาจ้องมองเหวินเซียวเย่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ เดินเข้าไปในร้านอย่างเชื่องช้า ชั่วขณะหนึ่งเหวินเซียวเย่กลับรู้สึกว่าแววตาของฮูหยินเว่ยผู้นี้ดูไม่เหมือนเดิมเหมือนมีบางสิ่งที่นางอยากจะพูดออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“ฮูหยินเชิญนั่งเจ้าคะ”
“ขอบใจนะฉางอวี้”
“ข้าจะไปนำอาหารมาให้ท่านส่วนเรื่องนั้นก็..”
ไป๋ฉางอวี้หันไปมองสองบุรุษที่ยืนอยู่นอกร้านก่อนจะหันกลับมาสบตาฮูหยินเว่ยอีกครั้ง ทั้งสองดูเหมือนจะเข้าใจกันโดยที่ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดออกมาอีกเลย
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม [1]
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใดคนก็ยิ่งแน่นร้านมากขึ้น ร้านค้าแห่งนี้แบ่งออกเป็นหลายอย่างด้วยกันทั้งโซนขายเครื่องถ้วยลายครามที่ถูกวาดลวดลายอย่างงดงามที่ไม่เคยมีที่ใดพบเห็นมาก่อน ทั้งอาหารคาวหวานและสุรารสเลิศไม่มีก็เพียงสตรีที่คอยชงสุราให้ก็เท่านั้น
ร้านนี้มีเด็กเล็กๆ อย่างอาหยวนคอยเดินเพ่นพ่านไปมาให้บริการลูกค้าจนผู้คนนึกเอ็นดูไม่หาย
“ท่านแน่ใจแล้วหรือเจ้าคะ”
“แน่สิ เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเขามีปานรูปหัวใจที่ลับของเขา”
“อะ เอ่อ ท่านป้าท่านจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกทำไมกันเล่าเจ้าคะ”
ไป๋ฉางอวี้หน้าแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
‘นางมาพูดเรื่องแบบนี้ในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไรกันเล่า’
ฮูหยินเว่ยซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าที่ปักลวดลายสวยงามนั้นลวดลายที่ปักบนเนื้อผ้านั้นเป็นที่มาของการพิสูจน์หาความจริงที่น่าอายสิ้นดี และเรื่องราวเหล่านี้ก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขาและนางแน่นแฟ้นขึ้นมากกว่าเดิมนั่นเอง
‘บ้าจริง! เหตุใดถึงเอาแต่คิดถึงเรื่องนั้นกันนะ'
- - - - - -
[1] ครึ่งชั่วยาม = 1 ชั่วโมง
เหวินเซียวเย่ คือบุตรชายของหนึ่งในอนุใต้เท้าเว่ยผู้ที่หนีหายออกไปจากจวนเพราะถูกรองฮูหยินใส่ร้ายเรื่องคบชู้กับทหารในจวนทหารคนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างใต้เท้าเว่ยผู้นั้นถูกลงโทษโบยจนตายไป ก่อนหน้าที่จะรับโทษเขาได้วางแผนให้นางหนีออกไปจากจวนไม่ว่าใต้เท้าเว่ยจะออกตามหานางเท่าใดก็ไม่เคยได้พานพบกันอีกเลยฮูหยินเว่ยไม่คิดว่าบุตรชายที่เกิดจากสายเลือดที่แท้จริงของเขานั้นจะยังมีชีวิตอยู่ น่าเสียดายที่ใต้เท้าเว่ยไม่อาจพานพบเขาได้อีกแล้วลายปักผ้าที่ฮูหยินเว่ยยังคงทะนุถนอมมาจนถึงทุกวันนี้นั้นคือผ้าเช็ดหน้าที่มารดาของเหวินเซียวเย่เป็นคนทำขึ้นมา ลวดลายที่คล้ายคลึงกันกับของสามีไป๋ฉางอวี้เป็นเหตุให้นางโยงเรื่องราวทั้งหมดจนทั้งสองคนได้มาพบกันอีกครั้ง“ฮูหยินแม้ว่าข้าจะมีสายเลือดตระกูลเว่ยก็จริงแต่ว่าข้าก็เป็นเพียงบุตรของอนุเท่านั้นหาได้มีสิ่งใดเหมาะสมกับตระกูลของท่านไม่ ท่านได้โปรดอย่าใส่ใจข้าอีกเลยขอรับ”“พูดอะไรเช่นนั้นมารดาของเจ้าเว่ยอิงเป็นเหมือนน้องสาวของข้าหากว่าไม่มีนางข้าก็คงตรอมใจเรื่องอนุคนที่พ่อของเจ้ารับเข้าจวนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว นางเป
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าในที่สุดนางก็มาอาศัยอยู่ในตัวเมืองได้หนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว ร้านค้าของนางแรกเริ่มขายเพียงสุราและอาหารเท่านั้น ส่วนกระเบื้องเคลือบเหล่านี้นางยังคงเก็บสะสมเอาไว้บนชั้นวางเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าเท่านั้นยังไม่ได้เปิดขายจริงจังเสียทีเพราะงานในร้านที่มากมายจนในแต่ละวันแทบไม่มีเวลาพักทำเอานางลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท ปานรูปหัวใจในที่ลับของเหวินเซียวเย่!กลางดึกคืนนั้นไป๋ฉางอวี้ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงตะกุกตะกักด้านล่างของร้านค้าแต่เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนกลับพบเพียงความว่างเปล่า“ท่านพี่หายไปไหนนะ”ไป๋ฉางอวี้ที่คิดว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่อาจเป็นเสียงของผู้เป็นสามีนางจึงลุกจากเตียงนอน แต่ทันใดนั้นอาการวิงเวียนหน้ามืดก็ตีตื้นขึ้นมารู้สึกได้ว่าห้องของนางหมุนได้อาการหน้ามืดเช่นนี้ไม่ใช่ว่านางจะเป็นบ่อยๆ หรือเพราะนางทำงานหนักเกินไปงั้นหรือไป๋ฉางอวี้เลิกคิดฟุ้งซ่านก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากห้องนอนแล้วลงมาที่ชั้นล่างเมื่อมาถึงก็ต้องแปลกใจที่เครื่องเคลือบที่สั่งมาก่อนหน้านี้ถูกวางตั้งเอาไว้บนโต๊ะหลายหลายชิ้นที่สำคัญลวดลายเหล่านี้ไม่ใช่
“ในที่ลับของสามีท่านมีปานรูปหัวใจหรือไม่”“พรู๊ด!”“พ่อบ้านซือเหตุใดจึงถามเช่นนี้กันเล่า”ไป๋ฉางอวี้ตกใจจนถึงกับพ่นน้ำชาออกมาใบหน้าของนางแดงก่ำเพราะความเขินอาย‘มาถามเรื่องลับๆ แบบนี้ได้อย่างไรกันนะนางใช่ว่าจะเคยร่วมหอกับเขาเสียที่ไหนกันเล่า คนที่เคยๆ ทำเรื่องนั้นมันก็ภรรยาคนเก่าของเขานี่นาใช่นางเสียที่ไหนกัน’“ก็ท่านกับเขาเป็นสามีภรรยากันย่อมรู้เห็นทุกเรื่องของกันและกันอยู่แล้ว ก่อนหน้าข้าไม่กล้าถามแต่ในเมื่อท่านเป็นคนเริ่มข้าถึงได้กล้าถามออกมาอย่างไรเล่า”“คือว่า”“หืม”ไป๋ฉางอวี้มองหน้าอีกฝ่ายอย่างจนใจตั้งแต่ทะลุมิติมานางได้นอนร่วมเตียงกันกับเขาก็จริงแต่ได้เคยร่วมรักกันที่ไหนเล่ากลางดึกสงัดของคืนนี้ไป๋ฉางอวี้หยิบเอาน้ำหอมออกมาจากระบบวิเศษ น้ำหอมที่มีกลิ่นจางๆ แต่ทำให้เพศตรงข้ามต้องการบางอย่างจากตัวของสตรีได้‘ไม่เอาน่าข
“หุบปากน่า”“!”น้ำเสียงที่กำลังตวาดผู้เป็นน้องชายของเขานั้นทำเอาสองสตรีหันมาจ้องมองพวกเขาในทันที“มีอะไรหรือเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร/ไม่มีอะไร”ทั้งคู่รีบตอบพวกนางพร้อมกันทันทีเมื่อเวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้วครอบครัวของเหวินเซียวเผยก็ขอตัวกลับไปเก็บของที่บ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก-เช้าวันถัดไป-รถม้าจากสกุลเว่ยเข้ามารับสุราจากบ้านของนางตั้งแต่เช้าตรู่ไป๋ฉางอวี้ที่ตกลงกับผู้เป็นสามีเรียบร้อยจึงฝากความไปถึงฮูหยินเว่ยว่าวันพรุ่งนี้เช้าทั้งครอบครัวจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตามที่ได้ตกลงกันมาก่อนหน้านี้พ่อบ้านซือที่ได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งรีบควบรถม้ากลับเข้าเมืองไปอย่างไว“ดีใจอะไรถึงเพียงนั้นกันนะ”ไป๋ฉางอวี้ที่ยืนส่งเขาอยู่หน้าประตูอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้คนแก่อย่างเขาคืนนั้นทั้งคืนนางนั่งเก็บของลงหีบเก่าๆ ความตื่นเต้นที่จะได้ย้ายบ้านทำเอานางนอนไม่หลับทั้งคืนเช้าวันนี้ขอบตาของนางจึงบวมเปล่งอย่
ไป๋ฉางอวี้ที่เดินตามสองแม่ลูกสกุลเว่ยมาจนถึงใจกลางของตัวเมืองลั่วหนานมาหยุดอยู่ตรงร้านค้าร้านหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองอาคารร้านค้าสองชั้นที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งเล็กน้อยคุณชายใหญ่เว่ยผู้นี้มากด้วยสมบัติและรูปโฉมเสียจริงหากว่านางทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสตรีที่ไม่มีพันธะใดๆ แล้วล่ะก็ไม่แน่นางอาจจะใช้เสน่ห์ของสตรีเกี้ยวของดูสักครั้งก็เป็นได้‘ไม่ได้สิรูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายพี่ชายของนางเมื่อชาติที่แล้วเช่นนี้ จะไปคบหาเขาได้ลงคอได้อย่างไรกัน น่าขนลุกจะตายไป’“เจ้าเป็นอะไร”“เจ้าคะ”“ข้าเห็นเจ้าทำหน้าตาแปลกๆ”“เอ่อ คือว่าข้าคิดว่ามันใหญ่โตไปหรือไม่เจ้าคะคุณชาย”“ไม่หรอกนี่เหมาะสมแล้ว อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังมีข้าวของที่เหมาะกับการค้าที่เจ้าตั้งใจจะทำอีกด้วย”“จริงหรือเจ้าคะ”“เดิมทีร้านนี้คือร้านขายอาหารน่ะแต่เจ้าของย้ายออกไปอยู่ในเมืองหลวงจึงทิ้งร้างเอาไว้ ข้าจึงได้รับซื้อเอาไว้ไปดูข้างในกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”นางเดินตามฮูหยินและคุณชายเว่ยเข้าไปด้านในร้าน ภายในถูกตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามทางเด
ไป๋ฉางอวี้ที่นอนคิดมาทั้งคืนเช้าวันนี้นางจึงตัดสินใจที่จะเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปพบฮูหยินเว่ยผู้นั้นอีกครั้งครั้งนี้นางนำไวน์ออกมาจากระบบมากมายหลายชนิดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถไถ่ถอนที่ดินที่เหวินเซียวเย่นำไปจำนำเอาไว้ได้ภายในบ้านสกุลเว่ย“ฮูหยินเจ้าคะแม่นางไป๋มาขอพบเจ้าค่ะ”“ไป๋ฉางอวี้มางั้นหรือ”“เจ้าค่ะ”“วิเศษเสียจริง”นางรีบกุลีกุจอออกไปต้อนรับสตรีตัวน้อยหน้าบ้านท่ามกลางการจับจ้องมองของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง“ท่านแม่จะไปไหนรีบร้อนเสียจริง”“ฮูหยินจะไปพบสตรีที่นำสุราวิเศษผู้นั้นมาขายน่ะเจ้าค่ะคุณชาย”“สุราวิเศษที่พ่อบ้านซือบอกว่าล้ำค่ามากนักน่ะหรือ”“เจ้าค่ะ”“เป็นใครมาจากไหนกันนะ”คุณชายใหญ่เว่ยจ้องมองผู้เป็นมารดาที่เดินแกมวิ่งไปยังศาลาหลังงามกลางสวนดอกไม้ ดูท่าทางที่ดีใจจนออกนอกหน้าของนางนั้นเหมือนว่ามารดาของเขาจะถูกชะตากับเด็กคนนี้เป็นอย่างมากเมื่อจ้องมองไปที่ศาลาหลังนั้นอีกครั้งก็พบเพียงแผ่นหลังตรงสวย ผมที่ยาวสยายถูกมัดรวบไว้ลวกๆ อย่างไม่ใส







