LOGINไป๋ฉางอวี้ที่เดินตามสองแม่ลูกสกุลเว่ยมาจนถึงใจกลางของตัวเมืองลั่วหนานมาหยุดอยู่ตรงร้านค้าร้านหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองอาคารร้านค้าสองชั้นที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งเล็กน้อย
คุณชายใหญ่เว่ยผู้นี้มากด้วยสมบัติและรูปโฉมเสียจริงหากว่านางทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสตรีที่ไม่มีพันธะใดๆ แล้วล่ะก็ไม่แน่นางอาจจะใช้เสน่ห์ของสตรีเกี้ยวของดูสักครั้งก็เป็นได้
‘ไม่ได้สิรูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายพี่ชายของนางเมื่อชาติที่แล้วเช่นนี้ จะไปคบหาเขาได้ลงคอได้อย่างไรกัน น่าขนลุกจะตายไป’
“เจ้าเป็นอะไร”
“เจ้าคะ”
“ข้าเห็นเจ้าทำหน้าตาแปลกๆ”
“เอ่อ คือว่าข้าคิดว่ามันใหญ่โตไปหรือไม่เจ้าคะคุณชาย”
“ไม่หรอกนี่เหมาะสมแล้ว อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังมีข้าวของที่เหมาะกับการค้าที่เจ้าตั้งใจจะทำอีกด้วย”
“จริงหรือเจ้าคะ”
“เดิมทีร้านนี้คือร้านขายอาหารน่ะแต่เจ้าของย้ายออกไปอยู่ในเมืองหลวงจึงทิ้งร้างเอาไว้ ข้าจึงได้รับซื้อเอาไว้ไปดูข้างในกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
นางเดินตามฮูหยินและคุณชายเว่ยเข้าไปด้านในร้าน ภายในถูกตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามทางเดินยาวปูด้วยไม้สีเข้มมีโคมไฟกระดาษแขวนเรียงราย กำแพงด้านข้างประดับด้วยภาพวาดงดงามและบทกวียิ่งบนชั้นสองของร้านยิ่งน่าอยู่ยิ่งนัก
ระเบียงไม้ชั้นสองก็ถูกตกแต่งด้วยโคมไฟกระดาษสีแดงและสีขาวห้อยสลับเรียงกันตลอดแนว มองออกไปเห็นสวนไผ่ที่สวยงามหากเป็นเวลากลางคืนคงจะงดงามไม่น้อย
ร้านค้าแห่งนี้นอกจากจะมีชั้นล่างที่เอาไว้ต้อนรับแขกแล้วยังมีชั้นสองที่เอาไว้ให้ผู้เป็นเจ้าของได้พักผ่อนอีกด้วย
อีกทั้งยังมีห้องใต้ดินที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อนถูกสร้างเอาไว้มีบันไดไม้แคบๆ นำทางลงไปสู่ห้องใต้ดินที่ใช้เก็บเหล้าจีนโบราณ หีบห่อสมุนไพรต่างๆ ก็ถูกจัดเรียงไว้อย่างดีกลิ่นของเหล้าหมักลอยขึ้นมาจากถังไม้โอ๊คขนาดใหญ่
“นี่เจ้าเก็บเหล้าพวกนี้เอาไว้ที่นี่ตลอดเวลาเลยงั้นหรือ”
“ก็มันไม่มีที่ที่ดีกว่านี้แล้วนี่ขอรับ”
“เฮอะลูกชายของข้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง ไม่ได้เรื่องสักอย่าง”
“อ้าวท่านแม่ ตกลงแล้วท่านจะชื่นชมหรือด่าข้ากันแน่เล่า”
ฮูหยินใหญ่เว่ยไม่ตอบนางสะบัดหน้าให้เขาแล้วเดินกลับขึ้นไปชั้นบนท่ามกลางสายตางุนงงของบุตรชายและไป๋ฉางอวี้ พ่อบ้านซือที่มาด้วยกันได้เพียงแค่ส่ายหน้าให้สองแม่ลูกคู่นี้ที่พบกันทีไรไม่เคยได้พูดจากันดีๆ สักที
“เป็นอย่างไรถูกใจเจ้าหรือไม่”
“ถูกใจมากเลยเจ้าค่ะ”
“ข้าให้เจ้าเช่าเดือนละหนึ่งตำลึง”
“หนึ่งตำลึง! คุณชายร้านใหญ่เพียงนี้อีกทั้งพื้นที่ใช้สอยทำประโยชน์อื่นๆ ได้อีกมากมายนักท่านคิดข้าราคาเท่านี้คุ้มหรือเจ้าคะ”
“เอาน่าฉางอวี้เจ้าอย่าเกรงใจเลยรู้หรือไม่ว่าข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนลูกหลานคนหนึ่งเลยนะ เจ้าอยู่ที่นี่ข้าก็เดินทางมาหาได้สะดวกขึ้นไม่เหงาอีกแล้วดีจะตายไปถือว่าสงเคราะห์คนแก่ผู้นี้ด้วยเถอะ”
“ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้วเจ้าคะ”
“เป็นเรื่องจริงเขาน่ะยังไม่มีหลานให้ข้าเสียทีข้านั้นเหงาจะแย่ ดังนั้นอย่าเกรงใจเลยหนึ่งตำลึงแลกกับการที่ข้าได้มีเพื่อนคุยเช่นเจ้าก็คุ้มค่าแล้ว”
“แล้วท่านแม่จะไปรบกวนนางไปทำไมกันเล่าขอรับนางยังมีครอบครัวที่ต้องดูแลอีกนะ”
“เช่นนั้นเจ้าก็แต่งงานเสียทีสิ”
“พูดเรื่องนี้อีกแล้ว”
คุณชายใหญ่เว่ยส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ ไป๋ฉางอวี้หัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยไปว่า
“ถ้าอย่่างนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับบ้านก่อนนะเจ้าคะ”
“อืม เจ้ากลับไปคิดดูเถอะไว้ค่อยมาพบข้าอีกที พรุ่งนี้เลยก็ได้นะ”
“ท่านแม่”
“ทำไมเล่าเจ้าอย่าขัดใจข้าสิ”
ไป๋ฉางอวี้มองดูคนทั้งคู่ที่กำลังจะทะเลาะกันแล้วยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดูสองแม่ลูกคู่นี้
“ว่าแต่เจ้าจะกลับอย่างไรหรือ”
“ข้าอาจจะเช่ารถม้ากลับน่ะเจ้าคะ”
“นี่ก็ใกล้ยามเซิน [1] แล้ว ไม่มีรถม้าหรือลาให้เจ้าแล้วล่ะ”
“อ้าว?”
“พ่อบ้านซือเจ้าช่วยขับรถม้าไปส่งนางที่หมู่บ้านเฟิ่งหวงที”
“ขอรับฮูหยิน”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะหากว่าไม่มีรถม้าแล้วข้าเดินกลับเองก็ได้”
“ไม่ได้ เจ้าเป็นสตรีเดินกลับคนเดียวได้อย่างไรอันตรายรอบด้านไม่รู้หรือ หน้าตาของเจ้าหาใช่ขี้ริ้วขี้เหร่ไม่ไปเถอะพ่อบ้านซือรีบไปส่งนางเร็วเข้า”
“แต่ว่าฮูหยิน”
“เจ้าทำตามที่ท่านแม่ของข้าพูดเถอะ นางจะได้สบายใจ”
“ก็ได้เจ้าค่ะขอบคุณฮูหยินและคุณชายมากนะเจ้าคะ”
“รีบไปเถอะ”
ไป๋ฉางอวี้รีบเดินขึ้นไปบนรถม้าก่อนจะชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่างบานเล็กๆ จ้องมองหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษผู้นั้นแน่วแน่ทั้งสองต่างก็ส่งยิ้มมาให้แต่ไม่ได้โบกมือลาแต่อย่างใด
‘เหมือนรู้ว่าอย่างไรแล้วนางต้องย้ายมาอยู่ในเมืองอย่างแน่นอน’
-หมู่บ้านเฟิ่งหวง-
พ่อบ้านสือที่ยืนอยู่ด้านข้างรถม้ากำลังส่งยิ้มให้พวกเขาเมื่อเหวินเซียวเย่เดินเข้ามาใกล้ๆ เขาก็ถึงกลับขยี้ตาอีกครั้ง
‘ตาฝาดไปหรือไม่นะ’
“ขอบคุณพ่อบ้านซือที่ยังรอข้านะเจ้าคะ นี่เป็นของฝากที่ข้าเตรียมเอาไว้ท่านช่วยนำไปให้ฮูหยินที”
“ขอรับแม่นางไป๋”
พ่อบ้านซือเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งประจำที่ด้านข้างสารถี รถม้าแล่นออกไปยังตัวเมืองแล้วโดยมีพ่อบ้านซือที่คอยชะโงกหน้ามามองพวกเขาเป็นระยะๆ
กลางดึกสงัดเมื่อส่งบุตรชายเข้านอนแล้วไป๋ฉางอวี้ก็ย่องออกมาที่โถงกลางบ้าน เหวินเซียวเย่ยังคงนั่งปั้นแจกันให้ขึ้นรูปอย่างขะมักเขม้นดูแล้วน่าจะเป็นคนที่ชื่นชอบงานศิลปะอยู่ไม่น้อย
ดวงตาที่มองไม่เห็นแต่หัวใจไม่ยอมแพ้จริงๆ ขณะที่นางมองท่วงท่าการปั้นของเขาเพลินๆ แต่แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป
เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบของใช้และหลบมุมโต๊ะเก้าอี้ที่นางนำออกมาจากระบบวิเศษได้อย่างคล่องแคล่วอย่างกับคนมองเห็นปกติ
‘น่าแปลกเสียจริง’
แต่แล้วดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตัวว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่นั้นก็หันมามองตรงที่นางยืนอยู่ด้วยความรวดเร็ว สีหน้าของเขาเจื่อนลงเล็กน้อยแต่แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ
“ฉางเอ๋อใช่เจ้าหรือไม่”
“ข้าเองเจ้าค่ะ”
ไป๋ฉางอวี้เก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนจะเดินเข้าไปหาเขาใกล้ๆ จ้องมองใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างไม่วางตา
“เหตุใดยังไม่นอนดึกมากแล้วนี่นา”
“ท่านก็ยังไม่นอน”
“ข้ายังทำงานไม่เสร็จ แจกันใบนี้เป็นคุณชายหยวนที่สั่งให้ข้าทำต้องแล้วเสร็จภายในวันพรุ่งนี้”
“ลำบากท่านแล้ว”
“เจ้าเองก็เช่นกัน”
ไป๋ฉางอวี้ยังคงจ้องมองเขาต่อจนเหวินเซียวเย่กระแอมออกมาหนึ่งครั้ง
“มีอะไรจะพูดกับข้าหรือ ทุกวันเจ้าไม่เห็นสนใจมานั่งดูข้าทำงานนี่นา”
“คือว่าข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านน่ะเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“ข้ามาคิดๆ ดูแล้วข้าอยากที่จะทำการค้า”
“การค้า? การค้าอะไรงั้นหรือ”
“ข้าเรียนรู้วิธีหมักสุรามาจากท่านผู้เฒ่าคนหนึ่ง”
“ผู้เฒ่า? ใครหรือ?”
“ผู้เฒ่าที่อยู่ในตัวเมืองน่ะเจ้าค่ะ ท่านอย่าสนใจเลยข้าจดจำสูตรหมักเหล้าเหล่านั้นจนเชี่ยวชาญแล้วอยากที่เปิดร้านค้าในตัวเมืองดังนั้น…”
“เจ้าอยากที่ย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมืองงั้นหรือ”
“คือว่าหากท่านไม่เห็นด้วยข้าก็จะไม่…”
“เอาสิ”
“ห๊ะ!”
“แต่ว่าต้องรอข้าทำงานเก็บเงินไถ่ถอนที่ดินให้ได้เสียก่อน เดิมทีข้าเองก็ตั้งใจจะยกที่ดินผืนนี้ให้เหวินเซียวเผยน่ะ”
“เหวินเซียวเผยน้องชายของท่านน่ะหรือ”
“ถูกต้อง”
“เขาลำบากกว่าเราหลายเท่านักอีกทั้งยังไม่ได้แยกบ้านจากบ้านใหญ่ หากว่าพวกเราย้ายไปอยู่ในเมืองเช่นนั้นบ้านหลังนี้ก็จะยกให้พวกเขาแทน เจ้าคงไม่ว่าอะไรข้าใช่หรือไม่”
“ข้าจะไปว่าอะไรท่านได้เล่าเจ้าคะ ดีเสียอีกที่จะมีคนมาดูแลบ้านหลังนี้แทนพวกเรา”
ไป๋ฉางอวี้ยิ้มให้ผู้เป็นสามีเล็กน้อย
“แต่ท่านไม่ต้องห่วงเรื่องหนี้ก้อนนั้นนะเจ้าค่ะเพราะว่าข้านำไปจ่ายมาจนครบแล้ว”
“เจ้าว่าอะไรนะ! แล้วไปเอาเงินมาจากไหนมันมากมายไม่ใช่หรือ”
“ไม่ปิดบังท่านหากสิ่งที่ข้าจะพูดออกไปทำให้ท่านโกรธข้านับว่าสมควรแล้ว”
“เจ้าจะพูดอะไร”
“เงินที่ท่านจำนำที่ดินนั้นมันอยู่ที่ข้าเอง ข้าอาจเลอะเลือนจนจดจำที่เก็บมันเอาไว้ไม่ได้แต่ตอนนี้ข้าหามันเจอแล้วจึงได้เอาไปไถ่ถอนที่คืนจนหมดสิ้น”
“จริงหรือนี่”
“ดังนั้นท่านก็วางได้แล้ว ทำงานชิ้นนี้ของท่านให้แล้วเสร็จแล้วพวกเราจะย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมืองกัน”
“ได้ เช่นนั้นเจ้าไปนอนก่อนเถอะข้าขอทำงานต่ออีกนิดก็จะตามไปแล้วล่ะ”
“ก็ได้เจ้าค่ะ”
ไป๋ฉางอวี้เดินกลับเข้าไปในห้องนอนโดยมีสายตาของเหวินเซียวเย่ที่จ้องมองตามทุกฝีก้าว
เขารู้ว่านางโกหกเรื่องเงินที่ใช้ไถ่ถอนที่ดินนั่นต้องไม่ใช่เพียงเงินที่เขาเคยให้นางอย่างแน่นอนอีกทั้งเงินที่เขาเคยให้นางนั้นแม้เขาจะตาบอกแต่ก็พอจะรับรู้ได้ว่านางใช้มันไปมากพอสมควรแล้วๆ นางไปหามาจากไหนมาเพิ่มภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวันกัน หลายๆ อย่างในตัวนางที่ผิดแปลกไปทำให้เขานึกสงสัยมากยิ่งขึ้น
‘เกิดอะไรขึ้นกับนาง นางใช่ไป๋ฉางอวี้ภรรยาของเขาคนนั้นจริงๆ น่ะหรือ’
-เช้าวันถัดไป-
เหวินเซียวเผยพร้อมภรรยาและลูกสาวอีกสองคนกำลังยืนอ้าปากค้างจ้องมองใบหน้าของเหวินเซียวเย่อย่างไม่กระพริบตา
“ข้าได้ยินไม่ผิดใช่หรือไม่ พี่รองจะยกบ้านหลังนี้ให้พวกเราจริงๆ งั้นหรือ”
“เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอกพวกเราจะย้ายไปอยู่ในตัวเมือง บ้านหลังนี้ก็คงต้องรบกวนพวกเจ้าดูแลแทนแล้วล่ะ”
“ท่านป้าจะให้ผิงผิงมาอยู่ที่นี่จริงๆ หรือเจ้าคะ”
“จริงสิจ๊ะดูสิที่ต้นไม้นั่นมีชิงช้าด้วยลมก็เย็นสบายมากเลย อาหยวนเจ้าพาผิงผิงกับเพ่ยเพ่ยไปนั่งเล่นตรงนั้นก่อนนะ”
“ขอรับท่านแม่”
เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงทั้งสองและบุตรชายของนางที่กำลัง
หัวเราะร่าอยู่นั้นทำให้บรรดาผู้ใหญ่ที่ยืนมองจากหน้าบ้านอดไม่ได้ที่ยิ้มออกมาอย่างนึกเอ็นดู ภาพที่สดใสเช่นนี้พวกเขาไม่ได้เห็นมานานเท่าใดแล้วนะ
“พี่สะใภ้ท่านแน่ใจนะว่าจะยกบ้านหลังนี้ให้พวกข้า”
“จะให้ข้าพูดอีกสักกี่สิบครั้งก็ยังยืนยันคำเดิม น้องชายเจ้าเป็นอะไรไปหรือกลัวว่าข้าจะกลืนคำพูดของตนเองหรืออย่างไร”
“คือว่าไม่ใช่เช่นนั้นหรอกขอรับ ข้าเพียงแค่….”
“ไม่ว่าไป๋ฉางอวี้แต่ก่อนจะพูดหรือทำสิ่งใดที่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจก็อย่าถือสาเลยนะ เวลานี้ข้าไม่ใช่คนเก่าอีกแล้วข้าพูดคำไหนก็คือคำนั้น”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกขอรับข้าไหนเลยจะกล้าว่าพี่สะใภ้เช่นนั้นกัน”
เหวินเซียวเผยและภรรยาต่างก็แย้มยิ้มออกมาอย่างเต็มที่
‘น่ากลัวว่าแต่ก่อนไป๋ฉางอวี้จะระรานคนไปทั่วอย่างแน่นอน เฮ้อ…นี่ข้าเป็นนางมารร้ายในสายตาของคนอื่นจริงๆ หรือนี่’
“ย้ายมาอยู่ที่นี่พวกเจ้าก็จะไม่ถูกพี่ใหญ่รังแกอีกแล้วก็จำเอาไว้หากพวกนั้นกล้ารังแกพวกเจ้าอีกก็รีบมาบอกข้าๆ จะจัดการพวกเขาอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณพี่สะใภ้รองมากนะเจ้าคะ”
ทั้งสี่คนยิ้มให้แก่กันเฝ้ามองเด็กๆ ที่กำลังเล่นสนุกสนานท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบายกับอาหารรสเลิศที่ผู้เป็นสามีทำด้วยตนเอง เหวินเซียวเผยกระซิบกับผู้เป็นพี่ชายทำเอาเขาหน้าแดงขึ้นมาทันที
“เจ้าอย่าพูดไปเรื่อย”
“ข้าพูดเรื่องจริงพี่สะใภ้ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย อาหยวนท่าจะอยากได้น้องเพิ่มสักคนอย่างแน่นอนท่านเชื่อข้า”
“หุบปากน่า”
“!”
เหวินเซียวเย่ คือบุตรชายของหนึ่งในอนุใต้เท้าเว่ยผู้ที่หนีหายออกไปจากจวนเพราะถูกรองฮูหยินใส่ร้ายเรื่องคบชู้กับทหารในจวนทหารคนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างใต้เท้าเว่ยผู้นั้นถูกลงโทษโบยจนตายไป ก่อนหน้าที่จะรับโทษเขาได้วางแผนให้นางหนีออกไปจากจวนไม่ว่าใต้เท้าเว่ยจะออกตามหานางเท่าใดก็ไม่เคยได้พานพบกันอีกเลยฮูหยินเว่ยไม่คิดว่าบุตรชายที่เกิดจากสายเลือดที่แท้จริงของเขานั้นจะยังมีชีวิตอยู่ น่าเสียดายที่ใต้เท้าเว่ยไม่อาจพานพบเขาได้อีกแล้วลายปักผ้าที่ฮูหยินเว่ยยังคงทะนุถนอมมาจนถึงทุกวันนี้นั้นคือผ้าเช็ดหน้าที่มารดาของเหวินเซียวเย่เป็นคนทำขึ้นมา ลวดลายที่คล้ายคลึงกันกับของสามีไป๋ฉางอวี้เป็นเหตุให้นางโยงเรื่องราวทั้งหมดจนทั้งสองคนได้มาพบกันอีกครั้ง“ฮูหยินแม้ว่าข้าจะมีสายเลือดตระกูลเว่ยก็จริงแต่ว่าข้าก็เป็นเพียงบุตรของอนุเท่านั้นหาได้มีสิ่งใดเหมาะสมกับตระกูลของท่านไม่ ท่านได้โปรดอย่าใส่ใจข้าอีกเลยขอรับ”“พูดอะไรเช่นนั้นมารดาของเจ้าเว่ยอิงเป็นเหมือนน้องสาวของข้าหากว่าไม่มีนางข้าก็คงตรอมใจเรื่องอนุคนที่พ่อของเจ้ารับเข้าจวนมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว นางเป
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าในที่สุดนางก็มาอาศัยอยู่ในตัวเมืองได้หนึ่งเดือนเต็มๆ แล้ว ร้านค้าของนางแรกเริ่มขายเพียงสุราและอาหารเท่านั้น ส่วนกระเบื้องเคลือบเหล่านี้นางยังคงเก็บสะสมเอาไว้บนชั้นวางเพื่อเรียกความสนใจจากลูกค้าเท่านั้นยังไม่ได้เปิดขายจริงจังเสียทีเพราะงานในร้านที่มากมายจนในแต่ละวันแทบไม่มีเวลาพักทำเอานางลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท ปานรูปหัวใจในที่ลับของเหวินเซียวเย่!กลางดึกคืนนั้นไป๋ฉางอวี้ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงตะกุกตะกักด้านล่างของร้านค้าแต่เมื่อหันไปมองด้านข้างของตนกลับพบเพียงความว่างเปล่า“ท่านพี่หายไปไหนนะ”ไป๋ฉางอวี้ที่คิดว่าเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่อาจเป็นเสียงของผู้เป็นสามีนางจึงลุกจากเตียงนอน แต่ทันใดนั้นอาการวิงเวียนหน้ามืดก็ตีตื้นขึ้นมารู้สึกได้ว่าห้องของนางหมุนได้อาการหน้ามืดเช่นนี้ไม่ใช่ว่านางจะเป็นบ่อยๆ หรือเพราะนางทำงานหนักเกินไปงั้นหรือไป๋ฉางอวี้เลิกคิดฟุ้งซ่านก่อนจะค่อยๆ เดินออกจากห้องนอนแล้วลงมาที่ชั้นล่างเมื่อมาถึงก็ต้องแปลกใจที่เครื่องเคลือบที่สั่งมาก่อนหน้านี้ถูกวางตั้งเอาไว้บนโต๊ะหลายหลายชิ้นที่สำคัญลวดลายเหล่านี้ไม่ใช่
“ในที่ลับของสามีท่านมีปานรูปหัวใจหรือไม่”“พรู๊ด!”“พ่อบ้านซือเหตุใดจึงถามเช่นนี้กันเล่า”ไป๋ฉางอวี้ตกใจจนถึงกับพ่นน้ำชาออกมาใบหน้าของนางแดงก่ำเพราะความเขินอาย‘มาถามเรื่องลับๆ แบบนี้ได้อย่างไรกันนะนางใช่ว่าจะเคยร่วมหอกับเขาเสียที่ไหนกันเล่า คนที่เคยๆ ทำเรื่องนั้นมันก็ภรรยาคนเก่าของเขานี่นาใช่นางเสียที่ไหนกัน’“ก็ท่านกับเขาเป็นสามีภรรยากันย่อมรู้เห็นทุกเรื่องของกันและกันอยู่แล้ว ก่อนหน้าข้าไม่กล้าถามแต่ในเมื่อท่านเป็นคนเริ่มข้าถึงได้กล้าถามออกมาอย่างไรเล่า”“คือว่า”“หืม”ไป๋ฉางอวี้มองหน้าอีกฝ่ายอย่างจนใจตั้งแต่ทะลุมิติมานางได้นอนร่วมเตียงกันกับเขาก็จริงแต่ได้เคยร่วมรักกันที่ไหนเล่ากลางดึกสงัดของคืนนี้ไป๋ฉางอวี้หยิบเอาน้ำหอมออกมาจากระบบวิเศษ น้ำหอมที่มีกลิ่นจางๆ แต่ทำให้เพศตรงข้ามต้องการบางอย่างจากตัวของสตรีได้‘ไม่เอาน่าข
“หุบปากน่า”“!”น้ำเสียงที่กำลังตวาดผู้เป็นน้องชายของเขานั้นทำเอาสองสตรีหันมาจ้องมองพวกเขาในทันที“มีอะไรหรือเจ้าคะ”“ไม่มีอะไร/ไม่มีอะไร”ทั้งคู่รีบตอบพวกนางพร้อมกันทันทีเมื่อเวลาล่วงเลยไปพอสมควรแล้วครอบครัวของเหวินเซียวเผยก็ขอตัวกลับไปเก็บของที่บ้านด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก-เช้าวันถัดไป-รถม้าจากสกุลเว่ยเข้ามารับสุราจากบ้านของนางตั้งแต่เช้าตรู่ไป๋ฉางอวี้ที่ตกลงกับผู้เป็นสามีเรียบร้อยจึงฝากความไปถึงฮูหยินเว่ยว่าวันพรุ่งนี้เช้าทั้งครอบครัวจะย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองตามที่ได้ตกลงกันมาก่อนหน้านี้พ่อบ้านซือที่ได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่งรีบควบรถม้ากลับเข้าเมืองไปอย่างไว“ดีใจอะไรถึงเพียงนั้นกันนะ”ไป๋ฉางอวี้ที่ยืนส่งเขาอยู่หน้าประตูอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวให้คนแก่อย่างเขาคืนนั้นทั้งคืนนางนั่งเก็บของลงหีบเก่าๆ ความตื่นเต้นที่จะได้ย้ายบ้านทำเอานางนอนไม่หลับทั้งคืนเช้าวันนี้ขอบตาของนางจึงบวมเปล่งอย่
ไป๋ฉางอวี้ที่เดินตามสองแม่ลูกสกุลเว่ยมาจนถึงใจกลางของตัวเมืองลั่วหนานมาหยุดอยู่ตรงร้านค้าร้านหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมองอาคารร้านค้าสองชั้นที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าด้วยความรู้สึกทึ่งเล็กน้อยคุณชายใหญ่เว่ยผู้นี้มากด้วยสมบัติและรูปโฉมเสียจริงหากว่านางทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสตรีที่ไม่มีพันธะใดๆ แล้วล่ะก็ไม่แน่นางอาจจะใช้เสน่ห์ของสตรีเกี้ยวของดูสักครั้งก็เป็นได้‘ไม่ได้สิรูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายพี่ชายของนางเมื่อชาติที่แล้วเช่นนี้ จะไปคบหาเขาได้ลงคอได้อย่างไรกัน น่าขนลุกจะตายไป’“เจ้าเป็นอะไร”“เจ้าคะ”“ข้าเห็นเจ้าทำหน้าตาแปลกๆ”“เอ่อ คือว่าข้าคิดว่ามันใหญ่โตไปหรือไม่เจ้าคะคุณชาย”“ไม่หรอกนี่เหมาะสมแล้ว อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังมีข้าวของที่เหมาะกับการค้าที่เจ้าตั้งใจจะทำอีกด้วย”“จริงหรือเจ้าคะ”“เดิมทีร้านนี้คือร้านขายอาหารน่ะแต่เจ้าของย้ายออกไปอยู่ในเมืองหลวงจึงทิ้งร้างเอาไว้ ข้าจึงได้รับซื้อเอาไว้ไปดูข้างในกันเถอะ”“เจ้าค่ะ”นางเดินตามฮูหยินและคุณชายเว่ยเข้าไปด้านในร้าน ภายในถูกตกแต่งเอาไว้อย่างงดงามทางเด
ไป๋ฉางอวี้ที่นอนคิดมาทั้งคืนเช้าวันนี้นางจึงตัดสินใจที่จะเดินทางเข้าไปในตัวเมืองเพื่อไปพบฮูหยินเว่ยผู้นั้นอีกครั้งครั้งนี้นางนำไวน์ออกมาจากระบบมากมายหลายชนิดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถไถ่ถอนที่ดินที่เหวินเซียวเย่นำไปจำนำเอาไว้ได้ภายในบ้านสกุลเว่ย“ฮูหยินเจ้าคะแม่นางไป๋มาขอพบเจ้าค่ะ”“ไป๋ฉางอวี้มางั้นหรือ”“เจ้าค่ะ”“วิเศษเสียจริง”นางรีบกุลีกุจอออกไปต้อนรับสตรีตัวน้อยหน้าบ้านท่ามกลางการจับจ้องมองของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง“ท่านแม่จะไปไหนรีบร้อนเสียจริง”“ฮูหยินจะไปพบสตรีที่นำสุราวิเศษผู้นั้นมาขายน่ะเจ้าค่ะคุณชาย”“สุราวิเศษที่พ่อบ้านซือบอกว่าล้ำค่ามากนักน่ะหรือ”“เจ้าค่ะ”“เป็นใครมาจากไหนกันนะ”คุณชายใหญ่เว่ยจ้องมองผู้เป็นมารดาที่เดินแกมวิ่งไปยังศาลาหลังงามกลางสวนดอกไม้ ดูท่าทางที่ดีใจจนออกนอกหน้าของนางนั้นเหมือนว่ามารดาของเขาจะถูกชะตากับเด็กคนนี้เป็นอย่างมากเมื่อจ้องมองไปที่ศาลาหลังนั้นอีกครั้งก็พบเพียงแผ่นหลังตรงสวย ผมที่ยาวสยายถูกมัดรวบไว้ลวกๆ อย่างไม่ใส







