LOGINเมื่อแยกกับหลี่กัง ซูหย่าฉินก็รู้สึกปวดแสบท้องขึ้นมา คิดดูแล้วตั้งแต่เกิดใหม่ในร่างของนางร้ายตัวประกอบผู้นี้เธอก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย มือเรียววางบนหน้าท้องที่แบนราบ ชีวิตที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่ว่าจะอยู่ยุคไหนก็ลำบากจริงๆ คิดแล้วพาลให้นึกโมโหเจ้าของร่างเดิมยิ่งนัก ทั้งที่ทุกเดือนเซียวอี้หยาง สามีที่เจ้าของร่างเดิมหลงใหลผู้นั้นจะส่งเงินมาให้ถึงสามสิบหยวน แต่สตรีผู้นี้กลับใช้หมดในสามวัน ช่างเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตได้โง่เขลาที่สุดเท่าที่เธอเคยพบเจอมาเลยทีเดียว
แต่เรื่องในอดีตของร่างเดิมไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่เธอต้องใส่ใจก็คือตอนนี้จะทำอย่างไรจึงจะมีเงินซื้อของกินมาปะทังชีวิต พลันสายตาก็มองเห็นนาฬิกาเรือนสวยที่ข้อมือเล็ก นี่เป็นสิ่งของที่เซียวอี้หยางโยนให้หลังจากมีความสัมพันธ์กับเจ้าของร่างเดิม ที่ผ่านมาเจ้าตัวจึงมักใส่นาฬิกานี้โอ้อวดคนไปทั่ว
ของของผู้ชายเฮงซวยจะเก็บไว้ทำไมกัน ไม่สู้เอามาแปลงเป็นทุนตั้งตัว
คิดได้ดังนี้แล้วซูหย่าฉินก็ใช้ความทรงจำจากการอ่านบทละครนึกทบทวนเรื่องราวในเรื่อง หากจำไม่ผิดผู้เขียนได้กำหนดสถานการณ์ในยุคนี้ว่าเป็นช่วงขาดแคลนอาหาร ของกินของใช้ถูกรัฐบาลควบคุมราคาและปริมาณการกักตุน ทำให้มีตลาดมืดแอบขายสินค้า ดังนั้นหากคิดจะขายนาฬิกาเรือนนี้ตลาดมืดจึงเป็นสถานที่เดียวที่เธอจะสามารถปล่อยของได้อย่างปลอดภัย
เพียงแต่ที่ขายมีแล้ว ที่ยังขาดก็คือ... เธอไม่รู้ว่านาฬิกาเรือนนี้มีราคาเท่าไหร่
ดวงตาเรียวหงส์มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นร้านค้าสหกรณ์ประจำอำเภอ ริมฝีปากบางก็คลี่ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ ในยุคนี้สถานที่ที่มีของครบครันตั้งแต่รองเท้ายันอิฐสร้างบ้านก็คงมีแต่ร้านสหกรณ์อำเภอแล้ว
"สหายผู้นี้ไม่ทราบว่าต้องการซื้ออะไรหรือ"
"ฉันอยากได้นาฬิกา คล้ายๆ แบบนี้คุณมีไหม"
ซูหย่าฉินยื่นข้อมือเล็กของตนเองออกไป พนักงานประจำร้านสหกรณ์ก็ถึงกับเบิกตากว้าง
"นี่เป็นนาฬิการุ่นเฉพาะ ทั้งเมืองไห่จินมีเพียงสิบเรือนเท่านั้น ขออภัยด้วยทางร้านเราไม่มีของราคาสูงขนาดนี้ขาย"
ราคาสูง เพียงแค่ได้ยินคำนี้ในใจของซูหย่าฉินก็ดีใจจนแทบเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่อยู่ แต่ที่เธออยากรู้ในตอนนี้ก็คือราคาสูงที่อีกฝ่ายว่าถึงนั้นคือราคาเท่าไหร่กัน
"หากไม่มีรุ่นนี้ก็เอารุ่นที่ราคาใกล้เคียงกันมาก็แล้วกัน"
"ขอโทษด้วยสหาย นาฬิกาเรือนนี้มีราคาถึงหนึ่งพันหยวน ทางเราไม่กล้าเอาของราคาสูงขนาดนี้มาขาย"
หนึ่งพันหยวน ถือว่าเป็นราคาที่สูงมากจริงๆ นับว่าเป็นความโชคดีที่เจ้าของร่างเดิม คลั่งไคล้เซียวอี้หยางมากจึงไม่ได้ขายของล้ำค่านี้ออกไป เมื่อรู้ราคาของแล้วซูหย่าฉินก็เดินออกมาจากสหกรณ์ คิดถึงบทบรรยายในต้นฉบับที่เธอเคยอ่าน
ตลาดมืดแท้จริงแล้วตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกับร้านสหกรณ์ประจำอำเภอ เพียงเดินไปตามถนนจนสุดทางแล้วเลี้ยวขวา จากนั้นเดินต่อไปจนถึงตึกสีเหลือง เข้าไปทางตรอกเล็กๆ ซ้ายมือก็จะถึงจุดหมาย
ซูหย่าฉินขมวดคิ้วช่างใจเล็กน้อย เส้นทางที่นักเขียนบรรยายนั้นแม้เธอไม่เคยไป แต่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าต้องคดเคี้ยวและเปลี่ยวอยู่ไม่น้อย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นเธอก็ไม่มีทางเลือก เมื่อเดินออกจากร้านสหกรณ์แล้วจึงรีบถอดนาฬิกาข้อมือของตนเองเก็บซ่อนเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะกัดฟันข่มความกลัวแล้วเดินไปยังเป้าหมาย
ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อซูหย่าฉินก็มาถึงสถานที่ที่ผู้คนเรียกกันว่าตลาดมืด อาจเพราะเป็นตลาดที่ตั้งอยู่ตามแนวระหว่างสองตึก ทำให้แสงสว่างส่องไม่ถึง บรรยากาศจึงอึมครึมมองเห็นไม่ชัดเจน ซูหย่าฉินไม่ได้หยิบนาฬิกาออกมาขายเลยในทันที ทว่าเลือกจะเดินสำรวจในตลาดมืดแห่งนี้ก่อน จนได้พบว่าที่นี่มีของขายเกือบทุกสิ่งจริงๆ เพียงแต่ราคาบางอย่างจะสูงกว่าตลาดด้านนอก และบางสิ่งก็ถูกกว่าเป็นอย่างมาก เมื่อสำรวจมาได้สักพักหญิงสาวก็พบเจอคนที่ต้องการ
"สหายท่านนี้ไม่ทราบว่าต้องการนาฬิการุ่นไหน"
เสียงชายขายนาฬิกาเอ่ยถามลูกค้า ซูหย่าฉินมองดูลูกค้าชายคนที่ห้าที่แวะเข้ามายังร้านขายนาฬิกาแล้วลอบยกยิ้มอย่างพึงพอใจ เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน การแต่งกายสุภาพรัดกุม พิจารณาแล้วย่อมเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักตรงตามเป้าหมายที่เธอกำลังต้องการ เพียงแต่ค้าขายต้องมีจรรยาบรรณเธอย่อมไม่แย่งลูกค้าของอีกฝ่ายตรงๆ แต่ถ้าเป็นอ้อมๆ ก็ไม่นับว่าผิด
"ขออภัยเจ้าของร้าน ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อนาฬิกาไหม"
พูดพลางยื่นนาฬิกาในมือออกไป ชายเจ้าของร้านมีหรือจะไม่เข้าใจกลโกงของหญิงสาว แต่ชายตรงหน้าเดิมทีก็จะลุกจากไปอยู่แล้ว ถือเสียว่าครั้งนี้เขาทำบุญช่วยเด็กสาวสักครั้งก็แล้วกัน
"นาฬิกาเรือนนี้ของเธอดูแล้วคงเป็นรุ่นสั่งทำพิเศษ ราคาสูงมาก"
"เจ้าของร้านช่างมีสายตาเฉียบแหลม ของชิ้นนี้เดิมทีเป็นรางวัลที่สามีทหารของฉันเคยได้รับ แต่เขาเสียชีวิตในหน้าที่ไปเมื่อห้าปีก่อนแล้ว ตอนนี้ฉันกับลูกมีชีวิตที่ยากลำบากจึงจำต้องขายของออกไป"
ได้ยินหญิงสาวหน้าตางดงาม มีชีวิตที่แสนรันทด อีกทั้งเธอยังเป็นครอบครัวของทหารเหมือนกับตน ชายตรงหน้าก็เอ่ยถามราคาซื้อของ
"ของชิ้นนี้ราคาหนึ่งพัน..."
"หนึ่งพันห้าร้อยหยวน แต่สาวน้อยเธอช่วยลดลงหน่อยได้ไหม"
ซูหย่าฉินเอ่ยไม่ทันจบประโยคชายเจ้าของร้านก็บอกราคา สุดท้ายเจรจากันไปมา นาฬิกาในมือของเธอก็สามารถขายออกไปได้ที่ราคาหนึ่งพันสามร้อยหยวน เมื่อรับเงินส่งของเสร็จแล้วซูหย่าฉินก็หันมานับเงินส่งให้ชายขายนาฬิกาสามร้อยหยวน
"เดิมที่นาฬิกาเรือนนี้ฉันตั้งใจจะขายที่หนึ่งพันหยวนแต่เพราะคุณช่วยเจรจาจึงได้ราคาเพิ่ม ดังนั้นส่วนที่เกินมานี้ถือเสียว่าเป็นส่วนแบ่งค่าเจรจาของคุณ ภายหน้าหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีก"
เห็นหญิงสาวรู้ความและทำการค้าเป็นชายขายนาฬิกาก็รู้สึกถูกชะตากับเธอขึ้นมา หลังรับเงินมาแล้วก็ตอบแทนด้วยการให้คำแนะนำเรื่องการค้าขายของในตลาดมืด ตลอดจนเส้นทางการหนีเอาตัวรอดยามที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมคนให้กับเธอ ซูหยาฉินเห็นว่าเริ่มเย็นแล้วจึงเอ่ยขอบคุณเขาอีกครั้งแล้วรีบจากไป
.......................................
"แม่ หยาหยากลัวแล้ว แม่ปล่อยหยาหยากับพี่ชายเถิด ต่อไปพวกเราจะไม่ดื้อ จะเชื่อฟัง"เซียวอี้หยาร้องไห้ น้ำตาอาบแก้มราวกับหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ในตอนนี้จริงๆ หากแต่เมื่อสบตากลมใสของเด็กสาวกลับพบว่าไร้ความกังวล อีกทั้งยังลอบยิ้มเล็กๆ ให้มารดาและพี่ชาย เพื่อบอกว่าทั้งหมดนี้เป็นการแสดงของเธอ ทำเอาพี่ชายอย่างเซียวอี้เหยาถึงกับถอนหายใจยาวตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่น้องสาวของเขารู้จักการเสแสร้งเช่นนี้"เงียบเดี๋ยวนี้ หากทำให้ฉันโมโห ฉันจะตีแกให้ขาหักเลย"ซูหย่าฉินแสร้งตวาดดุ เซียวอี้หยาก็ตอบรับบทด้วยการเม้มริมฝีปาก ไหล่สะท้านราวกับกำลังกั้นก้อนสะอื้น หวาดกลัวสุดหัวใจ ไห่เยี่ยนเห็นความสัมพันธ์ของพวกเขาแม่ลูกเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจ ส่งสายตาให้คนที่แอบดูอยู่ออกมารับคน"นายท่าน นี่คือเด็กสองคนที่ฉันบอกว่าจะเอามาขายให้คุณ"ซูหย่าฉินมองกลุ่มค
หลังจากนำผักป่าและไข่ไปส่งให้จางเสวี่ยนอิง เซียวอี้เหยาก็กลับมาที่บ้าน เขาตรงไปที่เล้าไก่เพื่อนำแม่ไก่ทั้งสองตัวออกไปหาอาหาร ทว่าเมื่อไปถึงเล้าไก่กลับพบเพียงความว่างเปล่า คิ้วเล็กหนาขมวดเข้าหากันแน่น นี่แสดงว่าแม่ไก่ที่หายไปเมื่อคืนก่อนยังไม่กลับมา เช่นนั้นไข่ไก่ที่แม่ใช้ทำอาหารให้พวกเขากินมาจากที่ใดกัน เด็กชายคิดด้วยความสงสัยแต่เมื่อนึกถึงเงินที่คนเป็นพ่อจะส่งมาให้ทุกเดือนในใจของเขาก็คลายความสงสัยลง บางทีมารดาอาจจะซื้อไข่ไก่กลับมาบ้านตั้งแต่เมื่อวันก่อน เมื่อได้ข้อสรุปให้กับความสงสัยของตนเองแล้ว เด็กชายก็เดินไปหยิบถังน้ำเมื่อวานเขาไม่ได้ไปตักน้ำ หากมารดาเกิดต้องการใช้น้ำแล้วพบเพียงถังน้ำที่ว่างเปล่าต้องโมโหขึ้นมาอีกแน่ๆ ทว่ายังไม่ทันเดินออกจากประตูรั้วบ้านเสียงของน้องสาวก็ดังขึ้น"พี่ชายจะไปไหนหรือ""หยาหยา เธอไปเล่นในบ้านก่อน เดี๋ยวพี่ชายตักน้ำเสร็จค่อยพาเธอออกไปเดินเล่นข้างนอก"
ซูหย่าฉินเดินกลับเข้ามาในห้อง มองดูเด็กสองคนที่นอนอยู่บนผ้านวมผืนหนา แล้วย่อตัวลงหยิบผ้ามาห่มให้พวกเขาอย่างใส่ใจ เดิมทีเธอต้องการหาทางกลับโลกเดิมของตน เมื่อไม่สามารถกลับไปได้สิ่งที่ต้องทำก็คือการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเจ้าของร่างเดิม ที่ต้องตกตายอย่างทรมานเพราะแรงแค้นของเซียวอี้เหยา ดังนั้นเพื่อหยุดเส้นเรื่องเหล่านี้สิ่งที่เธอต้องจัดการเป็นอันดับแรกก็คือเปลี่ยนชะตาของเด็กทั้งสองเซียวอี้เหยาฟังเสียงฝีเท้าของมารดาที่เดินห่างออกไป ก็ลืมตาขึ้นมองดูผ้าห่มบนตัว ด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยสัมผัส หากทั้งหมดที่มารดาของเขากำลังกระทำในตอนนี้เป็นเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ ต้องทำอย่างไรเธอจึงจะยินดีเสแสร้งแกล้งทำไปทั้งชีวิตจวบจนเช้าวันใหม่มาเยือนซูหย่าฉินที่ตื่นก่อนเด็กๆ ก็รีบเดินไปในห้องครัวเพื่อเข้าไปในระบบเพาะปลูก ดวงตากลมเบิกกว้าง มองดูลูกไก่สี่ตัวที่ฟักออกมาจากไข่แล้วยิ้มกว้าง ตอนนี้ในระบบมีแม่ไก่ที่พร้อมออกไข่สามตัว ลูกไก่ที่กำล
หลังจากบอกชัดเจนถึงเจตนาของตนเองแล้ว ซูหย่าฉินก็จับเด็กทั้งสองคนให้นั่งเผชิญหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง"ครั้งนี้ที่แม่ตกลงกับคนบ้านไห่ว่าจะขายลูกๆ ก็เพราะต้องการจัดการพวกค้ามนุษย์เหล่านี้ให้หมด ลูกๆ ยินดีช่วยแม่ไหม""หยาหยา ยินดีค่ะ"เด็กสาวเอ่ยบอก ขณะที่เด็กชายมีท่าทีลังเลอีกครั้ง"แม่ต้องการให้พวกเราทำอะไรครับ""แกล้งทำเป็นถูกบังคับไปขาย"แกล้งทำเป็นถูกบังคับไปขาย ถึงแม้เมื่อครู่เขาจะเข้าใจเจตนาของมารดาแล้ว แต่ส่วนลึกในใจก็ยังคงหวาดระแวง หลายปีมานี้มารดาของเขาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นอันดับหนึ่ง และรังเกียจการมีอยู่ของพวกเขาสองคนเสมอ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ที่เธอเปลี่ยนไปจึงยากจะเชื่อใจ"หยาหยาขี้กลัว เช่นนั้นให้ผมไปคนเดียวได้ไหม"ซูหย่าฉินย่อมมองความคิดของเด็กชายออก เดิมทีที่แจ้งกับไห่
"พี่ชาย มีเรื่องอะไรหรือ ทำไมพี่ถึงไม่ให้หยาหยากินข้าวกับแม่"เซียวอี้เหยาไม่ตอบคำถามของน้องสาว แต่นำอาหารสองจานบนโต๊ะไปเททิ้งในทันที มือเล็กทั้งสองข้างสั่นเทา ความกลัวเข้ากอบกุมในจิตใจจนไม่อาจต้านทานทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่าร้องไห้จนตัวสั่นโยง"ในเมื่อตัดสินใจลงมือแล้วจะเสียใจทำไม"น้ำเสียงราบเรียบทว่าแฝงความเจ็บปวด ผิดหวังที่ชัดเจนดังขึ้นอยู่เบื้องหน้า เซียวอี้เหยากลืนก้อนสะอื้นลงท้อง แล้วเงยหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาขึ้นสบตาที่แดงก่ำของมารดาผู้หญิงคนนี้ เธอเพิ่งร้องไห้มาหรือ"อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ควรบอกเหตุผลสักหน่อยไหม ว่าทำไมถึงได้ทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้"เซียวอี้เหยาขบกรามกำหมัดแน่น ก่อนจะขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งเป็นคุกเข่า ก้มหน้า"แม่... ขายผมแค่คนเดียวได้ไหม"ขาย คำพูดที่หนักแน่นมั่นคงของเซียวอี้เหยาทำให้ซูหย่าฉินขมวดคิ้วแน่น"ใครบอกว่าฉัน... แม่จะขายพวกเธอ"เซียวอี้เหยาเม้มริมฝีปากเล็ก หากเขาบอกว่าบังเอิญได้ยินมารดาสนทนากับไห่เยี่ยนเธอจะโกรธจนเร่งขายเขากับน้องสาวออกไปหรือไ
ซูหย่าฉินกลับมาถึงบ้านก็พบว่าเด็กทั้งสองที่ควรนอนพักอย่างที่เธอสั่งความเอาไว้ก่อนขึ้นเขาไป ตอนนี้กลับกำลังช่วยกันทำงานบ้าน เซียวอี้หยากำลังซักผ้า ในขณะที่เซียวอี้เหยากำลังกำขวานฝ่าฟืนจนฝ่ามือแตกเป็นแผล ซูหย่าฉินมองภาพตรงหน้าแล้วน้ำตาเอ่อคลอ ได้แต่คิดอย่างสงสัยว่า เจ้าของร่างเดิมคนนี้เป็นพวกเกิดมามีแต่ตัวไม่มีความคิดหรืออย่างไร ทั้งมีลูกที่น่ารัก ทั้งมีญาติที่เอื้อเฟื้อ เหตุใดยังไม่รู้จักใช้ชีวิตให้ดีๆ ร้องหาแต่สามีเฮงซวย ไร้ความรับผิดชอบผู้นั้นอยู่ได้!!"หยาหยา เหยาเหยา""แม่กลับมาแล้ว"เป็นเซียวอี้หยาที่ร้องเรียกแล้ววางผ้าในมือ ก่อนจะวิ่งมาหามารดาเป็นคนแรก ซูหย่าฉินย่อตัวลงนั่งให้ระดับสายตาอยู่ในแนวเดียวกับเด็กหญิง ปลดตะกร้าบนบ่าออกวางแล้วอ้าแขนโอบคนตัวเล็กเข้าแนบอก เซียวอี้หยายิ้มกว้างซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของมารดาด้วยความสุขอ้อมกอดของแม่อบอุ่นที่สุดเลยเซียวอี้เหยามองภาพตรงหน้าแล้ว







