LOGINรถม้าคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอยู่ที่ตลาดติดกับทะเลสาบหานฟง แสงอาทิตย์ทอประกายลงมากระทบผิวน้ำ ส่องแสงประกายวิบวับราวกับอัญมณีล้ำค่า บรรยากาศร่มรื่นเย็นสบายจากสายลมแห่งวสันตฤดู
มู่ฝานในร่างของสวีอี้ฝานก้าวลงมาจากรถม้า ดวงตากวางกวาดมองไปรอบๆอย่างมีความสุข แม้นางจะเป็นคนแคว้นฮั่น แต่ไม่เคยได้มาแวะเวียนเดินเล่นซื้อของเช่นนี้มาก่อน นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกเฉียวกุ้ยเฟยพระมารดาของหวางจื่อชางอ๋องทรงเก็บมาเลี้ยงด้วยความเวทนา ทว่าแม้จะเป็นสตรีตัวเล็กบอบบางแต่เรื่องการต่อสู้ไม่แพ้บุรุษใด เมื่อโตขึ้นจึงถูกพาเข้าไปประจำที่หน่วยองครักษ์อวี่หลิน ฉายาหน่วยม้าบิน หน่วยราชองครักษ์ที่ถวายการอารักขาใกล้ชิดของเชื้อพระวงศ์ มู่ฝานฝึกปรือวิชาฝีมือจนผ่านการคัดเลือกได้รับตำแหน่งองครักษ์เงาประจำตัวของหวางจื่อชางอ๋อง นางอยู่รับใช้ข้างกายเขามาหลายปี ไม่เคยทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง
"คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ" เสียงของหลิงหลิงบ่าวรับใช้คนสนิทข้างกายของสวีอี้ฝานดังขึ้นทำให้เจ้าตัวหลุดจากภวังค์ความคิด
"มีอะไรหรือ" สวีอี้ฝานผินหน้ากลับมามองไปยังบ่าวรับใช้ข้างกายด้วยความงุนงง
"คุณหนูคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ เหตุใดถึงได้ดูเหม่อลอยเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ" หลิงหลิงถามด้วยความสงสัย นางเห็นเจ้านายยิ้มแย้มสลับกับทำหน้าเศร้าอยู่นานสองนานแล้ว
"เปล่าหรอก รีบไปกันเถอะ ข้าคันไม้คันมืออยากใช้เงินไปหมดแล้ว" หญิงสาวยกมือทั้งสองข้างถูกันไปมา ดวงตาจดจ้องไปยังร้านรวงต่างๆอย่างหมายมาด ในเมื่อมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ในร่างคุณหนูใหญ่แห่งสกุลสวีผู้ร่ำรวยทั้งที นางจะใช้เงินราวกับว่ามันเป็นเพียงเศษกระดาษไร้ค่าเลย คอยดูสิ!
หญิงสาวเดินเข้าร้านโน้นเดินออกร้านนี้จนพอใจ หลิงหลิงที่ถือของเต็มไม้เต็มมือถึงกับหอบแฮ่กมองเจ้านายที่ยังคงเลือกซื้อของอย่างสบายอารมณ์ด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้ว่าคุณหนูสวีอี้ฝานกลายเป็นคนใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
"หลิงหลิง เจ้าเอาของไปเก็บที่รถม้าก่อนเถิด" โบกมือไล่สาวใช้ เมื่อเห็นว่ายามนี้ข้าวของเต็มไม้เต็มมือของหลิงหลิงจนแทบไม่มีมือจับอีกต่อไปแล้ว
"เจ้าค่ะ คุณหนูรอบ่าวอยู่ตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ" หลิงหลิงเอ่ยจบก็รีบวิ่งจากไปด้วยความรวดเร็ว
สวีอี้ฝานหมุนกายหันหลังกวาดตามองไปรอบๆเพื่อหาจุดหมายในการใช้เงินร้านต่อไป แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นกลุ่มคนกำลังยืนมุงอะไรบางอย่าง สัญชาตญาณบอกว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่ปกติเกิดขึ้น ความอยากรู้อยากเห็นทำให้หลงลืมวาจาของหลิงหลิงไปชั่วขณะ ขาเรียวก้าวเดินตรงไปยังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
"ท่านเป็นถึงบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ แต่เหตุใดต้องทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ด้วยเล่า คิดว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วหรือ" เสียงหวานใสดังขึ้น สวีอี้ฝานแทรกกายฝ่าฝูงชนเข้าไปจนได้เห็นสตรีรูปร่างบอบบางผู้หญิงกำลังยืนต่อว่าชายฉกรรณ์หน้าตาน่ากลัวอย่างกล้าหาญ ข้างหลังของนางมีชายชราแต่งกายซอมซ่อยืนอยู่ บนพื้นมีขนมกุ้ยฮวาหกกระจายเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด
"คุณหนูหยวนเสี่ยวหงนี่เอง" หญิงสาวพึมพำเสียงเบา นางจำได้ดีว่าสตรีผู้นี้คือคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหยวน ชื่อเสียงของนางเป็นที่รู้จักในคนหมู่มากเพราะเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามอีกทั้งยังนิสัยดี ชอบช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากอยู่เสมอ
"ฮะ ฮ่า แม่นางคนงามกล่าวเกินไปแล้ว ข้าหาได้รังแกชายแก่ผู้นี้ไม่ ข้าเพียงต้องการอุดหนุนเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ชายแก่ผู้นี้กลับโกงเงินค่าขนมของข้าไป" ชายร่างใหญ่คนหนึ่งกล่าวขึ้น ในขณะที่อีกสองคนที่เหลือก็รีบพูดจาสนับสนุนสหายของตนทันที
"มะ ไม่จริงนะขอรับ พวกท่านต่างหากที่กินขนมข้าแล้วไม่จ่ายเงิน อีกทั้งยังโวยวายขว้างปาข้าวของๆข้าจนหกกระจายเกลื่อนพื้นไปหมด" ประโยคสุดท้ายชายชราหันไปกล่าวกับบุรุษทั้งสามคน สีหน้าของเขาเศร้าสร้อย สายตาฝ้าฟางมองไปยังขนมที่หกเกลื่อนอยู่พื้นด้วยความเสียดาย ท่าทางดูน่าสงสารอย่างมาก
"ว่าอย่างไรนะ! ตาแก่ผู้นี้นิสัยปลิ้นปล้อน พวกข้าน่ะหรือจะโกงเงินเจ้า ขนมของเจ้าก็ใช่ว่าจะอร่อยนักหนา ข้าช่วยซื้อให้ก็ดีตั้งเท่าไหร่แล้ว" เขาแกล้งเอ่ยขึ้นมาเสียงดัง หมายจะข่มขวัญให้ฝ่ายตรงข้ามหวาดกลัว
"ท่านป้าเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ" สวีอี้ฝานใช้นิ้วเรียวสะกิดหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างกาย นางจึงหันมากระซิบกระซาบเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง ได้ความว่า บุรุษร่างใหญ่สามคนนี้กินขนมกุ้ยฮวาแล้วไม่จ่ายเงิน แต่เมื่อชายชราเจ้าของร้านทวงกลับไม่พอใจ แกล้งทำทีเป็นโวยวายทำลายข้าวของจนพังไม่เหลือชิ้นดี จนกระทั่งคุณหนูสกุลหยวนเข้ามาช่วย
สวีอี้ฝานขานรับดังอ้อเบาๆ หยวนเสี่ยวหงมีจิตใจดีสมเป็นนางเอกเสียจริง...
"แม่นางคนงาม เจ้าทำให้พวกข้าต้องอับอายรีบกล่าวคำขอโทษมาเถิด ไม่อย่างนั้นจะหาว่าพวกข้าไม่เตือนไม่ได้นะ" ชายผู้หนึ่งกล่าวเสียงแข็ง ทำทีเปลี่ยนเฉไฉไปเรื่องอื่น
"เหตุใดข้าต้องขอโทษ พวกท่านต่างหากที่เป็นคนผิดควรจะขอโทษท่านลุงผู้นี้" หยวนเสี่ยวหงกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้ ไม่สนใจบ่าวรับใช้คนสนิทที่ใช้มือสะกิดนางยิกๆ
"ได้! หากไม่ขอโทษก็คงต้องได้เห็นดีกัน!" กล่าวเสียงแข็งพลางย่างสามขุมเข้ามาหา บรรดาผู้คนที่ห้อมล้อมต่างพากันยืนดูด้วยใจระทึก ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเลยสักคน
"ฝานฝานข้าหิวแล้วรีบไปกินข้าวกันเถิด" เขากล่าวเสียงสั่นก่อนรีบสาวเท้าเดินออกมาจากห้อง สวีอี้ฝานทำหน้ามุ่ยอย่างไม่เข้าใจนัก เขาไม่ต้องการนางแล้วหรือ ไยถึงทำท่าทางรังเกียจไม่อยากแตะต้องตัวนางเช่นนั้นเล่าทว่านางยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สวีอี้ฝานรีบก้าวยาวๆตามสามี จับมือหนาของเขาเอาไว้และเดินไปตรงระเบียงหน้าหอนอนที่มีโต๊ะกลมวางอยู่ บนโต๊ะถูกจุดด้วยเทียนเล่มเล็กให้ความสว่างไสวอย่างสลัวๆ ที่ตรงนี้บรรยากาศดีสามารถมองเห็นวิวของสวนอุทยานในตอนกลางคืนได้อย่างชัดเจน"ท่านพี่นั่งก่อนเจ้าค่ะ" หญิงสาวผายมือให้เขาอย่างเชื้อเชิญ เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งลงแล้ว นางจึงเดินกรีดกรายไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขา"วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือเปล่า" เปาอี้ส่วงถามด้วยความสงสัย มองบรรยากาศรอบกายด้วยความสับสน วันนี้หาใช่วันเกิด หรือวันครบรอบแต่งงานของเขาและนาง เหตุใดนางถึงทำเหมือนว่าวันนี้มันเป็นวันพิเศษ"ถ้าไม่ใช่วันพิเศษข้าจะกินข้าวกับท่านพี่ด้วยบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หรือเจ้าคะ" มือบางเท้าคางจดจ้องไปยังคนตัวโตตาแป๋ว ท่าทางน่ารักน่าชังจนทำให้คนมองใจสั่นสะท้าน"แน่นอนว่าย่อมได้ ฝานฝานก็รู้ว่าข้าตามใจเจ้าเสมอ" ชายหนุ่มเ
หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมาก เจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้าง แม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้
"ว้าย! ฝานฝานขึ้นไปทำอะไรบนนั้นรีบลงมาเถิด เดี๋ยวจะตกลงมานะ อันตรายจริงๆ!""ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านย่า แต่ก่อนข้าเคยขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ" หญิงสาวตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับท่าทีตกใจของจางเข่อซินยามนี้ความสัมพันธ์ของคนสกุลสวีกับฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นมาก นับว่าเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่ายามนี้สวีอี้ฝานกำลังตั้งครรภ์ นางรู้สึกดีใจจนร้องไห้ออกมา หากเจ้าก้อนแป้งเกิด นางก็จะกลายเป็นท่านทวด เมื่อนึกถึงเจ้าก้อนกลมที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของคนสกุลเปาส่วนหนึ่งก็ยิ่งรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ นางมักจะสรรหาของกินอร่อยๆหรือยาบำรุงชั้นเลิศมาให้สวีอี้ฝานอยู่เสมอ ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยินดียิ่งกว่าคนเป็นแม่อย่างนางเสียอีก"ตายแล้ว! หนิงเชา ข้าจะทำอย่างไรดี หากฝานฝานตกลงมาหลานข้าคงไม่รอดแน่ โอย" ร่างบางของจางเข่อซินถึงกับซวนเซทำท่าจะล้มลง ยิ่งได้เห็นตอนที่สวีอี้ฝานกระโดดขึ้นเกาะลำต้นไม้ใหญ่สลับต้นกันไปมา นางก็รู้สึกใจสั่นราวกับจะหลุดออกมานอกอก ห่วงทั้งเจ้าก้อนกลมที่อยู่ในท้องและแม่ของเจ้าก้อนกลมที่ดูจะดื้อรั้นมากเหลือเกินทว่าเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวก็มีสายลมพัดวูบผ่าน
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิม เพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ "ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปาก ทว่ากินไปได้
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
หญิงสาวรับแผ่นกระดาษใบเล็กมาจากสาวใช้ก่อนจะเปิดคลี่ออกอ่าน เนื้อความในจดหมายเปาอี้ส่วงเขียนถึงนางไว้ว่า'ฝานฝาน เจ้าคงเกลียดและผิดหวังในตัวข้ามากที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ทว่าข้ารู้ว่าต่อให้ข้ากล่าวคำขอโทษซ้ำๆเจ้าก็คงยากที่จะให้อภัยข้า เดิมทีข้าคิดว่าหากข้าง้องอนเจ้า เจ้าคงจะให้อภัยข้าได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารำคาญ ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่มากวนใจเจ้าอีก'สวีอวี้ฝานขมวดคิ้วมุ่น "คนบ้า! ข้ารำคาญท่านเสียที่ไหนกัน แค่นี้ก็ดูไม่ออกหรือว่าข้าแกล้งทำเพราะอยากทดสอบความอดทนของท่านเท่านั้น"หญิงสาวรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่เปาอี้ส่วงถอดใจจากนางอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นถ้อยคำทิ้งท้ายที่เขาเขียนไว้ในจดหมาย จากความรู้สึกผิดหวังน้อยใจก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที'เจ้าจะอยู่ในความทรงจำของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสวีอี้ฝานหรือมู่ฝาน ข้าก็จะรักเจ้าตลอดไป'สวีอี้ฝานรู้สึกใจหายวาบ นิ่งอึ้งไปหลายวินาที จ้องข้อความในจดหมายตาไม่กะพริบ ทางฝ่ายหลิงหลิงเห็นเจ้านายเงียบไปนางก็รู้สึกใจคอไม่ดีเท่าใดนัก นางสงสารฮูหยินเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่เข้าใจท่านแม่ทัพเปาว่าเหตุใดเขาถึงทอดทิ้งฮู







