LOGIN"อย่าทำร้ายคุณหนูของข้านะ" เจียถงรีบก้าวเข้ามาขวาง แต่กลับถูกชายร่างใหญ่ผลักจนล้มคะมำไปกองอยู่บนพื้น
ปั่ก!
ทว่าก่อนจะก้าวถึงตัวของหยวนเสี่ยวกลับมีรองเท้าผ้าแพรเนื้อดีสีม่วงอ่อนลอยละลิ่วมากระแทกศีรษะของเขาเสียก่อน
"ผู้ใดกัน!" ชายผู้นั้นแผดเสียงกร้าวด้วยความโกรธ มองรองเท้าคู่เล็กในมือด้วยความหงุดหงิดปนอับอาย
นี่มันรองเท้าของสตรีชัดๆ!
"ของข้าเอง" สวีอี้ฝานก้าวเข้าไปยืนตรงกลางของวงสนทนา โดยมีสายตาของหยวนเสี่ยวหงมองคนมาใหม่ด้วยความประหลาดใจ
"คุณหนูสวีอี้ฝาน" นางเคยเห็นสวีอี้ฝานตามงานสังคมประปรายทว่าไม่เคยพูดคุยกันเป็นส่วนตัว
"แม่นางโยนรองเท้าใส่ศีรษะของข้าหรือ" เขาถามเสียงแข็งกระด้าง กวักมือเรียกชายอีกสองคนให้เดินเข้ามาล้อมตัวของสวีอี้ฝานเอาไว้
"เปล่าเสียหน่อย จู่ๆรองเท้าของข้าก็ดันหลุดไปโดนหัวของพวกท่านเอง หากไม่เชื่อก็ดูนี่สิ" กล่าวพลางยกเท้าอีกข้างขึ้นมาอย่างแรงจนรองเท้าผ้าแพรสีม่วงอ่อนที่ยังติดอยู่ที่ข้อเท้าของนางลอยละลิ่วไปกระแทกใบหน้าของชายอีกคนเข้าเต็มเปา
"ไม่ใช่แล้ว แม่นางจงใจทำร้ายพวกข้า!"
"อ้อ งั้นหรือ คงเป็นเพราะใบหน้าและนิสัยของพวกท่านมันรบกวนบาทาของข้ามากกระมัง" สวีอี้ฝานเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ท่าทางยียวนกวนประสาทของนางทำให้ความอดทนของชายฉกรรจ์ทั้งสามคนขาดผึงลงทันใด
"วอนเสียแล้ว อย่าหาว่าข้ารังแกสตรีก็แล้วกัน" ขายาวก้าวฉั่บๆเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นหมายจะฟาดลงบนใบหน้างามเป็นการสั่งสอน
ทว่า...
โป๊ก! ด้ามกริชสีเงินลอยละลิ่วมากระแทกศีรษะของเขาอย่างจัง
"อ๊ากกก อูย" ชายร่างหนาถึงกับล้มลงไปกองกับพื้น ยกขึ้นกอบกุมหน้าผากของตนที่มีโลหิตไหลซึมออกมา ส่วนชายพรรคพวกอีกสองคนถึงกับทำหน้าเลิ่กลั่กมองหาต้นสายปลายเหตุด้วยความหวาดหวั่น
"ท่านแม่ทัพเปา" เสียงชาวเมืองพากันขานเรียกผู้มาใหม่ วงล้อมของฝูงชนค่อยๆแหวกออกจากกันเผยให้เห็นร่างสูงของเปาอี้ส่วงกำลังเดินตรงเข้ามา ดวงตาคู่คมสองข้างทอดมองไปข้างหน้าไม่ไหวติงและไม่สบสายตาของผู้ใด
คำกล่าวเรียกชื่อคนมาใหม่ทำให้ชายทั้งสามคนพากันหน้าถอดสีรีบกุลีกุจอลุกขึ้นวิ่งหนีจากไปด้วยความรวดเร็ว
"คุณหนูเจ้าขา คุณหนูของบ่าว" หลิงหลิงวิ่งน้ำตาหน้าคลอเบ้าเข้ามาหาสวีอี้ฝานพร้อมจับคนร่างบางหมุนไปมา ส่งสายตามองอย่างสำรวจด้วยความตกใจ
หลังจากนำข้าวของไปเก็บบนรถม้าเสร็จ เมื่อเดินกลับมาก็ไม่เห็นคุณหนูของนางแล้ว นางจึงวิ่งวุ่นออกตามหากว่าจะรู้ว่าคุณหนูมีเรื่องกับบุรุษนักเลงตัวโตทั้งสามคนก็ตอนที่ชาวเมืองพากันแหวกทางออกเผยให้เห็นเหตุการณ์ภายในวงล้อม
"เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ"
"ไม่เป็นไร ข้าสบายดี" สวีอี้ฝานส่งยิ้มกว้างให้หลิงหลิง เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงสบายใจขึ้น
"ท่านแม่ทัพเปา" หยวนเสี่ยวหงยอบกายคารวะผู้อาวุโสกว่าอย่างนอบน้อม สวีอี้ฝานเห็นเช่นนั้นจึงรีบทำตาม ในขณะที่ชายหนุ่มผู้มาใหม่เพียงแค่ผงกศีรษะรับเบาๆเป็นการตอบรับเท่านั้น
"บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่" เสียงทุ้มทว่าหนักแน่นกล่าวถาม ดวงตาทอดมองไปยังที่ว่างตรงกลางระหว่างสตรีทั้งสองคน สวีอี้ฝานและหยวนเสี่ยวหงหันมาสบตากัน ก่อนที่หยวนเสี่ยวหงจะเป็นฝ่ายเอ่ยตอบ
"ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ โชคดียิ่งนักที่ได้คุณหนูสวีอี้ฝานมาช่วยไว้"
สวีอี้ฝานทำตาโตรีบยกมือขึ้นโบกไปมา
"เปล่าเลย ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิดเดียว มีแต่คุณหนูหยวนเสี่ยวหงที่กล้าหาญกล้าต่อกรกับพวกบุรุษร่างหนาหน้าตาน่ากลัวพวกนั้น" ถึงแม้ว่าข้าเกือบได้เอาเลือดหัวของพวกมันออกแล้วก็ตาม ประโยคหลังนางได้แต่คิดในใจ
"ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คิดจะช่วยผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่างไรเสียก็ต้องรู้จักประมาณตน หาไม่จากวีรบุรุษจะกลายเป็นเหยื่อเสียเอง นั่นไม่ใช่วิถีของคนฉลาด" เปาอี้ส่วงกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้าเฉยชาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด
'นั่นเป็นคำชมหรือคำด่ากันนะ' สวีอี้ฝานคิดในใจ พลางเหลือบไปมองคนข้างกาย เมื่อเห็นสีหน้าจืดเจื่อนของหยวนเสี่ยวหงจึงขานรับอ้อเบาๆ
วาจานั้นของท่านแม่ทัพเปาเป็นคำด่านี่เอง...
"ฝานฝานข้าหิวแล้วรีบไปกินข้าวกันเถิด" เขากล่าวเสียงสั่นก่อนรีบสาวเท้าเดินออกมาจากห้อง สวีอี้ฝานทำหน้ามุ่ยอย่างไม่เข้าใจนัก เขาไม่ต้องการนางแล้วหรือ ไยถึงทำท่าทางรังเกียจไม่อยากแตะต้องตัวนางเช่นนั้นเล่าทว่านางยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ สวีอี้ฝานรีบก้าวยาวๆตามสามี จับมือหนาของเขาเอาไว้และเดินไปตรงระเบียงหน้าหอนอนที่มีโต๊ะกลมวางอยู่ บนโต๊ะถูกจุดด้วยเทียนเล่มเล็กให้ความสว่างไสวอย่างสลัวๆ ที่ตรงนี้บรรยากาศดีสามารถมองเห็นวิวของสวนอุทยานในตอนกลางคืนได้อย่างชัดเจน"ท่านพี่นั่งก่อนเจ้าค่ะ" หญิงสาวผายมือให้เขาอย่างเชื้อเชิญ เมื่อเห็นชายหนุ่มนั่งลงแล้ว นางจึงเดินกรีดกรายไปนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขา"วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือเปล่า" เปาอี้ส่วงถามด้วยความสงสัย มองบรรยากาศรอบกายด้วยความสับสน วันนี้หาใช่วันเกิด หรือวันครบรอบแต่งงานของเขาและนาง เหตุใดนางถึงทำเหมือนว่าวันนี้มันเป็นวันพิเศษ"ถ้าไม่ใช่วันพิเศษข้าจะกินข้าวกับท่านพี่ด้วยบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้หรือเจ้าคะ" มือบางเท้าคางจดจ้องไปยังคนตัวโตตาแป๋ว ท่าทางน่ารักน่าชังจนทำให้คนมองใจสั่นสะท้าน"แน่นอนว่าย่อมได้ ฝานฝานก็รู้ว่าข้าตามใจเจ้าเสมอ" ชายหนุ่มเ
หลายเดือนต่อมาสวีอี้ฝานได้ให้กำเนิดบุตรชายฝาแฝดแก่เปาอี้ส่วง สร้างความปีติยินดีให้แก่คนสกุลเปาและคนสกุลสวีอย่างมาก เจ็ดวันหลังจากที่เจ้าก้อนแป้งคลอด สวีอี้ฝานก็ได้รับของขวัญที่ถูกส่งมาจากหวางจื่อชางอ๋อง นับตั้งแต่ที่เขาจากไปท่องยุทธภพ นางก็ไม่ได้พบเจอกับเขาอีกเลย เปาอี้ส่วงจัดการเปิดห่อของขวัญอย่างระมัดระวังพบว่ามันคือป้ายหยกสลักลวดลายมงคลหาใช่สิ่งของที่ใช้เกี้ยวสตรีอย่างที่เขานึกกลัวจึงค่อยโล่งใจไปบ้าง แม้ตัวของหวางจื่อชางอ๋องจะจากไป แต่เปาอี้ส่วงรู้ว่าอย่างไรเสียคนผู้นั้นไม่มีทางตัดใจจากสวีอี้ฝานได้โดยง่าย เขาจึงยังมีความหวาดระแวงเกรงว่าหวางจื่อชางอ๋องจะกลับมาแย่งชิงสวีอี้ฝานไปจากเขาอยู่ ยามนี้เจ้าเด็กแฝดทั้งสองคนอายุได้หนึ่งหนาวแล้ว เป็นเด็กอ้วนท้วนรูปร่างแข็งแรง พวกเขามีชื่อว่าเปาอี้เฉิงและเปาอี้หาน ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งได้เห็นพัฒนาการทางด้านหน้าตาทำให้ได้รู้ว่าเด็กๆทั้งสองคนถอดแบบจากคนเป็นพ่อแม่มาคนละครึ่ง ดูเป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์กันอย่างลงตัว คนที่ดูจะดีใจพอๆกับเปาอี้ส่วงที่เจ้าก้อนแป้งทั้งสองได้ถือกำเนิดขึ้นดูจะไม่พ้นเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นับตั้งแต่ตอนที่เด็กๆเกิดมาจนถึงตอนนี้
"ว้าย! ฝานฝานขึ้นไปทำอะไรบนนั้นรีบลงมาเถิด เดี๋ยวจะตกลงมานะ อันตรายจริงๆ!""ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะท่านย่า แต่ก่อนข้าเคยขึ้นไปสูงกว่านี้ด้วยซ้ำ" หญิงสาวตอบอย่างไม่สะทกสะท้านกับท่าทีตกใจของจางเข่อซินยามนี้ความสัมพันธ์ของคนสกุลสวีกับฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นมาก นับว่าเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่ายามนี้สวีอี้ฝานกำลังตั้งครรภ์ นางรู้สึกดีใจจนร้องไห้ออกมา หากเจ้าก้อนแป้งเกิด นางก็จะกลายเป็นท่านทวด เมื่อนึกถึงเจ้าก้อนกลมที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของคนสกุลเปาส่วนหนึ่งก็ยิ่งรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ นางมักจะสรรหาของกินอร่อยๆหรือยาบำรุงชั้นเลิศมาให้สวีอี้ฝานอยู่เสมอ ดูเหมือนว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะยินดียิ่งกว่าคนเป็นแม่อย่างนางเสียอีก"ตายแล้ว! หนิงเชา ข้าจะทำอย่างไรดี หากฝานฝานตกลงมาหลานข้าคงไม่รอดแน่ โอย" ร่างบางของจางเข่อซินถึงกับซวนเซทำท่าจะล้มลง ยิ่งได้เห็นตอนที่สวีอี้ฝานกระโดดขึ้นเกาะลำต้นไม้ใหญ่สลับต้นกันไปมา นางก็รู้สึกใจสั่นราวกับจะหลุดออกมานอกอก ห่วงทั้งเจ้าก้อนกลมที่อยู่ในท้องและแม่ของเจ้าก้อนกลมที่ดูจะดื้อรั้นมากเหลือเกินทว่าเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียวก็มีสายลมพัดวูบผ่าน
ยามนี้สวีอี้ฝานตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว หน้าท้องกลมนูนขยายใหญ่ออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ตอนที่ส่องกระจกทองเหลืองนางได้แต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเบาๆ ไม่นึกเลยว่าการตั้งครรภ์ช่างลำบากยากเข็ญยิ่งนัก นอกจากรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากแล้ว เวลาจะเดิน นั่งหรือนอนก็ไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน ดีแต่ว่าเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น อาการแพ้ท้องที่มีค่อยๆทุเลาลงไปมากแล้ว จากเดิมที่มักจะคลื่นเหียนเวลาที่ได้กลิ่นอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับเจริญอาหารมากกว่าเดิม เพราะตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ เปาอี้ส่วงจึงสั่งห้ามไม่ให้นางออกไปข้างนอกโดยที่ไม่มีเขาไปด้วย ทุกๆวันสวีอี้ฝานจึงได้แต่นั่งๆนอนๆอยู่ที่จวนสกุลเปาอย่างเบื่อหน่าย ยังดีที่ว่าหลี่อ้ายซีผู้เป็นมารดากับสวีหยางโปผู้เป็นบิดามักจะแวะเวียนมาเยี่ยมนางอยู่บ่อยๆ "ฮูหยินเจ้าขา ผลไม้มาแล้วเจ้าค่ะ" หลิงหลิงเดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ในมือถือถาดใส่อาหารเข้ามาวางไว้ที่โต๊ะกลม สวีอี้ฝานที่นอนเล่นอยู่บนเตียงค่อยๆหยัดกายลุกขึ้น "หลิงหลิงเอามาให้ข้าที่เตียง" นางเอ่ย หลิงหลิงจึงรีบยกมาให้ตามคำบอก ร่างบางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง บนตักวางถาดใส่ผลไม้พลางหยิบมันเข้าปาก ทว่ากินไปได้
ระหว่างที่สวีอี้ฝานกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นปานใจจะขาด ประตูห้องที่ปิดสนิทลงในตอนแรกก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของเปาอี้ส่วงก้าวเข้ามาร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ดขาวของหิมะ"ทุกคนมาทำอะไรที่ห้องของข้าขอรับ" ชายหนุ่มถามด้วยความงุนงง ก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปหาภรรยา เมื่อได้เห็นหยาดน้ำตาของนาง หัวใจของเขาราวถูกบีบรัดอย่างรุนแรง"ฝานฝานเป็นอะไรไป ใครรังแกเจ้า" เขาถามพลางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากับหนิงเชา"ข้าเปล่านะ" จางเข่อซินรีบส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปพยักเพยิดกับหนิงเชาเดินออกไปจากห้องเพื่อปล่อยให้สามีภรรยาได้อยู่ด้วยกันตามลำพังสวีอี้ฝานปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอย่างลวกๆ มองสามีอย่างงอนๆ เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของเขาพลางส่งสายตามองสำรวจทั่วตัว"ท่านพี่ท่องยุทธภพกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ""ท่องยุทธภพอะไรกัน" คิ้วกระบี่ขมวดเข้าหากัน เปาอี้ส่วงถามด้วยความไม่เข้าใจ"ท่านพี่หนีข้ามาจากจวนสกุลสวีเพราะจะออกไปท่องยุทธภพมิใช่หรือเจ้าคะ""ใครบอกเจ้ากัน""หมิงหมิงบอกเจ้าค่ะ"เปาอี้ส่วงได้ยินเช่นนั้น เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นด้วยความขบขัน เขาบอกสวีชางหมิงว่าจะไปส่งหวางจื่อชางอ๋องไปท่องเที่ยวทั่วยุทธภพต่างหากไ
หญิงสาวรับแผ่นกระดาษใบเล็กมาจากสาวใช้ก่อนจะเปิดคลี่ออกอ่าน เนื้อความในจดหมายเปาอี้ส่วงเขียนถึงนางไว้ว่า'ฝานฝาน เจ้าคงเกลียดและผิดหวังในตัวข้ามากที่ข้าไม่เชื่อใจเจ้า ข้าผิดไปแล้วจริงๆ ทว่าข้ารู้ว่าต่อให้ข้ากล่าวคำขอโทษซ้ำๆเจ้าก็คงยากที่จะให้อภัยข้า เดิมทีข้าคิดว่าหากข้าง้องอนเจ้า เจ้าคงจะให้อภัยข้าได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าคิดผิด ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารำคาญ ต่อจากนี้ไปข้าจะไม่มากวนใจเจ้าอีก'สวีอวี้ฝานขมวดคิ้วมุ่น "คนบ้า! ข้ารำคาญท่านเสียที่ไหนกัน แค่นี้ก็ดูไม่ออกหรือว่าข้าแกล้งทำเพราะอยากทดสอบความอดทนของท่านเท่านั้น"หญิงสาวรู้สึกผิดหวังไม่น้อยที่เปาอี้ส่วงถอดใจจากนางอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเห็นถ้อยคำทิ้งท้ายที่เขาเขียนไว้ในจดหมาย จากความรู้สึกผิดหวังน้อยใจก็เปลี่ยนเป็นตกใจทันที'เจ้าจะอยู่ในความทรงจำของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นสวีอี้ฝานหรือมู่ฝาน ข้าก็จะรักเจ้าตลอดไป'สวีอี้ฝานรู้สึกใจหายวาบ นิ่งอึ้งไปหลายวินาที จ้องข้อความในจดหมายตาไม่กะพริบ ทางฝ่ายหลิงหลิงเห็นเจ้านายเงียบไปนางก็รู้สึกใจคอไม่ดีเท่าใดนัก นางสงสารฮูหยินเหลือเกิน อีกทั้งยังไม่เข้าใจท่านแม่ทัพเปาว่าเหตุใดเขาถึงทอดทิ้งฮู







