บทที่
1
เงินมันเป็นเหตุสังเกตได้
เสียงของสายน้ำจากฝักบัวที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป ไหลลงมากระทบบนร่างกายขาวเนียนขอศศินที่กำลังใช้สองมือฟอกสบู่ตามร่างกายอย่างช้าๆ ก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้นมองหยดน้ำที่ค่อยๆ ไหลอาบลงมาอย่างเผลอใจ
ชายหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วเสยผมสีดำสนิทที่ปิดดวงตาของตัวเองขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เพื่อไม่ให้ปลายเส้นผมแยงเข้าไปในดวงตา
อาบน้ำได้เพียงครู่เดียว ศศินก็ยื่นมือไปปิดวาล์วน้ำที่อยู่ไม่ไกล เขายืนนิ่งอยู่กับที่จนน้ำที่ไหลลงมาเริ่มค่อยๆ หยุดไหลออกจากฝักบัวตรงหน้า
จากนั้นก็ยื่นมือไปคว้าผ้าเช็ดตัวสีขาวสะอาดตาผืนใหญ่มาพันท่อนล่างเปล่าเปลือยของตัวเองเอาไว้ แล้วสาวเท้าออกจากห้องน้ำมาอย่างรวดเร็ว
พอก้าวขาออกมาได้ไม่ทันไร สายตาก็เหลือบไปเห็นเช็คเงินสดมูลค่าหลายล้านบาท ที่ชาตินี้ทั้งชาติเขาไม่มีวันหามาได้วางอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างระอาใจ ที่ตัวเองดันไปตอบตกลงรับคำขอร้องของเพื่อนตัวเองหลังจากที่เห็นมันเซ็นเช็คใบนี้มาให้
ศศินจ้องมองแผ่นกระดาษที่มีมูลค่ามากมายมหาศาลด้วยแววตานิ่ง แล้วอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงเหตุการณ์เมื่อสามชั่วโมงที่ผ่านมา
สามชั่วโมงก่อน…
“แกช่วยแต่งงานกับฉันได้หรือเปล่า”
หลังจากที่ดีแลนพูดออกมา ศศินที่กำลังดื่มน้ำเข้าไป ถึงกับสำลักน้ำจนไอโขลกอยู่หลายที ก่อนเจ้าตัวจะหยัดกายลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ แล้วโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังว่า “หา” จากนั้นเจ้าตัวก็จ้องมองใบหน้าของคู่สนทนาด้วยสายตาไม่เข้าใจ
สุดท้ายก็นึกคำพูดออกไปได้เพียงแค่ว่า “แกจะบ้าหรือไงวะ อยู่ดีๆ ก็นัดฉันออกมา แล้วมาบอกให้ฉันแต่งงานกับแกเนี่ยนะไอ้แดน”
“ฉันไม่ได้บ้า” ดีแลนตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองใบหน้าหมดจดของเพื่อนสนิทตรงหน้าที่โตด้วยกันมา แล้วพูดต่อว่า “ก็แม่ฉันน่ะสิ จู่ๆ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงได้หาผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นอัลฟ่า เห็นว่าเป็นลูกของเพื่อนสนิทมายัดเยียดให้ บอกว่าอยากอุ้มหลาน แต่ฉันยังไม่อยากผูกมัดพันธนาการกับใครแบบจริงๆ จังๆ ว่ะ ก็เลยอยากให้แกช่วยแต่งงานกับฉันสักห้าปี”
สิ้นคำดังกล่าวศศินก็ถึงกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยินเต็มสองรูหูนี้ ก่อนเจ้าตัวจะกะพริบตาปริบๆ อยู่นาน แล้วค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอีกอย่างอ่อนกำลัง ที่จู่ๆ ตัวเองก็ได้ยินคำคำนี้ออกมาจากปากของเพื่อนชายคนสนิทของตน
ด้วยเหตุที่ว่าแม้เขาจะมีเพื่อนสนิทเพียงใดก็ตาม เขาก็จะกำหนดขอบเขตพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองเอาไว้ เนื่องจากว่าตัวเขานั้นมีความลับบางอย่างที่ไม่เคยบอกใครให้ร่วงรู้มาก่อนแม้แต่คนเดียว
ว่าตัวเขานั้นเป็นเพียงโอเมก้าคนหนึ่ง ที่ไม่เคยคิดจะสวมปลอกคอเลยสักครั้ง และตีเนียนเป็นอัลฟ่ามาตั้งแต่เล็กจนโตเพื่อที่จะให้ตัวเองสามารถใช้ชีวิตบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ได้อย่างปลอดภัย
หากต้องไปคลุกคลีอยู่กับคนใดคนหนึ่งอยู่นานๆ แล้วตัวเองไม่ระวังตัวให้ดี ความลับนี้ก็จะไม่มีทางที่จะเป็นความลับอีกต่อไป
ศศินจึงต้องใช้เวลารวบรวมความคิดที่แตกกระจัดกระจายอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้โพล่งออกไปอีกทีว่า “แกจะบ้าหรือไง แกคิดอะไรของแกหาไอ้แดน ไหนๆ ก็ได้แต่งงานก็ดีแล้วนี่ อายุแกก็ไม่น้อยแล้ว ก็ไม่ได้แปลกอะไร แกควรจะมีทายาทให้ตระกูลตัวเองได้แล้ว”
ดีแลนจึงเงยหน้ามองคู่สนทนาอีกที แล้วตอบกลับไปว่า “ก็ฉันยังไม่อยากผูกมัดกับใครนี่ ที่สำคัญฉันไม่ได้ชอบยายอัลฟ่าคนนั้นสักหน่อย นะ ศศินแกช่วยฉันหน่อยเถอะ ช่วยแต่งงานกับฉันที ถ้าแม่เห็นฉันมีเมียเขาจะได้เลิกวุ่นวายเรื่องนี้สักที”
ได้ยินเช่นนั้นเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าหมดจดของศศินก็ขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเสียงเรียบออกไปว่า “ถ้างั้นทำไมแกไม่ไปขอร้องอัลฟ่าผู้หญิงเพื่อนเราสักคนมาช่วยแกวะ ทำไมต้องเป็นฉันด้วย แกอย่าลืมสิว่าฉันเป็นผู้ชาย แถมยังเป็นอัลฟ่า มิหนำซ้ำยังเป็นเพื่อนของแก และยิ่งไปกว่านั้นฉันท้องมีลูกให้แกไม่ได้ไอ้บ้านี่ ถึงฉันจะไม่เคยไปยุ่มย่ามกับครอบครัวแกเลยสักครั้งจนไม่มีใครรู้ว่าแกมีฉันเป็นเพื่อนอีกคน แต่มันก็ไม่ใช่รึเปล่าวะ”
“ใครจะให้แกแต่งกับฉันในฐานะอัลฟ่าวะ ฉันจะให้แกแต่งกับฉันในฐานะโอเมก้าต่างหาก” ดีแลนตอบกลับไปทันทีที่ศศินพูดจบลง
ส่งผลให้คนที่ได้ยินอย่างศศินถึงกับคิ้วกระตุกยิกไปเสียหลายหน แล้วพึมพำออกไปว่า “แกจะบ้าเหรอ ไม่ยังไงก็ไม่เอา แกไปหาคนอื่นเถอะ” ว่าจบชายหนุ่มก็หยัดกายลุกขึ้นยืน แล้วเตรียมจะเดินกลับไป
ทว่าก้าวได้เพียงก้าวเดียว ฝ่ามือแข็งแรงของดีแลนก็มาคว้าจับข้อมือของตัวเองเอาไว้ แล้วพูดออกไปว่า “ขอร้องเถอะศิน แค่ห้าปี ครบห้าปีแล้วฉันสัญญาว่าฉันจะคืนอิสระให้กับแก”
สิ้นเสียงดังกล่าวศศินก็เหลียวหน้าหันกลับมามองคนที่อยู่เบื้องหลัง แล้วพูดแบบชัดๆ ออกไปทีละคำว่า “ไม่ เอา โว้ย ต่อ ให้ แก เป็น เพื่อน ฉัน ฉัน ก็ ไม่ เอา” แล้วก็หันหน้ากลับไปทันที
ดีแลนจึงพูดออกไปว่า “ปีละสามล้าน”
“หา” ศศินโพล่งออกมา แล้วเหลียวหน้าหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังยืนยิ้มแฉ่งอยู่ทางด้านหลัง ก่อนเจ้าตัวจะถามย้ำอีกครั้งว่า “แกว่าอะไรนะ”
“ก็ฉันจะจ้างแกปีละสามล้านยังไงละ ทำสัญญาห้าปี เรื่องค่าที่อยู่ที่กินฉันจะให้แกต่างหากไม่เกี่ยวกับส่วนนี้”
“จ่ายเลยใช่ไหม”
“จ่ายให้เดี๋ยวนี้เลย ถ้าแกตกลง ฉันจะเซ็นเช็คเงินสดให้แกตรงนี้เลยก็แล้วกัน พรุ่งนี้เช้าแกก็เอาไปเข้าบัญชีธนาคารได้เลย”
ได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีเข้มก็กลอกกลิ้งไปมาอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าลงพร้อมกับพูดออกไปว่า “ได้...ตกลงฉันจะทำ”
หลังจากที่ศศินยืนนึกถึงความหลังที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานอยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ยกมือของตัวเองขึ้นมาขยี้กลุ่มผมที่เปียกชื้นไปมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร ก่อนเจ้าตัวจะพึมพำออกไปว่า “ไอ้ศินเอ๊ย นี่แกหน้าเงินขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ”
ว่าเพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็จ้องมองตัวเลขที่กรอกลงไปในเช็คที่ตัวเองถืออยู่ในมืออีกที แล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจวางเช็คเงินสดฉบับนี้เอาไว้บนโต๊ะตัวใหญ่
จากนั้นศศินก็พึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบออกไป “แกจะมากังวลในเรื่องที่มันตัดสินใจทำไปแล้วเพื่ออะไร ไหนๆ ก็ได้เงินก้อนใหญ่มาไว้ในมือทั้งที ถ้าแกกินยาอย่างเคร่งครัด ต่อให้ต้องไปอยู่ในครอบครัวที่มีแต่อัลฟ่าเป็นเบือแบบนั้น ก็ไม่มีใครจับพิรุธแกได้หรอกน่า” ว่าได้เพียงแค่นั้นเจ้าตัวก็สาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ไม่ไกล เพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทว่าในขณะที่ศศินสาวเท้าเดินไปถึงที่หมายแล้วเพิ่งหยิบเสื้อยืดสีขาวตุ่นคอย้วยออกมาจากตู้ใบใหญ่อยู่นั้น นาฬิกาข้อมือที่สวมใส่ก็ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ
ส่งผลให้ชายหนุ่มที่กำลังจัดการกับธุระส่วนตัวของตัวเอง ต้องหยุดชะงักทุกสิ่งอย่างลง แล้วสาวเท้าไปที่เตียงนอนอย่างรวดเร็ว
ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือไปดึงลิ้นชักเล็กๆ ที่อยู่บนหัวเตียงออกมา แล้วหยิบห่อยาที่อยู่ด้านในขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพราะเสียงที่เตือนจากนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เป็นเวลาที่เขาตั้งไว้เพื่อเตือนให้ตัวเองต้องกินยาระงับฟีโรโมนและยากันฮีทอย่างเคร่งครัด
เพื่อไม่ให้ใครๆ ได้กลิ่นฟีโรโมนที่เป็นเอกลักษณ์ของโอเมก้าอย่างเขาออกมาจากร่างกาย หาไม่แล้วความลับที่ตัวเองเพียรพยายามปกปิดมันเอาไว้มาอย่างยาวนานคงไม่แคล้วที่จะต้องถูกเปิดเผยออกมา
และอาจจะทำให้เด็กกำพร้าอย่างเขาที่ใช้ชีวิตแบบไร้พ่อขาดแม่ เพราะประสบอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อนต้องลำบากอีกเป็นเท่าตัว
หลังจากที่ยืนนิ่งคิดอยู่นาน ชายหนุ่มก็แกะเม็ดยาออกมาจากซองยา แล้วนำมากรอกเข้าไปในปากทันที จากนั้นเจ้าตัวจึงลุกขึ้นยืน แล้วสาวเท้าไปหยิบขวดน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดื่มอีกที เพื่อให้ยาเม็ดที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่นี้ไหลลงคอไป
จากนั้นเจ้าตัวจึงสาวเท้ากลับไปใส่กางเกงให้เรียบร้อย และเมื่อจัดการกับตัวเองจนแล้วเสร็จ ศศินก็สาวเท้ากลับมานั่งอยู่บนเตียงกว้าง
เขาเอนกายลงนอนอย่างช้าๆ เพื่อคิดหาทางซ่อนยาที่ตัวเองต้องใช้เป็นประจำ หากจะต้องเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่มีแต่อัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ครอบครัวนั้น ว่าเขาจะต้องทำเช่นไร นอนคิดได้ไม่ทันไร เขาก็ยกมือขึ้นมาก่ายหน้าผากเอาไว้ เมื่อยังหาทางให้ตัวเองจัดการกับยาเหล่านี้ไม่ได้สักที
ศศินนอนนิ่งๆ อยู่นานจนสบถออกไปว่า “ฉันจะทำยังไงไม่ให้ไอ้พวกนั้นเจอซองยาพวกนี้ดีวะ” พูดเพียงแค่นั้นเจ้าตัวก็กลอกสายตาไปมารอบกายหนึ่งหน ก่อนเจ้าตัวจะไปเห็นตุ๊กตาหมีเก่าๆ ตัวหนึ่งที่วางอยู่ไม่ไกล
ส่งผลให้ชายหนุ่มที่นอนแผ่อยู่บนเตียงกว้างกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งแบบทันทีทันใด เมื่อคิดได้แล้วว่าตัวเองจะเอายาระงับเหล่านี้ซุกซ่อนไว้ที่ไหนที่จะสามารถหลบเลี่ยงจากสายตาของผู้คน
ทว่ายังไม่ทันที่จะทันได้ดำเนินการใดๆ จู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาให้ได้ยินหนึ่งหน จึงทำให้ชายหนุ่มที่กำลังนั่งคิดหาแผนการมากมายอยู่นั้นถึงกับสะดุ้งโหยงทันใด
เขาสบถออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ใครวะแม่งโทรมาตอนนี้” ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะที่วางอยู่ไม่ไกลจากที่ตัวเองอยู่สักเท่าไร
พอหยิบขึ้นมาดูศศินก็เห็นว่า คนที่โทรเข้ามานี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากคนที่เพิ่งตีเช็คให้เขาเมื่อสามชั่วโมงก่อนอย่างดีแลนโทรเข้ามา ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะสบถออกไปว่า “อะไรของมันอีกวะ” แล้วยกมือขึ้นขยี้ศีรษะของตัวเองไปมา
จากนั้นจึงตัดสินใจเลื่อนปลายนิ้วไปกดรับโทรศัพท์ด้วยท่าทางเกียจคร้าน ก่อนเจ้าตัวจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูแล้วกรอกเสียงลงไปว่า “โทรมาทำมะเขืออะไรของแกวะ คนจะนอน”
เพียงครู่เดียวก็มีเสียงจากปลายสายพูดออกมาให้ได้ยิน “ไอ้ศินตอนนี้แกว่างไหม”
สิ้นเสียงดังกล่าวศศินจึงตอบกลับไปว่า “ก็ว่างอยู่มีอะไรไหม”
“ไปดื่มเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“หา” ศศินก็โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังออกไป ก่อนเจ้าตัวจะดึงโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกรอกเสียงของตัวเองลงไปว่า “แกก็รู้นี่หว่าว่าฉันไม่ดื่ม อีกอย่างมะรืนนี้แกจะพาฉันเข้าบ้านแกแล้วไม่ใช่หรือไง ถ้าฉันเพ่นพ่านแล้วคนที่บ้านแกเกิดจับผิดฉันขึ้นมา ฉันไม่ซวยหรือไง ขืนเรื่องที่พวกเราสองคนตกลงแลกเปลี่ยนเกิดรั่วขึ้นมาจะทำยังไง”
“เอาเถอะน่าไม่ได้จะมาเที่ยวอย่างเดียวสักหน่อย ฉันแค่อยากให้นายมาเห็นว่าที่คู่หมั้นที่คุณแม่จับฉันแต่งด้วยก็เท่านั้น” ปลายสายตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเบาออกมา
จึงทำให้ศศินอดไม่ได้ที่จะขมวดหัวคิ้วยุ่งอย่างไม่ชอบใจ แล้วถามออกไปว่าด้วยความไม่เข้าใจทันทีว่า “ไปดูหน้าคู่หมั้นแก ไปดูทำไมวะไอ้แดน ถึงเวลาถ้ามันจะได้เจอเดี๋ยวก็ได้เจอเองนั่นแหละน่า”
หลังจากที่ศศินพูดจบลงดีแลนก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาทันทีหนึ่งหน ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกไปว่า “ฉันมีเรื่องอยากจะบอกแกนิดหน่อยด้วยว่ะ”
“เรื่องอะไร” ศศินถามกลับไป ก่อนเจ้าตัวจะดึงโทรศัพท์มามองดูราวกับว่ากำลังจ้องมองใบหน้าของคู่สนทนาด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ
ดีแลนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นเจ้าตัวจึงเอ่ยเสียงเบา “แกรู้ใช่ไหมว่าแม่ฉันกำลังจะจับฉันแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นอัลฟ่าจากตระกูลใหญ่”
ศศินเลื่อนมือไปเปิดลำโพงโทรศัพท์ แล้วโยนมันลงไปบนเตียงกว้างอย่างไม่ค่อยใส่ใจ จากนั้นจึงพูดออกไปว่า “อือ...แล้วไง” ว่าจบชายหนุ่มก็สาวเท้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเอื่อยเฉื่อย เพราะดูทรงแล้วคงไม่แคล้วได้ไปกับดีแลนจริงๆ
เพียงครู่เดียวก็มีเสียงจากปลายสายตอบกลับมา “แกก็น่าจะเดาได้ว่า ถ้าฉันเอาแกไปโชว์ตัวแม่ฉันและผู้หญิงคนนั้นคงไม่ยินยอมพร้อมใจง่ายๆ”
ได้ยินเช่นนั้นศศินจึงครางเสียงเบาออกมาว่า “อ้อ” ก่อนเจ้าตัวจึงเหลือบสายตาไปมองโทรศัพท์ที่ถูกโยนเอาไว้บนเตียงกว้างอย่างน่าสงสาร แล้วพูดเสียงเนิบออกไปว่า “แกจะบอกฉันสินะ ว่าฉันอาจจะเข้าไปอยู่บ้านแกแบบไม่ราบรื่น”
สิ้นเสียงของศศินเพียงไม่นาน ดีแลนก็พูดเสียงอ่อยออกมาอย่างจำยอมว่า “ก็ตามอย่างแกคิดนั่นแหละ”
ส่งผลให้ศศินตวาดออกไปอย่างเหลืออดเหลือทนว่า “ไอ้แดนไหนแกบอกฉันว่า ถ้าแกแต่งฉันเข้าบ้านไป แล้วแม่แกจะเลิกยุ่งยังไงล่ะ เพราะแบบนั้นฉันถึงตอบตกลงไม่ใช่หรือไงวะ แกก็รู้นี่ว่าฉันไม่ได้อยากมาทะเลาะเบาะแว้งระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้เหมือนในละครหลังข่าว ทั้งๆ ที่ฉันแต่งกับแกแค่ในฐานะไม้กันหมา”
“ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น จนกระทั่งฉันได้กลับไปที่บ้าน แล้วลองไปคุยกับแม่เมื่อกี้นี้” ดีแลนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหมือนคนรู้สึกผิดขึ้นมา
แต่ดูเหมือนศศินเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ด้วยเช่นกัน เขาจึงถามเสียงเข้มออกไปทันที “แล้วไง แม่แกเกิดไม่อยากได้ลูกสะใภ้เป็นโอเมก้าซะงั้น”
“มันก็ตามที่แกบอกนั่นแหละ”
ศศินจึงโพล่งออกไปอย่างเหลืออดเหลือทนว่า “งั้นก็ล้มเลิกสัญญา แล้วแกก็ไปแต่งงานกับสะใภ้ที่แม่แกหามาให้ แค่นั้นก็จบ”
“ไม่เอาฉันยังไม่อยากผูกมัดกับใครนี่หว่า แกก็รู้” ดีแลนอ้อมแอ้มเสียงเบาออกมาทันที
จึงทำให้คนที่ได้ยินคำพูดนี้ถึงกับส่ายหน้าไปมาอย่างนึกขำ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเสียงเข้มอย่างไม่ชอบใจออกไปว่า “แกอายุก็ไม่น้อยแล้วนะแดน แต่งงานมีลูกก็เป็นเรื่องปกติรึเปล่าวะ”
“ก็ฉันไม่อยากแต่ง แกคิดดูสิว่าถ้าฉันแต่งตอนนี้ ก็เท่ากับมีบ่วงห้อยคอเอาไว้ ไปไหนมาไหนก็ต้องรายงาน มีแต่คนคอยจู้จี้จุกจิกเป็นไก่อยู่ข้างหลัง คนจู้จี้จุกจิกแค่แม่ฉันคนเดียวก็พอแล้วปะ ถ้าฉันแต่งกับแก ฉันจะไปไหนมาไหนก็ได้ได้อิสระอีกตั้งห้าปี” ปลายสายส่งเสียงงอแงเหมือนเด็กน้อยที่ไม่ได้ของถูกใจ
จนศศินอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไปว่า “นู่นก็ไม่ได้นี่ก็ไม่ดี แล้วแกจะให้ฉันทำไงวะไอ้เพื่อนเวร” ว่าจบชายหนุ่มก็หยิบกางเกงยีนสีเข้มออกมา แล้วสวมเข้าไปทันที
จากนั้นจึงมีเสียงของดีแลนตอบกลับมาว่า “ฉันอยากให้แกแต่งในฐานะสะใภ้นั่นแหละ แต่แกยอมๆ แม่ฉันหน่อยได้ไหมวะ”
สิ้นเสียงดังกล่าวศศินจึงตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิดว่า “ไอ้แดนแกก็รู้จักฉันดีนี่หว่า ว่าคนอย่างฉันมีความอดทนต่ำ ถ้าถูกแม่แกมาโขกสับเหมือนละครหลังข่าว แกคิดบ้างไหมว่าฉันจะระเบิดอารมณ์จนบอกเรื่อสัญญาระหว่างเรา”
หลังจากที่ศศินพูดจบประโยคไป คนจากปลายสายก็เงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะมีเสียงพูดออกมาเบาๆ ว่า “ฉันเพิ่มให้อีกปีละสองล้านเลยแล้วกัน”
“จ่ายตอนนี้” ศศินพูดออกไปแบบไม่ต้องคิดทันที นัยน์ตาสีเข้มกำลังกลอกกลิ้งไปมาเพื่อคำนวณยอดเงินที่กำลังจะลอยมาอยู่ในมือในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า
ก่อนจะมีเสียงของดีแลนพูดออกไปว่า “จ่ายเลยเดี๋ยวฉันจะเขียนเช็คให้ตอนเจอกับแกเนี่ยแหละ”
“ได้...ฉันตกลง แต่มีข้อแม้นะแดน ถ้าแม่แกทำร้ายฉัน ฉันสวนนะ แต่ถ้าแค่ด่าหรือเหน็บแนมฉันยอมปิดตาข้างหนึ่งให้ก็ได้”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา เพราะฉันบอกกับแม่ว่า แกเป็นโอเมก้าที่เรียนศิลปะการต่อสู้หลายแขนงมา เรื่องที่เขาจะหาเรื่องทำร้ายร่างกายแกคงไม่มีสบายใจได้ แต่ถ้ามันพลั้งมือจริงๆ แกช่วยบอกฉันแทนได้ไหมวะ ฉันไม่อยากให้แกทำอะไรแม่ฉันจริงๆ นะ”
“ก็ได้ ก็ได้ แกรักแม่แกขนาดนี้ แล้วทำไมต้องขัดใจแม่แกด้วยวะ”
“ก็รักแม่กับรักเมียมันต่างกันนี่หว่า”
สิ้นเสียงดังกล่าวศศินจึงทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างระอา แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เออ...ก็ได้ ก็ได้ ฉันจะพยายามก็แล้วกัน แล้วนี่จะให้ฉันไปหาแกที่ไหน”
“ลงมาเลยฉันอยู่ใต้คอนโดแกเนี่ยแหละ”
“เออ” ศศินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร ก่อนเจ้าตัวจะเอาโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง แล้วสาวเท้าไปหยิบกุญแจห้องที่วางอยู่บนโต๊ะตัวใหญ่ จากนั้นจึงเดินไปยังบานประตูทันที
หลังจากที่ออกจากห้องมาได้ ศศินก็สาวเท้าเข้าไปยังลิฟต์ตัวใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะยื่นปลายนิ้วไปกดปุ่มชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยที่มือข้างหนึ่งเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปมา เพื่อหาเกมที่ใช้เล่นฆ่าเวลาระหว่างเดินลงไป
พอมาถึงจุดหมายปลายทาง ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกมาจากลิฟต์ตัวใหญ่ มือสองข้างกำลังเล่นเกมในโทรศัพท์อย่างเมามันแบบไม่สนใจผู้ใด สองขาก็ยังก้าวย่างไปทางด้านหน้าโดยที่ไม่ได้มองทาง
ทว่ายังไม่ทันที่ศศินจะได้ก้าวขาถึงสามก้าวดี จู่ๆ ก็มีลมเย็นๆ เป่ารดต้นคอของเขาอย่างแผ่วเบา จึงทำให้ชายหนุ่มที่กำลังใจจดจ่ออยู่ตรงหน้าจอ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อมองหาว่าใครที่ไหนที่ริอ่านมาเล่นอะไรที่ไม่เข้าท่า
พอเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นว่าคนที่เป่าคอเขานั้นไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากไอ้คนที่นัดเขาให้ลงมาด้านล่าง ทั้งๆ ที่กำลังจะโค่นหัวลงนอน กำลังยื่นใบหน้าของตัวเองเข้ามาใกล้ จนลมหายใจอุ่นร้อนที่เจือไปด้วยกลิ่นเย็นๆ ของอะไรบางอย่างปนอยู่เป่ารดใบหน้าของเขาอย่างบางเบา
ศศินจึงกลอกสายตามองบนหนึ่งครั้ง แล้วถามออกไปว่า “แกเข้ามาได้ยังไงวะ”
เนื่องจากว่าคอนโดที่เขาอยู่นี้จะเข้าจะออกจะต้องใช้คีย์การ์ดในการเปิดประตูใหญ่ด้านหน้า ซึ่งคีย์การ์ดดังกล่าวก็มีแต่คนที่อาศัยอยู่ในคอนโดแห่งนี้ถึงจะสามารถถือครองเอาไว้ได้เพียงเท่านั้น
หลังจากที่ศศินพูดจบลง ดีแลนจึงชูคีย์การ์ดแบบเดียวกันขึ้นมาให้ดูต่อหน้า แล้วตอบกลับไปว่า “หลายวันมานี้หลังจากที่ฉันวางแผนว่าจะให้แกแต่งกับฉันแล้ว เพื่อความสมจริงฉันก็เลยลงทุนซื้อห้องของที่นี่ต่อจากคนคนหนึ่งมา เพราะฉันจะได้เอามาเป็นข้ออ้างได้ว่าฉันอยู่กินกับแกฉันสามีภรรยามานานแล้วยังไงล่ะ”
สิ้นเสียงดังกล่าว ศศินก็อดไม่ได้ที่จะกลอกสายตาขึ้นลงอย่างระอา แล้วทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกให้อย่างอ่อนอกอ่อนใจ ก่อนถามออกไปว่า “แกไม่อยากแต่งงานถึงขนาดนี้เลยเหรอวะ”
“ก็เออนะสิ” ดีแลนพูดออกมาแบบไม่ต้องคิด ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือไปพาดไว้บนบ่าเล็กแคบของอีกฝ่าย แล้วรั้งตัวของศศินให้เข้ามาใกล้อยู่ใกล้ๆ
จากนั้นเจ้าตัวจึงพูดออกไปว่า “ฉันบอกตามตรงนะ ว่าฉันมีคนในใจอยู่แล้ว ก็เลยไม่อยากแต่งกับผู้หญิงคนนั้นที่แม่หามาให้ก็แค่นั้น”
“หา” ศศินโพล่งด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังออกมา อย่างไม่ค่อยเชื่อสายตาสักเท่าไร ก่อนเจ้าตัวจะไล้สายตาขึ้นลงอย่างไม่ชอบใจ แล้วเงยมองหน้าชายหนุ่มที่เดินอยู่เคียงกัน พร้อมกับถามออกไปว่า “แกมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แล้วทำไมแกถึงไม่ไปขอคนคนนั้นตรงๆ เลยวะ ทำไมต้องทำอะไรให้ยุ่งยากขนาดนี้”
สิ้นคำถามดังกล่าวดีแลนก็ทอดถอนลมหายใจออกมาหนึ่งที จากนั้นเจ้าตัวจึงพูดพึมพำออกมาเบาๆ ราวกับกำลังพูดกับตัวเองว่า “ก็เป็นเพราะว่าระหว่างฉันกับคนคนนั้นมันมีเส้นบางๆ ของคำว่าเพื่อนกั้นเอาไว้ มิหนำซ้ำหมอนั่นยังเป็นผู้ชายแถมยังเป็นอัลฟ่าอีกต่างหา คงยากว่ะที่จะไปสารภาพรักกับหมอนั่น”
ได้ยินเช่นนั้นเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าของศศินก็เลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างชั่งใจ นัยน์ตาสีเข้มจับจ้องใบหน้าของอีกฝ่าย ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยออกไป “ไม่ลองไม่รู้หรือเปล่าวะ”
ด้วยเหตุที่ว่าแม้ศศินจะรู้จักกับดีแลนมานานหลายปี แต่เขาก็ไม่เคยละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จึงทำให้ชายหนุ่มรู้จักเพื่อนของดีแลนอยู่ไม่มากสักเท่าไร เขาเลยไม่สามารถจินตนาการได้ว่า คนที่ชายคนนี้เอ่ยถึงมานั้นมีหน้าตาและนิสัยใจคอเป็นยังไง
และในระหว่างที่กำลังฉุกคิดเรื่องราวหลายๆ อย่างที่ผ่านมาอยู่ครู่ใหญ่ ก็มีเสียงเบาๆ ดังให้ได้ยินข้างๆ หูว่า “ฉันไม่กล้าพอว่ะ เลยต้องมาขอร้องแกแทน เพราะอย่างน้อยฉันก็รู้จักแกมากกว่าใครๆ ไม่ใช่หรือไง ไว้ฉันกล้าสารภาพรักกับหมอนั่นเมื่อไร ฉันจะบอกแกเป็นคนแรกเลย”
ได้ยินเช่นนั้นศศินจึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมา แล้วพูดออกไปว่า “ไม่สมกับเป็นแกเลยแดน ตลอดหลายปีที่รู้จักกันมา ฉันไม่เคยไม่เห็นแกไม่กล้าจีบใครนี่หว่า”
“คู่นอนกับคนในใจ ความรู้สึกที่พูดออกไปมันไม่เหมือนกันนี่หว่า” ดีแลนพูดออกมาทันที ก่อนเจ้าตัวจะหันหน้าหันมามองใบหน้าของคู่สนทนา ก็เห็นเพียงใบหน้าครึ่งซีกของอีกฝ่าย กับริมฝีปากสีเรื่อที่เผยอออกเล็กน้อยตรงหน้า
ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก แล้วพูดต่อทันทีว่า “คู่นอนมันก็แค่ความสุขชั่วครั้งชั่วคราว แต่ถ้าคนในใจ ก็คือคนที่ฉันอยากฝากชีวิตนี้ทั้งชีวิตให้ ความรู้สึกที่จะพูดออกไปมันก็เลยยากเสียยิ่งกว่ายากซะอีกน่ะสิ”
หลังจากที่ได้ฟังร่ายยาวๆ อยู่นาน ศศินก็ถึงกับกลอกตาขึ้นลงทันที แล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ยิ่งแกพูดถึงขนาดนี้ทำให้ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ เลยว่าคนในใจที่แกพูดถึงและตกหลุมรักขนาดนี้จะเป็นคนยังไง”
“เป็นคนยังไงน่ะเหรอ” ดีแลนทำท่านึกอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเจ้าตัวจะเหลือบหางตามองอีกฝ่ายที่กำลังมองท่าทางของเขาอย่างอยากรู้ ก่อนเจ้าตัวจะหันหน้าไป แล้วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ความลับว่ะ บอกไม่ได้ ขืนบอกไปก็ไม่เซอร์ไพรส์กันพอดี”
ส่งผลให้ศศินกลอกตามองบนหนึ่งที แล้วทอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างอ่อนใจ ก่อนเจ้าตัวจะหันหน้าไป เพื่อหมายจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับคนข้างกาย
แต่ก็ต้องกลืนคำพูดของตัวเองเอาไว้ เมื่อจู่ๆ ดีแลนก็ทำตาใสๆ จ้องมองมา มือข้างหนึ่งยื่นมาคว้ามือของเขาเอาไว้พร้อมกับพูดออกไปว่า “แต่ถึงอย่างนั้นแกต้องช่วยฉันนะศิน ขอร้องละถ้าแกเปลี่ยนใจไม่ช่วย ฉันก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้วจริงๆ”
“เอ่อๆ ก็ได้ ก็ได้ฉันช่วยแกก็ได้ แกไม่จำเป็นต้องชักแม่น้ำทั้งห้าขนาดนั้นหรอก” ศศินพูดออกไป หลังจากที่เจ้าตัวได้ฟังคำพูดของคนที่เดินอยู่เคียงกัน จากนั้นจึงหันใบหน้าไปมองคู่สนทนาอีกที
จึงทำให้ดีแลนที่ได้เห็นใบหน้าหมดจดของคนข้างกายที่ไม่มีวี่แววความโกรธเคืองใดๆ ฉายให้เห็น เขาก็คลี่ยิ้มกว้างออกมาอย่างดีอกดีใจ พร้อมกับถามซ้ำอีกครั้ง “จริงๆ นะ แกจะช่วยฉันแล้วจริงๆ แล้วใช่ไหม”
“อือ...ก็เพื่อเงิน...เอ๊ยไม่ใช่...ก็เพื่อเพื่อนอย่างแก ฉันช่วยอยู่แล้วน่า” ศศินตอบกลับไปแบบไม่ต้องคิด แม้จะพูดผิดไปบ้างแต่ก็แก้ตัวได้ทันเวลา ก่อนเจ้าตัวจะเอาโทรศัพท์มือถือที่ถืออยู่ในมือใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงอย่างเชื่องช้า จึงไม่ทันได้มองปฏิกิริยาของคนข้างกายดีๆ
เลยทำให้ศศินที่กำลังจะเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองดีๆ ร่างทั้งร่างก็เอียงวูบไปทางด้านข้างอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวใดๆ
เนื่องจากว่าจู่ๆ คนตัวใหญ่ข้างกายที่ดีใจจนออกนอกหน้า กำลังรั้งร่างทั้งร่างของเขาเอาไปกอดเอาไว้ในอ้อมแขนแข็งแรงจนผิวเนื้อตรงท่อนแขนเปลือยเปล่าที่โผล่พ้นร่มผ้า ได้สัมผัสกับแผ่นอกร้อนไหม้ของอีกฝ่าย ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดอยู่ข้างๆ หูแบบไม่ได้ตั้งใจ จนศศินถึงกับต้องเบี่ยงหน้าหนีอย่างจ้าล่ะหวั่น
แต่ก็ถูกคนตัวใหญ่ใช้แขนข้างหนึ่งเหนี่ยวศีรษะของเขาเข้ามาใกล้ ก่อนเจ้าตัวจะประกบริมฝีปากลงไปบนผิวแก้มใสของอีกฝ่ายทันที
นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างอย่างตกใจเต็มที่ ก่อนเจ้าตัวจะยกฝ่ามือขึ้นมา แล้วผลักใบหน้าของเพื่อนตัวดีให้ถอยห่างออกไป
จากนั้นจึงคำรามออกมาอย่างไม่ชอบใจว่า “ปล่อยสิวะไอ้เวรเอ๊ย...ถ้าแกยังไม่ปล่อยฉันถือว่าสัญญาระหว่างเราเป็นโมฆะ”
ส่งผลให้ดีแลนที่ดีใจจนเผลอทำอะไรที่ไม่เข้าท่าลงไป ถึงกับรีบปล่อยคนที่ตัวเล็กกว่าทันที ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกไปด้วยรอยยิ้มซื่อๆ ว่า “ขอโทษ พอดีมันลืมตัวไปหน่อย”
ยามได้ยินคำพูดเหล่านั้น ศศินก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ แล้วเอ่ยออกไปว่า “ช่างเถอะ...ช่างเถอะ แต่แกก็อย่าทำแบบนี้อีกแล้วกัน แกน่าจะรู้ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรแบบนี้”
สิ้นเสียงดังกล่าวดีแลนที่ทำเป็นหางลู่หูตก ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างอย่างดีใจ นัยน์ตาสีเข้มทอระยับพราวประกายราวกับเด็กน้อยที่ได้ของถูกใจมาไว้ครอบครอง ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยออกมา “จริงๆ นะ แกไม่โกรธฉันแล้วจริงๆ นะ”
“เออ” ศศินพูดออกมาแบบขอไปที ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวหน้าหันไปมองคนที่กำลังทำหน้าดีอกดีใจข้างกายอีกที และถ้าหากได้มองดีๆ เขาเกือบจะเห็นคนตรงหน้าส่ายหางไปมาเสียด้วยซ้ำ
และเพื่อไม่ให้เจ้าหมาตัวโตตรงหน้ากระโจนเข้ามาอีกครั้ง เขาจึงพูดขึ้นมาทันทีว่า “พอ...พอ...พอ...เลยเลิกทำท่าทางระริกระรี้แบบนี้สักทีเถอะ มันไม่เข้ากับคนตัวโตๆ แบบแกเลย”
“ฉันทำแบบนี้ก็เฉพาะตอนที่อยู่กับแกเท่านั้นแหละน่าศิน” ดีแลนพึมพำออกมาเบาๆ ราวกับพูดอยู่คนเดียวเพียงลำพัง จึงทำอีกฝ่ายไม่รู้อาจรับรู้ได้ว่าคนตัวใหญ่ข้างกายของตัวเองพูดอะไรออกมา
แม้จะอยากรู้ว่าคนคนนั้นกำลังพูดอะไร แต่อย่างไรเสียคนอย่างศศินก็ไม่ได้คิดที่จะไปคะยั้นคะยอให้ดีแลนมันเปิดปากพูดอยู่ดี ก่อนเจ้าตัวจะเปลี่ยนบทสนทนาในครั้งนี้ เพื่อไม่ให้มันยืดเยื้อออกไป “แล้วนี่แกจะพาฉันไปที่ไหน”
“มาสิ” ดีแลนพูดออกไปเพียงแค่นั้น ก็ยื่นมือไปคล้องคออีกฝ่าย ก่อนเจ้าตัวจะรั้งร่างของคนที่ตัวเล็กกว่าให้เดินตามตัวเองไปอย่างรวดเร็ว
บทที่12สติที่ขาดสะบั้นท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่สาดกระทบลงมาบนผ้าม่านที่ปิดกั้นประตูบานเลื่อนตรงระเบียงด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนจาง จากเรือนกายของชายหนุ่มที่เคยพร่ำบอกว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าเลือดผสมลอยฟุ้งหอมละมุนอยู่ในอากาศ ชวนให้คนที่ได้กลิ่นเหล่านี้ใจเต้นไม่เป็นส่ำแม้แต่ตัวดีแลนเองที่เพิ่งจะขบริมฝีปากตัวเองจนปริแตก ก็ยังรู้สึกริมฝีปากแห้งผาก ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกระหน่ำเต้นแทบไม่เป็นจังหวะจวนเจียนจะกระดอนออกมาอยู่รอมร่อชายหนุ่มล้วงมือที่ค่อนข้างสั่นเทาเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วควักยาระงับของตัวเองที่พกไว้ขึ้นมาโยนใส่ปากอีกเม็ดหนึ่งทันทีเขาพยายามสงบสติอารมณ์ได้วูบหนึ่ง ก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกที แล้วสาวเท้าเข้าไปหาชายตัวเล็กกว่าซึ่งกำลังนั่งขดอยู่ตรงมุมผนังพอเดินไปถึงชายหนุ่มก็ค่อยๆ ยอบกายลงนั่ง ก่อนจะยื่นมือไปคว้าเอาตุ๊กตาหมีที่อีกฝ่ายกำเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วพูดเสียงเบาอย่างปลอบประโลมออกไปว่า “ให้ฉันช่วยเถอะศินแกดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว”สิ้นเสียงดังกล่าวศศินที่ถูกห้วงอารมณ์ปรารถนากลืนกินจิตใต้สำนึกไปมากกว่าครึ่ง ก็ค่อยๆ เงยหน้ามองคนพูดอย่างเชื่องช้าแล้วยืนมือไปผลักใบหน้าของเพื่อนสนิทที่
บทที่11ต่อหน้า“ปะ...เปล่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”สิ้นเสียงของคนตรงหน้าเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาของดีแลนก็เลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าที่แดงจัดของอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจตรวจดูอาการอีกสักหนแม้จะถูกฝ่ามือของศศินผลักไสให้ถอยห่างออกมาเพียงใด แต่ความสนใจของดีแลนในตอนนี้ไปอยู่ที่อาการของอีกฝ่าย จึงทำให้ในยามที่ถูกผลักไสร่างกายเลยแทบไม่ขยับเขยื้อนไปทางใดมิหนำซ้ำชายหนุ่มยังคงกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แนบแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว เพื่อให้คนตัวเล็กจอมพยศยืนอยู่นิ่งๆ จนกว่าเขาจะแน่ใจแล้วว่า ศศินไม่ได้เป็นไข้อย่างที่ตัวเองเป็นกังวลเนื่องจากว่าในตอนนี้นั้นใบหน้าของคนในอ้อมกอดแดงจัดราวกับลูกตำลึงสุก ไม่ต่างจากคนที่กำลังจะเป็นไข้ ดีแลนจึงไม่อาจวางใจปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระได้อย่างใจก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจยื่นมือไปประคองใบหน้าของคนในอ้อมกอดที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ให้เงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากันส่งผลให้ศศินที่อยู่ในสภาวะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้ว พอถูกจับใด้เขาก็ได้แค่เงยหน้าขึ้น จนดวงตาสอดประสานกับนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาจึงทำให้เขาก็ถึงกับลุกลี้ล
บทที่10ชิดใกล้“ฉันขอโทษแกจริงๆ ว่ะ ฉันไม่นึกว่าคุณแม่จะเอาแต่ใจขนาดนี้”ดีแลนพูดเป็นรอบที่สิบ เมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้ก้าวขาขึ้นมานั่งอยู่ภายในสปอร์ตคาร์ เพื่อที่จะเดินกลับไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของศศินให้ย้ายเข้ามาอยู่ภายในบ้านหลังใหญ่เพราะหลังจากที่ถูกสตรีหมายเลขหนึ่งของบ้าน บอกให้ศศินกลับขนข้าวขนของมาพักอยู่ที่คฤหาสน์อย่างเอาแต่ใจ สุดท้ายตัวเขาเองก็ไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายจึงต้องยอมทำตามอย่างว่าง่ายโดยที่คุณหญิงอารียาให้เหตุผลแบบง่ายๆ และมัดมือชกว่า ต้องการจะฝึกให้ว่าที่สะใภ้ในอนาคตรู้จักการเข้าสังคมหมู่มากและวางตัวให้เหมาะสมก่อนแต่งเข้ามาอยู่ภายในบ้านหลังนี้จริงๆส่งผลให้คนที่ถูกมัดมือชกอย่างศศินที่ได้ฟังความต้องการของว่าที่แม่ย่าในอนาคตถึงกับคิ้วกระตุกอยู่สองที แต่ก็ไม่อาจจะสรรหาคำแก้ต่างโต้แย้งกลับไปได้สุดท้ายพอไม่สามารถโต้เถียงกลับไปได้ และเพื่อไม่ให้มีเรื่องบาดหมางในเวลาต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ศศินจึงข้อสรุปว่าตัวของเขานั้นจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของดีแลนตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเขาที่พูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จำต้องตามใจคุณหญิงอารียาอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ จำต้องย้ายมาพักอ
บทที่9เกือบหลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ดีแลนก็เลิกเรียวคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง มองใบหน้าที่หมดจดของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองตอบมาด้วยสายตาที่ค่อนข้างออดอ้อนอยู่ภายใน เพื่อขออนุญาตกลายๆ อีกครั้งถึงแม้สิ่งที่ทำจะเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่งที่ศศินทำออกมา แต่คนที่ถูกสายตาดังกล่าวของอีกฝ่ายจ้องมองก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเผลอใจดีแลนที่ได้เห็นท่าทางของคนที่อยู่ในอ้อมแขนอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็กินเวลาไปร่วมสองนาที เลยทำทีเป็นมองใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าอย่างชั่งใจ แล้วเอ่ยเสียงเย้าออกมาว่า “แน่ใจนะว่าตอนแกคุยกับแม่ฉัน แกจะไม่เอาเล็บคมๆ ของแกตะปบแม่ฉันน่ะ”จึงทำให้ศศินอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยืนอมยิ้มบางๆ ออกมา พร้อมกับพูดออกไปว่า “คนนะไม่ใช่แมวจะได้ใช้เล็บตะปบเอาน่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็เบี่ยงหน้าหนี เพื่อซ่อนรอยยิ้มบางที่ผุดขึ้นมาแบบกะทันหัน แล้วปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนเจ้าตัวจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ของตัวเองให้ใจเย็นที่สุดเท่าที่ทำได้ จากนั้นจึงหันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของคุณหญิงอารียาที่พยายามเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือตัว แล้วพูดออกไ
บทที่8คู่เคียงหลังจากที่ได้พาศศินหนีออกมาจากความวุ่นวายของครอบครัวตัวป่วนมาได้ ชายหนุ่มก็พาคนที่ตัวเองกำลังใช้มือสองข้างปิดใบหูเล็กๆ น่ารักเอาไว้ เดินไปยังสวนหย่อมที่อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งไม่ไกลจากบ้านหลังใหญ่เพื่อหมายจะพาคนที่อยู่ในอ้อมแขน ไปนั่งเล่นอยู่ในศาลาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนหย่อมเล็กๆ แล้วให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายจากอาการกดดันเมื่อครู่นี้ และไม่ให้ศศินได้ยินเสียงสองสามีภรรยาคู่นั้นจู๋จี๋กันอย่างออกนอกหน้าทว่าเมื่อเขาพาศศินเดินทางมาถึงที่หมาย แล้วปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากใบหูเล็กๆ น่ารักของอีกฝ่าย ก็มีเสียงเย็นยะเยือกจากคนข้างกายดังให้ได้ยินว่า “แกเป็นบ้าอะไรวะถึงได้เอามือมาปิดหูฉันเนี่ย” ก่อนเจ้าตัวจะส่งค้อนวงใหญ่ไปให้ แล้วสาวเท้าไปนั่งอยู่ในศาลาด้วยท่าทางที่ไม่ชอบใจส่งผลให้ดีแลนอดผวาไม่ได้ แล้วรีบละล่ำละลักออกมาว่า “ฉะ...ฉันแค่ไม่อยากให้แกได้ยินพ่อแม่ฉันทะเลาะแล้วเอาแต่ด่าแกนี่หว่า” ก่อนเจ้าตัวจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลแล้วลอบมองใบหน้าตึงๆ ของอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงออดอ้อนออกไป “อย่าโกรธฉันเลยนะ ศินยกโทษให้ฉันเถอะนะ นะ นะ” จบคำชายหนุ่มก็ยอบกายลงนั่ง ก่อนจะคว้าข้อมื
บทที่7ครอบครัวของดีแลนหนึ่งวันผ่านไป...หลังจากที่คนทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกับการที่ต้องไปพบเจอกับพี่ชายบุญธรรมของศศินอย่างเตมินทร์มาและผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างทุลักทุเลแล้วในวันนี้ก็เป็นวันหนึ่งที่คนทั้งคู่จะต้องไปเผชิญชะตากรรมกับครอบครัวของดีแลนที่ดูเหมือนจะยากลำบากพอๆ กันจึงทำให้ศศินที่นั่งมาในสปอร์ตคาร์คันหรูของเพื่อนชายคนสนิท แม้นัยน์ตาสีเข้มจะจับจ้องมองท้องถนนที่แน่นขนัดไปด้วยรถมากมายหลากยี่ห้อและกลุ่มฝุ่นมลพิษที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศด้วยแววตานิ่งเพียงใดแต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับมีความกังวลเล็กๆ ผุดขึ้นกลางใจ จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสกับปลอกคอที่สวมใส่อย่างแผ่วเบาจนคนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีอย่างดีแลนที่มองเห็นการกระทำดังกล่าวถามออกไปว่า “กังวลหรือไง” แล้วเหลือบสายตามองไปยังลำคอขาวที่สวมใส่ปลอกคอสีดำสนิทเอาไว้ จนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างลำบากแรกเริ่มเดิมทีรูปร่างของศศินก็ตัวเล็กกว่าอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์อยู่มาก แต่ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนเอ่ยออกมาว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าเลือดผสมรูปร่างที่เล็กเกินมาตรฐานเหล่านี้จึงถูกปัดตกไปแต่พอวันที่ตัวเองไ