บทที่
2
คู่หมั้น
ท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ก็มีแสงสีของหลอดไฟนีออนมากมายหลากสีสัน แต่ประดับอย่างสว่างไสวจนคนที่เพ่งมองตาพร่าเบลอ
ยานพาหนะมากมายหลากยี่ห้อ เคลื่อนผ่านตามท้องถนน แต่งแต้มให้มหานครใหญ่ในยามค่ำคืนนี้คาคั่งไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา
ดีแลนขับรถสปอร์ตคันหรูพาคนตัวเล็กกว่า เดินทางมาถึงสถานเริงรมย์ชื่อดังในย่านใจกลางเมืองใหญ่ พอลงรถมาได้ คนชายหนุ่มก็โยนกุญแจไปให้พนักงานที่ยืนอยู่หน้าประตู
ก่อนเจ้าตัวจะก้าวขาเข้าไปด้านในทันที โดยที่มีคนตัวเล็กกว่าอย่างศศินสาวเท้าเดินตามแผ่นหลังของดีแลนอย่างเชื่องช้า
ทว่าในขณะที่ศศินกำลังกวาดตามองไปมาดูบรรยากาศโดยรอบที่แน่นขนัดไปด้วยผีเสื้อราตรีมากมายอยู่นั้นเอง ก็มีใครคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในอาการมึนเมาอย่างหนัก เดินเซมาชนชายหนุ่มอย่างแรง
จนร่างผอมบางของศศินตัวเองเซไปทางด้านข้างอยู่หลายก้าวจวนเจียนจะล้มอยู่รอมร่อ และยังไม่ทันที่ศศินจะทรงตัวดีๆ ก็มีเสียงโวยวายของคนคนนั้นดังขึ้นมาให้ได้ยินเสียก่อนว่า “เดินภาษาห่าอะไรของแกวะ ไม่มีตามองทางหรือไง” ว่าจบคนเมาก็สาวเท้าเข้าไปหาคู่กรณีอย่างไม่พอใจ
ส่งผลให้ศศินที่ยังไม่ทันได้ตั้งท่าดีๆ ถูกฝ่ามือใหญ่กระชากคอเสื้อขึ้นไป พร้อมกับเขย่าแรงๆ แล้วตามมาด้วยคำพูดเจ็บแสบอย่างดูแคลนของคนตรงหน้า “เป็นแค่โอเมก้า ทำไมถึงสะเหล่อมาเที่ยวในที่แบบนี้ได้วะ ไม่รู้หรือไงว่าชนชั้นต่ำตมแบบนี้ไม่ควรเข้ามา”
สิ้นเสียงดังกล่าวดีแลนที่รู้สึกถึงความผิดปกติจากทางด้านหลัง ก็เหลียวหน้าหันกลับมามอง ก็เห็นได้ว่าเพื่อนชายที่เขาพามาด้วยกำลังถูกอัลฟ่าตัวใหญ่ กระชากคอเสื้ออยู่ไม่ไกล ก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา “ให้ตายเถอะ”
และด้วยความเป็นห่วงดีแลนจึงรีบสาวเท้ากลับไปแทบจะทันที แต่ดูเหมือนว่าตัวเขานั้นจะก้าวขาไปอาจห้ามการทะเลาะวิวาทในครั้งนี้เอาไว้ไม่ทัน
เมื่อเห็นว่าคู่กรณีที่อยู่ในอาการเมามายกำลังเงื้อหมัดหมายจะชกเข้าไปที่ใบหน้าของฝ่าย ดีแลนก็อดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะ แล้วรีบสาวเท้าเข้าไป พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดังว่า “อย่าทำร้ายเขา”
จึงทำให้ชายที่อยู่ในอาการมึนเมาก็ชะงักค้างกำปั้นของตัวเองเอาไว้ แล้วเหลียวหน้าหันมามองดีแลนด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจ ก่อนริมฝีปากบางจะเหยียดยิ้มร้าย พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “ไอ้โอเมก้านี่เป็นคู่ขาของแกเหรอ ทำไมไม่ดูคู่ขาของแกให้ดีๆ วะ ปล่อยให้มาเดินเพ่นพ่านในสังคมอัลฟ่าได้ยังไง”
“โอเมก้าไม่มีสิทธิ์เพ่นพ่านในสังคมอัลฟ่าอย่างนั้นเหรอ” ศศินแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา ทันทีที่คู่กรณีพูดจบลง ก่อนเจ้าตัวจะช้อนสายตาจ้องมองคู่กรณีอย่างไม่ชอบใจ
ได้ยินเช่นนั้นคนเมาก็ยิ้มเยาะ แล้วเอ่ยออกไปว่า “ก็ใช่น่ะสิ โอเมก้าต่ำต้อยมีหน้าที่แค่ผลิตลูกเท่านั้น ไม่สมควรจะมาเสนอหน้าในสังคมชั้นสูงแบบนี้”
หลังจากที่ชายตรงหน้าพูดจบลงเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าของศศินก็พลันขมวดยุ่ง ก่อนเจ้าตัวจะผงกศีรษะขึ้นลงอยู่หลายต่อหลายครั้ง พร้อมกับพึมพำออกมาว่า “ฉันจะเป็นโอเมก้าก็ดี หรือจะเป็นอัลฟ่าก็ช่าง คนอย่างแก...”
ว่าจบก็เงยมองใบหน้าของคู่กรณีที่กำลังส่งสายตาเย้ยหยันราวกับว่ากำลังพูดออกมาว่า ‘ฉันจะพูดแล้วจะทำไม’ ทางสายตา
จึงทำให้ศศินแค่นเสียงออกมาอย่างเย็นชา “ก็ไม่มีสิทธิ์มาสะเออะยุ่งวุ่นวายชีวิตคนอื่น” จบคำชายหนุ่มตัวเล็กกว่าที่ถูกกระชากคอเสื้อก็กำหมัดแน่น แล้วชกเข้าที่ปลายคางของคู่กรณีอย่างหนักหน่วงหนึ่งที
จนคนตรงหน้าถึงกับต้องปล่อยมือออกจากคอเสื้อของศศินแบบทันทีทันใด พอได้รับอิสรภาพมาได้ ชายหนุ่มก็สาวเท้าเข้าไปกระชากคอเสื้อของอีกฝ่าย แล้วงอเข่ากระแทกตรงช่องท้องแรงๆ อีกที
พร้อมกับเอ่ยออกไปอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “แล้วฉันขอบอกแกไว้หนึ่งประโยคนะไอ้สวะ ฉัน เป็น อะไรมันก็เรื่องของฉัน ถ้าไม่อยากโดนส้นตีนยัดปากแบบไม่จำเป็น ก็อย่าสะเหล่อไปดูถูกใครโดยที่ไม่มอง” ก่อนเจ้าตัวจะใช้หมัดชกไปที่ลำตัวของคนตรงหน้าอีกหลายที จนคนคนนี้หงายลงไปกองกับพื้นเบื้องล่าง
เมื่อเห็นเช่นนั้นดีแลนก็พึมพำออกมาว่า “ว่าแล้วไงห้ามไม่ทันจริงๆ ด้วย” ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเข้าไปคว้าท่อนแขนของเพื่อนตัวเล็กที่กำลังจะพุ่งเข้าไปหมายกระทืบซ้ำ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยออกมาว่า “เดี๋ยวฉันจัดการเองดีกว่า ไอ้หมอนี่มันเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโต”
ส่งผลให้คนที่ตัวใหญ่กว่าถูกศศินชกไปหลายหมัดเงยหน้าขึ้นมาเพื่อหมายจะหาเรื่องต่อ ก็เห็นว่าในตอนนี้ดีแลนกำลังจับคนที่ตัวเตี้ยกว่าหลบอยู่ทางด้านหลัง ก็อดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “ถอยไปเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก” แล้วพยายามหยัดกายลุกขึ้นมา
“ทำไมจะไม่เกี่ยว...เพราะเขามากับผม” ดีแลนพูดเสียงเรียบแต่หนักแน่นออกมา ก่อนเจ้าตัวจะหรี่ตาลงเล็กน้อยจับจ้องมองคู่สนทนาด้วยแววตานิ่ง
จากนั้นจึงกล่าวเสียงเนิบออกไปว่า “หรือว่าคนอย่างคุณเก่งแต่กับคนไม่ทางสู้ พอเห็นผมตัวใหญ่เข้าหน่อยก็เลยไม่กล้าแล้วอย่างงั้นหรือครับ” ว่าจบเจ้าตัวก็ก้มหน้าลง แล้วใช้มือข้างหนึ่งจัดการพับแขนเสื้อขึ้นทีละข้างอย่างช้าๆ
จึงทำให้คนที่อยู่ในอาการเมามายตวาดเสียงดังลั่นอย่างไม่พอใจ “นี่แกไม่รู้หรือไงว่าฉันเป็นใครถึงได้กล้ามาเสนอหน้าอยู่ตรงนี้”
ดีแลนที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเลิกเรียวคิ้วขึ้นหนึ่งข้างพร้อมกับพูดออกไปว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าคุณเป็นใคร เพราะขนาดตัวคุณเองคุณยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใครผมจะรู้ได้ยังไงล่ะ”
“แก” ชายที่กำลังอยู่ในอาการเมามายคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง แต่จะให้เขาปรี่เข้าไปสู้ตัวต่อตัวกับคนตัวใหญ่กว่าตรงหน้าก็ไม่มีความกล้าพอ เขาจึงเหลียวซ้ายเหลียวขวาไปมา มองหาขวดแก้วสักใบเอามาเป็นอาวุธคู่ใจ เพื่อนำมาต่อกรกับคู่กรณี
ก่อนสายตาจะไปสะดุดอยู่กับขวดเบียร์ขวดหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เขาจึงสาวเท้าไปหยิบของสิ่งนั้นมา แล้วฟาดมันลงไปบนโต๊ะจนบังเกิดเสียงดัง
แต่แล้วในขณะนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งสาวเท้าเข้าไปใกล้ แล้วยื่นมือไปฉวยเอาขวดปากฉลามมาถือเอาไว้ จนคนที่อยู่ในอาการมึนเมาตวาดเสียงดังออกไปว่า “อะไรของแกวะกวินมายืนขวางทางฉันทำไมไม่เห็นหรือไงว่ามันหาเรื่องฉัน”
สิ้นเสียงดังกล่าวชายที่เข้ามายืนขวางทางคนเมาก็ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบเสียงเบาข้างๆ หูว่า “คนที่แกจะสู้ด้วยนั่นน่ะเป็นลูกชายคนเล็กของเจ้านายพ่อฉัน ผับที่แกยืนอยู่นี่เขาก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ ถึงแกจะเป็นเพื่อนฉัน ฉันก็ช่วยอะไรแกไม่ได้ ทางที่ดีถ้าไม่อยากถูกโยนไปอยู่ข้างทางแกสงบเสงี่ยมหน่อยก็ดีนะไอ้วิน”
พอได้ยินเช่นนั้นนัยน์ตาสีเข้มก็เบิกกว้างตกใจ แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่กำลังเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้างอย่างสงสัยราวกับว่าต้องการจะถามออกมาว่า ‘ยังอยากจะมีเรื่องกับเขาอยู่หรือเปล่า’
หลังจากที่เข้าไปกระซิบสยบความกร่างของเพื่อนชายคนสนิทอย่างไอ้วิน หรือกวินให้อยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ชายหนุ่มก็เหลียวหน้าหันไปโค้งศีรษะลงน้อยให้กับดีแลนอีกที แล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “ผมต้องขอโทษแทนเพื่อนผมด้วยครับ มันเมาไปหน่อยเลยทำอะไรไม่คิด”
ได้ยินเช่นนั้นดีแลนจึงพยักหน้าลงอย่างเข้าใจ แต่ก็ไม่ลืมที่จะพูดออกไปว่าพูดออกไปว่า “ดูแลเพื่อนนายให้ดี ฉันไม่อยากโยนใครออกจากที่นี่โดยไม่จำเป็น” ว่าจบเจ้าตัวหมุนกายหันไปหาคนตัวเล็กที่บัดนี้กำลังทำหน้ายุ่งอย่างไม่ชอบใจ
โดยที่มีเสียงดังมาจากทางด้านหลังอย่างนอบน้อมว่า “ครับนาย”
ชายหนุ่มมองสีหน้ายับยุ่งของคนตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ ว่า “จะทำหน้าบูดเป็นตูดลิงแบบนั้นไปทำไมวะไอ้ศิน”
ศศินจึงสวนกลับไปทันทีว่า “แกไม่เห็นหรือไงว่าไอ้บ้านั่นมัน...” ว่าจบเจ้าตัวก็เหลียวหน้าหันไปมองคู่กรณีที่มีอาการเมามายอีกหน แล้วชักสายตากลับคืนมามองดูคู่สนทนาอย่างไม่พอใจ
จนดีแลนยกมือทั้งสองข้างอย่างยอมแพ้แล้วพูดเสียงอ่อยออกมาว่า “เอาน่า...ฉันรู้ว่าแกไม่ชอบถูกกระทำ แต่เคลียร์กันแบบไม่ต้องเจ็บตัวก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ขืนถ้ายังดึงดันจะมีเรื่องกันตรงนี้เห็นทีพวกเราคงจะได้ไปนั่งตบยุงในมุ้งสายบัวกันก่อนที่แกจะได้เห็นคู่หมั้นที่แม่ฉันเตรียมไว้ให้พอดี”
เมื่อดีแลนพูดจบลงศศินก็ทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างระอา แล้วช้อนสายตาเงยหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนเจ้าเจ้าตัวจะพึมพำออกมาว่า “เอาเถอะเอาเถอะ...ฉันว่าแกรีบๆ พาฉันไปดูหน้าว่าที่คู่หมั้นแกเถอะ ฉันจะได้รีบๆ กลับ”
สิ้นเสียงดังกล่าวดีแลนจึงยื่นมือไปคว้าเอาข้อมือขาวของอีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยออกไปว่า “จับไว้แบบนี้นี่แหละ แกจะได้ไม่โดนหาเรื่องอีก” เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กเริ่มขมวดหัวคิ้วมุ่นแล้วจ้องมองข้อมือที่ถูกกุมเอาไว้อย่างไม่ชอบใจ
จึงทำให้ดีแลนรีบปล่อยมือออกทันใดพร้อมกับกล่าวเสียงอ่อยออกมาอย่างรู้สึกผิดว่า “ฉันขอโทษ ลืมตัวไปน่ะ”
เพียงไม่นานก็มีเสียงดังออกมาจากริมฝีปากสีเรื่อของอีกฝ่าย “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ จะพาฉันไปไหนแกก็รีบๆ ไปเถอะน่า”
ส่งผลให้คนที่ได้ยินคำพูดดังกล่าวถึงกับอมยิ้มน้อยๆ ออกมา ก่อนเจ้าตัวจะถือวิสาสะคว้าข้อมือขาวของคนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง แล้วจูงเจ้าของร่างที่เตี้ยกว่าที่ยืนอยู่ข้างกายให้เดินตามเข้าไปด้านใน
พอเดินมาถึงโซนวีไอพีที่อยู่บนชั้นสองได้ไม่นาน คนตัวใหญ่ก็ชะงักฝีเท้าของตัวเองแล้วรั้งร่างของศศินให้เข้ามาใกล้ จากนั้นจึงเอ่ยออกไปว่า “ผู้หญิงคนนู้นไง คนที่ใส่เดรสสั้นสีแดงสดผมยาวๆ” ก่อนจะชักสายตาไปทางด้านข้างเพื่อบอกตำแหน่งให้แน่นอนอีกที
เมื่อได้เห็นท่าทางของคนที่ยืนอยู่ข้างกายกำลังส่งสายตาไปอีกทาง ศศินจึงเหลือบสายตามองตามคำบอกของเพื่อนชายคนสนิทอย่างรวดเร็ว
เขาก็เห็นว่าหญิงสาวชุดแดงที่ดีแลนบอกมานั้น กำลังนั่งอยู่บนโซฟาตัวสีดำสนิท จึงทำให้ขับเน้นเสื้อผ้าที่สวมอยู่ให้โดดเด่นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
หญิงสาวนั่งอยู่ท่ามกลางผู้หญิงอีกสามคนที่มีสไตล์การแต่งตัวไม่ต่างกัน ใบหน้าสวยหวานรวมไปถึงเรือนร่างที่สมส่วน ทำให้เธอผู้นี้ดูเพียบพร้อมไปด้วยความสมบูรณ์แบบตามแบบฉบับอัลฟ่าหญิงผู้สูงศักดิ์
โดยที่เธอคนนี้กำลังมองมาทางที่ดีแลนยืนอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เป็นเพราะหญิงสาวกำลังอยู่กับคนหมู่มากจึงสงวนท่าทีของตัวเองเอาไว้
เมื่อลอบสำรวจมองดูอยู่พักใหญ่ ศศินก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “ก็สวยดีนี่” แล้วหันไปพูดกับคนข้างกายอีกที “ดูๆ แล้วแม่แกก็ตาแหลมนี่ สวยน่ารักและดูสูงศักดิ์ ไม่มีสวนไหนไม่เหมาะสมกับแกเลยนะแดน ทำไมแกไม่เปิดใจลองคบดูก่อนวะ”
แต่พอได้พูดออกไปก็ทำให้เขารู้สึกถึงความวูบโหวงในอกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต จนตัวเองถึงกับต้องยกมือขึ้นมาลูบหน้าอกข้างซ้ายของตัวเองเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ
ดีแลนจึงตอบกลับไปว่า “แกไม่เคยได้ยินคำนี้เหรอวะไอ้ศิน ต่อให้สวยปานนางฟ้านางสวรรค์มากแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่รึเปล่าวะ ฉันไม่ได้ชอบเธอ” ว่าเพียงแค่นั้น ชายหนุ่มก็รั้งข้อมือขาวของศศิน ให้เดินไปที่โต๊ะๆ หนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ก่อนคนทั้งสองจะนั่งลงอย่างพร้อมเพรียงกัน
หลังจากที่นั่งลงได้ไม่นานดีแลนก็ชูมือขึ้นเพื่อเรียกให้พนักงานเสิร์ฟที่อยู่ไม่ไกล แล้วหันมาถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
ศศินจึงช้อนสายตาเงยมองใบหน้าของคนที่ตัวใหญ่กว่า ก่อนเจ้าตัวจะเอนหลังพิงพนักโซฟาตัวสีดำสนิท แล้วเอ่ยออกไปว่า “แกสั่งอะไรมาฉันก็กินได้ทั้งนั้น สั่งๆ มาเถอะ อย่าลืมสิที่ฉันมาที่นี่เพราะแกบอกให้ฉันมาเพื่อดูว่าที่คู่หมั้นแกไม่ใช่หรือไง”
สิ้นเสียงของศศินดีแลนก็พยักหน้าลงเล็กน้อยอย่างเข้าใจ ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวหน้าหันไปมองพนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะตัวใหญ่ จากนั้นเจ้าตัวจะเอ่ยออกมา “เอาแค่ที่เคยสั่งเอาไว้นั่นแหละไม่ต้องเอาอะไรเพิ่มแล้ว”
“ครับ” พนักงานเสิร์ฟก้มศีรษะลงน้อยๆ พอเป็นพิธี หลังจากที่ได้ยินคำพูดของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก่อนเจ้าตัวจะหมุนกายพร้อมกับเดินจากไป
เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครแล้ว ดีแลนจึงถามออกไปว่า “เห็นแบบนี้แล้วแกจะทำยังไงต่อวะศินฉันไม่อยากให้คนพวกนั้นทำร้ายแก แต่ก็นะตระกูลเขาใหญ่ออกขนาดนั้น แค่ลำพังฉันคนเดียวฉันกลัวว่าจะตามปกป้องแกได้ไม่ตลอดแน่ๆ” ก่อนเจ้าตัวจะเหลียวหน้ามองคู่สนทนาที่นั่งทำหน้านิ่งอยู่ตรงหน้า
ศศินจึงไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อคำพูดของเพื่อนตัวเองสักเท่าไร แล้วพูดออกไปด้วยท่าทางสบายๆ “ถ้าเขาไม่ทำอะไรฉัน ฉันก็จะอยู่ในที่ที่ของฉันเหมือนกัน ไม่มีอะไรต้องให้คิดมากมาย ถึงว่าที่คู่หมั้นแกจะเป็นคนแรงๆ แต่ก็ดูเหมือนจะรู้จักกรอบเกณฑ์ของตัวเองอยู่ เพราะจากที่เห็นเหมือนเขาจะรู้ว่าแกจะแต่งกับฉัน แต่ก็ไม่ได้เข้ามาทำร้ายนี่”
“ได้ยินแกพูดแบบนี้ฉันก็เบาใจว่ะ ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกเราทำจะเป็นละครฉากหนึ่ง แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้แกต้องลำบากใจหรือถูกใครเอาเปรียบเหมือนกัน”
“แกน่ะคิดมากเกินไปนะแดน” ศศินตอบกลับไปด้วยท่วงท่าที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อนสักเท่าไร หลังจากที่ดีแลนยิงคำถามที่ตัวเองเป็นกังวลออกมา
ศศินเหลือบสายตาหันไปมองเป้าหมายของการมาที่นี่อีกครั้ง แล้วชักสายตาคืนกลับมาอีกที ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยออกไปว่า “เพราะไงว่าที่คู่หมั้นแกก็ไม่ได้อารมณ์ร้ายถึงขั้นทนไม่ได้จนต้องปรี่เข้ามาทำร้ายซะหน่อยนี่”
ทว่าศศินเอ่ยออกมาได้เพียงไม่นาน พนักงานก็ค่อยๆ ยกอาหารและเครื่องดื่มที่ดีแลนสั่งเอาไว้ ทยอยมาเสิร์ฟอย่างช้าๆ ก่อนเจ้าตัวจะจัดการเทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้คนทั้งสองทันที
เมื่อเห็นว่าพนักงานเสิร์ฟกำลังเทเครื่องดื่มให้ ศศินที่หิวน้ำจนคอแทบเป็นผงก็เลยเอ่ยออกไปว่า “ขอน้ำเปล่าให้ผมแก้วหนึ่งด้วยครับ”
สิ้นเสียงดังกล่าวพนักงานเสิร์ฟก็พูดเสียงเบาออกมาว่า “ครับ” แล้วจัดการรินน้ำสะอาดลงในแก้ว แล้วยื่นไปให้ศศินทันที
พอรับน้ำดื่มมาไว้ในมือศศินก็ก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วรีบดื่มน้ำลงคออย่างหิวกระหาย และเป็นเพราะรีบดื่มมากเกินไปจึงทำให้มีหยดน้ำไหลออกมาจากมุมปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก่อนเจ้าตัวจะยกฝ่ามือขึ้นแล้วเช็ดมุมปากทันใด
จากนั้นจึงยื่นมือไปหยิบซ้อมเล็กๆ จิ้มปูอัดตรงหน้าขึ้นมา กินไปได้หนึ่งคำ แต่แล้วในขณะนั้นชายหนุ่มก็เห็นนัยน์ตาสีเข้มจ้องมองมา
จนตัวเองต้องพยายามกลืนของกินในปากลงท้องอย่างลำบาก แล้วถามออกไปว่า “หิวทำไมไม่กินวะมองอยู่ได้” แล้วอ้าปากงับปูอัดเข้าปากต่อทันที
ส่งผลให้คนที่เห็นท่าทางดังกล่าวถึงกับต้องหรี่ตาลงทันใด เขาจ้องริมฝีปากสีเรื่อตรงหน้ากำลังขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ ก่อนจะมีปลายลิ้นเล็กๆ น่ารักแลบออกมาเลียคราบน้ำที่เช็ดไม่หมดตรงมุมปากอย่างช้าๆ
จากนั้นชายหนุ่มก็ยื่นปูอัดไปจิ้มวาซาบิอีกที แล้วค่อยๆ ยกขึ้นมาละเลียดกินทีละนิด แต่ด้วยความเผ็ดร้อนของเจ้าตัววาซาบิทำให้มีหยาดน้ำตาไหลซึมออกมา ศศินกินปูอัดในมือเข้าไปโดยไม่ได้สนว่าคนที่สั่งอาหารเหล่านี้มาจะมองด้วยสายตาเช่นไร
ศศินกินของว่างในมือได้พักใหญ่ จู่ๆ ชายหนุ่มก็ได้กลิ่นหอมแปลกๆ ตีเข้ามาโพรงจมูกของตัวเองเสียจนต้องใช้ปลายนิ้วถูไปมา
ในคราแรกเขาคิดว่าตัวเองจะเกิดอาการฮีทแล้วปล่อยฟีโรโมนออกมาทั้งๆ ที่ตัวเองกินยาระงับเข้าไป แต่พอสำรวจตรวจสอบตัวเองได้พักใหญ่ ก็พบว่าตัวเองนั้นยังปกติสุขดี ความรู้สึกต้องการทางเพศก็ไม่มี จึงรู้ว่าไม่ใช่ของตน
ศศินจึงพึมพำออกมาเบาๆ ว่า “ใครมาปล่อยฟีโรโมนแถวนี้วะ” แล้วกวาดตามองไปมารอบๆ กายอีกหน เนื่องจากรอบตัวของเขานั้นคาคั่งไปด้วยผู้คน จึงทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่ากลิ่นที่ลอยเข้ามานั้นเป็นของใคร
ทว่าในขณะที่กำลังมองหาคนที่ปล่อยฟีโรโมนอยู่ไม่ทันไร จู่ๆ ดีแลนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้างก็ผุดลุกขึ้นยืนทันใด ก่อนเจ้าตัวจะอ้าปากเอ่ยออกมาให้ได้ยินว่า “กินไปก่อนนะ ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวมา” ว่าชายหนุ่มก็หมุนกายแล้วสาวเท้าออกไปทันที
พอเห็นท่าทางดังกล่าวนี้ ศศินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างชั่งใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรคนคนนี้จะไปไหนมาไหน ก็ไม่เคยที่จะมานั่งรายงานเขาเลยสักครั้ง แต่มาหนนี้กลับมาบอกกันอีกทั้งยังทำท่าทางแปลกๆ ออกมา
แต่ศศินเองก็ไม่ได้คิดจะเซ้าซี้ถามไถ่ให้มากความ ก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารตรงหน้าเพราะรู้สึกเสียดายอาหารที่ดีแลนสั่งมาอย่างมากมายขึ้นมา โดยที่ไม่ทันได้เห็นว่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของดีแลนได้ลุกออกจากโซฟาแล้วเดินตามชายหนุ่มไปด้วยเช่นกัน
ส่วนทางด้านดีแลนนั้นหลังจากที่จู่ๆ ก็เกิดอาการรัทขึ้นมาแบบกะทันหัน ภายในหัวมีแต่ภาพของคนตรงหน้ากำลังใช้ลิ้นเล็กๆ น่ารักโลมเลียของกินไปมาไม่หยุดหย่อน
เขาจึงรีบสาวเท้าไปยังห้องน้ำของผู้บริหารที่อยู่ชั้นบนทันที แต่เป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนที่ตัวเองไม่อาจควบคุมเอาไว้ได้ เพราะสติสัมปชัญญะเริ่มขาดหาย ก็ฟุ้งกระจายออกมาในยามนี้ จึงทำให้เหล่าอัลฟ่าเลือดผสมหลายคนที่ดีแลนเดินผ่านหน้าถูกกดข่มในทันที
ชายหนุ่มจึงรีบจ้ำเท้าไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล พอเดินไปถึงที่หมายซึ่งเป็นห้องพักของตัวเองก็จัดการปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา
จากนั้นตัวเองก็สาวเท้าไปที่ เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าหินอ่อน แล้วใช้สองมือเท้าลงไป ก่อนเจ้าตัวจะยื่นมือไปเปิดวาล์วน้ำที่อยู่ไม่ไกล แล้ววักน้ำขึ้นมาสาดใส่ใบหน้าของตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อดับความต้องการที่เกิดขึ้นมาแบบไม่ได้ตั้งใจ
ก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้ามองแผ่นกระจกอีกที แล้วอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอย่างไม่พอใจว่า “อีกแล้วเป็นแบบนี้ทุกทีเลยสิน่า”
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาตัวดีแลนเองก็เป็นคนที่อดทนต่ออาการฮีทของโอเมก้าในระดับสูงมากอยู่แล้ว จึงทำให้เขาไม่ต้องใช้ยาระงับอาการรัทนี้เพื่อข่มอารมณ์ของตนเองเอาไว้ แต่พอเจ้าตัวได้มาอยู่ใกล้ๆ กับศศินทีไร เขาก็ไม่อาจควบคุมความกระสันที่เกิดขึ้นมากะทันหันนี้ได้เลยสักครั้ง
ชายหนุ่มจึงพยายามใช้น้ำเย็นๆ ลูบใบหน้าของตัวเองซ้ำอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้อาการรัทที่เกิดขึ้นมาดีขึ้นสักเท่าไร มิหนำซ้ำเจ้าตัวก็ไม่ได้พกยาระงับอาการติดตัวมา จึงทำให้ในยามนี้ช่วงล่างปวดหนึบขึ้นมาจนอยากหาที่ระบาย
สุดท้ายเมื่อทนต่อไปไม่ไหว ดีแลนก็สาวเท้าเข้าไปในห้องน้ำห้องเล็กที่มีชักโครกติดตั้งอยู่อีกที เพื่อปลดปล่อยความปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ในอกจนทะลักทลายออกมา
ดีแลนใช้เวลาอยู่พักใหญ่ เขาถึงจะสามารถสงบสติอารมณ์และแรงปรารถนาที่เอ่อล้นออกมาเอาไว้ได้ แต่ก็ทำให้ภายในห้องน้ำของผู้บริหารในยามนี้คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองที่ปลดปล่อยออกมาอย่างไม่ตั้งใจ จนตัวเองอดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมา
ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้ามาที่กระจกอีกครั้ง เพื่อดูความเรียบร้อยของตัวเองอีกที แล้วเดินไปที่ประตู เพื่อหมายจะออกไปหยิบสเปรย์ระงับกลิ่นมาพ่นสักหน่อย หาไม่แล้วหากแม่บ้านหญิงที่เป็นอัลฟ่าลูกผสมบังเอิญมาทำความสะอาดคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร
ทว่าพอเปิดประตูออกมาได้ เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงอย่างตกใจ เมื่อจู่ๆ อีกฝั่งของบานประตูมีผู้หญิงที่สวมเดรสสีแดงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นกำลังยืนกอดอกรอคอยเขาอยู่ตรงหน้า ส่งผลให้เจ้าตัวจะโพล่งเสียงดังออกมาว่า “พี่เดียร์ พี่จะมายืนตรงนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าเจ้าศินมันมาเห็นจะทำยังไงล่ะ”
สิ้นเสียงของดีแลน นาเดียร์หรือชื่อที่ดีแลนเรียกขานว่าเดียร์เมื่อครู่นี้ก็โยนยาเม็ดหนึ่งไปให้ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยออกไปว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงรัทได้ ไม่รู้หรือไงว่าทำคนคนข้างนอกวุ่นวายขนาดไหน”
ได้ยินเช่นนั้นดีแลนที่ยื่นมือไปรับยาเม็ดซึ่งหญิงสาวตรงหน้าส่งมาให้ ก่อนเจ้าตัวจะกรอกยาลงไปทันที จากนั้นจึงเอ่ยออกมาว่า “พี่ก็น่าจะรู้นี่ ว่าเพราะอะไร”
“แกชอบเขาขนาดนั้นทำไมไม่บอกไปตรงๆ วะไอ้แดน มาวางแผนบ้าๆ บอๆ แล้วให้ฉันพี่สาวแสนดีคนนี้มาเป็นตัวร้าย ได้ยังไงหา ถึงฉันจะไม่ค่อยกลับมาที่นี่จนคนลืมหน้ากันไปหมด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องนะไอ้น้องบ้า”
ดีแลนจึงละล่ำละลักออกไปว่า “โถ่...พี่เดียร์ก็เห็นนี่ ว่าหมอนั่นเป็นอัลฟ่า แถมยังไม่ชอบอะไรเทือกทำนองนี้อีก พี่ไม่เห็นหมอนั่นกระทืบคนที่ดูถูกตัวเองหรือไง ขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า น้องชายพี่อายุสั้นแน่ๆ ครับ ผมก็เลยเอาพี่มาอ้างจะได้แต่งกับหมอนั่น ถึงจะเป็นการแต่งแบบหลอกๆ แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เผื่อบางทีถ้าได้อยู่ด้วยกันนานๆ แล้ว วันหนึ่งถ้ามีผู้หญิงมาวุ่นวายบ้างหมอนั่นจะมาอารมณ์ร่วมหึงหวงผมบ้างไง”
“ความคิดของแกนี่มัน” นาเดียร์โพล่งออกมาทันที เมื่อได้ยินสิ่งที่ดีแลนพูดออกมา ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นกอดอก แล้วจ้องมองน้องชายตัวดีพร้อมกับส่ายศีรษะไปมาอย่างระอาใจ จากนั้นจึงพูดต่อ “แล้วแกไม่คิดบ้างเหรอว่า ถ้าเขารู้ความจริงขึ้นมา เขาไม่โกรธแกตายห่าหรอกเหรอ”
“ทำไงได้ล่ะ ใครใช้ให้หมอนั่นเป็นอัลฟ่าล่ะ ผมไม่มีหนทางอื่นแล้วจริงๆ” ดีแลนทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเดินไปหยิบสเปรย์ระงับกลิ่นที่ตั้งอยู่ไม่ไกล แล้วหันมาพูดกับพี่สาวของตัวเองว่า “ถ้าผมมีทางอื่นผมคงไม่ทำแบบนี้ นะครับถือว่าช่วยลูกนกลูกกา” จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อจัดการใช้สเปรย์ในมือระงับกลิ่นฟีโรโมนของตน
ก่อนจะมีเสียงของนาเดียร์ดังให้ได้ยินว่า “เขาเป็นอัลฟ่าจริงๆ น่ะเหรอ เท่าที่ดูจากรูปร่างหน้าตา ตอนที่ฉันเห็นเขาแวบแรกยังคิดว่าเป็นโอเมก้าเลย” หญิงสาวว่าเพียงแค่นั้นก็สาวเท้าไปยืนอยู่ตรงผนัง แล้วจ้องมองน้องชายตัวดีกำลังใช้สเปรย์ระงับกลิ่นฉีดไปมา
ดีแลนจึงตอบกลับไปทันทีว่า “เขาเป็นอัลฟ่าจริงๆ พี่เพราะตั้งแต่ผมรู้จักกับหมอนั่นมา ผมก็ไม่เคยได้กลิ่นของโอเมก้าจากตัวหมอนั่นเลย การเรียนดี กีฬาเด่น เก่งแทบทุกด้าน มิหนำซ้ำปลอกคอก็ไม่มี เสียอย่างเดียวหน้าเงินไปหน่อย ถ้าเป็นโอเมก้าพี่คิดไหมล่ะว่าเขาจะอยู่รอดมาได้โดยไม่ถูกกัดคอ”
“ในโลกใบนี้แม้จะโหดร้ายกับโอเมก้ามากก็จริงจนพวกนั้นแทบจะไม่มีโอกาสได้เรียนหรือได้ไปไหน แต่ก็มีโอเมก้าบางส่วนที่สามารถทำอย่างที่แกบอกได้อยู่นะแดน แต่ที่เขาต้องปกปิดตัวตนตัวเองแบบนั้น ก็เพราะโลกใบนี้มันโหดร้ายกับพวกเขาจริงๆ”
หลังจากได้ยินสิ่งที่นาเดียร์พูดออกมา ดีแลนก็เริ่มฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนเจ้าตัวจะพูดออกไป “เรื่องนั้นถ้าหมอนั่นปกปิดตัวตนจริงๆ ผมได้อยู่ใกล้ชิดกันทุกวันสักวันคงต้องรู้นั่นแหละครับ”
พอได้เห็นอาการของน้องชายตัวเอง นาเดียร์ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมา แล้วเอ่ยออกไปว่า “เออๆ ฉันยอมช่วยแกเรื่องนี้ก็ได้ แต่ถ้าความลับนี้แตก ฉันกับพ่อแม่ไม่รู้เรื่องกับแกนะ”
เนื่องจากตัวเธอนั้น แท้จริงแล้วก็แต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่ต่างประเทศ นานทีปีหนจะกลับมาเที่ยวที่บ้านเกิดเมืองนอนตัวเองสักครั้ง พอกลับมาได้ไม่ถึงวัน เจ้าน้องชายตัวดีก็เข้ามาขอร้องให้ทำมาอะไรพิเรนทร์พิเรนทร์แบบนี้ เพราะอยากได้อัลฟ่าชายมาเป็นเมีย
แรกเริ่มเดิมทีในตอนแรกพ่อกับแม่ก็คัดค้านกันแบบหัวชนฝา เพราะอัลฟ่าชายมีหลานให้อุ้มไม่ได้ แต่พอได้เห็นรูปร่างหน้าตาของคนที่ไอ้น้องชายตัวดีคนนี้หมายปอง พ่อกับแม่กลับยินยอมและสนับสนุนเต็มที่
ยอมแม้กระทั่งเป็นแม่ผัวใจร้าย เพื่อให้ลูกชายตัวเองได้สมหวังและวางแผนให้ซะดิบดี เพราะเจ้าตัวบอกมาว่า คนที่ตัวเองแอบชอบอยู่นั้นไม่ได้มีใจให้เลยแม้แต่นิดเดียว หากไม่มีตัวกระตุ้น ด้วยการวางแผนว่าจ้างเข้าให้มาได้อยู่ใกล้ชิดกัน มีหวังชาตินี้ทั้งชาติคงไม่ได้มาครอบครอง
ทว่าในขณะที่นาเดียร์กำลังคิดไม่ตกอยู่นั้น ก็มีเสียงคนเคาะประตูหน้าห้องดังเข้ามา ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียกชื่อของน้องชายตัวเองว่า “ไอ้เหี้ยแดน แกจมชักโครกตายห่าแล้วเหรอวะไม่ออกมาสักที นี่เป็นลมอยู่ในนั้นหรือเปล่าเนี่ย”
ส่งผลให้คนที่กำลังฉีดสเปรย์ดับกลิ่นอยู่นั้นถึงกับเบิกตากว้างอย่างตกใจ พร้อมกับพึมพำออกมาว่า “ฉิบหายแล้ว” ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเข้าไปหานาเดียร์ที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำ แล้วเอ่ยละล่ำละลักออกมาว่า “พี่เดียร์ทำไงดี หมอนั่นจะมาเห็นพี่ในนี้ไม่ได้”
พูดได้เพียงแค่นั้นก็มีเสียงเคาะประตูรัวๆ ดังขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะตามด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างเป็นห่วงว่า “ไอ้เหี้ยแดน ทำไมไม่เปิดประตูวะนั่น”
เพียงครู่เดียวเสียงดังกล่าวก็หายไป จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงของศศินดังมาให้ได้ยินอีกครั้งหนึ่งว่า “ช่วยเปิดประตูให้ที เจ้านายคุณเป็นลมอยู่ในนี้แน่ๆ เร็ว ฉันเห็นเขามาเข้าห้องน้ำตั้งนานแล้วนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวของศศิน สองพี่น้องต่างก็ทำหน้าตาเลิ่กลั่กอย่างลนลาน ชายหนุ่มจึงกวาดตาไปมา ก็เห็นตู้เสื้อผ้าที่อยู่ไม่ไกล ดีแลนจึงยื่นมือไปคว้าท่อนแขนของนาเดียร์เอาไว้
เขาพาพี่สาวตัวดีมาที่ตู้เสื้อผ้า พร้อมกับยัดร่างผอมบางเข้าไป แล้วพูดออกมาว่า “พี่อยู่ในนี้ก่อน” ว่าจบก็ปิดประตูตู้เสื้อผ้า ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าไปเปิดประตู
โดยที่มีเสียงสบถเบาๆ ดังออกมาให้ได้ยินว่า “ไอ้น้องเวร”
บทที่12สติที่ขาดสะบั้นท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่สาดกระทบลงมาบนผ้าม่านที่ปิดกั้นประตูบานเลื่อนตรงระเบียงด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนจาง จากเรือนกายของชายหนุ่มที่เคยพร่ำบอกว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าเลือดผสมลอยฟุ้งหอมละมุนอยู่ในอากาศ ชวนให้คนที่ได้กลิ่นเหล่านี้ใจเต้นไม่เป็นส่ำแม้แต่ตัวดีแลนเองที่เพิ่งจะขบริมฝีปากตัวเองจนปริแตก ก็ยังรู้สึกริมฝีปากแห้งผาก ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกระหน่ำเต้นแทบไม่เป็นจังหวะจวนเจียนจะกระดอนออกมาอยู่รอมร่อชายหนุ่มล้วงมือที่ค่อนข้างสั่นเทาเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วควักยาระงับของตัวเองที่พกไว้ขึ้นมาโยนใส่ปากอีกเม็ดหนึ่งทันทีเขาพยายามสงบสติอารมณ์ได้วูบหนึ่ง ก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกที แล้วสาวเท้าเข้าไปหาชายตัวเล็กกว่าซึ่งกำลังนั่งขดอยู่ตรงมุมผนังพอเดินไปถึงชายหนุ่มก็ค่อยๆ ยอบกายลงนั่ง ก่อนจะยื่นมือไปคว้าเอาตุ๊กตาหมีที่อีกฝ่ายกำเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วพูดเสียงเบาอย่างปลอบประโลมออกไปว่า “ให้ฉันช่วยเถอะศินแกดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว”สิ้นเสียงดังกล่าวศศินที่ถูกห้วงอารมณ์ปรารถนากลืนกินจิตใต้สำนึกไปมากกว่าครึ่ง ก็ค่อยๆ เงยหน้ามองคนพูดอย่างเชื่องช้าแล้วยืนมือไปผลักใบหน้าของเพื่อนสนิทที่
บทที่11ต่อหน้า“ปะ...เปล่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”สิ้นเสียงของคนตรงหน้าเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาของดีแลนก็เลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าที่แดงจัดของอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจตรวจดูอาการอีกสักหนแม้จะถูกฝ่ามือของศศินผลักไสให้ถอยห่างออกมาเพียงใด แต่ความสนใจของดีแลนในตอนนี้ไปอยู่ที่อาการของอีกฝ่าย จึงทำให้ในยามที่ถูกผลักไสร่างกายเลยแทบไม่ขยับเขยื้อนไปทางใดมิหนำซ้ำชายหนุ่มยังคงกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แนบแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว เพื่อให้คนตัวเล็กจอมพยศยืนอยู่นิ่งๆ จนกว่าเขาจะแน่ใจแล้วว่า ศศินไม่ได้เป็นไข้อย่างที่ตัวเองเป็นกังวลเนื่องจากว่าในตอนนี้นั้นใบหน้าของคนในอ้อมกอดแดงจัดราวกับลูกตำลึงสุก ไม่ต่างจากคนที่กำลังจะเป็นไข้ ดีแลนจึงไม่อาจวางใจปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระได้อย่างใจก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจยื่นมือไปประคองใบหน้าของคนในอ้อมกอดที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ให้เงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากันส่งผลให้ศศินที่อยู่ในสภาวะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้ว พอถูกจับใด้เขาก็ได้แค่เงยหน้าขึ้น จนดวงตาสอดประสานกับนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาจึงทำให้เขาก็ถึงกับลุกลี้ล
บทที่10ชิดใกล้“ฉันขอโทษแกจริงๆ ว่ะ ฉันไม่นึกว่าคุณแม่จะเอาแต่ใจขนาดนี้”ดีแลนพูดเป็นรอบที่สิบ เมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้ก้าวขาขึ้นมานั่งอยู่ภายในสปอร์ตคาร์ เพื่อที่จะเดินกลับไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของศศินให้ย้ายเข้ามาอยู่ภายในบ้านหลังใหญ่เพราะหลังจากที่ถูกสตรีหมายเลขหนึ่งของบ้าน บอกให้ศศินกลับขนข้าวขนของมาพักอยู่ที่คฤหาสน์อย่างเอาแต่ใจ สุดท้ายตัวเขาเองก็ไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายจึงต้องยอมทำตามอย่างว่าง่ายโดยที่คุณหญิงอารียาให้เหตุผลแบบง่ายๆ และมัดมือชกว่า ต้องการจะฝึกให้ว่าที่สะใภ้ในอนาคตรู้จักการเข้าสังคมหมู่มากและวางตัวให้เหมาะสมก่อนแต่งเข้ามาอยู่ภายในบ้านหลังนี้จริงๆส่งผลให้คนที่ถูกมัดมือชกอย่างศศินที่ได้ฟังความต้องการของว่าที่แม่ย่าในอนาคตถึงกับคิ้วกระตุกอยู่สองที แต่ก็ไม่อาจจะสรรหาคำแก้ต่างโต้แย้งกลับไปได้สุดท้ายพอไม่สามารถโต้เถียงกลับไปได้ และเพื่อไม่ให้มีเรื่องบาดหมางในเวลาต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ศศินจึงข้อสรุปว่าตัวของเขานั้นจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของดีแลนตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเขาที่พูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จำต้องตามใจคุณหญิงอารียาอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ จำต้องย้ายมาพักอ
บทที่9เกือบหลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ดีแลนก็เลิกเรียวคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง มองใบหน้าที่หมดจดของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองตอบมาด้วยสายตาที่ค่อนข้างออดอ้อนอยู่ภายใน เพื่อขออนุญาตกลายๆ อีกครั้งถึงแม้สิ่งที่ทำจะเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่งที่ศศินทำออกมา แต่คนที่ถูกสายตาดังกล่าวของอีกฝ่ายจ้องมองก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเผลอใจดีแลนที่ได้เห็นท่าทางของคนที่อยู่ในอ้อมแขนอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็กินเวลาไปร่วมสองนาที เลยทำทีเป็นมองใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าอย่างชั่งใจ แล้วเอ่ยเสียงเย้าออกมาว่า “แน่ใจนะว่าตอนแกคุยกับแม่ฉัน แกจะไม่เอาเล็บคมๆ ของแกตะปบแม่ฉันน่ะ”จึงทำให้ศศินอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยืนอมยิ้มบางๆ ออกมา พร้อมกับพูดออกไปว่า “คนนะไม่ใช่แมวจะได้ใช้เล็บตะปบเอาน่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็เบี่ยงหน้าหนี เพื่อซ่อนรอยยิ้มบางที่ผุดขึ้นมาแบบกะทันหัน แล้วปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนเจ้าตัวจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ของตัวเองให้ใจเย็นที่สุดเท่าที่ทำได้ จากนั้นจึงหันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของคุณหญิงอารียาที่พยายามเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือตัว แล้วพูดออกไ
บทที่8คู่เคียงหลังจากที่ได้พาศศินหนีออกมาจากความวุ่นวายของครอบครัวตัวป่วนมาได้ ชายหนุ่มก็พาคนที่ตัวเองกำลังใช้มือสองข้างปิดใบหูเล็กๆ น่ารักเอาไว้ เดินไปยังสวนหย่อมที่อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งไม่ไกลจากบ้านหลังใหญ่เพื่อหมายจะพาคนที่อยู่ในอ้อมแขน ไปนั่งเล่นอยู่ในศาลาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนหย่อมเล็กๆ แล้วให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายจากอาการกดดันเมื่อครู่นี้ และไม่ให้ศศินได้ยินเสียงสองสามีภรรยาคู่นั้นจู๋จี๋กันอย่างออกนอกหน้าทว่าเมื่อเขาพาศศินเดินทางมาถึงที่หมาย แล้วปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากใบหูเล็กๆ น่ารักของอีกฝ่าย ก็มีเสียงเย็นยะเยือกจากคนข้างกายดังให้ได้ยินว่า “แกเป็นบ้าอะไรวะถึงได้เอามือมาปิดหูฉันเนี่ย” ก่อนเจ้าตัวจะส่งค้อนวงใหญ่ไปให้ แล้วสาวเท้าไปนั่งอยู่ในศาลาด้วยท่าทางที่ไม่ชอบใจส่งผลให้ดีแลนอดผวาไม่ได้ แล้วรีบละล่ำละลักออกมาว่า “ฉะ...ฉันแค่ไม่อยากให้แกได้ยินพ่อแม่ฉันทะเลาะแล้วเอาแต่ด่าแกนี่หว่า” ก่อนเจ้าตัวจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลแล้วลอบมองใบหน้าตึงๆ ของอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงออดอ้อนออกไป “อย่าโกรธฉันเลยนะ ศินยกโทษให้ฉันเถอะนะ นะ นะ” จบคำชายหนุ่มก็ยอบกายลงนั่ง ก่อนจะคว้าข้อมื
บทที่7ครอบครัวของดีแลนหนึ่งวันผ่านไป...หลังจากที่คนทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกับการที่ต้องไปพบเจอกับพี่ชายบุญธรรมของศศินอย่างเตมินทร์มาและผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างทุลักทุเลแล้วในวันนี้ก็เป็นวันหนึ่งที่คนทั้งคู่จะต้องไปเผชิญชะตากรรมกับครอบครัวของดีแลนที่ดูเหมือนจะยากลำบากพอๆ กันจึงทำให้ศศินที่นั่งมาในสปอร์ตคาร์คันหรูของเพื่อนชายคนสนิท แม้นัยน์ตาสีเข้มจะจับจ้องมองท้องถนนที่แน่นขนัดไปด้วยรถมากมายหลากยี่ห้อและกลุ่มฝุ่นมลพิษที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศด้วยแววตานิ่งเพียงใดแต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับมีความกังวลเล็กๆ ผุดขึ้นกลางใจ จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสกับปลอกคอที่สวมใส่อย่างแผ่วเบาจนคนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีอย่างดีแลนที่มองเห็นการกระทำดังกล่าวถามออกไปว่า “กังวลหรือไง” แล้วเหลือบสายตามองไปยังลำคอขาวที่สวมใส่ปลอกคอสีดำสนิทเอาไว้ จนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างลำบากแรกเริ่มเดิมทีรูปร่างของศศินก็ตัวเล็กกว่าอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์อยู่มาก แต่ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนเอ่ยออกมาว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าเลือดผสมรูปร่างที่เล็กเกินมาตรฐานเหล่านี้จึงถูกปัดตกไปแต่พอวันที่ตัวเองไ