บทที่
3
ลักหลับ
หลังจากที่ดีแลนยัดนาเดียร์เข้าไปซุกในตู้เสื้อผ้าเรียบร้อยดีแล้ว ชายหนุ่มก็รีบสาวเท้าเดินไปยังบานประตูที่กำลังถูกเพื่อนชายคนสนิทกระหน่ำเคาะลงมา
พอเดินมาถึงจุดหมาย เขาก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เข้าไปอย่างช้าๆ แล้วพ่นลมหายใจออกมายาวๆ เพื่อให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ที่กำลังตีรวนอยู่ภายในให้กลับมาเป็นปกติเฉกเช่นทุกที
จากนั้นเขาจึงตัดสินใจยื่นมือสั่นๆ ของตัวเองออกไปบิดลูกบิดตรงหน้า ด้วยจิตใจที่ยังคงหวาดหวั่นอย่างเต็มที่ เพราะอย่างไรเสียตัวเขานั้นก็เพิ่งทำความผิดบางอย่างมา
พอบานประตูถูกเปิดอ้า ใบหน้าของศศินที่กำลังขมวดหัวคิ้วมุ่นด้วยสีหน้าร้อนรนอย่างเป็นห่วงก็ปรากฏให้เห็น มือข้างหนึ่งยังคงค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ เพราะหมายจะเคาะลงมาอีกที
และก่อนที่ศศินจะทันได้อ้าปากเพื่อเอ่ยถามอะไรออกมา ดีแลนก็ชิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ เสียก่อนว่า “โทษทีว่ะเมื่อกี้คุณพ่อโทรมาสั่งงานเลยช้าไปหน่อย”
ยามได้ยินคำพูดของคนตัวใหญ่กว่า ศศินจึงลดมือลงแล้วพยักหน้าลงเล็กน้อยอย่างเข้าใจ พร้อมกับพูดออกไปว่า “แกไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เห็นออกมานานมากแล้ว ฉันนึกว่าแกจมชักโครกตายไปแล้วซะอีก”
“แกจะบ้าเหรอใครจะมาจมชักโครกตายได้” ดีแลนพูดติดตลกกลับไป ด้วยสีหน้าซีดๆ ที่ยังไม่ทันกลับมาเป็นปกติดี เนื่องจากว่าตนเองนั้นในตอนนี้ยังมีชนักปักอยู่กลางหลัง อาการลนลานเพราะทำอะไรลับหลังจึงยังไม่ทันได้สงบดี
จนทำให้ศศินสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ถึงกับอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วน้อยๆ อย่างไม่เข้าใจ แล้วเอ่ยทักออกไปว่า “แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะทำไมหน้าซีดๆ”
ดีแลนจึงรีบส่ายศีรษะไปมาอย่างจ้าล่ะหวั่น แล้วละล่ำละลักพูดจนลิ้นแทบพันกัน “ปะ...เปล่าๆ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น แกคิดมากไปเองมากกว่ามั้ง”
ศศินจึงครางออกมาเบาๆ “อ้อ” แล้วพยักหน้าลงเล็กน้อยอย่างพยายามจะเข้าใจ หลังจากที่ได้เห็นท่าทางของเพื่อนสนิทที่ลนลานจนผิดสังเกตตรงหน้า ก่อนเจ้าตัวจะหรี่ตาลงเล็กน้อยจับจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วลอบมองเลยเข้าไปภายในห้องทำงานเสียวูบหนึ่ง
แต่สุดท้ายพอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ ศศินจึงไม่คิดที่จะต่อความยาวสาวความยืดอะไรมากมาย เลยพูดออกไปว่า “ถ้าแกไม่มีอะไรก็ดีแล้ว งั้นฉันไปรอที่โต๊ะก่อนก็แล้วกัน”
ยามได้ยินคำพูดดังกล่าวดีแลนจึงรีบพยักหน้าลงอย่างรวดเร็วแบบทันทีทันใด ก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นธรรมชาติว่า “ได้ๆ เดี๋ยวฉันเสร็จจากตรงนี้จะรีบตามไป”
สิ้นเสียงของคู่สนทนา ศศินก็พยักหน้าลงเล็กน้อยอย่างเข้าใจ ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเดินจากไปด้วยอาการที่ไม่ค่อยเคลียร์สักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้เก็บความสงสัยนี้มาใส่สมองของตัวเองด้วยเช่นกัน
แต่แล้วในขณะสาวเท้าไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงทำให้ชายหนุ่มจำต้องเดินกลับไปหาเพื่อนชายตัวดีอีกครั้ง แล้วรีบพูดออกไปเสียก่อนที่ดีแลนจะปิดประตูว่า “เออใช่”
จึงทำให้ดีแลนที่เพิ่งจะผ่อนคลายจากอาการเกร็งเพราะมีชนักปักหลังเอาไว้ไม่ทันไร ถึงกับตกใจจนสะดุ้ง นัยน์ตาสีเข้มเบิกกว้างเล็กน้อย แล้วพูดออกไปอย่างลนลาน “หะ...หะ...มะ...มีอะไรวะไอ้ศิน ไอ้บ้าฉันตกใจหมด”
ศศินที่ได้เห็นท่าทีของคนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะนึกในใจว่า ‘มีความลับอะไรที่ปิดบังฉันอยู่จริงๆ ด้วยสินะ’ แต่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะพูดความคิดของตัวเองออกไป
จากนั้นศศินจึงพูดเรื่องที่นึกขึ้นมาได้ “ก่อนจะลุกออกมาจากโต๊ะ ฉันมองไปที่โต๊ะของคู่หมั้นแก แต่ก็ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว สงสัยคงกลับไปแล้วนั่นแหละ จริงๆ ถ้าแกไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกับฉันอีก ฉันกลับก่อนก็ได้นะ แกจะได้ทำงานของแกต่อให้เสร็จจะได้ไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง”
ดีแลนจึงรีบพูดออกไปทันทีว่า “จะบ้าหรือไง แกจะกลับคนเดียวได้ไง นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วขืนแกกลับคนเดียว แล้วถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโอเมก้าจนถูกฉุดไปอีก จะทำไงวะ เดี๋ยวฉันไปส่ง” ว่าจบเจ้าตัวก็กวาดตามองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ซับสีเลือดเล็กน้อยเพราะดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างลำบาก
ก่อนจะมีเสียงของศศินดังให้ได้ยินออกมาว่า “ฉันไม่ใช่เด็กๆ ดูแลตัวเองได้น่า แกจะห่วงฉันเหมือนเด็กอายุสามขวบไม่ได้นะโว้ย”
“เออน่า บอกว่าจะไปส่งก็ไปส่งสิวะ นี่จัดการธุระอีกไม่ถึงสิบนาที ก็เสร็จแล้ว แกไปรอที่โต๊ะก่อนเลย อย่าหนีก่อนกลับเชียว” ดีแลนรีบเอ่ยออกมาทันที ที่คนตรงหน้าพูดจบลง
จึงทำให้ศศินที่เห็นใบหน้าจริงจังของคนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยออกไปว่า “ก็ได้...ก็ได้ แกนี่มันจริงๆ เลย ให้ตาย งั้นฉันไปรอที่โต๊ะนะ”
“อืม” สิ้นคำของเพื่อนชายคนสนิท ศศินก็หมุนกายแล้วสาวเท้าเดินจากไปทันที
พอเห็นว่าคู่สนทนาไม่มีทีท่าว่าจะวกกลับมาอีก ชายหนุ่มก็ลอบถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจทันที ก่อนเจ้าตัวจะปิดประตู แล้วสาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้า
และเมื่อตัวเองเปิดประตูตู้ออกมา ก็เห็นสีหน้าดำทะมึนของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่สาวกำลังจ้องมองมา ดีแลนถึงกับรีบเอ่ยออกไปทันทีว่า “พะ..พี่เดียร์”
แต่ในขณะที่ดีแลนกำลังพูดอย่างลนลานอยู่นั้น ก็มีน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกจนคนฟังรู้สึกขนลุกชันดังออกมาจากริมฝีปากบางว่า “ไอ้น้องเวร” ก่อนจะตามมาด้วยเสียงฝ่ามือกระทบเนื้ออย่างหนักหน่วงอยู่หลายครั้งหลายครา พร้อมกับเสียงครางโอดโอยของชายหนุ่มดังให้ได้ยิน
หลังจากที่ถูกนาเดียร์ ใช้ฝ่ามือพิฆาตประทุษร้ายจนสาแก่ใจแล้ว ดีแลนก็ถูกหญิงสาวอบรมครั้งใหญ่ กว่าเจ้าตัวจะหลุดพ้นกับช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้มาได้ ก็ใช้เวลาไปสิบนาทีแบบพอดิบพอดี
ชายหนุ่มใช้มือนวดต้นคอไปมา แล้วครางเสียงเบาว่า “พี่เดียร์ พี่เอาอะไรทุบผมกันแน่ฝ่ามือหรือฝ่าเท้า หนักเกินไปแล้วนะครับ”
ได้ยินเช่นนั้นนาเดียร์ก็เหลียวหน้ามองด้วยรอยยิ้มหวาดหยดที่เคลือบไปด้วยยาพิษร้ายแรงเอาไว้ แล้วพูดออกไปว่า “หรือแกอยากลองอีกสักรอบดีล่ะ จะได้รู้ว่าฉันใช้มือหรือเท้าตีแก”
“ไม่เอาแล้วผมบอกหมอนั่นไปแค่สิบนาที ขืนช้ากว่านี้หมอนั่นหนีกลับไปก่อนจะทำไง”
ก่อนจะมีเสียงของพี่สาวตัวดีดังออกมาให้ได้ยินว่า “ฉันก็ใช้เวลาอบรมแกไปสิบนาทีแบบไม่ขาดไม่เกินนี่ เพิ่มอีกนิดๆ หน่อยๆ เขาไม่รู้หรอกว่าแกเลท มะมาให้ฉันตีอีกสักสองนาทีสิ”
ได้ยินเช่นนั้นดีแลนถึงกับยิ้มแห้ง แล้วส่ายศีรษะไปมา พร้อมกับละล่ำละลักออกไปว่า “มะ...ไม่เอาแล้วผมจะรีบไปแล้วเดี๋ยวหมอนั่นหนีอีก” ก่อนเจ้าตัวจะใช้ปลายนิ้วนวดคลึงที่หัวไหล่เบาๆ แล้วเตรียมจะสาวเท้าจากไป
โดยมีเสียงของนาเดียร์ดังให้ได้ยินจากทางด้านหลังว่า “ดูแลเขาดีๆ ละไอ้น้องเฮงซวย อย่าอดใจไม่ไหวแล้วไปปล้ำเขากลางทางนะ”
“ผมไม่ทำอยู่แล้วน่า” ดีแลนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นออกมา โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เหลียวหน้าหันกลับมามองคู่สนทนา ก่อนจะยื่นมือไปเปิดบานประตูให้เปิดอ้า แล้วสาวเท้าจากไป
พอเห็นน้องชายตัวดีของตัวเองสาวเท้าออกจากห้องไปแล้ว นาเดียร์ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันใด แล้วต่อสายหาผู้เป็นมารดาของตัวเองทันที
ก่อนเจ้าตัวจะกรอกเสียงลงไปเมื่อมีเสียงจากปลายสายดังขึ้นมา “ตัวจริงน่ารักกว่าในรูปอีกค่ะแม่ แม่เห็นแล้วแม่จะเล่นละครเป็นแม่ย่าใจร้ายหวงลูกชายไม่ลง”
ส่วนทางด้านดีแลนนั้น เมื่อสาวเท้าออกมาจากห้องทำงานได้ เขาก็ใช้ปลายนิ้วนวดหัวไหล่ไปพลาง ปากก็บ่นไปพลางว่า “มือหนักฉิบ...ให้ตาย” แล้วใช้สองขาแข็งแรงรีบสาวเท้าไปหาศศินที่นั่งรออยู่อย่างรวดเร็ว
ทว่าพอเดินไกลถึงที่หมาย ดีแลนก็เห็นว่าศศินในยามนี้กำลังยืนพูดคุยกับสาวสวยคนหนึ่งด้วยรอยยิ้มบางๆ ส่งผลให้คนที่ได้เห็นภาพตรงหน้า อดรู้สึกคันยุบยิบในอกข้างซ้ายขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
ชายหนุ่มจึงรีบก้าวขาเข้าไปหาคนทั้งสอง ก่อนเจ้าตัวจะเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง แล้วยืนเก๊กท่าอยู่ตรงนั้น พร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “ไง รอนานไหมวะ”
ได้ยินเช่นนั้นศศินที่กำลังพูดคุยกับหญิงสาวอย่างถูกคอ ก็หันหน้ามามองเจ้าของเสียงทันใด แล้วหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับพูดคุยอะไรบางอย่างกันเล็กน้อย แล้วเดินมาหาด้วยท่าทีที่ค่อนข้างผ่อนคลาย
พอศศินเดินเข้ามาใกล้ ดีแลนจึงถามออกไปว่า “ใครวะ” ว่าจบเจ้าตัวก็ยกท่อนแขนไปพาดคอเพื่อนชายตัวเล็กกว่าทันที
ศศินจึงตอบกลับไปว่า “ผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นโอเมก้าน่ะแล้วกำลังจะถูกอัลฟ่าชายข่มขืนในห้องน้ำ ฉันก็เลยช่วยเอาไว้ เธอมาขอบคุณฉันเฉยๆ ไม่มีอะไร”
“อ้อ” ดีแลนครางออกมาเบาๆ แล้วเหลียวหน้าหันไปมองชายหนุ่มอีกที แล้วพูดลอยๆ ว่า “ใจดีแบบนี้นายคงมีโอเมก้าติดกันเป็นพรวนล่ะมั้งเนี่ยนาย สามีในอนาคตหึงนะบอกเลย”
“ของมันแน่อยู่แล้ว” ศศินตอบกลับด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มที่ แล้วเหลียวหน้าหันไปมองเพื่อนชายตัวดีที่เดินอยู่เคียงกัน ใบหน้าซับสีเรื่องเนื่องจากเลือดลมเริ่มฉีดพล่านในร่างเพราะฤทธิ์ของเครื่องดื่มมึนเมาที่ดื่มเข้าไป ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งว่า “ศินซะอย่าง ไม่มีทางขาดแคลนของพวกนี้หรอกน่า” ว่าจบเจ้าตัวก็ชักสายตาคืนกลับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
ส่งผลให้ดีแลนที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายหรี่ตาลงเหลือบมองคนข้างกายด้วยสายตานิ่ง ก่อนเจ้าตัวจะกระตุกแขนของตัวเองเล็กน้อยเพื่อให้คนตัวผอมกว่าขยับเข้ามาแนบชิด จากนั้นคนทั้งสองก็กันพาเดินไปที่รถของตัวเอง
และเมื่อก้าวขาเข้ามาในรถได้ ศศินก็จัดการปรับเบาะให้เอนลงเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองที่กำลังง่วงงุนเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยท่วงท่าที่แสนสบาย ปล่อยให้คนตัวโตกว่าขับรถเพียงลำพัง
ดีแลนขับรถไปได้ไม่นาน เขาก็เหลือบสายตามองดูคนที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้วงฝัน พร้อมกับเอ่ยออกไปว่า “เฮ้ย ไอ้ศินแกอยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนสิวะ คอนโดแกไม่ใช่ใกล้ๆ นะ”
แต่ก็มีเพียงเสียงครางเบาๆ อย่างรำคาญตอบกลับมา จึงทำให้ดีแลนถึงกับส่ายศีรษะไปมาอย่างนึกขำ แล้วเหลียวหน้าหันไปมองคนที่อยู่ข้างกัน
แสงไฟจากภายนอกสาดเข้ามาทางด้านหน้าวับๆ แวมๆ ทำให้เขาเห็นใบหน้าหมดจดที่กำลังขึ้นสีเรื่อของคนข้างกาย และริมฝีปากบางที่กำลังเผยอขึ้นน้อยๆ จนเห็นไรฟันขาวๆ ด้านใน
ส่งผลให้คนที่ได้เห็นศศินอยู่ในสภาพนี้ถึงกับลมหายใจติดขัด แล้วลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก ก่อนเจ้าตัวจะชักใบหน้าคืนกลับมา พร้อมกับพึมพำออกไปว่า “ใจเย็นไว้สิวะ มันยังไม่ถึงเวลา”
ว่าจบชายหนุ่มจึงพยายามจ้องมองท้องถนนที่อยู่ตรงหน้า แล้วข่มความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาในใจเอาไว้ให้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดเท่าที่ทำได้ ก่อนเจ้าตัวจะตั้งหน้าตั้งตาขับรถต่อไป พร้อมกับฝืนใจไม่ให้ตัวเหลียวหน้าหันไปมองคนที่กำลังหลับใหลอยู่ข้างกาย
ทว่าพอเอาเข้าจริงดีแลนก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยสักนิด ด้วยเหตุที่ว่าหลังจากที่เขาขับรถมาถึงที่พักของศศิน ชายหนุ่มก็ตระหนักรู้ได้ว่าการข่มใจตัวเองกับคนที่อยู่ในใจไม่ให้ทำเรื่องไม่ดีเป็นอะไรที่ยากลำบาก
เมื่อเจ้าตัวร้องเรียกเพื่อนสนิทโดยไม่หันไปมองว่า “ไอ้ศศินถึงแล้ว” ทั้งยังคาดหวังว่าจะมีเสียงของเพื่อนชายตอบกลับมา แต่สิ่งที่หวังกลับไม่เป็นดังใจ เพราะนอกจากจะไม่มีเสียงของคนข้างกายตอบกลับมาแม้แต่คำเดียวแล้วคนตัวเล็กกว่ายังจมอยู่ในห้วงฝันจนไม่รู้สึกตัวเสียด้วยซ้ำ
ส่งผลให้ดีแลนจำต้องเอ่ยเรียกออกไปอีกครั้งว่า “ไอ้ศิน ไอ้เวรแกจะตื่นได้รึยังวะจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน” และสิ่งที่ได้กลับมา ก็มีเพียงเสียงของลมหายใจที่สม่ำเสมอของคนที่เตี้ยกว่าดังให้ได้ยินอย่างแผ่วเบา
ชายหนุ่มร้องเรียกอยู่หลายครั้งหลายหน แต่ด้วยความที่ศศินเป็นคนที่หลับลึกบวกกับความเมามายเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป จึงทำให้ศศินไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมา ดีแลนจึงต้องหันไปมองคนข้างกายทั้งๆ ที่ไม่อยากมอง
แต่พอได้หันไปเขาก็เห็นใบหน้าของเพื่อนชายคนสนิทกำลังอยู่ในห้วงนิทราที่สุขสม เปลือกตาสีน้ำนมยังคงปิดแน่น มีเพียงการเคลื่อนไหวขยับเบาๆ อยู่ภายในเล็กน้อยตามปฏิกิริยาของคนที่หลับทั่วไป ริมฝีปากสีเรื่อเผยอน้อยๆ ราวกับกำลังเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ
จนดีแลนที่พยายามข่มใจควบคุมอารมณ์เอาไว้ถึงกับสบถออกมาทันที “ไอ้เวรเอ๊ย ไอ้ฉิบหายทำไมแกถึงไม่ระวังตัวเองบ้างวะ” แล้วกัดฟันข่มใจ ยื่นมือไปแตะบ่าแคบๆ เพื่อเขย่าร่างเล็กกว่าให้ลุกขึ้นมา
ทว่ายามที่ชายหนุ่มกำลังจะยื่นมือเข้าไปแตะตรงบ่าเล็กของคนตรงหน้า ฝ่ามือของเพื่อนชายคนสนิทก็ยื่นมาคว้าเอาไว้แบบไม่บอกไม่กล่าว แล้วดึงเข้าไปกอดกายพร้อมกับเอาผิวแก้มเนียนนุ่มถูไถท่อนแขนของเขาไปมา ราวกับว่าแขนของเขาเป็นเพียงหมอนข้างหนึ่งใบ
ส่งผลให้ร่างทั้งร่างของดีแลนถลาเข้าไปใกล้กับคนตัวเล็กข้างกาย จนปลายจมูกของชายหนุ่มคลอเคลียอยู่ข้างๆ แก้มใสอีกข้างหนึ่งทันที ดีหน่อยที่ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือยันเบาะรถเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที หาไม่แล้วร่างของเขาคงได้ทาบทับลงไป
จึงทำให้ในยามนี้สติที่เจ้าตัวเพียรพยายามสั่งสมเอาไว้อย่างยากลำบากถึงกับขาดสะบั้นในทันทีทันใด นัยน์ตาสีเข้มวาววับจ้องมองใบหน้าขาวใสที่อยู่ห่างจากปลายจมูกเขาเพียงระยะขนตา
ก่อนเจ้าตัวจะกดปลายจมูกของตัวเองลงไปบนผิวแก้มนวลเนียนตรงหน้าอย่างเผลอใจ แล้วลากไล้ลงมาอย่างช้าๆ จนถึงริมฝีปากสีเรื่อที่อยู่ไม่ไกลสักเท่าไร
จากนั้นชายหนุ่มจึงทาบทับริมฝีปากของตัวเองลงไปบนกลีบปากบางอย่างแผ่วเบา ก่อนเจ้าตัวจะรีบชักใบหน้าออกมา แล้วใช้คมฟันของตัวเองกัดลงไปตรงไหปลาร้าที่โผล่ออกมานอกร่มผ้า เนื่องจากคอเสื้อแบะกว้างเนื่องจากศศินขยับร่างไปมา
จึงทำให้คนที่ถูกคมฟันกัดลงไปสะดุ้งน้อยๆ อย่างตกใจ แม้ว่าจะยังอยู่ในอาการหลับใหล แต่ศศินก็สามารถละเมอโดยการยกมือขึ้นเพื่อหมายจะตบยุงตัวใหญ่ที่บังอาจมาก่อกวนในยามฝัน
แต่ดีหน่อยที่ดีแลนชักใบหน้าออกมาได้ทัน จึงทำให้ฝ่ามือเรียวตบลงไปบนแผ่นอกของตัวเองแรงๆ หนึ่งที แล้วใช้ปลายนิ้วของมือข้างนั้นเกาให้หายคัน จากนั้นจึงหลับต่ออย่างไม่สนใจ
ทำให้คนที่เห็นท่าทางดังกล่าวถึงกับส่ายศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ ดึงแขนที่ถูกโอบกอดเอาไว้ออกมา แล้วตัดสินใจลงจากรถพร้อมกับสาวเท้าไปยังอีกฝั่ง เพื่อโอบอุ้มคนที่ยังอยู่ในห้วงฝันไม่ยอมตื่นขึ้นมาสักที
พอมาถึงที่หมายดีแลนก็ทอดถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่หนึ่งที ก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจโอบอุ้มร่างผอมบางขึ้นมาในท่าอุ้มเจ้าสาว
แม้ชายหนุ่มจะพยายามกดข่มความต้องการมากเพียงใด แต่คนตัวผอมบางก็ยังเอาใบหน้ามาถูกไถตรงแผงอกของตัวเองไม่ต่างจากลูกแมวน้อยสักเท่าไร ดีแลนจึงรีบสาวเท้าไปยังตึงสูงตระหง่านตรงหน้า แล้วเอาคีย์การ์ดของตัวเองออกมา เพื่อจะได้เข้าไปทางด้านใน
เขาโอบอุ้มร่างผอมบางที่ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาอย่างมั่นคง ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าเข้าไปในตึกที่สูงตระหง่านตรงหน้า และพอใกล้จะถึงที่หมายในตอนแรกกะจะล้วงเอากุญแจห้องของอีกฝ่ายออกมา
แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับไม่กล้าที่จะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของศศินสักเท่าไร เพราะกลัวว่าถ้าเส้นสติที่มีอยู่อย่างบางเบานี้จะขาดออกจากกัน
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพาคนในอ้อมกอดนี้ แล้วสาวเท้าเดินกลับไปที่ห้องพักของตัวเองที่ซื้อทิ้งไว้ เพราะอยากอยู่ใกล้ๆ คนที่นอนยังจมจ่ออยู่ในห้วงฝัน
หลังจากที่พาคนตัวเล็กที่นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดจนมาถึงหน้าห้องพักของตัวเอง ดีแลนก็ใช้คีย์การ์ดแตะตรงตัวล็อกประตูตรงหน้า ก่อนจะยื่นมือของตัวเองไปเปิดประตูตรงหน้าให้เปิดอ้าเพียงนิด แล้วใช้ปลายเท้าเตะประตูให้อ้ากว้างออกมา
พอประตูเปิดออกชายหนุ่มจึงแทรกตัวเข้าไปด้านใน แต่ก็ไม่ลืมที่จะใช้ปลายเท้าเตะประตูให้ปิดลงเสียก่อน แล้วเดินเข้าไปยังเตียงกว้าง
พอเดินมาถึงชายหนุ่มก็ค่อยๆ ก้มตัวเล็กน้อยเพื่อวางร่างผอมบางในอ้อมแขน ให้ลงไปนอนบนเตียงนุ่มอย่างแผ่วเบา เลยทำให้ในยามนี้ใบหน้าของดีแลนอยู่ห่างจากปลายจมูกของอีกฝ่ายไม่ถึงครึ่งนิ้วเสียด้วยซ้ำ
ลมหายใจอุ่นร้อนที่เจือกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ลอยชนิดหนึ่งที่เขานึกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นของดอกอะไร บวกกับกลิ่นของแอลกอฮอล์ที่เพิ่งดื่มเข้าไป เป่ารดลงมาบนใบหน้าของดีแลนอย่างสม่ำเสมอ ก็ชวนให้หัวใจสั่นไหวขึ้นมา
ชายหนุ่มจึงพยายามสะบัดศีรษะไปมา เพื่อไล่ความปรารถนาที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ จนควบคุมสติสัมปชัญญะของตัวเองไม่ไหว ก่อนจะรีบยืดตัวให้ตรง แล้วเดินหนีทันที
แต่ในขณะที่ดีแลนกำลังจะลุกออกไปอยู่นั้น ฝ่ามือเรียวบางของคนที่ควรหลับใหลอยู่บนเตียงกว้าง ก็ยื่นมาคว้าจับท่อนแขนของเขาเอาไว้ พร้อมกับดึงเขาเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขนทันที เพราะคิดว่าแขนข้างนี้เป็นหมอนข้างขึ้นมาจริงๆ
ส่งผลให้ร่างทั้งร่างของดีแลนถลาเข้าไปทาบทับบนร่างของคนตัวผอมบางอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่พอตัวเองจะหยัดกายลุกขึ้น ก็ถูกท่อนแขนของคนใต้ร่างโอบรัดรอบคอเขาเอาไว้
ก่อนจะมีเสียงของศศินดังออกมาให้ได้ยิน “พี่น้ำหวาน ให้น้องศินหอมหน่อยคิดถึงจังเลย” พร้อมกับกดปลายจมูกลงไปบนผิวแก้มของดีแลนอย่างรักใคร่
เพราะชายหนุ่มกำลังฝันถึงเรื่องราวในสมัยเด็กที่เคยอยู่กับบิดามารดา และสุนัขตัวเพศเมียตัวน้อยที่มีนามว่าน้ำหวานเป็นเพื่อนเล่นในยามเหงา
ส่งผลให้คนที่ถูกเรียกว่าน้ำหวานถึงกับขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนเจ้าตัวจะชักใบหน้ากลับมามองคนตัวเล็กตรงหน้า แล้วพึมพำออกไปว่า “ละเมอหาโอเมก้าสาวๆ ที่ไหนกัน”
ว่าได้เพียงแค่นั้นนัยน์ตาสีเข้มก็หรี่ลงเล็กน้อยจับจ้องมองใบหน้าของคนตัวเล็กตรงหน้า ที่กำลังยื่นฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาโอบรอบลำคอของเขาเอาไว้ แล้วดึงเข้าไปกอดก่ายอย่างรักใคร่อีกที
ยิ่งทำให้อัลฟ่าหนุ่มตัวโตเกิดควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ขึ้นมา แล้วถามออกไปว่า “น้ำหวานนี่เป็นใคร เป็นโอเมก้าที่นายไปติดพันอย่างนั้นเหรอ”
ทว่ายังไม่ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ ก็มีเสียงครางเครือดังให้ได้ยินอยู่ข้างๆ หูว่า “พี่น้ำหวานจะหนีศินไปไหน พี่น้ำหวานก็หนีไม่พ้นหรอกน่า พี่เป็นของน้องศิน น้องศินสัญญาว่าจะดูแลพี่น้ำหวานอย่างดี” พูดได้เพียงแค่นั้นก็คลอเคลียปลายจมูกของตัวเองลงบนใบหน้าของชายหนุ่มอย่างย่ามใจ
จึงทำให้เส้นสติที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของตัวเองเริ่มเคร่งตึงจวนเจียนจะขาดสะบั้นออกจากกันทันใด อาการรัทที่สมควรจะถูกยาระงับกดเอาไว้ก็พลันบังเกิดขึ้นมาอีกหนหนึ่งจนได้
ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้น การมองเห็นเริ่มพร่าเลือนราง ก่อนเจ้าตัวจะอดไม่ได้สบถออกมาอย่างหยาบคายว่า “แม่งเอ๊ย...นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันวะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้”
ว่าได้เพียงแค่นั้นเจ้าตัวก็ทาบทับริมฝีปากบางบนกลีบปากสีเรื่องตรงหน้าด้วยแรงปรารถนาที่คุกรุ่นอยู่ในอกอย่างหิวกระหาย ก่อนจะมีเสียงภายในหัวดังขึ้นมาซ้ำๆ ว่า “อย่าไอ้แดน ถ้าแกไม่อยากโดนเขาเกลียดไปตลอดชีวิต”
คิดได้เพียงแค่นั้นชายหนุ่มก็กำหมัดแน่น แล้วพยายามฝืนความต้องการของตัวเองให้เงยหน้าขึ้น แม้จะดูเหมือนง่ายแต่อาการรัทที่เกิดขึ้นมา ทำให้ชายหนุ่มตาพร่าจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด
เขาใช้คมฟันขบกัดริมฝีปากของตัวเองแรงๆ จนปริแตก เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะของตัวเองให้คืนกลับมา แล้วข่มความกระหายอยากเบื้องต่ำในใจอย่างยากลำบาก
กลิ่นคาวสนิมเหล็กแผ่ซ่านในโพรงปากอย่างเชื่องช้า จึงทำให้ชายหนุ่มค่อยๆ คืนสติกลับมาได้เพียงน้อยนิด เขาจึงรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนทันใด แล้วเดินโซเซไปที่ห้องห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลอย่างทรมานทันที
พอเข้ามาได้ชายหนุ่มก็เดินไปเปิดฝักบัวที่อยู่ตรงผนัง แล้วปล่อยให้สายน้ำเย็นๆ ไหลรดศีรษะของตนเองลงมาอย่างช้าๆ ไหลผ่านเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทลงมาจนถึงเบื้องล่างอย่างอ้อยอิ่ง
แต่กระนั้นก็ดับความปรารถนาที่อยู่ในอกนี้เอาไว้ไม่ได้อยู่ดี จนตนเองถึงกับทุบกำปั้นลงบนกำแพงอย่างเจ็บใจ ที่ไม่อาจควบคุมความต้องการนี้เอาไว้ได้ แล้วเกือบจะทำเรื่องไม่ดีขึ้นมา
ชายหนุ่มจึงใช้มือสั่นๆ ล้วงเอายาระงับที่พกติดตัวในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา แล้วกินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดกางเกงที่เปียกชุ่มลงเล็กน้อย พร้อมกับประคองสิ่งที่แข็งขืนจนปวดหนึบออกมา จากนั้นจึงใช้ฝ่ามือข้างนั้นบรรเทาความปรารถนาที่มีอยู่ในใจให้สงบลง
ดีแลนใช้เวลาไปร่วมชั่วโมงครึ่ง เขาถึงจะระงับอารมณ์ความปรารถนาเบื้องต่ำของตัวเองเอาไว้ได้ แล้วได้แต่จ้องมองฟองครีมขาวที่เปรอะอยู่ตรงฝ่ามือของตัวเอง ซึ่งกำลังถูกสายน้ำจากฝักบัวชะล้างออกไปอย่างช้าๆ
สายน้ำเย็นจัดจากฝักบัวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความกังวล ชายหนุ่มจึงเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มออก แล้วโยนมันไปกองทิ้งอย่างน่าสงสารตรงมุมผนัง พร้อมกับรีบชำระล้างร่างกายของตัวเองต่ออย่างรวดเร็ว
เมื่อชายหนุ่มชำระล้างร่างกายที่เหนื่อยล้าจากการทำภารกิจสำคัญเมื่อครู่นี้จนแล้วเสร็จ ดีแลนก็จัดการปิดฝักบัวก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเอามาพันร่างกายท่อนล่างไว้อย่างไม่ใส่ใจ
สองขาแข็งแรงสาวเท้าเดินออกมาอย่างมั่นคง แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเอาไว้เพียงแค่นั้น เมื่อเดินผ่านกระจกบานใหญ่ที่ติดตั้งเอาไว้ข้างๆ ประตูทางออก
พอได้เห็นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองกระจกบานใหญ่ที่ฉากรูปร่างของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้น ก่อนเจ้าตัวจะเอามือลูบใบหน้า แล้วจับจ้องมองสิ่งที่เห็นตรงหน้า
ก็เห็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุอานามย่างยี่สิบสองปี ร่างเปล่าเปลือยเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเรียงสวยตามแบบฉบับของคนที่ออกกำลังกายและดูแลร่างกายเป็นอย่างดี
มองได้เพียงแค่นั้นดีแลนก็ใช้สองแขนเท้าไปที่เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า แล้วพึมพำออกมา “ฉันจะอดทนแบบนี้กับแกได้นานแค่ไหนวะศิน”
พูดจบดีแลนยกมือขึ้นมาเสยเรือนผมที่เปียกชุ่มขึ้นไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจออกมา ก่อนเจ้าตัวจะหมุนกาย แล้วสาวเท้าออกจากห้องน้ำอย่างเชื่องช้า
พอออกมาได้สายตาก็เหลือบไปเห็นร่างผอมบางของเพื่อนสนิทที่หลับลึกชนิดที่เรียกเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา เสื้อตัวบางที่สวมอยู่เปิดขึ้นมาเล็กน้อยเผยให้เห็นช่องท้องขาวเนียน
จึงทำให้คนมองเห็นภาพดังกล่าวถึงกับเริ่มหายใจติดขัดขึ้นอย่างทนไม่ไหว ชายหนุ่มจึงรีบชักสายตาคืนกลับ แล้วสาวเท้าไปยังตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ดีหน่อยที่เขาซื้อเสื้อผ้ามาทิ้งเอาไว้ จึงไม่ได้มีปัญหาเรื่องเสื้อผ้าสักเท่าไร และพอจัดการกับตัวเองแล้วเสร็จ ดีแลนก็สาวเท้าไปที่เตียงกว้างอย่างรวดเร็ว
เดินมาถึงที่หมายชายหนุ่มก็ยืนคิดอยู่พักใหญ่ ว่าจะทำเช่นไรต่อไปดีกับมือเล็กๆ ที่ชอบมาลวนลามเขาจนจิตใจกระเจิดกระเจิงแทบทุกที ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นผ้าห่มผืนหนึ่งที่กองอย่างน่าสงสารอยู่ตรงปลายเท้า
เมื่อเห็นดังนั้นดีแลนจึงยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมา แล้วจัดการใช้ผ้าห่มผืนดังกล่าวห่อร่างของศศินเอาไว้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมา “นี่แกหลับหรือแกแกล้งตายกันแน่วะไอ้ศินฉันทำขนาดนี้แกยังไม่รู้สึกตัวเลย” ว่าจนชายหนุ่มก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียงออกมา
หลังจากที่เอาผ้าห่มมาพันร่างกายของศศิน จนแน่ใจแล้วว่าคนข้างกายไม่มีทางที่ขยับเขยื้อนไปไหนได้อีก ก่อนเจ้าตัวจะล้มตัวลงนอนข้างๆ แล้วยกมือของตัวเองกอดร่างที่มีผ้าห่มผืนหนาห่อหุ้มเอาไว้ และด้วยความเหนื่อยล้าที่มีจึงทำให้ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างหมดแรง
หลายชั่วโมงผ่านไปไวยิ่งกว่าโกหก แสงแดดอ่อนสาดกระทบลงตรงผ้าม่านที่อยู่ตรงระเบียงหลัง ศศินที่อยู่ในห้วงนิทรามาอย่างยาวนาน จึงค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาตามความเคยชินของร่างกาย
ทว่าพอลืมตาตื่นขึ้นมาได้ก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า คือใบหน้าของคนที่ขึ้นว่าเป็นเพื่อนชายคนสนิทลอยเด่นอยู่ห่างจากเขาไปไม่เท่าไร ประจวบเหมาะกับนาฬิกาส่งเสียงร้องแจ้งเตือนเวลาที่ตัวเองต้องกินยาระงับก็ดังประท้วงขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ส่งผลให้ชายหนุ่มต้องรีบลุกขึ้นนั่งทันใด แต่เป็นเพราะเมื่อคืนนี้ดีแลนได้ใช้ผ้าห่มผืนหนึ่งพันร่างของศศินเอาไว้จนเกือบจะกลายเป็นข้าวต้มมัดอยู่รอมร่อ จึงทำให้ในยามที่ลุกขึ้นมานั่งก็ทำไม่ได้ดั่งใจหวังสักที แล้วต้องล้มหัวลงนอนอีกครั้งหนึ่งอย่างหมดแรงเพราะต่อสู้กับตัวเองอยู่นาน
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดีแลนที่หลับอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเช่นกัน พอได้เห็นเพื่อนสนิทของตัวเองที่กลายเป็นข้าวต้มมัดอยู่ข้างกายกำลังใช้ตาโตๆ จ้องมองมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
เขาก็รีบเด้งตัวขึ้นอย่างตกใจ แล้วรีบเอ่ยละล่ำละลักออกไปว่า “เมื่อคืนแกหลับลึกปลุกเท่าไรก็ปลุกไม่ตื่น กุญแจห้องแกก็หาไม่เจอว่าอยู่ที่ไหน ฉันก็เลยพาแกมาที่นี่ แต่แกนอนดิ้นถีบฉันตกเตียงตั้งหลายรอบ แกก็เลยเป็นแบบนี้อย่าเพิ่งโมโหเลย”
สิ้นเสียงดังกล่าวศศินจึงเอ่ยออกไปว่า “แกจะร้อนรนไปทำไม ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนี่” ก่อนเจ้าตัวจะเห็นเพื่อนสนิทนั่งสำนึกผิดอยู่ไม่ไกล ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำออกมาเบาๆ
แต่ภายในหัวก็แจ้งเตือนตัวเองว่ามันถึงเวลาที่ตัวเขานั้นต้องกินยา ชายหนุ่มจึงพยายามแกะผ้าห่มที่พันร่างกายของตัวเองเอาไว้ แต่ก็ทำไม่ได้สักที จึงเหลียวมองคนที่นั่งอยู่อีกที พร้อมกับพูดออกมาว่า “แกจะนั่งให้กลายเป็นรูปปั้นหินอยู่ตรงนั้นเลยเหรอ ฉันแกะผ้าห่มออกไม่ได้มาช่วยหน่อยสิวะร้อนจะตายห่า”
ได้ยินเช่นนั้นดีแลนจึงรีบไปแกะผ้าห่มออกให้อย่างทันท่วงที จึงทำให้ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดใบหน้าของศศินอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ความรู้สึกบางอย่างภายในกายพลันเดือดพล่านขึ้นมา จนอดไม่ได้ที่จะสบถออกมาในใจว่า ‘บ้าเอ๊ย ยาไม่น่าหมดฤทธิ์เร็วขนาดนี้นี่’ คิดได้แค่นั้นชายหนุ่มจึงต้องเบี่ยงหน้าหนีแล้วขบริมฝีปากของตัวเองเพื่อกดอารมณ์เอาไว้
เมื่อเป็นอิสระจากกองผ้าได้ ชายหนุ่มจึงรีบสาวเท้าลงจากเตียงกว้างเพื่อหมายจะกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที แต่ทว่าในขณะที่กำลังจะก้าวขาออกไป ฝ่ามือแข็งแรงก็มาคว้าท่อนแขนของเขาเอาไว้ “แกจะรีบไปไหนวะ”
ศศินจึงตอบกลับไปว่า “กลับห้องสิ จะอยู่ทำมะเขืออะไรล่ะ” โดยที่ไม่หันมามองหน้า เนื่องจากความร้อนที่อยู่ในร่างกายกำลังตีขึ้นมาจนใบหน้าแดงก่ำ
ดีแลนจึงพูดออกไปอีกครั้งว่า “กินอะไรก่อนสิ” ว่าเพียงแค่นั้น นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองคนตรงหน้าที่ไม่ยอมหันกลับมา ก็เห็นเพียงใบหูเล็กๆ น่ารักกำลังแดงก่ำอยู่ไม่ไกล จึงทำให้ชายหนุ่มลมหายใจติดขัดขึ้นมาทันที
“ไม่เอา พอดีนึกได้ว่าเปิดแก๊สทิ้งไว้” ว่าเพียงแค่นั้นศศินก็รีบสะบัดมืออย่างบ้าคลั่งไม่สนใจสิ่งใด และเมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ได้ เขาก็รีบสาวเท้าออกจากห้อง มุ่งหน้ากลับไปที่ห้องพักของตัวเองอย่างรวดเร็ว
แล้วได้แต่นึกขอบคุณที่ห้องของดีแลนห้องนี้อยู่ไม่ไกลจากที่พักของเขาสักเท่าไร หาไม่แล้วอาการฮีทของตัวเองกำเริบขึ้นมาระหว่างทางกลับไป ชีวิตอันน้อยนิดคงไม่เหลือเช่นกัน
พอมาถึงที่พักได้ เจ้าตัวก็ทรุดกายลงนั่งเอาแผ่นหลังพิงกับบานประตูเอาไว้อย่างอ่อนแรง ก่อนจะสบถออกมาว่า “เห็นทีฉันต้องพกยาติดตัวเอาไว้แล้วจริงๆ” ว่าจบก็กัดฟันข่มอารมณ์ที่บังเกิดขึ้นมาเอาไว้ แล้วคลานเข่าไปยังยังเตียงกว้างที่อยู่ไม่ไกลก่อนที่สติสัมปชัญญะจะสูญหายจากสมองของตน
บทที่12สติที่ขาดสะบั้นท่ามกลางแสงแดดอ่อนที่สาดกระทบลงมาบนผ้าม่านที่ปิดกั้นประตูบานเลื่อนตรงระเบียงด้านหลัง กลิ่นหอมอ่อนจาง จากเรือนกายของชายหนุ่มที่เคยพร่ำบอกว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าเลือดผสมลอยฟุ้งหอมละมุนอยู่ในอากาศ ชวนให้คนที่ได้กลิ่นเหล่านี้ใจเต้นไม่เป็นส่ำแม้แต่ตัวดีแลนเองที่เพิ่งจะขบริมฝีปากตัวเองจนปริแตก ก็ยังรู้สึกริมฝีปากแห้งผาก ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายกระหน่ำเต้นแทบไม่เป็นจังหวะจวนเจียนจะกระดอนออกมาอยู่รอมร่อชายหนุ่มล้วงมือที่ค่อนข้างสั่นเทาเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วควักยาระงับของตัวเองที่พกไว้ขึ้นมาโยนใส่ปากอีกเม็ดหนึ่งทันทีเขาพยายามสงบสติอารมณ์ได้วูบหนึ่ง ก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกที แล้วสาวเท้าเข้าไปหาชายตัวเล็กกว่าซึ่งกำลังนั่งขดอยู่ตรงมุมผนังพอเดินไปถึงชายหนุ่มก็ค่อยๆ ยอบกายลงนั่ง ก่อนจะยื่นมือไปคว้าเอาตุ๊กตาหมีที่อีกฝ่ายกำเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แล้วพูดเสียงเบาอย่างปลอบประโลมออกไปว่า “ให้ฉันช่วยเถอะศินแกดูเหมือนจะไม่ไหวแล้ว”สิ้นเสียงดังกล่าวศศินที่ถูกห้วงอารมณ์ปรารถนากลืนกินจิตใต้สำนึกไปมากกว่าครึ่ง ก็ค่อยๆ เงยหน้ามองคนพูดอย่างเชื่องช้าแล้วยืนมือไปผลักใบหน้าของเพื่อนสนิทที่
บทที่11ต่อหน้า“ปะ...เปล่าฉันไม่ได้เป็นอะไร”สิ้นเสียงของคนตรงหน้าเรียวคิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อเหลาของดีแลนก็เลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ชายหนุ่มจ้องมองใบหน้าที่แดงจัดของอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจตรวจดูอาการอีกสักหนแม้จะถูกฝ่ามือของศศินผลักไสให้ถอยห่างออกมาเพียงใด แต่ความสนใจของดีแลนในตอนนี้ไปอยู่ที่อาการของอีกฝ่าย จึงทำให้ในยามที่ถูกผลักไสร่างกายเลยแทบไม่ขยับเขยื้อนไปทางใดมิหนำซ้ำชายหนุ่มยังคงกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แนบแน่นขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นเท่าตัว เพื่อให้คนตัวเล็กจอมพยศยืนอยู่นิ่งๆ จนกว่าเขาจะแน่ใจแล้วว่า ศศินไม่ได้เป็นไข้อย่างที่ตัวเองเป็นกังวลเนื่องจากว่าในตอนนี้นั้นใบหน้าของคนในอ้อมกอดแดงจัดราวกับลูกตำลึงสุก ไม่ต่างจากคนที่กำลังจะเป็นไข้ ดีแลนจึงไม่อาจวางใจปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระได้อย่างใจก่อนเจ้าตัวจะตัดสินใจยื่นมือไปประคองใบหน้าของคนในอ้อมกอดที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ให้เงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากันส่งผลให้ศศินที่อยู่ในสภาวะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่แล้ว พอถูกจับใด้เขาก็ได้แค่เงยหน้าขึ้น จนดวงตาสอดประสานกับนัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาจึงทำให้เขาก็ถึงกับลุกลี้ล
บทที่10ชิดใกล้“ฉันขอโทษแกจริงๆ ว่ะ ฉันไม่นึกว่าคุณแม่จะเอาแต่ใจขนาดนี้”ดีแลนพูดเป็นรอบที่สิบ เมื่อพวกเขาทั้งสองคนได้ก้าวขาขึ้นมานั่งอยู่ภายในสปอร์ตคาร์ เพื่อที่จะเดินกลับไปเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นของศศินให้ย้ายเข้ามาอยู่ภายในบ้านหลังใหญ่เพราะหลังจากที่ถูกสตรีหมายเลขหนึ่งของบ้าน บอกให้ศศินกลับขนข้าวขนของมาพักอยู่ที่คฤหาสน์อย่างเอาแต่ใจ สุดท้ายตัวเขาเองก็ไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายจึงต้องยอมทำตามอย่างว่าง่ายโดยที่คุณหญิงอารียาให้เหตุผลแบบง่ายๆ และมัดมือชกว่า ต้องการจะฝึกให้ว่าที่สะใภ้ในอนาคตรู้จักการเข้าสังคมหมู่มากและวางตัวให้เหมาะสมก่อนแต่งเข้ามาอยู่ภายในบ้านหลังนี้จริงๆส่งผลให้คนที่ถูกมัดมือชกอย่างศศินที่ได้ฟังความต้องการของว่าที่แม่ย่าในอนาคตถึงกับคิ้วกระตุกอยู่สองที แต่ก็ไม่อาจจะสรรหาคำแก้ต่างโต้แย้งกลับไปได้สุดท้ายพอไม่สามารถโต้เถียงกลับไปได้ และเพื่อไม่ให้มีเรื่องบาดหมางในเวลาต้องอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ศศินจึงข้อสรุปว่าตัวของเขานั้นจำต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของดีแลนตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปเขาที่พูดไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก จำต้องตามใจคุณหญิงอารียาอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ จำต้องย้ายมาพักอ
บทที่9เกือบหลังจากที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ดีแลนก็เลิกเรียวคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง มองใบหน้าที่หมดจดของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองตอบมาด้วยสายตาที่ค่อนข้างออดอ้อนอยู่ภายใน เพื่อขออนุญาตกลายๆ อีกครั้งถึงแม้สิ่งที่ทำจะเป็นเพียงการแสดงอย่างหนึ่งที่ศศินทำออกมา แต่คนที่ถูกสายตาดังกล่าวของอีกฝ่ายจ้องมองก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเผลอใจดีแลนที่ได้เห็นท่าทางของคนที่อยู่ในอ้อมแขนอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็กินเวลาไปร่วมสองนาที เลยทำทีเป็นมองใบหน้าของคนตัวเล็กกว่าอย่างชั่งใจ แล้วเอ่ยเสียงเย้าออกมาว่า “แน่ใจนะว่าตอนแกคุยกับแม่ฉัน แกจะไม่เอาเล็บคมๆ ของแกตะปบแม่ฉันน่ะ”จึงทำให้ศศินอดไม่ได้ที่จะถลึงตาใส่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังยืนอมยิ้มบางๆ ออกมา พร้อมกับพูดออกไปว่า “คนนะไม่ใช่แมวจะได้ใช้เล็บตะปบเอาน่ะ” พูดจบเจ้าตัวก็เบี่ยงหน้าหนี เพื่อซ่อนรอยยิ้มบางที่ผุดขึ้นมาแบบกะทันหัน แล้วปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็วก่อนเจ้าตัวจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ของตัวเองให้ใจเย็นที่สุดเท่าที่ทำได้ จากนั้นจึงหันไปมองใบหน้าบึ้งตึงของคุณหญิงอารียาที่พยายามเชิดใบหน้าขึ้นอย่างถือตัว แล้วพูดออกไ
บทที่8คู่เคียงหลังจากที่ได้พาศศินหนีออกมาจากความวุ่นวายของครอบครัวตัวป่วนมาได้ ชายหนุ่มก็พาคนที่ตัวเองกำลังใช้มือสองข้างปิดใบหูเล็กๆ น่ารักเอาไว้ เดินไปยังสวนหย่อมที่อยู่ทางด้านหลัง ซึ่งไม่ไกลจากบ้านหลังใหญ่เพื่อหมายจะพาคนที่อยู่ในอ้อมแขน ไปนั่งเล่นอยู่ในศาลาที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนหย่อมเล็กๆ แล้วให้อีกฝ่ายได้ผ่อนคลายจากอาการกดดันเมื่อครู่นี้ และไม่ให้ศศินได้ยินเสียงสองสามีภรรยาคู่นั้นจู๋จี๋กันอย่างออกนอกหน้าทว่าเมื่อเขาพาศศินเดินทางมาถึงที่หมาย แล้วปล่อยมือทั้งสองข้างออกจากใบหูเล็กๆ น่ารักของอีกฝ่าย ก็มีเสียงเย็นยะเยือกจากคนข้างกายดังให้ได้ยินว่า “แกเป็นบ้าอะไรวะถึงได้เอามือมาปิดหูฉันเนี่ย” ก่อนเจ้าตัวจะส่งค้อนวงใหญ่ไปให้ แล้วสาวเท้าไปนั่งอยู่ในศาลาด้วยท่าทางที่ไม่ชอบใจส่งผลให้ดีแลนอดผวาไม่ได้ แล้วรีบละล่ำละลักออกมาว่า “ฉะ...ฉันแค่ไม่อยากให้แกได้ยินพ่อแม่ฉันทะเลาะแล้วเอาแต่ด่าแกนี่หว่า” ก่อนเจ้าตัวจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลแล้วลอบมองใบหน้าตึงๆ ของอีกฝ่าย แล้วส่งเสียงออดอ้อนออกไป “อย่าโกรธฉันเลยนะ ศินยกโทษให้ฉันเถอะนะ นะ นะ” จบคำชายหนุ่มก็ยอบกายลงนั่ง ก่อนจะคว้าข้อมื
บทที่7ครอบครัวของดีแลนหนึ่งวันผ่านไป...หลังจากที่คนทั้งคู่ผ่านช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกับการที่ต้องไปพบเจอกับพี่ชายบุญธรรมของศศินอย่างเตมินทร์มาและผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างทุลักทุเลแล้วในวันนี้ก็เป็นวันหนึ่งที่คนทั้งคู่จะต้องไปเผชิญชะตากรรมกับครอบครัวของดีแลนที่ดูเหมือนจะยากลำบากพอๆ กันจึงทำให้ศศินที่นั่งมาในสปอร์ตคาร์คันหรูของเพื่อนชายคนสนิท แม้นัยน์ตาสีเข้มจะจับจ้องมองท้องถนนที่แน่นขนัดไปด้วยรถมากมายหลากยี่ห้อและกลุ่มฝุ่นมลพิษที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศด้วยแววตานิ่งเพียงใดแต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับมีความกังวลเล็กๆ ผุดขึ้นกลางใจ จนอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาสัมผัสกับปลอกคอที่สวมใส่อย่างแผ่วเบาจนคนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีอย่างดีแลนที่มองเห็นการกระทำดังกล่าวถามออกไปว่า “กังวลหรือไง” แล้วเหลือบสายตามองไปยังลำคอขาวที่สวมใส่ปลอกคอสีดำสนิทเอาไว้ จนเจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างลำบากแรกเริ่มเดิมทีรูปร่างของศศินก็ตัวเล็กกว่าอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์อยู่มาก แต่ด้วยความที่เจ้าตัวเป็นคนเอ่ยออกมาว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าเลือดผสมรูปร่างที่เล็กเกินมาตรฐานเหล่านี้จึงถูกปัดตกไปแต่พอวันที่ตัวเองไ