หลังจากวันนั้นเวลาก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ ฉันกับพี่ทิวแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำเพราะเขาติวหนังสือหนักมาก เรียนวิชาเพิ่มเติมเยอะแยะไปหมด เลิกเรียนไม่ตรงกัน แต่ก็ยังพอได้แอบมองตอนเข้าแถวอยู่บ้างแหละ
“แป๊บ ๆ ก็จะจบแล้วเศร้าจัง” “บ่นไรหมู” “เอ็งก็เป็นแบบนี้แหละน้ำตาล ทำเป็นเล่นตลอดเลย” “แล้วจะเครียดให้ได้อะไร พูดอย่างกับจบไปแล้วจะไม่ได้เจอกันอีกอย่างนั้นแหละ” “เวลาเดินโคตรเร็วเลยเนอะ” เวลาเดินเร็วอย่างมันว่านั่นแหละค่ะ สามปีเหมือนนานแต่พอเอาเข้าจริงมันแค่แป๊บเดียวเอง ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำด้วยซ้ำ “บ่ายนี้แนะแนวว่ะ รวมกับพี่มอหก” “ไม่ได้เรียนหรอกเหรอ” “สลับคาบไปไว้วันพรุ่งนี้แทน” ตัดมาถึงคาบแนะแนวเลยแล้วกันนะคะ ก็มีการพูดเกี่ยวกับอาชีพ ความฝัน ความเป็นไปได้ รวมไปถึงสิ่งที่อยากเรียนก็ด้วย อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างที่จะผ่อนคลายค่ะ ไม่เข้มงวดจนบรรยากาศในห้องอึดอัด ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งฟังอยู่มีก้อนกระดาษตกลงมาตรงหน้า ไม่รู้ว่าใครขว้างมาแต่ฉันก็เปิดอ่านนะ ขอเบอร์หน่อย อ่านแล้วก็ขยำมันวางไว้ที่เดิม “อะไรวะ” ไอ้จูนค่ะ “ไม่รู้ของใคร” “กูดูเอง” ไม่พูดเปล่ามันยังอ่านแล้วตอบกลับไปอีกด้วย “เขียนอะไรน่ะ” “ถามใครครับ ปาให้แม่น ๆ หน่อย” ตอบเสร็จก็ปาไปหลังห้องที่พี่มอหกนั่งอยู่ เป็นทิศทางเดียวกับตอนที่ถูกปามาเช่นกันค่ะ เลิกสนใจกระดาษนั่นแล้วอยู่กับความคิดตัวเองต่อ ในหัวของฉันตอนนี้มันว่างเปล่าไปหมด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจบมอสามแล้วจะเรียนต่ออะไร ปึก! คราวนี้มันลงหัวฉันเต็ม ๆ เลยค่ะ เบือนหน้าไปมองก็ไม่มีใครสนใจนอกจากสายตาแสนจะเย็นชาของพี่ทิวที่กำลังจ้องมองฉันอยู่ “มานี่กูอ่านเอง” ไอ้จูนมันว่าก่อนจะหยิบก้อนกระดาษไปแต่ฉันกลับรั้งมันไว้ซะก่อน “ช่างมันเหอะ ไร้สาระ” “เอาตามนี้?” “เออ” หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกจนกระทั่งหมดชั่วโมงและได้เวลากลับบ้าน “รอนี่นะกูไปเอารถก่อน” “แล้วอ้อล่ะ” “มันซ้อมเต้นเลิกสามทุ่ม เดี๋ยวอาจารย์ไปส่ง” “โอเค” ตกลงกับไอ้จูนเสร็จก็ออกมารอมันตรงหลังโรงเรียน เพราะมันเอารถไปจอดไว้อีกที่หนึ่ง บ้านฉันถึงก่อนบ้านมันค่ะจะบอกว่าเป็นทางผ่านก็ได้แหละ “ทิวรอด้วยสิ เรียกไม่หันเลยนะ ไม่เห็นต้องเมินเกตุขนาดนี้” “มีไร?” “ทิว...” “ถ้าไม่มีอะไรก็ขอตัว” พูดจบพี่ทิวก็เดินตรงมาทางฉันแล้วหยุดยืนตรงหน้า “รอใคร” “ไอ้จูน” “ขอบคุณที่ไม่ตอบอะไรในกระดาษแผ่นนั้น” ฉันมองหน้าพี่ทิวนิ่ง ๆ ก่อนจะตั้งคำถามออกไป “ในนั้นมีอะไรเหรอคะ” “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องรู้หรอก” เขาว่ายิ้ม ๆ แต่มันกลับทำให้ฉันอยากรู้ขึ้นไปอีก ผลัก! “อ๊ะ!” “กูบอกมึงว่าไงอีเหี้ย!” พี่เกตุเดินเข้ามาผลักฉันเต็มแรงก่อนจะชี้หน้าและด่าทอออกมาอย่างไม่พอใจ “กูเคยบอกแล้วใช่ไหม” พี่ทิวเอาตัวเองบังฉันไว้แล้วหันไปเผชิญหน้ากับพี่เกตุแทน น้ำเสียงและการพูดจาของเขาโคตรจะไร้เยื่อใยเลยค่ะ “ทิวก็รู้ว่าเราคิดยังไง ตั้งสามปีมันไม่มีความหมายเลยเหรอวะ” “อะไรที่กูไม่ได้สนใจมันไม่เคยมีความหมายทั้งนั้นแหละ มึงช่วยเลิกระรานคนอื่นจะได้ไหม ถ้ายังอยากเหลือคำว่าเพื่อนอยู่ช่วยกรุณาอย่าล้ำเส้นกูด้วย” “กูถามจริง ๆ เหอะมึงมีหัวใจบ้างไหม ฮึก..มีความรู้สึกเหมือนกูบ้างไหม” “...” ทุกอย่างเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ความรู้สึกตอนนี้เหมือนฉันเป็นคนมาทีหลังแล้วทำให้เขาสองคนทะเลาะกันเลย “เกิดอะไรขึ้นวะ” พี่ริววิ่งมาก่อนจะมองหน้าฉันกับพี่เกตุสลับกัน “กูบอกมึงกี่รอบแล้วเกตุ” “ฮึก! ทำไมล่ะ ที่ผ่านมาพวกมึงก็รู้ว่ากูรู้สึกยังไงกับทิว แล้วทำไมมึงยังเข้าข้างมันอีก” “เพราะมันไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงไงเกตุ ถ้ามึงไม่อยากเสียเพื่อนมึงอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหม แล้วเนี่ยมึงมาโวยวายใส่น้องมันมันถูกเหรอวะ กูไม่ได้เข้าข้างไอ้ทิวแต่กูพูดตามความจริงมึงสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันเพราะฉะนั้นมึงไม่มีสิทธิ์” “แล้วมันมีสิทธิ์เหี้ยอะไร มันก็ไม่ได้เป็นอะไรเหมือนกัน” “แต่ไอ้ทิวมันชอบน้อง มันไม่ได้ชอบมึง! เลิกบ้าสักที!!” พี่ริวตวาดออกไปอย่างเหลืออด ฉันได้ยินทุกอย่างชัดถ้อยชัดคำ มันจะดีกว่านี้หากว่าพี่ทิวเป็นคนพูดคำนั้นออกมาจากปากตัวเอง “ตาล! มึงทำอะไรเพื่อนกู” ไอ้จูนมาถึงมันก็ตั้งท่าจะเข้าไปหาพี่เกตุทันที “มึงใจเย็น ๆ กูไม่เป็นอะไร” “มึงก็เป็นแบบนี้แหละ ครั้งก่อนที่ห้องน้ำมึงคิดว่าไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นหรือไง” “เออมันจบไปแล้วเลิกพูดเหอะกลับบ้าน” “เดี๋ยว! เรื่องที่ห้องน้ำหมายความว่ายังไง” พี่ทิวเอ่ยถามพลางมองหน้าฉันกับไอ้จูนหวังจะเอาคำตอบ “จะหมายความว่ายังไงพี่สนใจด้วยเหรอวะ เอาเวลาถามเรื่องนี้ไปหาความมั่นใจหาความชัดเจนของตัวเองดีกว่านะ จะจีบก็จีบดิวะ กั๊กอยู่นั่นแหละ แล้วมึงอีกตัวหนึ่งถ้าไม่เลิกวุ่นวายกับเพื่อนกูนะ มึงเจอกูแน่!” ประโยคหลังไอ้จูนมันหันไปชี้หน้าพี่เกตุค่ะ หลังจากนั้นก็รั้งฉันขึ้นรถและมาส่งบ้านทันที “จูนมึงอย่าขับรถเร็ว กูกลัว” มันไม่ตอบแต่ความเร็วของรถก็ลดลงค่ะ จนกระทั่งถึงบ้านฉัน “โทษละกันที่กูพูดแรง ๆ ออกไปแบบนั้น” “ไม่เป็นไร มึงก็ไม่ได้พูดอะไรผิดนี่” “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปความสัมพันธ์ของมึงกับเขาอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้” “เพ้อเจ้อ ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้นแหละ จุดเริ่มต้นมันยังไม่เคยมีเลยด้วยซ้ำ” “มีอะไรโทรหากูละกัน” “อืม ขอบใจมาก ขับรถดี ๆ ” คล้อยหลังไอ้จูนฉันก็กลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ไม่รู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่ความจริงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นมันก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว เพราะจุดเริ่มต้นของพวกเรามันไม่เคยมีด้วยซ้ำชีวิตหลังแต่งงานเป็นอะไรที่มีความสุขมาก ทอฝันเลี้ยงง่ายไม่อ้อนเลย ตอนนี้เพิ่งสิบเดือนเริ่มเกาะยืนแล้ว ดูท่าทางอีกไม่นานคงวิ่งจับไม่ไหวแน่นอน“คนสวย แม่ไปทำงานแล้วนะคะ หนูอย่างอแงกับพ่อนะ” พูดจบก็ก้มไปฟัดแก้มลูกสาวจนหนำใจเลยทีเดียว “หอมแต่ลูก ไม่หอมพ่อของลูกบ้างเหรอครับ”“ไม่ค่ะ!” ปากบอกปฏิเสธแต่ก็หอมครับ ว่านอนสอนง่ายจะตาย วันนี้เป็นวันหยุดผม หลังจากส่งน้องเสร็จก็แวะมาบ้านไอ้ริวต่อเลย รับปากมันไว้ว่าจะเข้ามาไง “เมื่อก่อนพกเมีย เดี๋ยวนี้พกลูก” ไอ้แบคเอ่ยแซวทันทีที่เห็นผมกับน้องทอฝัน“แล้วมึงเมื่อไหร่จะมี”“ทักได้เจ็บใจมาก” มันอยากมีครับ แต่ไอ้เกตุไม่ท้องสักที “น้ำยาไม่ดีก็แบบนี้แหละ”“ขยี้กันเข้าไป ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”... : ฮ่า ๆ“ไอ้ริว แล้วลูกมึงไปไหน”“อยู่ในเปลโน่น สองขวบกว่าแล้วยังติดเปลอยู่เลย ไปโรงเรียนกูว่าร้องตาย” น้ำเสียงมันเหมือนสิ้นหวังมากเลย“เอาน่ะค่อย ๆ ฝึกให้นอนพื้นทีหลังก็ได้”“ไม่หรอก ลูกกูอารมณ์แปรปรวนเก่งมาก แต่ไม่ซนนะ”“เป็นยังไงวะอารมณ์แปรปรวน”“อยู่ดี ๆ ก็ร้องไห้ ร้อง ๆ อยู่ก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะได้อีกด้วย บางวันเดาอารมณ์ไม่ถูกเลย”“ไม่ลองปรึกษาหมอวะน่าจะช่วยได้
หลายเดือนผ่านไปใกล้ได้เห็นหน้ากันแล้วครับ แอบกระซิบหน่อยว่าท้องใหญ่มาก และด้วยขนาดหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวจึงมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของน้องพอสมควร เหนื่อยง่ายทำอะไรไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อน “หนูลาคลอดเมื่อไหร่”“ยังเลยค่ะ หนูว่าจะทำจนคลอดเลย”“ว่าไงนะ” ไม่ได้หูฝาดไปแน่ ๆ ครับ“หมายถึงทำจนเจ็บท้องใกล้คลอดเลยค่ะ ลาได้เก้าสิบวันหนูอยากอยู่กับลูกนาน ๆ นี่ถ้าลาล่วงหน้าเป็นเดือนกลัวได้ใช้เวลาอยู่กับลูกน้อย” เห็นไหมครับ ไม่ได้มีแค่ผมสักหน่อยที่เห่อลูก“เข้าใจ แต่พี่อยากให้พักเดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนะ”“แต่หนู...”“คุณแม่ดื้อเหรอครับ?”“ก็ได้ค่ะ” กำหนดคลอดเดือนหน้าแต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้เสมอ อาจจะคาดเคลื่อนก็ได้ต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อนครับพวกเราย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านใหม่แล้วและรับแม่กับยายมาอยู่ด้วยชั่วคราวเพราะไม่อยากให้น้องอยู่คนเดียวไง ไม่ต้องห่วงนะครับว่าผิดที่ผิดทางแล้วยายผมจะเหงา เพราะเพื่อนบ้านก็มีคุณตาคุณยายอายุไล่เลี่ยกัน คุยกันถูกคอประหนึ่งว่ารู้จักมานานแรมปี“พี่ทิว”“ครับ?”“หนูอยากกินไข่ปลาทอด” ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความหวังเชียว“มันหาซื้อได้ที่ไหน” ไข่ปลาน่ะรู้จักครับ แต่มันไม่ได้ม
บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ด้วยก็คงจะดี... ตอนแรกตั้งใจจะเชิญแค่ญาติคนสนิทแต่ตากับยายคัดค้านค่ะ ให้เหตุผลว่าแม่เป็นลูกคนเล็กญาติทางนั้นก็สำคัญ ญาติทางนี้ก็สำคัญ ป้าบ้านนั้น น้าบ้านนี้ เยอะแยะไปหมด เป็นคนเก่าคนแก่ที่มีคนรู้จักนับถือเยอะก็อย่างนี้แหละ ไม่เป็นไรเอาที่ตากับยายสบายใจเลย พี่แบคกับพี่เต้อาสาเป็นพิธีกรให้ และไม่วายถูกตั้งคำถามประหลาด ๆ ตามเคย“เจ้าบ่าวครับ เห็นคุณผู้หญิงโต๊ะนั้นไหมครับ?” พี่แบคเอ่ยพลางชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง เป็นรุ่นน้องที่ทำงานของพี่ทิวนั่นแหละค่ะ“เห็นครับ”“สวยไหม?”“สวย”“คุณ! นี่งานมงคลของคุณนะครับ คุณกล้าชมผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าภรรยาเชียวเหรอ” คำถามกวนอารมณ์ถูกเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร มองแล้วเห็นว่าเป็นคนสวยปกติก็คือเป็นคนสวยเท่านั้นเอง กลับกันถ้าเราอยู่ใกล้คนที่เราชอบต่อให้หน้าตาธรรมดายังไงในสายตาเราเขาก็สวยที่สุดอยู่ดี” ประโยคหลังพี่ทิวหันมาพูดกับฉันทำเอาผู้คนในงานเอ่ยแซวเสียงดังไปทั่วบริเวณ“เจ้าสาวครับ”“ค่ะ”“คุณผู้ชายโต๊ะนั้นหล่อไหมครับ”“หล่อค่ะ”“แล้วระหว่างทางนั้นกับทางนี้ ใครหล
ก่อนหน้านี้ประจำเดือนฉันมาสามวันค่ะ ปกติจะห้าหรือไม่ก็เจ็ดวัน แต่ไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นคนมีรอบเดือนไม่ปกติอยู่แล้ว แต่คราวนี้คงปล่อยผ่านไม่ได้แล้วแหละเลิกงานฉันซื้อที่ตรวจครรภ์มาด้วยห้าอัน อันละยี่ห้อไปเลยค่ะ มาถึงบ้านอาบน้ำเสร็จก็ตรวจเลย คุณหมอแนะนำมาว่าควรเป็นฉี่แรกของวันเพื่อผลที่แม่นยำ แต่มันตื่นเต้นไงอยากรู้จึงลองตรวจดูก่อนในความคิดฉันถ้าท้องจริงตรวจตอนไหนคงขึ้นสองขีดเหมือนกัน อันนี้คิดเอาเองนะคะลอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะจุ่มที่ตรวจลงไป ใจเต้นแรงเป็นบ้าเลยค่ะ วินาทีที่แถบสีชมพูเริ่มเห็นชัดขึ้น ...“สะ สองขีด” เหมือนหยุดหายใจไปชั่วขณะ ขีดที่สองมันจางมากแต่มองผ่าน ๆ ก็คือเห็นว่าเป็นสองขีด ไม่ใช่ว่าไม่ดีใจนะคะแค่ไม่คิดว่าจะมาเร็วแบบนี้ฉันเพิ่งหยุดกินยาคุมเมื่อสองเดือนก่อนเอง ใครจะคิดว่าจะติดรวดเร็วทันใจขนาดนี้ล่ะ แล้วต้องทำยังไงต่อต้องบอกใครเป็นคนแรก?เช้าอีกวัน ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิว ใช่ค่ะ! หิวจริง ๆ ลืมตามาก็อยากกินข้าวเลย ทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมาข้างนอกเห็นแม่ทำกับข้าวอยู่ก่อนแล้ว“วันนี้ไม่ไปใส่บาตรเหรอ” “หนูตื่นสายเลยไม่ได้ไป แม่...”“ว่า?”“...”“เรียกแล้วไม่พูดนะ” พูด
หลังจากทริปทะเลจบลงพวกเราก็กลับสู่บทบาทหน้าที่ตัวเองกันอีกครั้ง แอบเขินไปหลายวันเลยเรื่องที่เข้าใจผิด อย่างที่บอกเป็นใครก็ต้องคิดจริงไหม? ส่วนไอ้อาการหน้ามืดโลกหมุนของฉันก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ทิวดูแลดียิ่งกว่าหมอซะอีก“พอแล้วมั้งคะ” ถึงกับต้องเอ่ยปรามขึ้นเมื่อเห็นเขาหยิบผลไม้ใส่รถเข็นจนเยอะแยะไปหมด“อันนี้มีประโยชน์”“รู้... แต่หนูไม่ชอบนี่แค่อันนี้อย่างเดียวก็พอค่ะ” ฉันว่าพลางชี้มือไปที่กล่องสตอวเบอร์รี่“ครับ ซื้อเข้าห้องไปเลยแล้วกันเผื่อพรุ่งนี้พี่เลิกดึก”“โอเคค่ะ”ทุกครั้งที่เงินเดือนออกเราจะซื้อของเติมตู้เย็นเสมอ ค่าใช้จ่ายต่อเดือนในส่วนเฉพาะของสดประมาณสองพันบาท ค่าน้ำ ค่าไฟอีกสองพันบาท จิปาถะยิบย่อยรวมทั้งหมดแล้วประมาณห้าพันอันนี้ฉันคำนวณเองนะ ส่วนค่าน้ำมันรถหรือของที่จำเป็นอื่น ๆ ยังไม่ได้คิดค่ะ ที่กล่าวมานี้อยู่ในความรับผิดชอบของพี่ทิวทั้งหมดฉันเคยบอกแล้วว่าเรื่องในครัวฉันรับผิดชอบเองได้แต่เขาไม่ยอมและให้เหตุผลว่าผู้นำครอบครัวเขาไม่มาแบ่งจ่ายกันหรอก ในเมื่อค้านอะไรไม่ได้ก็เลยใช้วิธีแยกซื้อต่างหากโดยที่พี่ทิวไม่รู้ ตั้งแต่คบกันมาสาบานได้ว่าฉันไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาเ
หมดกันเซอร์ไพรส์ของผม แอบรู้สึกผิดเหมือนกันนะเนี่ยทำน้องร้องไห้ไปหลายวันเลย ผมไม่ได้ตั้งใจ ที่ตั้งใจจริง ๆ คือบ้านต่างหากที่ดินตรงนั้นผมซื้อมันตั้งแต่ก่อนไปญี่ปุ่นหลายเดือนแล้วแต่ไม่ได้บอกน้องเพราะตั้งใจจะปลูกบ้านก่อน บวชแล้วค่อยแต่งไง แต่มันผิดแผนนิดหน่อย ปิดมาได้ตั้งนานดันมาตกม้าตายตอนบ้านเสร็จซะงั้น ครืด...ครืด…“ว่าไง”(จะเพิ่มเติมตรงไหนอีกหรือเปล่ากูจะได้บอกช่างถูก)“แก้ตรงสีไม่เสมออย่างเดียวก็พอ”(เออ ผัวกูถามว่ามึงจะเข้ามาดูไหม)“เข้าแหละ น่าจะพรุ่งนี้บ่าย”(กูถามจริงแฟนมึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ถ้าเป็นกูคงจับได้ตั้งแต่ผัวกลับบ้านไม่ตรงเวลาละ)“จะเหลือเหรอ”(ฮ่า ๆ กูว่าแล้วเซอร์ไพรส์ไม่เคยสำเร็จ แล้วเขาว่าไง)“เปล่าหรอก เข้าใจผิดนิดหน่อย”(ไม่ใช่คิดว่ากูเป็นกิ๊กมึงหรอกนะ)“ประมาณนั้น”(ฉิบหาย!)“เกือบได้ฉิบหายจริง ๆ แต่ตอนนี้คุยกันเข้าใจแล้ว ไว้พรุ่งนี้กูพาไปด้วยเลย ไหน ๆ ก็รู้แล้วนี่”(เออ ไว้เจอกัน)ลูกหว้าเป็นเพื่อนร่วมงานครับ เราอยู่ทีมเดียวกันแต่คนละฝ่าย รู้จักกันตั้งแต่ฝึกงานไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลย ส่วนที่น้องคิดไปไกลคงเป็นเพราะพฤติกรรมของผมมากว่า เรื่องนี้แม่กับยายก็รู้นะครั