บทที่ 28 เซียนน้อยแห่งหุบเขาธิดาสวรรค์(7)
“แต่นี่คือสิ่งที่เจ้า...! ...พวกเจ้าทุกคนตอบแทนนางอย่างนั้นหรือ”
“...พวกข้า”
“ข้าในตอนนี้ไม่มีสิทธิตัดสินพวกเจ้า และแม้ว่าข้าจะคิดเห็นประการใดมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการที่คุณหนูเย่หัวคิดอย่างไรต่อ”
“จางหลงอย่างน้อยเจ้าก็ช่วยไปพูดแทนพวกมันหน่อยเถอะ หากว่าคราวหน้าพวกมันกระทำความผิดซ้ำอีกครั้ง ข้าและคนอื่นๆจะไม่กล่าวถึงได้เลย ต่อให้เจ้าหรือว่านางเซียนน้อยจะฆ่าจะแกงพวกมันก็ตาม”
หญิงชรานางหนึ่งเป็นผู้กล่าวขึ้น และนางก็คือคนเดียวกันกับหัวหน้าแม่ครัวที่ช่วยกันทำงานหนักในครัวเมื่อวานนี้ มาไม่คิดเลยว่าเล่นของนางจะกระทำชั่วช้าแบบนี้
“ข้าก็ขอเป็นอีกเสียงหนึ่งที่อยากจะขอโอกาสให้พวกมันสักครั้ง แล้วก็เช่นเดียวกับนางเฒ่า หากว่าคราวหน้าพวกมันยังคงกระทำชั่วช้าแบบนี้อีกครั้ง ไม่ว่าเจ้าหรือนางเซียนน้อยจะเอามันไปต้มยำทำแกง เช่นไรก็แล้วแต่เถิด ถือเสียว่าครั้งนี้ให้พวกมันได้รู้ถึงว่า นางนั้นมิใช่คนธรรมดาอย่างเช่นพวกเรา” ชายชราอีกคนกล่าวขึ้น
“ใช่แล้วล่ะในคราแรกที่ได้เจอกับนาง ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่านางจะทำเพื่อพวกเราขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณในแดนเซียนหยางหัวมันทั้ง 2 ชนิดนั้น แล้วยังความสามารถในการเรียกอาหารออกมามากมายเพื่อเลี้ยงดูพวกเรา ต่อให้ข้าจะเป็นคนโง่คนหนึ่งที่ไม่มีการศึกษามากนัก แต่อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าควรจะตอบแทนบุญคุณนางเช่นไร
และถึงพวกมันจะกระทำโง่ๆ ไปบ้าง แต่อย่างน้อยสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ การที่พวกเราทั้งหมดได้รู้แจ้งแน่แล้วว่า ต่อให้นางจะมิใช่นางฟ้านางสวรรค์ อย่างน้อยที่สุดนางก็คงจะเป็นผู้ที่สวรรค์ส่งมาเพื่อโปรดพวกเรา มิฉะนั้นแล้วการที่พวกมันทั้งหมดไปขโมยของมาเมื่อวานนี้ หากเป็นพืชพันธุ์ธรรมดาทั่วๆไป มันคงจะไม่จบลงด้วยการเน่าเปื่อยแล้วพาพื้นดินให้เสียหายไปด้วยแบบนี้”
หญิงชราที่ออกมาจากบ้านของจางหลงเป็นผู้กล่าวขึ้น นางคือหนึ่งในผู้ที่อายุยืนที่สุดในหมู่บ้าน อดีตผู้นำหมู่บ้านรุ่นก่อนหน้าผู้สร้างความสงบและร่มเย็นให้กับหมู่บ้านมานานกว่าร้อยปี ถึงในตอนนี้นางจะเกษียณตัวเองและอยู่อย่างสงบในบ้าน แต่เสียงของนางก็ยังคงมีความสำคัญต่อผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้เสมอ
“แต่ว่าท่านทวด”
“จะเอาไปทำตามที่ข้าบอกเถิด อย่างน้อยก็อธิบายความให้กับนางเซียนน้อยได้ฟัง แล้วหลังจากนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่ร้องขออะไรต่อเจ้าอีกเลย”
“ถ้าหากท่านโทษว่าอย่างนั้นข้าก็จะไปกล่าวความตามจริงขอรับ เพียงแต่ว่าข้าไม่รู้ว่านางเซียนน้อยจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง”
“มีแต่ฟ้าเท่านั้นแหละที่จะรู้ได้ จะดีจะชั่วพวกมันก็เป็นลูกบ้านของเจ้า หากมันกระทำความผิดซ้ำจริงๆค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง เจ้าก็รู้ดี ไม่ใช่หรือว่าทั้งหมดแล้วมันเกิดขึ้นเพราะอะไร...” หญิงชรากล่าวพลางถอนหายใจยาวๆออกมา
“...”
จางหลงเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนที่จะหันไปบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน หลังแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยให้เตรียมตัวกันไปเพื่อทำงานอีกครั้งในวันนี้ ตามที่ได้ตกลงกันเอาไว้เมื่อวาน...
“แล้วตอนนี้มันไปไหนแล้วขอรับ” หลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว จางหลงก็เลยขึ้นกับหญิงชราที่กำลังรอเขาอยู่
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” หญิงชราถอนหายใจยาวๆ สวัสดีนางรู้ดีถึงความแตกแยกของพี่น้อง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่ามันเป็นความคิดแต่ฝ่ายเดียวของจางเว่ยเท่านั้น ต่อให้จะไม่ค่อยได้อยู่กับหลานหลานมากนัก หญิงชราก็รู้ดีว่าจางเหว่ยนั้นเป็นคนเช่นไร แต่สุดท้ายแล้วหนังก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี“มันออกไปตั้งแต่เมื่อวาน ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย”
“แล้วถ้าอย่างนั้นเมื่อคืนต้าพังเป็นอย่างไรเล่าขอรับ”
“ก็คงยังเป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ”
“...”
“ตอนนี้เจ้าเลิกสนใจเรื่องนี้ก่อนเถิด เจ้ารีบแต่งตัวไปที่บ้านของนางเซียนน้อยเสีย แล้วจากนั้นก็ไปบอกเรื่องราวตามความจริงให้นางได้รู้ ในตอนนี้เรื่องนั้นสำคัญที่สุด อย่าให้นางได้รู้เรื่องนี้จากปากของคนอื่น แต่ให้รู้ออกมาจากปากของเจ้าที่เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน”
“ทราบแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะไปเถอะ”
.
.
.
‘...อีปลวก มึงอย่าลืมนะ อีปลวก มึงอย่าลืมนะ’
‘ห๊ะ มึงว่ายังไงนะ’
‘อย่าลืมที่กูบอกไป’
‘มึงบอกอะไร...’
‘...ถ้ามึงลืมมึงต้องมานั่งเสียใจไปชั่วชีวิต’
‘อะไรของมึงเนี่ย ทำไมมึงไม่บอกกูว่ากูลืมอะไร’
‘มึงอย่าลืมนะ...’
“ลืมอะไร มึงก็รีบบอกกูสักทีสิวะ” เสียงร้องตะโกนออกมาจากร่างที่กำลังนอนหลับอยู่ เรียกให้สองแม่ลูกร้องลั่นด้วยความตกใจไปตามๆกัน แล้วกรูกันวิ่งเข้ามา เพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็เห็นเพียงแค่เย่หัวนั้นกำลังหลับอยู่ ซึ่งนางกำลังดิ้นทุรนทุรายราวกับว่ากำลังอึดอัดอย่างยิ่ง พยายามคว้ามือออกไปด้านหน้าราวกับว่ากำลังเรียกหาใครสักคน แต่เหมือนกับว่าไม่ว่าจะพยายามเรียกเท่าไหร่ เสียงนั้นก็ยิ่งห่างออกไปห่างออกไป ห่างออกไป
“คุณหนู คุณหนู คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”ทั้งสองที่เห็นสภาพแบบนั้นแล้วจึงพยายามปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา
“ข้าตื่นแล้ว...” ผ่านไปหลายอึดใจกว่าที่เย่หัวจะรู้สึกตัวขึ้นมา “มีอะไรเหรอเจ้าคะ”
“คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ค่ะ เห็นว่าเมื่อกี้คุณหนู เหมือนจะกำลังฝันถึงอะไรบางอย่าง”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะเมื่อกี้ข้าเห็นคุณหนูเหนื่อยมากเลย เลยช่วยกันปลุกเจ้าค่า”
“อย่างนั้นหรือ... แต่คงจะไม่มีอะไรหรอกมั้งข้าคงจะแค่เหนื่อยมากไปหน่อย ก็เลยละเมอฝันร้ายอะไรแบบนั้น” เย่หัวพยายามนึกสักเท่าไรแต่ก็นึกไม่ออก ว่าเมื่อก่อนหน้านี้ที่นางจะตื่นขึ้นมานั้น นางได้ฝันถึงอะไรไปบ้าง “มันก็คงเป็นแค่ความฝันแหละ แต่ก็ขอบใจทั้งสองคนมากนะที่เป็นห่วง”
เย่หัวไม่มีทางจะรู้เลยได้ว่า สิ่งที่นางได้หลงลืมไปแล้วนั้น มันจะย้อนกลับมาสร้างบาดแผลให้แก่นางไปชั่วชีวิต!!
.................................
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง