หลายวันผ่านพ้นไป...
“เฮ้อ...” ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ร่างเล็กของเย่หัวถอนหายใจออกมาแบบนี้ เนื่องจากในตอนที่ก่อนหน้านี้ที่นางได้หมดสติไปนั้น นางก็ได้รับจดหมายจากเพื่อนเก่าที่ฝากเอาไว้ในห้วงแห่งความฝัน ที่จ่าหน้าซองเอาไว้ว่าถ้าหากนางสามารถรอดพ้นมาได้ก็แสดงว่านางนั้นจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปจริงๆ ได้ ซึ่งในจดหมายฉบับนี้จะมีสิ่งที่นางจะต้องรู้เอาไว้
ซึ่งสิ่งที่มันได้เขียนเอาไว้ก็เป็นอะไรที่คนธรรมดาๆ อย่างนางเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ที่พอจะสามารถจับใจความได้คร่าวๆ ก็คือ...
อย่างแรกก็คือโลกนี้เป็นโลกอีกใบหนึ่งที่ไม่ใช่โลกเดิมของนาง เนื่องจากช่วงเวลามันผ่านไปนานหลายภัทรกัปแล้ว และในโลกนี้นั้นเป็นช่วงเวลาขาลงของโลกที่มนุษย์จะมีอายุไขยาวนานราวสองร้อยสิบปี โดยที่แต่ละวันของโลกนี้จะยาวนานกว่าโลกเดิมของเราถึงสิบเท่า ส่วนแต่ละปีนั้นยาวนานกว่าหนึ่งพันสองร้อยวัน
ในตอนที่กวาดสายตาอ่านเจอคำพวกนี้คราวแรกนางก็ออกจะมึนๆ งงอยู่บ้าง แต่พอได้รู้รายละเอียดเรื่องของเวลาในโลกใบนี้นางก็ถึงกับอ้าปากค้าง
ถ้าอย่างนั้นที่นางอายุแปดขวบมันก็เท่ากับเท่าไหร่?...
เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจ ซึ่งพอนางลองคำนวณคร่าวๆ แล้วก็ แต่ละชั่วโมงจะนานขึ้นสิบเท่า เท่ากับกว่าแต่ละวันยาวนานกว่าสองร้อยสี่สิบชั่วโมง แล้วถ้าแต่ละปีมีพันสองร้อยวันคิดคร่าวๆ ก็...
สองแสนแปดหมื่นแปดพันชั่วโมง...
หรือเท่ากับหมื่นสองพันวัน...
แล้วในตอนนี้นางอายุแปดขวบกับกี่เดือนไม่รู้มันก็เท่ากับว่าในตอนนี้นางมีอายุมาแล้วเก้าหมื่นหกพันวัน...
ถ้าตีให้มากเอาไว้ก่อนแล้วคิดแค่ให้แต่ละปีมีสามร้อยหกสิบหกวัน...
สองร้อยหกสิบกว่าปี!
นางที่ตัวเล็กๆ แบบนี้ถ้าหากเทียบกับโลกเดิมนั้นเท่ากับว่านางเป็นคุณทวดของทวดของทวดไปแล้วด้วยซ้ำ!!
นั่นว่าน่าตกใจมากแล้วแต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือว่าถ้าหากว่าสิ่งที่เพื่อนตัวแสบเขียนเอาไว้ในจดหมายฉบับนี้เป็นความจริงแล้วล่ะก็คนทั่วไปยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนานกว่าสองร้อยสิบปีเป็นค่าเฉลี่ย ซึ่งเท่ากับว่ามันยังสามารถอยู่ได้นานกว่านั้น...
นั่นก็เท่ากับว่าถ้าหากนางสามารถมีชีวิตอยู่อย่างยืนยาวไปได้สักสองร้อยยี่สิบปีที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยนิดหน่อย นั่นมันก็เท่ากับว่านางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้ได้ยาวนานกว่าเจ็ดพันสองร้อยวันหากเทียบเวลาของโลกเดิม...
แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
ยังไม่รวมที่เนื้อหาในจดหมายได้บอกเอาไว้ว่า โลกนี้ยังเป็นโลกที่อยู่ในช่วงที่โลกยังอุดมสมบูรณ์อยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้โลกนี้ยังมีพลังงานสวรรค์และโลกอุดมสมบูรณ์มากพอที่จะฝึกฝนลมปราณและบรรลุวรยุทธ์ในระดับสูง ซึ่งยิ่งถ้าหากบรรลุในระดับสูงขึ้นได้ก็จะสามารถมีชีวิตได้นานขึ้นเรื่อยๆอีกสิบปีร้อยปีหรือแม้แต่พันปี...
ถ้าหากไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปนางก็ไม่ได้อยากที่จะฝึกฝนอะไรพวกนั้น แล้วเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่มีชีวิตอย่าสงสงบสุขก็พอแล้ว
อย่างที่สองที่ในจดหมายได้เขียนเอาไว้ก็คือหลังจากที่นางตื่นขึ้นมาถ้าหากนางเห็นหมาตัวโตๆคล้ายหมาทิเบตันมาสทิฟฟ์ก็ไม่ต้องตกใจไป ถึงจะไม่เหมือนสักเท่าไหร่แต่มันเป็นดวงจิตเดียวกับ “อีสัง” มูสัง(อีเห็น) ตัวเดิมของนางที่มาเกิดอยู่บนโลกใบนี้นานแล้ว ในระหว่างที่นางหมดสติมาอ่านจดหมายอยู่นี้มันที่รู้สึกคุ้นเคยกับดวงจิตเดิมของทิพย์ก็ได้มาดูแล เป็นหนึ่งในของขวัญที่เขามอบให้
อย่างสุดท้ายเป็นภาพวาดห่วยๆ เป็นตู้สี่เหลี่ยมสามมิติที่มีรูปคนเล็กๆสูงไม่ถึงหนึ่งในสิบของตู้เย็น โดยที่ตู้เย็นใบนี้มีของพะรุงพะรังทั้งข้างบนที่มันวาดอะไรเอาไว้ก็ไม่รู้ แล้วยังมีคำกำชับเอาไว้ว่าของในตู้เย็นนั้นเขาใส่ของที่จำเป็นเอาไว้ครบหมดแล้วและถ้าปิดเปิดใหม่ของจะเติมให้เองอัตโนมัติ แต่ถ้าหากนางไม่ยอมฝึกฝนก็จะไม่สามารถใช้งานตู้เย็นทั้งหมดได้ ส่วนตำรานางสามารถหยิบมันได้ตลอดเวลาเพียงแค่คิดถึง
ซึ่งมันยังคงเป็นคำอธิบายสั้นๆ ห้วนๆ แทบจะไม่เข้าใจเหมือนเดิม และนั่นคือข้อมูลทั้งหมดที่เพื่อนเก่าได้ทิ้งเอาไว้ให้ โดยที่ยังมีส่วนสุดท้ายเป็นปล.ของจดหมายเอาไว้ท้ายสุด
“นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่กูจะให้มึงได้แล้วจริงๆ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้กูไม่อยากให้มึงไปยึดติดกับสิ่งที่พบเจอไปก่อนหน้านี้ อย่างที่มึงรู้ช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจตอนนั้นมันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่ง
ส่วนอดีตของมึงตอนนี้มึงยังจำไม่ได้หรอก แต่สักวันหนึ่งถ้ามึงแข็งแกร่งพอมึงจะจำมันได้เอง แล้วเมื่อเวลานั้นมาถึงมึงจะตัดสินใจอย่างไรค่อยว่ากัน
กูอยากให้มึงโฟกัสกับในปัจจุบันนี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปในแบบที่มึงอยากมี กูรู้ว่ามึงดูซีรี่ย์มาก็ไม่น้อย นิยายที่กูส่งไปให้มึงก็หลายแนว มึงจะใช้ชีวิตแบบพวกนั้นหรือแบบที่มึงอยากทำก็ได้
กูแค่หวังว่ามึงจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในแบบของมึง และเหมือนที่กูบอกกับมึงตลอดมา ไม่ว่ามึงจะทำอะไรก็ตาม แค่มึงสามารถยอมรับสิ่งที่ตามมาได้ก็พอ เพราะไม่ว่ายังไงทุกการกระทำย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ”
หลายวันมานี้นางยังคงทบทวนหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างโดยมีเจ้าหมาทิเบตันตัวเขื่องเมื่อเทียบกับร่างเล็กๆคอยเฝ้าดูไม่ห่าง จนในที่สุดในตอนนี้เองที่นางสามารถตัดสินใจได้เสียที
“เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองใช้ชีวิตใหม่ดูสักครั้งก็ได้ ถึงยังไงก็กลับไปไม่ได้อยู่แล้วนี่...ขอบใจมากนะไอ้ชา ที่ช่วยให้กูได้มีชีวิตอีกครั้ง กูรับรองว่าจะมีชีวิตอยู่ในถานะ “เย่หัว” ในแบบของกูให้ดีที่สุด”
……………………
บทที่ 84 แปดเซียนสองเทวะหนึ่งอรหันต์(1)จากแสงของดวงตะวันที่เริ่มอ่อนแรงลงในยามโพล้เพล้ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างที่สาดกระทบลงมาทั่วหุบเขาในเสี้ยวพริบตา ทำให้ชาวบ้านทุกคนตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปโดยเฉพาะความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และหวั่นเกรงต่อแสงสว่างเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาทุกคนจะไม่สามารถมองเห็นต้นเหตุของแสงสว่างเหล่านั้นได้ แต่ว่าความรู้สึกของพวกเขาทุกคน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยและในเวลาเดียวกัน สายตาของทุกคนก็หันมองไปทางนางเซียนน้อยของพวกเขา ผู้ซึ่งนำพาแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์สงบร่มเย็นมายังหุบเขาแห่งนี้ ที่ตอนนี้แม้แต่ตัวนางเองก็ยังมองไปยังฟากฟ้าไม่แตกต่างจากทุกคน...ส่วนที่แตกต่างกันนั้นก็คงจะเป็นภาพ ที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเยว่หัวนั้น มันเป็นกลุ่มก้อนรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์โปร่งใส แต่มีขนาดและสีสันต์ที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ตัวเล็กๆ กว่าปลายเข็ม ไปจนกระทั่งตัวโตจนสูงกว่ายอดเขาที่สูงที่สุดด้วยซ้ำ...“ไม่อยากจะเชื่อ ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่...”เยว่หัวมองไปยังภาพที่ปรากฏตรงหน้าของนาง ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดไปไกลเกินกว่านั้น
บทนำเล่มสาม ดินแดนแห่งชีวิต...หุบเขาธิดาสวรรค์อีกไม่นานหลังจากนี้...ดินแดนแห่งนี้จะเป็นที่กล่าวถึงของผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ที่เคยเป็นดินแดนแห่งความตายดินแดนแห่งนี้ที่ผู้คนเคยหลีกหนีดินแดนแห่งนี้ที่เคยถูกทอดทิ้งโดยผู้คนมากมายดินแดนแห่งนี้ ที่แทบจะไม่เหลือใครในอีกไม่กี่ปีต่อมา ถ้าหากไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆดินแดนแห่งนี้ ที่ผู้คนภายนอกส่วนใหญ่ต่างมองว่า มันคือดินแดนที่ตายไปแล้วดินแดนแห่งนี้คือหุบเขาที่มีเพียงแค่ความแห้งแล้ง ที่มีเพียงแค่ซากแห่งชีวิต ที่ค่อยๆ แห้งเหือดลงไปในทุกทุกขณะมันคือดินแดนแห่งความสิ้นหวัง ที่ไม่มีใครอยากจะไปเข้าใกล้มัน เพราะไม่ว่าจะเป็นพื้นดินที่แห้งแล้ง ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แล้วยังมีความลับต่างๆมากมาย ที่เคยพรากชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วนในตลอดระยะเวลา 10 ปี จนทำให้ภูเขาแห่งนี้ เป็นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสมบูรณ์ เพราะว่าแม้แต่คนภายในเองก็ยังพยายามที่จะหลีกหนี พวกเขาพยายามที่จะกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดออกมาจากดินแทนแห่งนั้น…แต่อยู่มาวันหนึ่ง...ดินแดนที่เคยไร้ซึ่งชีวิตและความหวัง ก็ได้เกิดปรากฏการณ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จนผู้คนที่พบ
บทที่ 82 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (2)“…!!”ในทันทีที่ชาได้สติขึ้นมา มองไปยังใบหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างออก ปากอ้าหุบอ้าหุบพะงาบพะงาบราวกับต้องการจะพูดบางสิ่งบางอย่างออกไป แต่เขารู้ดีว่าความหวังของเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต่อให้ใบหน้านั้นจักคุ้นเคยและคล้ายคลึงกับคนที่เขาเฝ้าตามหามาช่วยชีวิตสักแค่ไหน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่ใครสักคนหนึ่งจะมีใบหน้าเหมือนอีกคน ขนาดนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน...‘บางทีอาจเป็นข้าเองที่จำผิด...’เขาพยายามปลอบใจตัวเอง แล้วดึงสติกลับมาในเหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และเขาจะช้าไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว…“พระคุณเจ้าขอรับ...”“เรารู้ว่าเจ้ามหาเราทำไม พูดออกมาเถิดเพราะว่าเจ้าคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเรานั้นสามารถทำอะไรได้หรือไม่ได้”สิ่งที่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้นกล่าวออกมานั้นไม่ผิดเลย สำหรับคนที่เคยเข้าเฝ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้ามาแล้วมากมายนับไม่ถ้วน สำหรับเขาที่มีชีวิตอยู่มานานมากขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ในข้อนี้เพราะว่าสำหรับพระที่บรรลุอรหันต์แล้ว
บทที่ 81 บทพิเศษ “เราไม่ลงนะรกแล้วผู้ใดจักลงนรก” (1)#บทนี้เป็น บท ย่อยแยกอีกบทหนึ่งนะครับ#ย้อนกลับไปในตอนก่อนที่เขาจะมอบระฆังธรรมให้กับเพื่อน ในขณะนั้นชาได้สังเกตเห็น ถึงความตั้งใจที่จะสั่งสอนธรรมะของเพื่อน แต่ด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การที่นางไม่สามารถจดจำข้อธรรมใดๆ ได้มากนักก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเนื่องจากว่าการที่เขาได้ทำการล้วงเอาจิตของนางขึ้นมาจากนรกนั้น มันเป็นเรื่องที่ทำการฝืนชะตากรรมของคนคนหนึ่ง และการที่เขา เรียกดวงจิตเดิมของนางที่ควรจะแตกดับไปนานแล้ว ตลอดไปจนถึง สัญญาสังขารและวิญญาณแต่เดิมของนาง ในภพแรกที่พวกเขาทั้ง 2 คนได้เจอกันโดยวิธีการเปิดพระธรรมคำสั่งสอนจากระฆังธรรม ให้ดวงจิตที่แตกสลายของนางได้ฟังซ้ำไปซ้ำมาครั้งแล้วครั้งเล่า ยาวนานนับหมื่นปีกว่าที่ดวงจิตของนางจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าสัตว์นรกบางส่วนที่พอมีฤทธิ์สามารถแทรกออกมายังบนโลกอีกครั้ง...และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงเหมือนกับว่า สามารถอธิบายข้อธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ออกมาได้ราวกับเคยศึกษามันมาอย่างถ่องแท้ ทั้งๆ ที่ตัวนางแทบจะไม่เคยศึกษาเรื่องราวในแน
ก่อนอื่นเลยที่สำคัญที่สุดต้องขอบคุณมากๆ เลยนะครับ ที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้(น่าจะเหลือไม่ถึง1/10ของคนที่หลงเข้ามาที่จะเดินมาจนถึงจุดนี้) ดีใจที่เดินทางมาด้วยกันจนถึงจุถดเริ่มต้นที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้ครับใช่แล้วครับ…ตั้งแต่บทนำมาจนถึงตอนนี้เพิ่งจะเป็นส่วนที่ปูจุดเริ่มต้นของ เย่หัว-เยว่หัว ให้ทุกคนได้รู้จักตัวตนและสภาพแวดล้อมของนาง โลกที่นางอยู่ ผู้คน สังคม รายละเอียดที่จะทำให้เข้าใจเนื้อหาหลัก และเหตุผลของการกระทำต่างๆ ที่นางจะทำต่อจากนี้ไป จนบางครั้งอาจจะเป็นการกระทำที่ “โหดเหี้ยม” แบบไร้เหตุผลเลยก็มี เล่ม1-2จะเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในส่วนของ “บทนำ” แต่หลังจากเล่ม 3 เป็นต้นไปก็จะเข้าสู่ปฐมบทที่แท้จริง ตามชื่อบทของบทนี้ครับ เราจะคุยกันแบบจริงจังกับเนื้อเรื่องที่แท้จริงกันครับ อย่างแรกเลยก็คือหลังจากนี้จะต้อนรับเข้าสู่โลกแห่งความแฟนตาซีที่แท้จริง ของแม่ครัวตัวจิ๋วที่รักในการทำอาหารให้ผู้คนได้ลิ้มรส เป็นหนึ่งในความสุขของนาง และเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยยึดเหนี่ยวตัวนางเอาไว้ ส่วนยึดนางจากอะไรนั้นต้องไปติดตามในเนื้อเรื่องครับอย่างที่สองก็คือเรื่องของความแฟนตาซีและโลกในจินตนาการที
บทที่ 80 เลี้ยงส่ง(จบ)หลังจากที่เยว่หัวสามารถเรียกสติของผู้คนกลับมาได้อีกครั้ง ตลอดช่วงเช้าไปจนถึงเที่ยง นางก็ทำการจัดแจงแบ่งกลุ่มคนออกเป็นกลุ่มๆ โดยที่ไม่ลืมนำวัตถุดิบจำนวนมากออกมา แล้วจัดแจ้งเตรียมการฝึกซ้อมทั้งหมด กว่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางก็ปาเข้าไปจนถึงช่วงเที่ยงแล้วซึ่งในระหว่างที่ทำการฝึกซ้อมปรุงอาหารชนิดต่างๆ นั่นเอง เหล่าแม่บ้านและเด็กๆทุกคนต่างก็ได้ลองชิมอาหารกันอย่างเต็มอิ่ม และเมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทุกคนเลยหยุดพักกันในตอนเที่ยงพอดิบพอดี และถือเป็นการพักท้องอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ทุกคนแทบจะท้องแตกเสียแล้วส่วนฝั่งของจางหลงที่เป็นฝ่ายจัดเตรียมสถานที่ ซึ่งพวกเขาทุกคนก็ทำเต็มที่ในหน้าที่ของตนเอง แต่ด้วยข้อจำกัดของหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง โดยเฉพาะเวลาที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น พวกเขาจึงตกลงกันใหม่ว่า จะจัดเป็นโต๊ะไม้ยาวๆ ขนาด 6 ถึง 8ที่ แทนที่แผนการจะทำโต๊ะชุดวงกลม และโต๊ะทั้งหมดจะหันหน้าเข้าหาเวที ด้านเดียว ส่วนตัวเวทีเองก็จะสร้างขึ้นมา โดยการขุดดินมาถมเป็นเนินสูงขึ้นประมาณหัวเข่า ใช้ดินเหนียวในการป้ายโดยรอบเพื่อไม่ให้หน้าดินพัง